Thursday, 12 June 2025
Hard News Team

‘มาดามแป้ง’ ลั่นใส่เต็มร้อยเดินหน้าคว้าแชมป์ ‘คิงส์คัพ’ มั่นใจภาคใต้ใจรักฟุตบอล แห่เข้าชมล้นสนาม

(7 ต.ค. 67) ฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดใหญ่เดินทางมารายงานตัว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางไป จังหวัด สงขลา เพื่อทำการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 50 ระหว่างวันที่ 11-14 ตุลาคม 2567 

การรายงานตัวครั้งนี้นำโดย "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วย มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าผู้ฝึกสอน ทีมชาติไทย และนักเตะทั้ง 23 คนที่เดินทางมารายงานตัวโดยพร้อมเพรียง นำโดย ชนาธิป สรงกระสินธ์ กัปตันทีม

ก่อนการเดินทาง "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซํา นายกสมาคม กล่าวว่า "คิงส์ คัพ เมื่อสองครั้งที่ผ่านมาที่แป้งเป็นผู้จัดการทีม เราไปเล่นที่เชียงใหม่ เราพลาดแชมป์มา และเมื่อวันศุกร์ที่แป้งไลฟ์มีคำถามถามว่าเป็นอาถรรพ์หรือเปล่าเพราะคิงส์คัพไปเล่นต่างจังหวัดจะไม่ได้แชมป์ แต่ครั้งนี้แป้งคิดว่าภายใต้การนำทัพของมาซาทาดะ อิชิอิ และ ชนาธิป(สรงกระสินธ์) กัปตันทีม คงจะให้ความมั่นใจได้ว่าเราต้องการเป็นแชมป์ รวมถึงได้ไปเล่นที่ภาคใต้ซึ่งมีสถิติแฟนบอลเยอะด้วยก็คิดว่าจะเข้ามากันเต็มสนาม และปีนี้เป็นปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระชนมายุ 72 พรรษา ทำให้คิงส์คัพปีนี้มีความสำคัญยิ่งกว่าเดิม"

"กระแสแฟนบอลที่สงขลาถือว่าเยอะขึ้น มีแฟนบอลรอซื้อบัตรที่มีการเอาออกมาจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ วันที่ 14 เหลือบัตรอีกประมาณ 3,000 ใบ คาดว่าเมื่อนักเตะเดินทางไปถึงสงขลาและการเปิดให้แฟนบอลเข้าชมการฝึกซ้อมในวันที่ 7 และ วันที่ 8 ตุลาคม จะทำให้กระแสยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนมีแฟนบอลเข้ามาเต็มสนาม" 

เจ้าของเพจ SME ชื่อดัง ยกรถนักเรียนไทยของ ‘บัณฑูร ล่ำซำ’ เป็นโมเดล ชี้การรับส่งนักเรียนมีต้นทุนแฝงในวิถีชีวิตคนไทยสูง

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระ เจียรนัยพานิชย์ เจ้าของเพจ SME Networking Thailand ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

เวลาได้ยินข่าวเกี่ยวกับรถนักเรียนผมนึกถึง #โครงการรถนักเรียนไทย ของ คุณปั้น-บัณฑูร ล่ำซำ เสมอ

เมื่อก่อนทำงานที่ราษฎบูรณะ จะเห็นรถรับส่งนักเรียนสีเหลือง รูปทรงเท่ห์มากคล้ายกันกับรถนักเรียนในสหรัฐอเมริกา เวลาผมนั่งรถเมล์ไปทำงาน หรือวันไหนที่ไปใส่บาตร จะเห็นรถคันนี้ประจำ วิ่งรับส่งนักเรียนแถววัดสน กับ เส้นราษฎบูรณะ ส่งเสร็จแล้วก็จะมาจอดที่ ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ จอดหลังตึก 

เคยแอบไปมองดูข้างในรถ มีจอทีวี มีที่นั่งไม่เยอะมาก ตกแต่งข้างในกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กดี 

เคยถามประวัติรถคันนี้ เค้าบอกเป็นแนวคิดของคุณปั้น เห็นนักเรียนแถวนี้ต้องตากแดดตากฝนขึ้นรถเมล์ ค่าครองชีพก็สูงขึ้น เลยทำเป็นรถคันนี้ขึ้นมา มีสองสาย จำได้ว่า วัดสน อีกสายหนึ่งจำไม่ได้ บริหารโครงการนี้โดยมูลนิธิ ไม่ใช่ธนาคารทำเองโดยตรง ให้บริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย 

