Tuesday, 17 June 2025
Hard News Team

นายกฯ เตรียมไลฟ์ขายทุเรียน ส่งตรงจากจันทบุรี หวังดัน Soft Power เกษตรไทย-ช่วยชาวสวนในพื้นที่

(16 พ.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมร่วมไลฟ์สดขายทุเรียนกับกลุ่ม Young Smart Farmer ณ สวนรักตะวัน จ.จันทบุรี วันที่ 17 พฤษภาคมนี้ เพื่อส่งเสริมผลไม้ไทยและกระตุ้นการตลาดช่วงฤดูทุเรียน พร้อมรณรงค์การบริโภคผลไม้ตามฤดูกาล และชมบูธร้านอาหารที่ได้รับเครื่องหมาย Thai SELECT

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะรับฟังปัญหาของเกษตรกรภาคตะวันออกทั้งเรื่องต้นทุน การผลิต และการส่งออก พร้อมให้นโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการสนับสนุนภาคเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องร่วมคณะลงพื้นที่ด้วย

โดยในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมขั้นตอนการส่งออกผลไม้ ณ บริษัท ดรากอน เฟรช ฟรุท อ.มะขาม จ.จันทบุรี และชมการคัดแยก แพ็กกิ้งทุเรียนมังคุด รวมถึงโมเดลความร่วมมือกับสายการบินแอร์เอเชีย ในการนำเมนูผลไม้ขึ้นให้บริการบนเครื่องบิน

ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันเดินหน้าสนับสนุนการส่งออกผลไม้ไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฤดูทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร กระจายตลาดสู่เมืองหลัก-เมืองรอง และผลักดันให้ 'ผลไม้ไทย' เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่คนทั่วโลกต้องรู้จักและจดจำ

รายงานชี้ ONE ทำรายได้กว่า 1.6 หมื่นล้านต่อปี ดันเศรษฐกิจไทยพุ่งแรง พร้อมยกระดับ Soft Power

(16 พ.ค. 68) รายงานล่าสุดของสถาบัน Nielsen เผยว่า วัน แชมเปียนชิพ (ONE) องค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ผ่านการแข่งขันในหลายประเภท โดยเฉพาะรายการ ONE ลุมพินี ที่กลายเป็นจุดหมายใหม่ด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา

ผลการสำรวจพบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 82% ที่เข้าชมการแข่งขัน ONE เดินทางมาไทยโดยเฉพาะ และมากกว่า 80% เลือกพักในกรุงเทพฯ อย่างน้อย 3 คืน ขณะที่ 65% ขยายการเดินทางไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปสูงขึ้นและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง

โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักมาจากประเทศออสเตรเลีย สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และแคนาดา ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพการใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะในการเดินทางระยะไกล ทั้งนี้ ONE ยังช่วยยกระดับ Soft Power ไทย ด้วยการถ่ายทอดสดไปยังกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ทำให้มวยไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Nielsen ประเมินว่าแต่ละอีเวนต์ของ ONE สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 238–721 ล้านบาท โดยเฉพาะศึก ONE ลุมพินี และ ONE Fight Night ซึ่งจัดประจำทุกสัปดาห์และทุกเดือนตามลำดับ การเติบโตของ ONE จึงไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จของอุตสาหกรรมบันเทิงด้านกีฬา แต่ยังตอกย้ำบทบาทของไทยในเวทีโลกในฐานะผู้นำด้านศิลปะการต่อสู้และจุดหมายปลายทางของแฟนกีฬาทั่วโลก

กองทัพอากาศส่ง F-16 สกัด K-8 เมียนมา บิดเฉียดเขตไทย!!..ก่อนเปลี่ยนทิศออกจากชายแดน

(16 พ.ค.68) เวลา 12.31 น. หน่วยควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศของไทยตรวจพบอากาศยานทหารเมียนมาแบบ K-8 จำนวน 1 ลำ บินเข้าใกล้แนวชายแดนบริเวณ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี กองทัพอากาศจึงดำเนินการตามระเบียบโดยการส่งสัญญาณแจ้งเตือนผ่านคลื่นฉุกเฉิน (On Guard) พร้อมสั่งการให้ F-16 จำนวน 2 ลำจากกองบิน 4 ตาคลี ขึ้นบินสกัดและแสดงศักยภาพเชิงป้องปรามทันที

