Wednesday, 11 June 2025
Hard News Team

‘ซีอีโอ SCG’ ฉายภาพธุรกิจแห่งความยั่งยืน ชี้!! ไทยต้องพัฒนา Circular Economy ไม่ให้แพ้ยุโรป

(8 ต.ค.67) ไทยเป็นประเทศแรกที่รายงานใน COP ว่าอุตสาหกรรมซีเมนต์จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ Net Zero แต่ยังสอบไม่ผ่านในเรื่องของ Circular Economy เพราะยังแพ้ยุโรป ที่สามารถสร้าง Business Model โลว์คาร์บอนได้ โดยรีไซเคิลพลาสติกมีอัตราการเติบโตต่อปีสูงกว่าพลาสติกธรรมดาทั่วไป 2-3 เท่า

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ได้เข้าร่วมเวทีเสวนา CEO Panel ภายในงาน SX2024 หรือ Sustainability Expo 2024 ซึ่งเป็นมหกรรมความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยในครั้งนี้ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ "วิสัยทัศน์ 2030: พลังความร่วมมือ สู่อนาคตยั่งยืน" เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือกันในทุกภาคส่วนเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

'ธรรมศักดิ์' กล่าวว่า ประเทศไทยมีโครงการแฟล็กชิพหลายโครงการที่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตยั่งยืน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ผมมองควรมุ่งไปในสองเรื่อง หนึ่ง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้อย่างน้อยตามเป้าของ Paris Agreement สอง เรื่องที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ competitiveness ไทยต้องเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะยั่งยืน

"เมื่อเร็ว ๆ นี้ เอสซีจีจัด Symposium เป็นการรายงานผล 1 ปี ของการทำสระบุรีแซนด์บ๊อกซ์ ซึ่งเป้าหมายคือการทำให้เป็นจังหวัดต้นแบบโลว์คาร์บอน หนึ่งปีที่ผ่านมามีความคืบหน้าอย่างมาก และผมเชื่อว่า ถ้าเราผลักดันสระบุรีเป็น Net Zero ได้ พื้นที่อื่นอย่าง เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) หรือ กทม. ทำต้องทำได้แน่"

นอกจากนั้น 'ธรรมศักดิ์' พูดถึงการปรับอุตสาหกรรมซีเมนต์ให้เป็นโลว์คาร์บอนซีเมนต์ ที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะประเทศไทยใช้ซีเมนต์จำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยควรต้องปรับมาตรฐานการใช้โลว์คาร์บอนซีเมนต์ให้ได้

“ปีที่ผ่านมายอดขายซีเมนต์ของเอสซีจี 70% เป็นซีเมนต์โลว์คาร์บอน และปีนี้ตั้งเป้า 80-100% จะเห็นว่าคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้น ดังนั้น เราต้องรวมพลังผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จ

การผลักดันครอบคลุมไปถึงเทคโนโลยีการผลิต การบริหารต้นทุนการผลิต ซัพพลายเชน การปรับกฎกติกามาตรฐานการก่อสร้างไปเป็นโลว์คาร์บอน ซึ่งผมมองว่าไทยสอบผ่าน ซึ่งเราเป็นประเทศแรกที่รายงานใน COP ว่าอุตสาหกรรมซีเมนต์จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ Net Zero แต่ไทยยังสอบไม่ผ่านในเรื่องของ Circular Economy เรายังแพ้ยุโรป ที่เขาสามารถสร้าง Business Model โลว์คาร์บอนได้ และมีการเติบโตสูง โดยการรีไซเคิลพลาสติกมีอัตราการเติบโตต่อปีสูงกว่าพลาสติกธรรมดาทั่วไป 2-3 เท่า เป็นธุรกิจที่กำลังโต

เอสซีจีได้จัดทำการระดมสมองรับฟังความคิดเห็นกว่า 3,500 คน ในเรื่อง Circular Economy พบว่า หลายคนเห็นตรงกันว่าไทยยังขาดเรื่องแผนแม่บทด้านการรีไซเคิล และยังขาดจิตสำนึกในระดับบุคคลเรื่องการแยกขยะ