จะหาข่าวหรือหาข้อมูลโครงการนี้ก็มีไม่เยอะมาก ทั้งๆที่โครงการนี้ทำมานาน ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ทำมานานมากๆทำต่อเนื่องน่าจะใช้งบประมาณไม่น้อย แต่บนตัวรถเองก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเป็นโครงการของธนาคารกสิกรไทย เป็นโครงการทำตั้งใจทำจริงๆไม่ได้ทำเอาหน้าเอาตา ก็น่าจะพูดอย่างนี้ได้ เป็นหนึ่งในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมจริงๆ 

เคยอ่านข่าวเรื่องธุรกิจรถบัสในประเทศไทยเป็นธุรกิจใหญ่โตมาก แต่ธุรกิจรถรับส่งนักเรียนในไทยมีแค่เจ้าเดียวที่นึกออก คือ Montri เป็นบริษัททำรถนักเรียนในกรุงเทพ ทำมานานมาก ด้วยความที่ทำรถให้มีมาตรฐานดีมากเลยได้รับเลือกเป็นรถรับส่งนักเรียน รถทัศนศึกษาของโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ แต่ทำมานานขนาดนี้ มูลค่าธุรกิจที่ขายไปให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพียงแค่ 300 ล้านเอง ( เนชั่นNBC เป็นคนซื้อ)

เรื่องรับส่งนักเรียนนี่เป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงในประเทศไทยมายาวนานมากๆ แต่แทบไม่มีการแก้ไข เพราะมูลค่าทางธุรกิจไม่มาก หากจะทำให้มีคุณภาพราคาก็สูง สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกให้พ่อแม่ผู้ปกครองเลือกกลายเป็นการต้องไปรับส่งเอง เป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล พ่อแม่ทุกคนรู้ดี

ผมเชื่อว่าคุณปั้นตอนตั้งโครงการนี้ก็คิดแบบเดียวกัน ช่วยประหยัดต้นทุนให้คนในชุมชน สังคมชุมชนรอบสำนักงานใหญ่ก็จะดี เมืองไทยจะน่าอยู่มากขึ้นถ้าทุกคนคิดแบบนี้ 

สทนช. ออกประกาศเตือนคน 3 ลุ่มน้ำ เจ้าพระยา-ท่าจีน-แม่กลอง เฝ้าระวังน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุน-น้ำเหนือไหลบ่า พื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ประกาศให้เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 13 – 24 ตุลาคม 2567

เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับมวลน้ำหลากจากตอนบนของลุ่มน้ำไหลลงมาสมทบส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น 

มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) 

จึงขอให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม

‘ธนกร’ อัดเต็มแรงใส่ ‘ธนาธร’ ละเมิดกฎหมายไม่ใช่ความเสมอภาค ย้ำชัด ๆ สถาบันฯ อยู่เหนือการเมือง หยุดหนุนหลังคนออกมาก้าวล่วง

(7 ต.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า พูดบนเวทีงานรำลึกครบรอบ 48 ปี 6 ตุลาฯ 2519 ที่พูดถึงความเสมอภาคในสังคมไทย ว่า 

การพูดถึงเรื่องคดีความต่าง ๆ ที่บุคคลกระทำความผิด ก็สมควรที่จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่คดีที่พรรคการเมืองถูกตัดสินยุบพรรคและบุคคลที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น 

ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องการสร้างประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยให้มีสิทธิ เสรีภาพ มีความเจริญก้าวหน้ามีความเสมอภาคเท่าเทียม อย่างที่นายธนาธรกล่าวอ้าง  แต่เป็นการทำผิดละเมิดกฎหมายหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง เพราะไม่ใช่กับบุคคลธรรมดาแต่เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์ประมุขของรัฐ ถือเป็นความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง 

เมื่อถามว่าเหตุใดนายธนาธรถึงกล้าพูดชัดว่า ปี 2563-2564 รวมถึงการหาเสียงเรื่องการแก้ ม.112 ในปี 2566 มีการพูดเรื่องนี้อย่างกว้างขวางในสังคม ถือเป็นความก้าวหน้าของประเทศไทย และรู้สึกตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น 

