Wednesday, 11 June 2025
Hard News Team

‘BIG CAMERA’ เปิดตัว ‘LEICA Q3 43’ กล้องหน้าชัดหลังละลาย ภาพสวยไร้การปรุงแต่งด้วยเลนส์ใหม่ใกล้เคียงสายตามนุษย์

(7 ต.ค. 67) "BIG CAMERA Leica Authorized Dealer" ร่วมกับ "Leica Camera Asia Pacific" จัดงานเปิดตัวกล้องคอมแพคฟูลเฟรมระดับไฮเอนด์ “LEICA Q3 43” ที่เกิดมาเพื่อมอบแก่นแท้ของการถ่ายภาพที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่ง ด้วยเลนส์ตัวใหม่ใกล้เคียงสายตามนุษย์มากที่สุด สอดผสานเข้ากับเทคโนโลยีของกล้องแห่งศตวรรษที่ 21 มาพร้อมงานดีไซน์ตัวบอร์ดี้ที่คงอัตลักษณ์แห่งไลก้า โดดเด่นอยู่เหนือกาลเวลา สง่างาม เรียบหรู พร้อมเปิดให้เหล่าไลก้าเลิฟเวอร์ได้เก็บเข้าคอลเลกชันแล้วตั้งแต่วันนี้เฉพาะที่ บิ๊ก คาเมร่า เท่านั้น ราคาเริ่มต้น 264,000 บาท

กิจกรรมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก มร. ไบรอัน โก๊ะ ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาค บริษัท ไลก้า คาเมร่า เอเชียแปซิฟิก และ มร. เคซี อิง แบร์นแอมบาสเดอร์ และ ไลก้า อคาเดมี่ ประเทศสิงคโปร์มาร่วมแนะนำ “LEICA Q3 43” โดยมี นายธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ,นายชิตชัย เธียรกาญจนวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยช่างภาพท็อปคลาสของเมืองไทย จอร์จ-ธาดา วารีช, โอ๊ต-ชัยสิทธิ์ จุนเจือดี และนักแสดงชื่อดัง สเตฟาน-ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์, ฌอห์ณ จินดาโชติ รวมทั้งช่างภาพอินฟูเอ็นเซอร์จากเพจดัง อาทิ Seventeenfiftyseven, Rockhhound, Pakornograpx และ Bzsranuwat เข้าร่วมงานและร่วมเวิร์คชอปถ่ายภาพครั้งแรกกับกล้อง LEICA Q3 43 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ เดอะเฮาส์ ออน สาทร

กล้อง LEICA Q3 43 คอมแพคฟูลเฟรมระดับไฮเอนด์ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Moment, Just as Your Eye Sees ด้วยการแลกเปลี่ยนแนวคิดกับช่างภาพทั่วโลก พร้อมการพัฒนากลายเป็นกล้องที่เกิดมาเพื่อมอบความลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของการถ่ายภาพที่ไร้ซึ่งสิ่งปรุงแต่ง ตัวบอร์ดี้เน้นงานดีไซน์ที่คงอัตลักษณ์ Leica DNA มาอย่างหมดจด โดดเด่นอยู่เหนือกาลเวลา สง่างาม เรียบหรู สะท้อนความเป็น Iconic แห่งรสนิยม ที่สอดผสานเทคโนโลยีของกล้องแห่งศตวรรษที่ 21 มาพร้อมเลนส์ APO-Summicron 43 f2 ASPH เลนส์ Leica APO ในระยะใช้งานที่ไม่เคยมีมาก่อน ให้มุมมองใกล้เคียงสายตามนุษย์มากยิ่งขึ้น ผสานคุณสมบัติของเลนส์ไวแสง ให้ความคมชัดและความละเอียด 60 ล้านพิกเซล พร้อมไฟล์ภาพแบบ 3D Pop พื้นหลังละลายและเอกลักษณ์ Bokeh ที่สวยงาม