ไทยควรผลักดันเรื่องเศรษฐกิจรีไซเคิลอย่างจริงจัง เพราะเรื่องนี้จะสร้างการเติบโตให้กับประเทศไทย รวมทั้งบริษัทต่าง ๆ ทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก

ส่วนเรื่องการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด เราต้องเปรียบเทียบกับจีน เพราะจีนทำเรื่องโซลาร์เยอะมาก ถ้าเราทำเรื่องนี้ได้เพิ่มขึ้น ก็จะสร้างศักยภาพการแข่งขันได้แน่นอน

เวทีเสวนา CEO Panel นี้ ยังมีผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรชั้นนำอีก 3 องค์กรขึ้นเวทีร่วมแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ในการนำแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนมาปรับใช้ในภาคธุรกิจ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนอย่างแท้จริง ได้แก่ ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการบริหารของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือ SCG ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ ธีรพงศ์ จัน ศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย ยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

เปิดมุมมอง! บุคลิกประเทศไทยที่ไม่เคยสังเกต สยามเมืองยิ้ม ดินแดนแห่งความกลมเกลียว

(8 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘เพื่อนลงทุน’ ได้โพสต์วิเคราะห์บุคลิกของคนไทยและประเทศไทยได้อย่างน่าสนใจ ความว่า 

ประเทศไทยมีดีตรงไหน? มุมมองจากพี่มี่

“ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีอนาคต แต่อนาคตมันมองยาก อนาคตไม่เหมือนคนอื่น” พี่มี่เล่าให้ฟังแบบเป็นกันเองแต่เนื้อหาแน่นมาก แอดนั่งดูวิดีโอนี้แป๊บเดียวจบ ขอหยิบมาสรุปให้ฟังเฉพาะมุมมองต่อประเทศไทยของพี่มี่นะครับ 

พี่มี่เปรียบเทียบแต่ละประเทศในโลกว่าใครเป็นใครในห้องเรียนให้ฟัง
“อเมริกา คือหัวหน้าห้อง ที่ฉลาดแต่ขี้เกียจ และใช้เงินเก่ง”
“จีน เป็นรองหัวหน้าห้อง ฉลาดน้อยกว่า แต่ขยัน”
“เวียดนาม ไม่ได้ฉลาดสุด ไม่ได้ขยันสุด แต่เข้ากันได้ดีกับหัวหน้าห้องและรองหัวหน้าห้อง คนแบบนี้ก็อาจจะพอมีอนาคตไปได้แหละ เค้าจับกับข้างนี้ที จับกับข้างนั้นที”
“ไทย ไม่ได้ฉลาด ไม่ได้ขยัน แต่สวย เซ็กซี่ ขี้เล่นและเป็นกันเอง”

“ผมว่าอนาคตของคนแบบนี้วิเคราะห์ยากนะ อยู่ ๆ .. ปุ๊บ ๆ เละ ๆ ไปเป็นเมียเสี่ยเงี้ย มาไง ชีวิตขับซูเปอร์คาร์เฉย.. เฮ้ย มาไง! มันจะต้องมีบุคลิกแบบคนชอบเค้าเยอะ ผมมองเมืองไทยเป็นแบบนั้นอะ” พี่มี่พูดติดตลก แต่แอดว่าพี่มี่เปรียบเทียบเสน่ห์ของประเทศไทยได้ดีมาก ของแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเลียนแบบกันได้
พี่มี่เล่าต่อถึงเสน่ห์ของประเทศไทยจากที่พบเจอคนหลาย ๆ ประเทศ

คนจีนมาอยู่ไทย ส่งลูกมาเรียน “อย่างโรงเรียนนานาชาติ Harrow ถ้าที่เซี่ยงไฮ้ค่าเทอม 3,700,000 บาท ที่ไทย 900,000 บาท แบรนด์เดียวกัน”