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการพูดของนายธนาธรครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยเจตนาเบื้องลึกเบื้องหลัง หรือ ธาตุแท้อย่างชัดเจน เพราะพูดด้วยความภาคภูมิใจ เสมือนหนึ่งว่าได้ร่วมสร้าง ประวัติศาสตร์นี้ขึ้นมา เพื่อให้สังคม กล้าพูด กล้าวิพากษ์วิจารณ์เบื้องสูงได้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งตน ก็สงสัยและตั้งคำถามเหมือนกันว่าเป็นความก้าวหน้าของประเทศตรงไหน 

พร้อมขอตั้งข้อสังเกตและวิเคราะห์จากคำพูดนายธนาธร มองว่าความคิดในลักษณะนี้เป็นความไม่ปลอดภัยของชาติบ้านเมือง เพราะไม่มีคนไทยที่รักประเทศชาติ รักสถาบันฯ คนไหนเขาคิดกันแบบนี้  และตนไม่เห็นผู้นำพรรคการเมือง หรือองค์กร หน่วยงานใด สนับสนุนให้คนจาบจ้วงก้าวล่วงสถาบัน ซึ่งเป็นการทำลายชาติแบบนี้

“ขอย้ำว่าสถาบันฯอยู่เหนือการเมือง และอย่านำเรื่องนี้ มาเกี่ยวโยงอ้างประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะเป็นคนละเรื่องกัน พี่น้องประชาชนชาวไทย ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ เพราะทุกวิกฤตตั้งแต่ ภัยธรรมชาติ ภัยโรคระบาด ไปจนถึงวิกฤตเศรษฐกิจ สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงไม่เคยทิ้งคนไทยเลย  จึงขอให้นายธนาธรและพวกทบทวนแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองเสียใหม่ อย่าเป็นพวกจาบจ้วง เซาะกร่อนบ่อนทำลายชาติ เห็นผิดเป็นชอบ หยุดพยายามโน้มน้าวให้คนไทยเห็นดำเป็นขาวแบบนี้เลย ถ้านายธนาธรบอกว่า อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีจริงๆ หยุดเถอะครับ หันไปทุ่มสรรพกำลัง นำกำลังคน สิ่งของไปช่วยพี่น้องที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในภาคเหนือจะดีกว่า“ นายธนกร ระบุ

‘BIG CAMERA’ เปิดตัว ‘LEICA Q3 43’ กล้องหน้าชัดหลังละลาย ภาพสวยไร้การปรุงแต่งด้วยเลนส์ใหม่ใกล้เคียงสายตามนุษย์

(7 ต.ค. 67) "BIG CAMERA Leica Authorized Dealer" ร่วมกับ "Leica Camera Asia Pacific" จัดงานเปิดตัวกล้องคอมแพคฟูลเฟรมระดับไฮเอนด์ “LEICA Q3 43” ที่เกิดมาเพื่อมอบแก่นแท้ของการถ่ายภาพที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่ง ด้วยเลนส์ตัวใหม่ใกล้เคียงสายตามนุษย์มากที่สุด สอดผสานเข้ากับเทคโนโลยีของกล้องแห่งศตวรรษที่ 21 มาพร้อมงานดีไซน์ตัวบอร์ดี้ที่คงอัตลักษณ์แห่งไลก้า โดดเด่นอยู่เหนือกาลเวลา สง่างาม เรียบหรู พร้อมเปิดให้เหล่าไลก้าเลิฟเวอร์ได้เก็บเข้าคอลเลกชันแล้วตั้งแต่วันนี้เฉพาะที่ บิ๊ก คาเมร่า เท่านั้น ราคาเริ่มต้น 264,000 บาท

กิจกรรมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก มร. ไบรอัน โก๊ะ ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาค บริษัท ไลก้า คาเมร่า เอเชียแปซิฟิก และ มร. เคซี อิง แบร์นแอมบาสเดอร์ และ ไลก้า อคาเดมี่ ประเทศสิงคโปร์มาร่วมแนะนำ “LEICA Q3 43” โดยมี นายธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ,นายชิตชัย เธียรกาญจนวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยช่างภาพท็อปคลาสของเมืองไทย จอร์จ-ธาดา วารีช, โอ๊ต-ชัยสิทธิ์ จุนเจือดี และนักแสดงชื่อดัง สเตฟาน-ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์, ฌอห์ณ จินดาโชติ รวมทั้งช่างภาพอินฟูเอ็นเซอร์จากเพจดัง อาทิ Seventeenfiftyseven, Rockhhound, Pakornograpx และ Bzsranuwat เข้าร่วมงานและร่วมเวิร์คชอปถ่ายภาพครั้งแรกกับกล้อง LEICA Q3 43 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ เดอะเฮาส์ ออน สาทร