สำหรับผู้ที่สนใจ LEICA Q3 43 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ BIG Camera Leica Authorized Dealer ร้าน Exclusif by BIG Camera ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, ดิ เอ็มควอเทียร์, เซ็นทรัลลาดพร้าว, ไอคอนสยาม, แฟชั่น ไอซ์แลนด์ และ เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ หรือติดตามความเคลื่อนไหวอื่นๆ ได้ที่ https://www.bigcamera.co.th

นายกฯอิ๊ง จรดปากกาเซ็นตั้ง 2 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม เซอร์ไพรส์ ชื่อ ‘ณัฐวุฒิ’ โผล่นั่งตำแหน่ง หลังเคยประกาศวางมือ

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 348/2567 ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม โดยมีเนื้อหาระบุว่า

ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 319/2567 เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 นั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่างๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ดังนี้

1. นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส
2. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยประกาศยุติบทบาททางการเมือง โดยขอลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย หลังเชิญพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะ ผู้ขับขี่รถใช้ก๊าซ ต้องเช็กสถาพถังและระบบก๊าซอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัย

(7 ต.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เกิดอุบัติเหตุก๊าซรั่ว นำมาซึ่งความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการติดตั้งถังก๊าซไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และการไม่ดูแลบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนกรณีดังกล่าว จึงได้มีการบูรณาการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ป้องกันแก้ไขปัญหาในทุกมิติ 

ในส่วนของผู้ใช้รถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแนะนำให้ตรวจสอบสภาพถังและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามวงรอบอยู่เสมอ ได้แก่

1. ตรวจสอบสภาพถังก๊าซ - โดยจะต้องไม่มีรอยขีดข่วนลึก หรือเป็นสนิม, ถังก๊าซต้องติดแน่นกับตัวรถขยับไม่ได้ และยางรองต่าง ๆ ต้องไม่เสื่อมสภาพ เพราะอาจทำให้เกิดการฉีกขาดของท่อก๊าซได้
2. ตรวจสอบอุปกรณ์ระบบก๊าซ - ได้แก่ หม้อต้มก๊าซ หัวฉีด จะต้องไม่รั่ว หรือชำรุด โดยตรวจสอบด้วยสายตา ไล่ไปตามท่อก๊าซ เริ่มจากถังก๊าซไปหม้อลดแรงดันก๊าซ ต่อไปยังกรองแห้งก๊าซ หัวฉีดก๊าซ ท่อยางหัวฉีดก๊าซ จนไปถึงท่อไอดี 
3. ตรวจสอบท่อก๊าซ - หากเป็นท่อยางต้องไม่มีรอยแตก ร้าว แข็ง กรอบ โดยท่อยางปกติจะนิ่ม สามารถจับกดบีบได้ หากท่อยางแข็งตัวแสดงว่าท่อยางดังกล่าวหมดสภาพ หากเป็นท่อโลหะ จะต้องไม่มีรอยแตกร้าว หรือเป็นสนิม, ไม่มีรอยบุบหรือบิดเบี้ยว

ทั้งนี้ การตรวจสอบก๊าซรั่วสามารถใช้น้ำสบู่หยอดตามจุดเชื่อมต่อท่อในแต่ละอุปกรณ์เพื่อดูการรั่วซึมของก๊าซได้ ถ้าก๊าซรั่วซึมจะมีฟองออกมาให้เห็น ถึงแม้รั่วเพียงเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นได้ และถ้าไม่มั่นใจเกี่ยวกับการรั่วของก๊าซ ผู้ขับขี่ควรนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบโดยเร็วเพื่อความปลอดภัย และผู้ขับขี่ควรดูแลบำรุงรักษาตามระยะสม่ำเสมอ

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการแจ้งเบาะแส หรือความช่วยเหลือ สามารถโทรศัพท์ไปได้ที่ สายด่วน 191, สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1559 , สายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 และสายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘รัฐมนตรี’ เฉลิมชัยลุยแก้โลกเดือด ชูแนวทาง “เร่งเปลี่ยนผ่าน สานพลังภาคี สู่สังคมที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ” ยืนยันไทยพร้อมรายงานไทยแลนด์ไครเมท