ต่อมาเวลา 12.48 น. เครื่องบิน K-8 ดังกล่าวได้เปลี่ยนทิศออกจากเขตแดนไทย โดยไม่มีพฤติกรรมล้ำอธิปไตยหรือคุกคามความมั่นคงแต่อย่างใด พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยเพิ่มเติมเมื่อเวลา 13.30 น. ว่าการปฏิบัติครั้งนี้เป็นไปตามแผนการเฝ้าระวังน่านฟ้าอย่างเข้มงวด ซึ่งกองทัพอากาศย้ำว่าความมั่นคงทางอากาศเป็นภารกิจหลักที่ดำเนินการต่อเนื่อง

ทั้งนี้ K-8 หรือ 'คาราโครัม-8' เป็นเครื่องบินฝึกไอพ่นขั้นสูงและโจมตีเบา ผลิตร่วมโดยจีนและปากีสถาน ซึ่งกองทัพอากาศไทยยังคงจับตาพฤติกรรมของอากาศยานทุกประเภทที่เข้าใกล้ชายแดน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่ประชาชน

นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ตอบโจทย์เกษตรกรรมอัจฉริยะ

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน "Green Tech" หรือ "เทคโนโลยีสีเขียว" เป็นแนวคิดที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานสะอาด การลดมลพิษ หรือการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งเสริมเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาว

โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน การลดของเสีย และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร แนวคิดนี้ครอบคลุมไปถึงหลากหลายสาขา เช่น พลังงานหมุนเวียน ระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีการรีไซเคิล และเกษตรกรรมอัจฉริยะ เป็นต้น ซึ่งแนวปฏิบัติเหล่านี้สามารถบริหารจัดการได้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ผ่านมา ทางกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) ได้ให้การสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในการส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว (Green Tech) เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมการใช้ พลังงานสะอาด เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน, ส่งเสริมพลังงานทดแทน ด้วย เทคโนโลยีแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวลสามารถใช้แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ ลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งที่ไม่ยั่งยืน รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2566 ทางกองทุนดีอี ได้มุ่งเน้นส่งเสริมเทคโนโลยี Green Tech อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมเกษตรกรรมอัจฉริยะ (Smart Farming) ทั้งการใช้เทคโนโลยี IoT และ AI เพื่อลดการใช้สารเคมีและเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืน โดยได้ให้ทุนสนับสนุนกับ กรมประมง เพื่อดำเนินโครงการ “ระบบดิจิทัลต้นแบบการตรวจ วินิจฉัยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรค ของสัตว์น้ำระยะไกล (Telemedicine for Aquaculture Animal Health)” ด้วยการนำเทคโนโลยี AI Visual Inspection มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคของสัตว์น้ำโดยการใช้ภาพถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหว (VDO) จากโทรศัพท์มือถือหรือ Tablet ในการจับภาพสัตว์น้ำที่มีความผิดปกติและส่งภาพถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหว (VDO) นั้น ๆ ผ่าน Web Application ของระบบ" ไปยังกรมประมงที่มีระบบ AI ที่ผ่านกระบวนการนำข้อมูล Training set สอนให้กับคอมพิวเตอร์แล้วได้ Model (AI Model) เอาไว้อย่างแม่นยำเพื่อให้สามารถตรวจสอบคัดกรองโรคของสัตว์น้ำเบื้องต้น ซึ่งกระบวนการทั้งหมดสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากรในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน ยังทำให้สามารถวิเคราะห์และคัดกรองได้ทันทีว่าภาพของสัตว์น้ำแต่ละภาพที่ส่งมานั้นเข้าข่ายการวินิจฉัยเบื้องต้น ว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคใด ประกอบกับมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลประกอบต่าง ๆ เช่น 1)
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 2) ประวัติข้อมูลการเลี้ยง 3) ผลการตรวจร่างกาย 4) ผลการตรวจสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาช่วยให้สัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถวิเคราะห์และคัดกรองโรคเหล่านั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าโรคของสัตว์นั้นจะเกิดจากปัจจัยแวดล้อมแบบใดและปัญหาอยู่ที่ส่วนใด และเมื่อได้รับข้อมูลที่วิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มจะเป็นโรคประเภทใดแล้วเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงก็จะสามารถทราบได้ถึงการวินิจฉัยเบื้องต้นของสัตว์น้ำชนิดนั้น ๆ พร้อมกับคำแนะนำเบื้องต้นของการเริ่มต้นรักษาและแก้ไข ดังนั้น เกษตรกรสามารถพิจารณาจากคำแนะนำเบื้องต้นและทำการตัดสินใจดำเนินการต่าง ๆ ได้ในภายหลัง

อย่างไรก็ดี โครงการนี้เป็นเพียงหนึ่งแนวทางในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ช่วยลดการสูญเสียสัตว์น้ำ พร้อมทั้งเพิ่มผลผลิต และยังได้ช่วยในมิติด้านแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคตได้อีกด้วย

ILINK โชว์ศักยภาพทางธุรกิจไตรมาสแรกปี 68 เปิดรายได้รวม 1,775 ลบ. กำไรสุทธิ 111 ลบ.