กล้อง LEICA Q3 43 คอมแพคฟูลเฟรมระดับไฮเอนด์ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Moment, Just as Your Eye Sees ด้วยการแลกเปลี่ยนแนวคิดกับช่างภาพทั่วโลก พร้อมการพัฒนากลายเป็นกล้องที่เกิดมาเพื่อมอบความลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของการถ่ายภาพที่ไร้ซึ่งสิ่งปรุงแต่ง ตัวบอร์ดี้เน้นงานดีไซน์ที่คงอัตลักษณ์ Leica DNA มาอย่างหมดจด โดดเด่นอยู่เหนือกาลเวลา สง่างาม เรียบหรู สะท้อนความเป็น Iconic แห่งรสนิยม ที่สอดผสานเทคโนโลยีของกล้องแห่งศตวรรษที่ 21 มาพร้อมเลนส์ APO-Summicron 43 f2 ASPH เลนส์ Leica APO ในระยะใช้งานที่ไม่เคยมีมาก่อน ให้มุมมองใกล้เคียงสายตามนุษย์มากยิ่งขึ้น ผสานคุณสมบัติของเลนส์ไวแสง ให้ความคมชัดและความละเอียด 60 ล้านพิกเซล พร้อมไฟล์ภาพแบบ 3D Pop พื้นหลังละลายและเอกลักษณ์ Bokeh ที่สวยงาม

สำหรับผู้ที่สนใจ LEICA Q3 43 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ BIG Camera Leica Authorized Dealer ร้าน Exclusif by BIG Camera ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, ดิ เอ็มควอเทียร์, เซ็นทรัลลาดพร้าว, ไอคอนสยาม, แฟชั่น ไอซ์แลนด์ และ เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ หรือติดตามความเคลื่อนไหวอื่นๆ ได้ที่ https://www.bigcamera.co.th

นายกฯอิ๊ง จรดปากกาเซ็นตั้ง 2 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม เซอร์ไพรส์ ชื่อ ‘ณัฐวุฒิ’ โผล่นั่งตำแหน่ง หลังเคยประกาศวางมือ

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 348/2567 ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม โดยมีเนื้อหาระบุว่า

ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 319/2567 เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 นั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่างๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ดังนี้

1. นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส
2. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยประกาศยุติบทบาททางการเมือง โดยขอลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย หลังเชิญพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะ ผู้ขับขี่รถใช้ก๊าซ ต้องเช็กสถาพถังและระบบก๊าซอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัย

(7 ต.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เกิดอุบัติเหตุก๊าซรั่ว นำมาซึ่งความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการติดตั้งถังก๊าซไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และการไม่ดูแลบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนกรณีดังกล่าว จึงได้มีการบูรณาการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ป้องกันแก้ไขปัญหาในทุกมิติ 

ในส่วนของผู้ใช้รถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแนะนำให้ตรวจสอบสภาพถังและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามวงรอบอยู่เสมอ ได้แก่

1. ตรวจสอบสภาพถังก๊าซ - โดยจะต้องไม่มีรอยขีดข่วนลึก หรือเป็นสนิม, ถังก๊าซต้องติดแน่นกับตัวรถขยับไม่ได้ และยางรองต่าง ๆ ต้องไม่เสื่อมสภาพ เพราะอาจทำให้เกิดการฉีกขาดของท่อก๊าซได้
2. ตรวจสอบอุปกรณ์ระบบก๊าซ - ได้แก่ หม้อต้มก๊าซ หัวฉีด จะต้องไม่รั่ว หรือชำรุด โดยตรวจสอบด้วยสายตา ไล่ไปตามท่อก๊าซ เริ่มจากถังก๊าซไปหม้อลดแรงดันก๊าซ ต่อไปยังกรองแห้งก๊าซ หัวฉีดก๊าซ ท่อยางหัวฉีดก๊าซ จนไปถึงท่อไอดี 
3. ตรวจสอบท่อก๊าซ - หากเป็นท่อยางต้องไม่มีรอยแตก ร้าว แข็ง กรอบ โดยท่อยางปกติจะนิ่ม สามารถจับกดบีบได้ หากท่อยางแข็งตัวแสดงว่าท่อยางดังกล่าวหมดสภาพ หากเป็นท่อโลหะ จะต้องไม่มีรอยแตกร้าว หรือเป็นสนิม, ไม่มีรอยบุบหรือบิดเบี้ยว