พี่มี่ยังมีเพื่อนต่างชาติคนนึงที่ครอบครัวไม่กินอาหารบางอย่าง แต่พอมาอยู่ไทย เตะบอลกับพี่มี่แล้วพากันไปกินได้ เพื่อนคนนั้นบอกพี่มี่ว่า “ถ้าอยู่บ้านเรากินไม่ได้ แต่ถ้าออกมากับพวกนายเรากินได้”

“คนญี่ปุ่นอยู่บ้านเค้าเข้าแถวเป็นระเบียบ ขึ้นรถไฟเป็นระเบียบ มาอยู่ทองหล่อขี่มอเตอร์ไซค์ซิ่งกว่าคนไทยอีกนะ จอดหน้าวิลลามาร์เก็ต เดินไปซื้อยา” พี่มี่มองว่าไม่มีความเป็นญี่ปุ่นหลงเหลือแล้ว อยู่เมืองไทยสบาย ๆ มาอยู่แล้วก็หลอมกลืน

นอกจากนั้น พี่มี่ยังมองว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งสันติภาพ
“คนจีนแผ่นดินใหญ่กับคนฮ่องกงไม่ถูกกัน คนจีนแผ่นดินใหญ่กับคนไต้หวันไม่ถูกกัน แต่มาเมืองไทย เค้ากินหมาล่าที่จินดาด้วยกัน เค้าเป็นเพื่อนกันได้ที่นี่” 
“ที่พัทยาเราเห็นรัสเซียกับยูเครนนั่งกินเบียร์ด้วยกัน” 
“พอมาที่นี่ปุ๊บ เป็นดินแดนปลอดภัย เป็นดินแดนที่ช่างมันเถอะ เรื่องราวบนโลกเดี๋ยวมันก็ตายแล้ว” พี่มี่เล่าถึงความเป็นอริในเวทีโลกที่กลับมากอดคอกันได้ในประเทศไทย

พี่มี่ยังพาย้อนไปดูสถิติ “คุณไปดูช่วงปี 1920 เรา GDP ต่ำสุดในอาเซียน สลับกันกับพม่า ไม่เราก็พม่าต่ำสุด ทุกคนบอกขี่ควายต่อไปเถอะ เมืองไทยแย่แล้ว”
“แต่สุดท้ายเราก็มี GDP อันดับต้น ๆ ของอาเซียนได้ เพราะเรามีเสน่ห์บางอย่างที่ตอบไม่ได้ เรามีความเป็น United States ในโลกผมไปมา 40 กว่าประเทศ มี 2 ประเทศที่เป็น United States คือ อเมริกากับไทย"
พี่มี่อธิบายว่า United States คืออะไร ? “ในห้องประชุมนี้ ใครบ้างที่สืบเผ่าพันธุ์แล้วเป็นไทยแท้ ? ขอซักคนเดียว.. ไม่มี แต่ทุกคนบอกกูเป็นคนไทย ถูกมั้ย” 

// United แปลว่า รวมกัน, ปึกแผ่น, กลมเกลียว, พร้อมใจกัน
“เนี่ยคือบุคลิกของ United States มันไม่มีคนท้องถิ่นอะ ถ้าสืบไปเรื่อย ๆ ผมอาจจะมาจากแปะซัวเล็ก ซัวเถา อะไรอย่างเงี้ย เช็กไปทุกคนมาจากไหนก็ไม่รู้” 
“แต่พอมาอยู่ที่นี่ กลายเป็นว่ามันหลอมคนทั้งหมด ให้อยู่ที่นี่เลย กลายเป็นคนที่นี่ แล้วไม่อยากไปที่อื่นอีกแล้ว มันมีบุคลิกของความกลมเกลียวที่หาได้ยาก” พี่มี่บอก

ความน่ารัก ความเป็นกันเอง ความใจดีมีน้ำใจของสยามเมืองยิ้มนี้เองเป็นจุดแข็งของประเทศไทย และของแบบนี้อาจจะมีไม่กี่ประเทศในโลกที่จะมาทดแทนหรือมาเลียนแบบเราได้ 