ILINK โชว์ศักยภาพชัด ไตรมาสแรกปี 68 รับรายได้รวม 1,775.40 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 111.13 ล้านบาท เดินหน้าสู่เป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง วางเป้ารายได้ทั้งปี 7.12 พันล้านบาท

ILINK เปิดงบผลประกอบการรวมในไตรมาสแรกปี 68 มีรายได้ 1,775.40 ล้านบาท ด้วยกำไรสุทธิรวม 111.13 ล้านบาท มั่นใจรายได้โตต่อเนื่องแบบมีคุณภาพ เน้นย้ำภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ 7.12 พันล้านบาท เนื่องจากได้แรงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของตลาด ผ่านการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่มาช่วยเสริมศักยภาพ ซึ่งยังคงรักษาความแข็งแกร่ง และเติบโตได้อย่างมั่นคง ทั้งด้านรายได้ และกำไรสุทธิแน่นอน แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกรับปี 2568 ด้วยยอดรายได้รวมทั้ง 3 ธุรกิจ อยู่ที่ 1,775.40 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 111.13 ล้านบาท ถึงแม้รายได้รวมในไตรมาสแรกนี้ลดลง แต่บริษัทฯ ยังคงยืนยันถึงเป้าหมายรายได้ตลอดทั้งปี 2568 ไว้ที่ 7,120 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ภายใต้กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรด้วย เทคโนโลยี นวัตกรรม และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ทั้งในด้านดิจิทัล เครือข่ายคมนาคม และระบบสื่อสาร ซึ่งล้วนเป็นกลไกหลักในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ ILINK และยังเป็นการสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการของกลุ่มบริษัทฯ ความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาด และความท้าทายทางเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งเน้นการขยายตัวเชิงคุณภาพ ไม่เพียงแต่สร้างผลกำไรในอนาคตให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืนเพียงเท่านั้น 

นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของ 3 ธุรกิจหลักในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) และธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center) ในไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทฯ ทำรายได้รวมในปี 2568 นี้เป็นไปตามที่คาดการณ์ และมีกำไรสุทธิที่หักค่าใช้จ่ายแล้วเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรลดลง 55.99% แต่ยังคงรักษามาตรฐานอัตราการเติบโต มั่นใจพร้อมเดินหน้ารุกสร้างโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตต่อไป เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม อีกทั้งยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นในฐานะเป็นผู้นำธุรกิจเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานของไทย พร้อมยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ตามการวางกลยุทธ์แบบมีคุณภาพ ‘Quality Growth’ เพื่อก้าวสู่อนาคตที่มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว”

สำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) เป็นธุรกิจหลักที่เติบโตเคียงคู่บริษัทฯ ร่วมกว่า 38 ปี มีผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 สร้างรายได้รวมไว้ที่ 832.80 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อย 3.81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรรวม 84.73 ล้านบาท หรือ ลดลง 6.58% แต่ยังคงมีการวางเป้ากลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจ และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปีนี้ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาธุรกิจสายสัญญาณอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะการเป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายสายสัญญาณภายใต้แบรนด์ LINK ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และถูกนำไปใช้งานในระบบโครงข่ายของทั้งภาครัฐ และเอกชนทั่วประเทศ รวมถึงโครงการขนาดใหญ่หลายแห่งที่การันตีคุณภาพ จากผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่แห่งปี 2568 ภายใต้แนวคิด 'New Innovation Products Launch 2024 – Expanding the Products Line 2025' เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักสินค้าในวงกว้างมากขึ้น ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด และการเติบโต สู่การทำรายได้ในไตรมาสต่อไปที่เพิ่มขึ้น และกอบโกยกำไรต่อในระยะยาวได้อย่างเพิ่มพูน