(7 ต.ค. 67) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าววันนี้ ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2065 พร้อมการบรรลุเป้าหมายถึงการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ให้ได้ร้อยละ 40 จากกรณีปกติ ภายในปี ค.ศ. 2030 จึงต้องอาศัยทั้งกลไกการดำเนินงานภายในประเทศ เทคโนโลยี การเงิน ตลอดจนกลไกสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและบูรณาการ โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้วางแนวทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และบูรณาการแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติเข้าสู่ระดับพื้นที่ อีกทั้งได้ริเริ่มให้จังหวัดจัดทำบัญชีการปล่อยและการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของจังหวัด ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่ และจัดตั้งศูนย์ประสานงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพระดับจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นแกนกลางในการสื่อสาร สร้างความเข้าใจและความตระหนักให้กับทุกภาคส่วน

ดร.เฉลิมชัยกล่าวต่อไปว่า “ในการประชุม TCAC 2024 ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงทิศทางและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการเตรียมการตั้งรับ ปรับตัว การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตั้งแต่ระดับนโยบาย สู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ การยกระดับการเตือนภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง รวมไปถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ อีกทั้งยังเป็นเวทีสะท้อนให้กับเครือข่ายประชาสังคม และเยาวชน รวมถึงมีการแสดงนิทรรศการให้ความรู้ ทั้งการดำเนินนโยบายของรัฐ เทคโนโลยี และงานวิจัย เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกการเงิน โครงการความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคี และที่สำคัญนิทรรศการโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา

ซึ่งหลังจากการประชุม ประเทศไทยจะนำผลลัพธ์ของการประชุม TCAC 2024 ไปประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 หรือ COP 29 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ “เรามุ่งมั่นที่จะรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส หากสถานการณ์ที่อุณหภูมิโลกยังสูงขึ้นต่อเนื่อง จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโลก รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งการเปลี่ยนผ่าน หรือ Transition จำเป็นต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันออกไป และมีการบูรณาการดำเนินงานในหลากหลายมิติ เช่น การศึกษาพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน การเสริมสร้างองค์ความรู้และศักยภาพของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มีความพร้อม รวมไปถึงภาคการเงิน การลงทุนที่นำไปสู่กิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่มีความยั่งยืน การประชุม TCAC 2024 นี้ จะเป็นการจุดประกาย และส่งต่อเจตนารมณ์ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะผลักดันประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย และรักษาโลกใบนี้ไว้ให้กับอนุชนรุ่นต่อไป“

ทั้งนี้ดร.เฉลิมชัยกล่าวถ้อยแถลงข้างต้นในระหว่างเป็นประธานเปิดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 3 หรือ Thailand Climate Action Conference : TCAC 2024 ภายใต้แนวคิด “เร่งเปลี่ยนผ่าน สานพลังภาคี สู่สังคมที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ Accelerating the Climate Transition” โดยมีคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เอกอัครราชทูต องค์กรระหว่างประเทศ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมการประชุม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงาน Sustainability Expo (SX)

‘เจือ ราชสีห์’ ชี้!! ป่าไม้ถูกทำลาย สาเหตุหลักน้ำท่วมภาคเหนือ ฝาก ‘รัฐบาล‘ เร่งปลูกป่าอย่างจริงจัง ป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก

(7 ต.ค. 67) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยกรณีอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ ว่า

มหันตภัย น้ำท่วมใหญ่ภาคเหนือ ภาพสะท้อนความไม่สมบูรณ์ของผืนป่า ผมขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล “อย่ามัวแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” จนหลงลืมว่าปัจจัยสำคัญของมหันตภัยน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ คือ ป่าไม้ถูกทำลาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ปัญหา 

ถึงเวลาที่ “นายกรัฐมนตรี” ต้องขับเคลื่อนการเพิ่มพื้นที่ป่า ปลูกต้นไม้เพิ่มอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้