พี่มี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ เป็นนักลงทุนที่คอยแบ่งปันความรู้ให้สังคมตลอด ดูวิดีโอที่พี่มี่เล่าแบบเต็มจาก Super Trader Republic ได้ที่ลิงก์ สนุกมาก ดูไปขำไป ความรู้แน่น พูดตรงไปตรงมา สุดยอด https://youtu.be/5wIz0i3swVs?si=f16w14CWNYLfzgew

สุดซึ้ง! ทหารใหม่ทำความเคารพอดีตทหารผ่านศึก คอมเมนต์เอกฉันท์แห่ขอบคุณและชื่นชมวีรบุรุษลายพราง

(8 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ข่าวดัง ออนไลน์’ ได้มีการเผยแพร่เรื่องราวของทหารผ่านศึกสุดประทับใจว่า 

เรื่องเล่าจากคุณลุงผู้เป็นทหารผ่านศึก ที่ได้รับการแสดงความเคารพจากทหารรุ่นน้องที่ไม่รู้จักกันมาก่อน มีคนถามคุณลุงว่าแล้วทหารท่านนั้นทราบได้อย่างไรว่าคุณลุงคือทหารผ่านศึก คุณลุงตอบว่าเพราะเสื้อกั๊กที่ใส่อยู่นั้น มีสัญลักษณ์ของทหารผ่านศึกติดอยู่ 

“..มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากคราวหนึ่งในชีวิตครับ วันนั้นผมปั่นจักรยานไปกระทรวงมหาดไทยเพื่อไปรับเหรียญพิทักษ์เสรีชน และ เหรียญราชการชายแดน ขากลับปั่นจักรยานผ่านสวนจิตรลดา จะมีป้อมทหารยามเป็นจุด ๆ รอบสวนจิตรลดา มีอยู่จุดหนึ่งน้องทหารเขาได้ตกปืนทำความเคารพ เสียงค่อนข้างดัง ผมหันไปมอง น้องทหารเขาก็มองตอบมา ผมจึงหันไปรอบตัว พบว่ามีผมอยู่คนเดียว จึงทราบว่าน้องเขาแสดงความเคารพให้ผม ผมก็ยกมือวันทยหัตถ์ตอบ น้องเขาลดปืนและมาอยู่ในท่าระเบียบพัก ผมปั่นจักรยานจากมาพร้อมกับน้ำตาไหลซึม ขอบใจน้องทหารที่ให้เกียรติกันอดีตทหารผ่านศึก เล่นเอาผม อดีตทหารผ่านศึกแก่ ๆ คนหนึ่ง น้ำตาร่วงได้..”

ในโพสต์ดังกล่าวได้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย เช่น 

“อ่านแล้วภูมิใจมาก ขอบคุณ ท่านทหารผ่านศึก ที่ท่านเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเราให้ได้มีแผ่นดินไทยอยู่ ขอให้สุขภาพท่านแข็งแรง และมีความสุขค่ะ ^___^
... จากครอบครัวผู้สูญเสียวีรบุรุษหินร่องกล้า”

“สวัสดีครับ ท่านสมาชิก อผศ.ในภาพที่สวมเสื้อวินมอไซค์ ท่านยังดูแข็งแรงอยู่มาก..ทำมาหากินไปครับ พวกเราต่อสู้ขับไล่ศัตรูแผ่นดินเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชนกันมา บางท่านก็พลีชีพ บางท่านบาดเจ็บพิการทุพพลภาพ ขอให้ท่านผู้ผ่านศึกทุกนายที่ยังมีชีวิตอยู่จงมีแต่ความสุขกายสุขใจตลอดไปนะครับ จากผมสมาชิก อผศ.บัตรชั้นที่ 3 ครับ..”

"ชื่นชมค่ะ.. จากครอบครัวทหาร.ค่ะ.. (... หลายปีที่ผ่านมา.เคยมีโอกาสเดินทางไปจ๋าหน่ายดอกปี้ในวันทหารผ่านศึก... ตามหน่วยงาน, องค์กรต่าง ๆ เพื่อนำรายได้จากการจ๋าหน่ายไปช่วยเหลือ น้อง ๆ ทหารหาญที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติภารกิจตามแนวชายแดนค่ะ.. ฯ.."ภาคภูมิใจค่ะ...”