ทั้งนี้ การตรวจสอบก๊าซรั่วสามารถใช้น้ำสบู่หยอดตามจุดเชื่อมต่อท่อในแต่ละอุปกรณ์เพื่อดูการรั่วซึมของก๊าซได้ ถ้าก๊าซรั่วซึมจะมีฟองออกมาให้เห็น ถึงแม้รั่วเพียงเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นได้ และถ้าไม่มั่นใจเกี่ยวกับการรั่วของก๊าซ ผู้ขับขี่ควรนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบโดยเร็วเพื่อความปลอดภัย และผู้ขับขี่ควรดูแลบำรุงรักษาตามระยะสม่ำเสมอ

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการแจ้งเบาะแส หรือความช่วยเหลือ สามารถโทรศัพท์ไปได้ที่ สายด่วน 191, สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1559 , สายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 และสายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘รัฐมนตรี’ เฉลิมชัยลุยแก้โลกเดือด ชูแนวทาง “เร่งเปลี่ยนผ่าน สานพลังภาคี สู่สังคมที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ” ยืนยันไทยพร้อมรายงานไทยแลนด์ไครเมท

(7 ต.ค. 67) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าววันนี้ ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2065 พร้อมการบรรลุเป้าหมายถึงการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ให้ได้ร้อยละ 40 จากกรณีปกติ ภายในปี ค.ศ. 2030 จึงต้องอาศัยทั้งกลไกการดำเนินงานภายในประเทศ เทคโนโลยี การเงิน ตลอดจนกลไกสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและบูรณาการ โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้วางแนวทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และบูรณาการแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติเข้าสู่ระดับพื้นที่ อีกทั้งได้ริเริ่มให้จังหวัดจัดทำบัญชีการปล่อยและการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของจังหวัด ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่ และจัดตั้งศูนย์ประสานงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพระดับจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นแกนกลางในการสื่อสาร สร้างความเข้าใจและความตระหนักให้กับทุกภาคส่วน

ดร.เฉลิมชัยกล่าวต่อไปว่า “ในการประชุม TCAC 2024 ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงทิศทางและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการเตรียมการตั้งรับ ปรับตัว การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตั้งแต่ระดับนโยบาย สู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ การยกระดับการเตือนภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง รวมไปถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ อีกทั้งยังเป็นเวทีสะท้อนให้กับเครือข่ายประชาสังคม และเยาวชน รวมถึงมีการแสดงนิทรรศการให้ความรู้ ทั้งการดำเนินนโยบายของรัฐ เทคโนโลยี และงานวิจัย เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกการเงิน โครงการความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคี และที่สำคัญนิทรรศการโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา

ซึ่งหลังจากการประชุม ประเทศไทยจะนำผลลัพธ์ของการประชุม TCAC 2024 ไปประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 หรือ COP 29 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ “เรามุ่งมั่นที่จะรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส หากสถานการณ์ที่อุณหภูมิโลกยังสูงขึ้นต่อเนื่อง จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโลก รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งการเปลี่ยนผ่าน หรือ Transition จำเป็นต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันออกไป และมีการบูรณาการดำเนินงานในหลากหลายมิติ เช่น การศึกษาพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน การเสริมสร้างองค์ความรู้และศักยภาพของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มีความพร้อม รวมไปถึงภาคการเงิน การลงทุนที่นำไปสู่กิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่มีความยั่งยืน การประชุม TCAC 2024 นี้ จะเป็นการจุดประกาย และส่งต่อเจตนารมณ์ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะผลักดันประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย และรักษาโลกใบนี้ไว้ให้กับอนุชนรุ่นต่อไป“

ทั้งนี้ดร.เฉลิมชัยกล่าวถ้อยแถลงข้างต้นในระหว่างเป็นประธานเปิดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 3 หรือ Thailand Climate Action Conference : TCAC 2024 ภายใต้แนวคิด “เร่งเปลี่ยนผ่าน สานพลังภาคี สู่สังคมที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ Accelerating the Climate Transition” โดยมีคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เอกอัครราชทูต องค์กรระหว่างประเทศ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมการประชุม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงาน Sustainability Expo (SX)