“ผมอยากให้รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี “ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุตั้งแต่วันนี้ ต้องช่วยกันปลูกต้นไม้เพิ่ม” ซึ่งก็ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมาย ในทางกลับกันถ้าไม่ทำ ปีหน้าหรือปีต่อๆไปน้ำก็ท่วมในลักษณะนี้อีก ต้องสูญเสียชีวิตพี่น้องประชาชน บ้านเรือน ถนนหนทางเสียหาย ต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการฟื้นฟูและช่วยเหลือ“

‘อัครเดช’ ออกลูกอ้อน ครม.-แบงก์ชาติ เร่งหารือสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หลังกระทบอุตสาหกรรมส่งออก หวั่นทำลายขีดความสามารถในการแข่งขัน

‘อัครเดช’ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เสนอรัฐบาล-แบงก์ชาติ เร่งออกมาตรการสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หวั่นหากทิ้งไว้เรื้อรังทำเศรษฐกิจชะลอตัว ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมส่งออกถดถอยส่งผลกระทบทางลบเศรษฐกิจหลายมิติ

(7 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎรได้แสดงถึงความห่วงใยต่ออุตสาหกรรมส่งออกจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่า ว่า 

จากที่ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลบาทไทยกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 33.33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเคยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32.15 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา จากที่เคยอ่อนค่าที่สุดในช่วงเดือนเมษายน 2567 ที่อัตราแลกเปลี่ยน 37.17 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ 

การแข็งค่าของค่าเงินบาทเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากภายในระยะเวลาประมาณ 5 เดือนเท่านั้น และจากอัตราค่าเงินบาทแข็งค่านี้ตนได้รับทราบความเดือดร้อนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมส่งออก เนื่องจากด้วยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้การแลกเงินที่ได้รับจากการส่งออกกลับเป็นเงินบาทแลกได้น้อยลง 

ยกตัวอย่าง จากแต่เดิมส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง 1 กระป๋องราคา 100 ดอลลาร์ เมื่อค่าเงินบาทอ่อนที่สุดสามารถแลกเป็นเงินบาทได้ 3,717 บาท แต่เมื่อเงินบาทแข็งค่าที่สุดจะสามารถแลกเป็นเงินบาทได้เพียง 3,215 บาทเท่านั้น 

การที่รายได้ของผู้ประกอบการที่ลดน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบในอุตสาหกรรมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพการแข่งขันที่ลดลงส่งผลการชะลอตัวของการจ้างงานในอุตสาหกรรม, การลดการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการตัดลดงบพัฒนาและวิจัย(R&D)ในอุตสาหกรรมลง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในอนาคตลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และจากการที่การส่งออกเป็นหนึ่งใน 4 เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทย การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเช่นนี้ย่อมทำให้เครื่องยนต์ส่งออกอ่อนกำลังลงอย่างชัดเจนส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงโดยเฉพาะการจ้างงานที่ลดลงจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อนอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมส่งออกอีกด้วย

ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมจึงขอส่งเสียงไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน ให้พิจารณาทบทวนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่เหมาะสมทั้งต่อเสถียรภาพทางเงินของประเทศ และลดผลเสียที่จะเกิดต่อระบบเศรษฐกิจไทย 

รวมถึงรัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายทางการคลังของประเทศต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อประคับประคองอุตสาหกรรมส่งออก ให้สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลได้ต่อไป และที่ดีที่สุดทั้งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องเร่งหารือเพื่อหาทางออกของปัญหาค่าเงินแข็งตัวโดยเร็ว

‘พิชัย’ ต่อยอดการลงทุน Google เร่งเจรจาดันไทยเป็นศูนย์กลาง Data Center ของภูมิภาคอาเซียน