“ขอร่วมภาคภูมิใจด้วยพี่ทหารทั้งสองท่านด้วยค่ะ และน้ำตาร่วงกับพี่ด้วยความชื่นชมอิ่มใจ ใน ทหารค่ะขอบคุณ ๆ”

‘ศิษย์หลวงตาบัว’ ค้านรัฐบาลแทรกแซง ‘แบงก์ชาติ’ ยื่นคำขาด หากยังเดินหน้า ก็ไม่อาจให้บริหารบ้านเมืองต่อ

(8 ต.ค. 67) ตัวแทนคณะศิษยานุศิษย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันใน ทำหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอคัดค้านบุคคลซึ่งเกี่ยวโยงการเมืองเข้ามาแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย โดยระบุว่า

ตามที่ปรากฏกระแสข่าวเป็นวงกว้างว่า รัฐบาลนำโดย ฯพณฯ พยายามผลักดันบุคคลซึ่งเกี่ยวโยงกับการเมืองเข้ามาแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเห็นได้จาก รมว.คลังในรัฐบาลของท่านได้แต่งตั้ง
"คณะกรรมการสรรหาประธานและกรรมการธปท. ชุดใหม่" โดยไม่ได้แต่งตั้งอดีตผู้ว่าธปท. คนใดคนหนึ่งเป็น
กรรมการสรรหาด้วย พฤติการณ์ดังนี้แตกต่างจากประเพณีปฏิบัติในหลายครั้งที่ผ่านมา ราวกับว่า รัฐบาลของ
ท่านมีเจตนาแรงกล้าในการจัดส่งบุคคลที่ยึดโยงกับการเมืองให้เข้ามาแทรกแซงและครอบงำธปท.อย่าง
เบ็ดเสร็จเด็ดขาดให้จงได้

ทั้งนี้ มีกรณีตัวอย่างไม่น้อยจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินในหลายประเทศ ที่ต้นเหตุแห่งความวิบัติมาจากการเมืองเข้าแทรกแซงและครอบงำการทำงาน ที่คำนึงถึงความปลอดภัยแห่งอธิปไตยทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ยิ่งกว่านโยบายทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งในที่สุดจะส่งผลร้ายเป็นการบั่นทอนความเข้มแข็งของธนาคารกลาง จนเบี่ยงเบนทำงไกลจากความถูกต้อง และหากธนาคารกลางไม่อาจคะคานอำนาจของรัฐบาลที่มุ่งสร้างภาพด้วยนโยบายประชานิยม หวังผลเพียงผลประโยชน์ของกลุ่มก้อนพวกพ้องและภาพลักษณ์ทางการเมืองเท่านั้น จนสุ่มเสี่ยงความหายนะแห่งอธิบโดยทางการเงินของชาติให้พังพินาศไปสิ้นได้อย่างน่าสังเวชใจ

คณะศิษยานุศิษย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ในฐานะประชาชนคนไทยที่เทิดทูนชาติศาสน์กษัตริย์เหนือศิรเกล้า ประการสำคัญ ได้ร่วมกันปกป้องทุนสำรองปราการด่านสุดท้ายของชาติอย่างหนักแน่นจริงจัง ตามคำเตือนอย่างเข้มข้นขององค์หลวงตา และได้ร่วมกันเสียสละเงินทองเข้าคลังหลวงกว่า 13 ตัน ได้เห็นพ้องต้องกันว่า หาก ธปท.ถูกการเมืองเข้าแทรกแซง ย่อมบังเกิดมหันดภัยขั้นร้ายแรงต่อระบบการเงินมั่นคงของชาติให้วินาศไปได้อย่างง่ายตาย เพื่อป้องกันมิให้เกิดพฤติการณ์เช่นนี้

คณะศิษย์ฯ จึงขอน้อมนำคำสอนขององค์หลวงตาฯ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2543 ตอนหนึ่งที่ว่า