‘เจือ ราชสีห์’ ชี้!! ป่าไม้ถูกทำลาย สาเหตุหลักน้ำท่วมภาคเหนือ ฝาก ‘รัฐบาล‘ เร่งปลูกป่าอย่างจริงจัง ป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก

(7 ต.ค. 67) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยกรณีอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ ว่า

มหันตภัย น้ำท่วมใหญ่ภาคเหนือ ภาพสะท้อนความไม่สมบูรณ์ของผืนป่า ผมขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล “อย่ามัวแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” จนหลงลืมว่าปัจจัยสำคัญของมหันตภัยน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ คือ ป่าไม้ถูกทำลาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ปัญหา 

ถึงเวลาที่ “นายกรัฐมนตรี” ต้องขับเคลื่อนการเพิ่มพื้นที่ป่า ปลูกต้นไม้เพิ่มอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้

“ผมอยากให้รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี “ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุตั้งแต่วันนี้ ต้องช่วยกันปลูกต้นไม้เพิ่ม” ซึ่งก็ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมาย ในทางกลับกันถ้าไม่ทำ ปีหน้าหรือปีต่อๆไปน้ำก็ท่วมในลักษณะนี้อีก ต้องสูญเสียชีวิตพี่น้องประชาชน บ้านเรือน ถนนหนทางเสียหาย ต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการฟื้นฟูและช่วยเหลือ“

‘อัครเดช’ ออกลูกอ้อน ครม.-แบงก์ชาติ เร่งหารือสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หลังกระทบอุตสาหกรรมส่งออก หวั่นทำลายขีดความสามารถในการแข่งขัน

‘อัครเดช’ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เสนอรัฐบาล-แบงก์ชาติ เร่งออกมาตรการสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หวั่นหากทิ้งไว้เรื้อรังทำเศรษฐกิจชะลอตัว ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมส่งออกถดถอยส่งผลกระทบทางลบเศรษฐกิจหลายมิติ

(7 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎรได้แสดงถึงความห่วงใยต่ออุตสาหกรรมส่งออกจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่า ว่า 

จากที่ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลบาทไทยกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 33.33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเคยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32.15 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา จากที่เคยอ่อนค่าที่สุดในช่วงเดือนเมษายน 2567 ที่อัตราแลกเปลี่ยน 37.17 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ 

การแข็งค่าของค่าเงินบาทเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากภายในระยะเวลาประมาณ 5 เดือนเท่านั้น และจากอัตราค่าเงินบาทแข็งค่านี้ตนได้รับทราบความเดือดร้อนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมส่งออก เนื่องจากด้วยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้การแลกเงินที่ได้รับจากการส่งออกกลับเป็นเงินบาทแลกได้น้อยลง 

ยกตัวอย่าง จากแต่เดิมส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง 1 กระป๋องราคา 100 ดอลลาร์ เมื่อค่าเงินบาทอ่อนที่สุดสามารถแลกเป็นเงินบาทได้ 3,717 บาท แต่เมื่อเงินบาทแข็งค่าที่สุดจะสามารถแลกเป็นเงินบาทได้เพียง 3,215 บาทเท่านั้น 

การที่รายได้ของผู้ประกอบการที่ลดน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบในอุตสาหกรรมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพการแข่งขันที่ลดลงส่งผลการชะลอตัวของการจ้างงานในอุตสาหกรรม, การลดการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการตัดลดงบพัฒนาและวิจัย(R&D)ในอุตสาหกรรมลง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในอนาคตลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และจากการที่การส่งออกเป็นหนึ่งใน 4 เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทย การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเช่นนี้ย่อมทำให้เครื่องยนต์ส่งออกอ่อนกำลังลงอย่างชัดเจนส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงโดยเฉพาะการจ้างงานที่ลดลงจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อนอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมส่งออกอีกด้วย

ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมจึงขอส่งเสียงไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน ให้พิจารณาทบทวนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่เหมาะสมทั้งต่อเสถียรภาพทางเงินของประเทศ และลดผลเสียที่จะเกิดต่อระบบเศรษฐกิจไทย 

รวมถึงรัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายทางการคลังของประเทศต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อประคับประคองอุตสาหกรรมส่งออก ให้สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลได้ต่อไป และที่ดีที่สุดทั้งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องเร่งหารือเพื่อหาทางออกของปัญหาค่าเงินแข็งตัวโดยเร็ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top