(7 ต.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมงาน Business Forum ของการประชุม ACD Summit ครั้งที่ 3 (3rd Asia Cooperation Dialogue Summit) ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ว่า ตามที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปดำเนินการเรื่องความมั่นคงทางอาหารให้กับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางแล้ว นายกฯ ยังได้มอบหมายให้ตนดำเนินการเรื่องความปลอดภัยในข้อมูลด้วย โดยจะเสนอให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของ Data Center ให้กับประเทศต่างๆ โดยใช้จุดเด่นที่ประเทศไทยเป็นมิตรกับทุกประเทศ ทำให้ข้อมูลที่จัดเก็บใน Data Center ในประเทศไทยจึงจะมีความปลอดภัย และยังสามารถพัฒนาเรื่อง AI ต่อเนื่องได้ด้วย ดังนี้ตนจึงได้ใช้โอกาสดังกล่าวพูดคุยหารือกับรัฐมนตรีและผู้แทนของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงศักยภาพด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี AI ของไทย ที่บริษัทชั้นนำจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ Amazon, Microsoft และล่าสุด Google ได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนสร้างที่เก็บข้อมูลในไทย เนื่องจากจุดแข็งของไทย อาทิ ที่ตั้งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค มีความมั่นคงปลอดภัย ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติต่ำ โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง ประชาชนจำนวนมากเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและมีความเข้าใจในเทคโนโลยี และกฎระเบียบที่รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล จึงเป็นโอกาสดีในการพัฒนาศักยภาพและขยายการเจริญเติบโตของ ธุรกิจดิจิทัลและ AI ของไทย

นอกจากนี้ ตนได้ใช้โอกาสดังกล่าวเชิญชวนประเทศที่ตนได้ไปพบ เช่น โอมาน และ UAE เข้ามาสร้างที่เก็บข้อมูลกับ Data Center ในไทย โดยไทยมีข้อได้เปรียบด้านความมั่นคงปลอดภัย และกฎระเบียบที่นำหน้าในมาตรฐานสากล ตามรายงานล่าสุดของ สมาคมจีเอสเอ็ม (GSMA) อีกทั้งประเทศไทยยังมีจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน Data Center และด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ไทยมีกฎหมายมาตรฐานสูงอย่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และกฎหมายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Act) 

โดยตนสังเกตเห็นว่า ประเทศสมาชิก ACD ที่ตนได้หารือก็แสดงท่าทีในเชิงบวก พร้อมทั้งชื่นชมไทยที่มีพัฒนาการด้านเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ตนจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์ข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน และจะผลักดันประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในการประชุม ASEAN Summit ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงเวียงจันทน์ในสัปดาห์หน้า

ข้อมูลจาก บีโอไอ (BOI) ระบุว่า ปัจจุบันมีโครงการ Data Center และ Cloud Service ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในไทย รวมกว่า 46 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 167,989 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี และระยอง จะเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศต่อไป

‘อลงกรณ์’ - เอฟเคไอไอ “ผนึก3ภาคีเอ็มโอยู.ส่งเสริมเศรษฐกิจไทยจับคู่ธุรกิจระลอกแรก28บริษัทจีนฉลองสัมพันธ์50ปีไทย-จีน

(7 ต.ค. 67) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ (FKII Thailand)  รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ปชป.และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา”บริบทใหม่หุ้นส่วน ไทย-จีน: โอกาสใหม่ของธุรกิจและการลงทุน”(FKII Global Business Forum “New Paradigm of Thailand - China Partnership: Next Business & Investment Opportunity”)ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร

นายอลงกรณ์กล่าวว่าเนื่องในโอกาสที่ไทยและจีนจะครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ในปี พ.ศ.2568 จึงเป็นโอกาสอันดีในการขยายธุรกิจการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศมากยิ่งขึ้น วันนี้มีบริษัทชั้นนำของจีนชุดแรกจากเซิ่นเจิ้น กว่างโจวและจูไห่28 บริษัทในสาขาต่างๆเช่น กลุ่มพัฒน อสังหาริมทรัพย์ กลุ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอัจฉริยะและนวัตกรรมไฮเทค กลุ่มอุตสาหกรรมแอลอีดี. กลุ่มบ้าน-อาคาร-เมืองอัจฉริยะกลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเกษตรอะกรีเทค กลุ่มธุรกิจแพลตฟอร์มการเงินและพลังงาน กลุ่มไซเบอร์ซีเคียวริตี้และอื่นๆที่สนใจมาร่วมค้าร่วมธุรกิจร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยซึ่งเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจในวิกฤตต่างๆที่ประเทศไทยเผชิญ จีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของไทยและมีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องจึงเป็นฐานความมั่นคงหนึ่งที่สำคัญของไทยในการก้าวเดินไปข้างหน้าฝ่าปัญหาและอุปสรรคทั้งปัจจุบันและอนาคตไปด้วยกัน ทั้งนี้จะมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ สถาบันทิวาและบริษัทไวส์ยูของจีนเพื่อสร้างสะพานเชื่อมโยงโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีนอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยในช่วงสัมมนา ได้รับเกียรติจากนายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา ในการกล่าวต้อนรับและบรรยายพิเศษหัวข้อ “บริบทใหม่ธุรกิจและการลงทุนของไทยกับบทบาทของ FKII Thailand และสถาบันทิวา” การบรรยายหัวข้อ “หุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-จีน: ปัจจุบันและอนาคต (Thailand - China Economic Partnership: Present and Future) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน และการบรรยายหัวข้อ “โอกาสและศักยภาพการลงทุนในประเทศไทย” (Opportunities and Potential of Investment in Thailand) โดย นางสาวธนิตา ศิริทรัพย์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ทั้งนี้ได้มีการแนะนำคณะผู้ประกอบการจีนจำนวน 28 ราย ที่มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ โดย Mr. Phillip Lin CEO of WISEYOU จากนั้นมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์( FKII Thailand )โดย นายอลงกรณ์ พลบุตรกับสถาบันทิวา (TVA) โดย คุณชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวาและ WISE YOU CULTURAL MEDIA, Co., Ltd.จากประเทศจีน โดย Mr. Phillip Lin CEO of WISEYOU) และกล่าวปิดงาน” โดย ศาสตราจารย์ ดร.ฐาปนา บุญหล้า ที่ปรึกษา FKII Thailand จากนั้นมีกิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ(Namecard Exchange)ตามความสนใจของผู้เข้าร่วมงาน ที่สนใจเชื่อมโยงธุรกิจกับผู้ประกอบการจีนชั้นแนวหน้าของจีนในกลุ่ม อุตสาหกรรมซอฟแวร์และแฟลตฟอร์ม อุตสาหกรรมไฟส่องสว่าง  การทดสอบและรับรอง เทคโนโลยี่สมาร์ทซิตี้ ระบบอีคอมเมิร์ซอัจฉริยะ  ตลอดจนสินค้านวัตกรรมต่างๆ ติดตาม FKII Thailand https://shorturl.at/zZPtt https://lin.ee/BgPCPvd

#FKIIThailand #FKII #FKIIGlobalBusinessForum #China #Thailand #MOU #TVA #WISEYOU #สวนเสียงไผ่

‘สมศักดิ์’ สั่งการ ‘ผู้ตรวจ-สสจ.’ เขต1 ปูพรมทุกด้านเร่งช่วยเหลือประชาชนชาวเชียงใหม่เต็มที่บรรเทาวิดกฤตน้ำท่วม เผยคุณยายวัย 85 ป่วยโรคหัวใจรอดชีวิตได้รับการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลได้ทัน

เมื่อวันที่ (6 ต.ค. 67) นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง กล่าวว่าหลังจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้รับทราบการสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ ช่วยเหลือประชาชนและสัตว์เลี้ยงให้บรรเทาความเดือดร้อนนั้น นายสมศักดิ์ ได้สั่งการให้นพ. สราวุฒิ บุญสุข ผู้ตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 รับนโยบายไปดำเนินการในทันที