ขณะที่กลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) อยู่ในเครือที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านงานวิศวกรรมโครงการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นรับงานโครงการภาครัฐที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง และการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์ของภาครัฐในปี 2568 จะส่งผลให้การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่บางส่วนล่าช้า กลุ่มธุรกิจนี้ยังสามารถสร้างรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2568 ได้ที่ 136.57 ล้านบาท ขาดทุน 4.22 ล้านบาท ถึงแม้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  

แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการรักษาฐานรายได้ ที่ได้มีโครงการส่งมอบงานไปแล้ว 2 โครงการ (งานจ้างก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี ไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี (Submarine Cable) และงานก่อสร้างปรับปรุงสถานีไฟฟ้านนทรี จังหวัดปราจีนบุรี (Substation)) จากการดำเนินงานภายใต้โครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และจากผลงานตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ตัวเลขในไตรมาสแรกจะสะท้อนผลกระทบจากจังหวะการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ แต่กลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการนี้ ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพ ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และประสบการณ์ในโครงการระดับประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวอย่างมีคุณภาพ

ส่วนกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ที่มีความเสถียรภาพสูงสุดทั่วประเทศไทย หรือ ITEL เปิดงบรายได้ในไตรมาส 1/68 มีรายได้รวม 806 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 30.62 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 62.61 เมื่อเทียบกับกำไรที่ไม่รวมกำไรจากการซื้อธุรกิจในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้บางส่วนถูกเลื่อนไปในไตรมาสถัดไป จากปัจจัยด้านระยะเวลาในการอนุมัติโครงการบางส่วนที่ล่าช้ากว่ากำหนด

แม้ว่าทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกจะไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่บริษัทฯ ได้ดำเนินการติดตามอย่างใกล้ชิด และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสถัดไปจะมีทิศทางที่ดีขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อล่าสุด บริษัทฯ ได้ประกาศความร่วมมือกับ สทป. จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ‘NDC’ เพื่อให้บริการที่ครอบคลุมทั้งด้านระบบความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) โซลูชันดิจิทัล (Digital Solutions) และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัย ความร่วมมือดังกล่าวนับเป็นการผสานจุดแข็งที่ลงตัว ระหว่างความเชี่ยวชาญด้านโครงข่ายโทรคมนาคมของ ITEL กับองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศของ สทป. ซึ่งไม่เพียงสะท้อนวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศอีกด้วย

เปิดรายชื่อ 17 ผู้ต้องหา คดีตึก สตง. ถล่ม ‘เปรมชัย’ พร้อมทีมวิศวกรเข้ามอบตัวแล้ว

(16 พ.ค. 68) จากกรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ล่าสุดตำรวจนครบาลออกหมายจับผู้ต้องหา 17 ราย ในคดีอาญาที่ 621/2568 สน.บางซื่อ ฐานเป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเหมาะสม จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายถึงชีวิต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 และ 238

รายชื่อผู้ต้องหา 17 คน ประกอบด้วย 1.นายสุชาติ อายุ 64 ปี  2.นายพิมล อายุ 85 ปี 3.นายธีระ อายุ 59 ปี 4.นายสุพล อายุ 51 ปี 5.นายชัยณรงค์ อายุ 43 ปี 6.นายอภิชาติ อายุ 38 ปี 7.นายปฏิวัติ อายุ 53 ปี 8.นายกฤตภัฏ อายุ 51 ปี 9.นายพลเดช อายุ 56 ปี 10.นางปราณีต อายุ 63 ปี 11.นายสมชาย อายุ 59 ปี 12.นายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 71 ปี 13.นางนิจพร อายุ 73 ปี 14.นายชวนหลิง จาง อายุ 42 ปี (ชาวจีน) 15.นายเกรียงศักดิ์ อายุ 65 ปี 16.นายอนุวัฒ อายุ 54 ปี และ 17.นายธิปัตย์ อายุ 43 ปี

ล่าสุดเช้าวันนี้ (16 พ.ค.) นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมทนายความได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ตามด้วยผู้ต้องหารายอื่น เช่น นายเกรียงศักดิ์ และนายพิมล รวมกว่า 10 รายที่ทยอยเข้าพบตำรวจตามหมายจับ

เบื้องต้น พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสอบสวนปากคำผู้ต้องหา และคาดว่าจะนำตัวทั้งหมดส่งฟ้องต่อศาลอาญาในช่วงบ่ายวันนี้ตามขั้นตอนกฎหมาย