"อำนาจอันใดก็ตามต้องให้มีประชาชนเป็นผู้ควบคุมอำนาจนั้นไว้ ไม่ใช่กฎหมายของคนสองสามคนเข้ามาตั้งเป็นเจ้าอำนาจวาสนาใหญ่โตเหยียบย่ำทำลายชาติไทยของเรา ก็เรียกรัฐบาลมหาภัยเท่านั้นเอง ไม่ใช่รัฐบาลที่ดีสมความมุ่งหมายของประชาชนที่ตั้งขึ้นมา"

จึงกราบเรียนด่วนที่สุดมาถึง ฯพณฯ เพื่อโปรดพิจารณา อย่านำการเมืองและอย่านำบุคคลที่มีหัวใจยึดโยงกับการเมืองเข้าแทรกแซงอำนาจหน้าที่แห่ง ธปท.โดยเด็ดขาด มิฉะนั้น คณะศิษย์ฯ ย่อมมิอาจยอมรับรัฐบาลประเภทที่ว่ามานี้ให้บริหารบ้านเมืองอีกต่อไปได้

กองทุนน้ำมันฯ มั่นใจตรึงเสถียรภาพราคาดีเซลตลอดปี 67 ใช้เงินคืนกองทุนกว่า 1 หมื่นล้านต่อเดือน ไม่หวั่นสงครามตะวันออกกลาง

(8 ต.ค. 67) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มั่นใจยังรักษาเสถียรภาพราคาดีเซลได้ตลอดปี 2567 แม้เกิดปัญหาสงครามในตะวันออกกลางจนราคาน้ำมันโลกพุ่งสูง ระบุปัจจุบันมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ กว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แม้ภาพรวมยังติดลบ 9.9 หมื่นล้านบาท เผยแนวทางดูแลราคาดีเซลในภาวะสงครามขั้นแรก ต้องลดเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลที่ส่งเข้ากองทุนฯ ก่อน แต่หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นจนราคาน้ำมันดีเซลในตลาดสิงคโปร์เกิน 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อาจต้องพิจารณาขยับราคาดีเซลขึ้นบ้างเล็กน้อย

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด (ณ วันที่ 29 ก.ย. 2567) ที่รายงานโดยสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) พบว่าเงินกองทุนฯ ยังคงติดลบรวม -99,087 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -51,643 ล้านบาท และมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -47,444 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ก็ได้เตรียมพร้อมกรณีราคาน้ำมันโลกขยับขึ้นสูงจากการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน โดยเบื้องต้นวางแผนจะลดการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันดีเซลที่ส่งเข้ากองทุนฯ ลงจากปัจจุบันเรียกเก็บอยู่ 2.84 บาทต่อลิตร โดยลดได้ต่ำสุดเพียง 2.34 บาทต่อลิตร และผู้ใช้ดีเซลยังคงต้องจ่ายเข้ากองทุนฯ อย่างน้อย 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อให้เหลือเงินไว้สำหรับชำระหนี้เงินต้นสถาบันการเงินในเดือน พ.ย. 2567 นี้

แต่หากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกยังพุ่งสูงต่อเนื่องจนทำให้ราคาดีเซลในตลาดสิงคโปร์เกิน 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล กบน. อาจจะต้องพิจารณาทยอยปรับขึ้นราคาดีเซลบ้างเล็กน้อย

ทั้งนี้มั่นใจว่ากองทุนน้ำมันฯ จะดูแลเสถียรภาพราคาดีเซลได้ตลอดจนถึงสิ้นปี 2567 นี้  เนื่องจากปัจจุบันกองทุนฯ ยังมีเงินไหลเข้าวันละ 337 ล้านบาท หรือ 10,447 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนปี 2568 จะต้องรอดูสถานการณ์การสู้รบในตะวันออกกลางอีกครั้ง

โดย กบน. จะเน้นดูแลราคาดีเซลและ LPG เป็นหลัก เนื่องจากมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง โดยปัจจุบัน กบน. ได้เรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ 2.84 บาทต่อลิตร ส่วนผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียมส่งเข้ากองทุนฯ 4.34 บาทต่อลิตร (ปัจจุบันยอดการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซล อยู่ที่ 67.48 ล้านลิตรต่อวัน)