นางสาวตรีชฎากล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว อันเนื่องมาจากผู้ตรวจรชการเขตสุขภาพที่ 1 ได้สั่งการและติดตามงานอย่างใกล้ชิดในทุกด้าน ได้แก่ 1.ทำ area mapping 7 โซน ใน เชียงใหม่ อิงของ ปภ เป็นหลัก ตั้งหน่วยแพทย์ให้บริการในทุกพื้นที่ ให้เป็น 1 stop service 2.จัดหน่วยบริการฉุกเฉินเคลื่อนที่ ของเขตสุขภาพ (จากทุกจังหวัดในเขต) พร้อมสำรองลงปฏิบัติการในพื้นที่  3.ทบทวนวางแผน และกำหนดจุดลงปฏิบัติ ของหน่วยปฏิบัติการการแพทย์ ลงพื้นที่เสี่ยงแบบเชิงรุก และที่ศูนย์พักพิงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 4. ประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนระวังภัยจากไฟดูด วิธีปฏิบัติและป้องกันตัว ในพื้นที่เสี่ยงทุกแห่ง  5. เฝ้าระวังโรคที่มากับน้ำ เช่น อาหารเป็นพิษ โรคฉี่หนู ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ในกลุ่มเสีย่ง และ อาสาสมัคร
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ที่ อ. สันป่าตอง จากการจมน้ำ รวมเป็น 3 ราย สูญหาย 1 ราย บาดเจ็บเพิ่ม 10 ราย แบ่งเป็นเชียงใหม่ 1 ราย ลพบุรี 9 ราย รวมบาดเจ็บทั้งหมด 14 ราย เป็นบาดเจ็บเล็กน้อย สถานบริการ ที่ได้รับผลกระทบ 7 แห่ง2 สสอ.(ปิดบริการ) 8 ร.พ. สต.( ปิดบริการ6) ร.พ.4 แห่ง (ปิดบริการ3)ศูนย์พักพิง 42 แห่ง ที่ อ. เมือง และ แม่ริม หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 16 ทีมปฏิบัติงานในพื้นที่ ที่จังหวัดเชียงใหม่

นางสาวตรีชฎากล่าวว่า จากรายงานพบว่า ปริมาณน้ำยังคงสูงอยู่ พื้นที่ได้รับผลกระทบมากที่ อ. เมือง สันป่าตอง หางดง สารภี มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจาก ร.พ. เอกชน 7 ราย ย้ายกลุ่มเปราะบางออกพื้นที่ รวม 41 ราย  ล่าสุด ทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน ร.พ.นครพิงค์ ร่วมกับ กู้ภัยรวมใจ และ กองทัพบก ได้นำเรือท้องแบนและรถยกสูง ออกรับตัวคุณยายวัย 85ผู้ป่วยโรคหัวใจ มีอาการหายใจเหนื่อย ติดอยู่ในบ้านย่านสวนสุขภาพบ้านเด่น ต.วัดเกตุ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อาการป่วย ไม่ติดเตียง พอเดินได้ แต่ร่าง กายอ่อนแอ พักอาศัยอยู่ภายในบ้านคนเดียว น้ำท่วมสูง ญาติไม่สามารถเข้าไปรับตัวได้  นำคุณยายไปรักษาตัวที่ร.พ. ผู้ป่วย case evacuated จากโรงพยาบาลราชเวช drowning post arrest และ ผู้ป่วย Stroke fast track เคหะหนองหอยนำส่ง รักษาต่อที่ รพ.นครพิงค์

‘อนุทิน’ เปิดมหกรรมการประกวดอนุรักษ์พระบูชา-พระเครื่อง สถาบันพระปกเกล้า ชื่นชมกิจกรรมช่วยส่งเสริมภาคพลเมืองร่วมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทย

เมื่อวันที่ (6 ต.ค. 67) ที่อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ถนนแจ้งวัฒนะ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนนแจ้งวัฒนะ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิด “มหกรรมการประกวดการอนุรักษ์พระบูชา พระเครื่อง เครื่องรางของขลัง และเหรียญพระคณาจารย์ทั่วประเทศ” จัดโดยสถาบันพระปกเกล้า 