Digital for All – เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อโอกาสที่เท่าเทียม ยกระดับบริการภาครัฐสะดวกรวดเร็วลดเหลื่อมล้ำเข้าถึงได้ทุกที่

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติของชีวิต เทคโนโลยีไม่เพียงแต่ช่วยให้การสื่อสารรวดเร็วขึ้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมในสังคม แนวคิด 'Digital for All' หรือ 'เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อโอกาสที่เท่าเทียม' จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของภาครัฐและเอกชนทั่วโลก เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเสมอภาค ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สุขภาพ หรือภาคสังคม

โดยส่งเสริมให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างทางดิจิทัล (Digital Divide) และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือหลัก

ขณะที่กลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมด้านดิจิทัลในประเทศไทย คือ 'กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม' (กองทุนดีอี) ที่ขับเคลื่อนผ่านการให้ทุนพัฒนาโครงการต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อสังคมและประชาชน อาทิ การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา - เทคโนโลยีช่วยให้การศึกษาออนไลน์สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ ทำให้เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกับเด็กในเมือง, ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล - การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถทำธุรกิจผ่านช่องทางดิจิทัล เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และแข่งขันในตลาด, พัฒนาการให้บริการทางสาธารณสุข - ระบบสาธารณสุขดิจิทัลช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ผ่าน Telemedicine ลดภาระของโรงพยาบาลและช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างทักษะดิจิทัล – การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลช่วยให้แรงงานมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอนาคต

ทั้งนี้ หนึ่งในโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนดีอี ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่เป็นตัวอย่างของการตอบโจทย์การให้บริการประชาชนให้ได้รับความสะดวกรวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ นั่นก็คือ “โครงการพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อบริการประชาชนสำหรับบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Green Intelligence Digital Services)” ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานปลัดกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

โดยโครงการดังกล่าว เป็นการพัฒนาระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล (Smart E-Service) ให้บริการกับประชาชนเรื่องบริหารงานใบอนุญาตประสานการขออนุญาตรับเรื่องร้องเรียนชำระค่าธรรมเนียมส่งเสริมเผยแพร่รวมถึงสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับผู้นำชมชุมชนให้มีความทันสมัยมีประสิทธิภาพเหมาะสมกับนโยบายและภารกิจในปัจจุบันและอนาคต

โดยทำการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของระบบงานต่างๆ ตั้งแต่กระบวนการลงทะเบียนและพิสูจน์ตัวตนทางดิจิทัล (Enrolment and Identity Proofing) การยืนยันตัวตน (Authentication) การเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ (Government Data Exchange) เอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document) การลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) การประทับรับรองเวลาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Timestamping) ผ่านการให้บริการประชาชนด้วยดิจิทัลแบบ One-Stop Service เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการบริการยิ่งดีขึ้น        

และแน่นอนว่า โครงการนี้เมื่อพัฒนาเสร็จสมบูรณ์จะช่วยให้การบริการประชาชนมีความสะดวกรวดเร็ว พร้อมทั้งสามารถเพิ่มโอกาสในการใช้บริการด้านดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม 

กองทุนดีอีพร้อมเดินหน้าภารกิจสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศไทยในอนาคต

อาคารเพิ่งสร้างเสร็จ 2 ปี ถล่ม! ที่นิคมอมตะซิตี้ เร่งพิสูจน์สาเหตุ…หลังมีคนเจ็บ 1 รถพังเสียหายอื้อ

(16 พ.ค. 68) เมื่อเวลา 12.00 น. เกิดเหตุอาคารภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ต.พานทอง อ.พานทอง จ.ชลบุรี พังถล่ม ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย และรถยนต์เสียหายจำนวน 24 คัน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พานทอง พร้อมนายอำเภอและฝ่ายความมั่นคงอยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ

ทราบชื่อผู้บาดเจ็บคือ น.ส.กนกพรรณ (สงวนนามสกุล) เบื้องต้นพบว่าอาคารดังกล่าวเป็นของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จมานานกว่า 2 ปี พนักงานให้ข้อมูลว่าไม่ทราบสาเหตุของการถล่ม เพียงเห็นว่าเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินมูลค่าความเสียหาย และรอผลตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เพื่อสรุปสาเหตุที่แท้จริงของการถล่มในครั้งนี้ต่อไป

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2568

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล
✨ประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2568

🟢รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท : 251309

🔴รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท : 251308, 251310

🔴รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท :  109 231

🔴รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท : 965 631

🔴รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท :87


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top