โดยมี นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ดร.ถวิลวดี บุรีกุล รองเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า นายณัฐพงศ์ รอดมี ผู้ช่วยเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า พลเอก นักรบ บุญบัวทอง ประธานดำเนินงาน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน พระปลัดสุรเชษฐ์ สุรเชฏฺโฐ เจ้าอาวาสวัดโตนด นายพิศาล เตชะวิภาค (ต้อย เมืองนนท์)อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารสมาคมพระเครื่อง พระบูชาไทย คณะนักศึกษา หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.) รุ่น 1-14 สถาบันพระปกเกล้า ตลอดจน แขกผู้มีเกียรติร่วมในงานอย่างคับคั่ง

นายอนุทิน กล่าวว่า สถาบันพระปกเกล้า ถือเป็นเสาหลักของภูมิปัญญาทางการเมืองของประเทศไทย เป็นเรื่องน่าชื่นชม ที่ทางสถาบันฯ ได้จัดกิจกรรม "มหกรรมการประกวดการอนุรักษ์พระบูชา พระเครื่อง" ขึ้น เพื่อหารายได้สนับสนุนโครงการส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง ในฐานะที่ตนเป็นนักการเมือง ทำงานการเมืองมาเกินครึ่งของชีวิตการทำงานแล้ว ก็ดีใจที่การเมืองภาคพลเมืองจะได้รับการสนับสนุน เพราะนั่นหมายถึง การมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพของประชาชนต่อไป อันจะนำมาซึ่งการพัฒนาทางการเมืองและการบริหารประเทศอย่างยั่งยืน

"การที่ทุกท่านมาร่วมงานมหกรรมประกวดพระเครื่องฯครั้งนี้ ขอยืนยันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เพราะไม่มีพระเครื่ององค์ใดที่เป็นแชมป์ตลอดไป แต่อยู่ที่ใจของเรา หากเราคิดว่าพระองค์ใด ถูกใจ หรือถูกโฉลกกับเรา พระองค์นั้นคือองค์ที่สวยที่สุด มีมูลค่ามากที่สุด หรืออาจจะประเมินค่าไม่ได้" รมว.มหาดไทย กล่าว

นายอนุทิน กล่าวเพิ่มว่า ขอให้ทุกคนใช้โอกาสนี้ในการชื่นชมพุทธศิลป์ ศิลปะของไทย ที่ล้วนแล้วแต่มีคุณค่า มีความเป็นสิริมงคล และได้ร่วมกันถ่ายทอดมรดกวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา อันเป็นที่พึ่งทางใจ 
การมีพระเครื่องอยู่ที่คอ อย่างน้อยจะทำให้เรายับยั้ง และมีจิตสำนึกที่ดี ในการจะทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยง หรือปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดี 

ด้าน พลเอกนักรบ บุญบัวทอง ประธานคณะกรรมการจัดงาน กล่าวว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งนี้ เพื่อนำรายได้สนับสนุน โครงการส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง ของสถาบันพระปกเกล้า เพื่อเป็นการสนับสนุนการอบรมให้ความรู้ประชาธิปไตย แก่ภาคพลเมืองเยาวชนทั่วประเทศ

สำหรับกิจกรรมประกวดอนุรักษ์พระบูชา พระเครื่องฯ ดำเนินการขึ้นระหว่าง วันที่ 5-6 ตุลาคม โดยมีรางวัลประเภทโต๊ะต่างๆ 78 รางวัล และมี รางวัลชนะเลิศ 3 รางวัล ได้แก่รางวัลชนะเลิศคะแนนรวมสูงสุด รางวัลชนะเลิศคะแนนรวมพระยอดนิยม และรางวัลชนะเลิศคะแนนรวมพระทั่วไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากพิธีเปิดงาน รมว.มหาดไทย นำคณะผู้จัดงาน เดินเยี่ยมชมบูธการจัดแสดงพระเครื่องพระบูชาที่มาจากทั่วประเทศ พร้อมเดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าตลาดนัดพระอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top