ขณะนี้ผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ดังนี้ เบนซิน ออกเทน 95 ส่งเข้ากองทุนฯ 10.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ส่งเข้า 4.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 2.61 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 1.16 บาทต่อลิตร (ปัจจุบันยอดการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ อยู่ที่ 31.65 ล้านลิตรต่อวัน)

ส่วนค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมัน ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 7 ต.ค. 2567 พบว่าค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 4.04 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.17 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.24 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.21 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 2.89 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.31 บาทต่อลิตร และ ดีเซล B20 อยู่ที่ -0.11 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดอยู่ที่ 2.29 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

ด้านสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 7 ต.ค. 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 76.67 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น  3.15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 74.22 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.16 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 77.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

สมุทรปราการ-แถลงข่าวงานประเพณีรับบัว “นมัสการองค์หลวงพ่อโต” หนึ่งเดียวในประเทศไทยของอำเภอบางพลี

เมื่อวานนี้ (7 ต.ค. 67) นายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธาน การแถลงข่าวการจัดงานประเพณีรับบัว ประจำปี 2567 พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ นายขจิตเวช แก้วน้อย นายอำเภอบางพลี นางสาวชูศรี สัตยานนท์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอบางพลี นายจิรศักดิ์ อ่วมอุไร ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานฉะเชิงเทรา นายรัชชานนท์ ทองอร่าม รองนายก อบจ.สมุทรปราการ คณะสมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวการจัดงานประเพณีรับบัว ประจำปี 2567 ณ บริเวณศูนย์การค้ามาร์เก็ควิลเลจ สุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

โดยในปีนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 16 ตุลาคม 2567 ตรงบริเวณที่ว่าการอำเภอบางพลี วัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง และบริเวณคลองสำโรง เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีโบราณของอำเภอบางพลีที่สืบทอดมาอย่างยาวนานให้คงอยู่ ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรปราการ ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย ทั้งการแสดงวิถีชีวิตชาวบางพลีในอดีต การละเล่นพื้นบ้าน การประกวดขบวนแห่เรือองค์หลวงพ่อโตทางน้ำ การแข่งขันเรือมาด การประกวดหนุ่มสาวรับบัว รวมถึงการจำหน่ายสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ของดีของอำเภอบางพลี

ประเพณีรับบัว เป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมาแต่โบราณของชาวอำเภอบางพลี ที่แสดงถึงความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อต่อคนต่างถิ่นที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในอำเภอบางพลี และแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความผูกพันกับสายน้ำของพี่น้องชาวอำเภอบางพลี ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปี ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 16 ตุลาคม 2567 โดยจะมีการอัญเชิญหลวงพ่อโตองค์จำลองลงเรือแห่ไปตามลำคลองสำโรง เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณสองฝั่งคลอง รวมถึงประชาชนโดยทั่วไปได้ร่วมพิธีสักการะองค์หลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์

โดยความเชื่อที่ว่าหากโยนดอกบัวลงไปในเรือที่องค์หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ แล้วตั้งจิตอธิษฐานสิ่งใดไว้ก็จะประสบความสำเร็จดังหวังทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม ทางอำเภอบางพลีมุ่งหวังให้ประเพณีรับบัวซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ดีงามของชาวอำเภอบางพลีไม่เลือนหายไป อำเภอบางพลีจึงได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมอนุรักษ์ประเพณีนี้สือต่อไป อีกทั้งประเพณีรับบัวของอำเภอบางพลี ได้รับการประกาศเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำปี 2555 โดยกระทรวงวัฒนธรรม

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘มาดามแป้ง’ ลั่นใส่เต็มร้อยเดินหน้าคว้าแชมป์ ‘คิงส์คัพ’ มั่นใจภาคใต้ใจรักฟุตบอล แห่เข้าชมล้นสนาม

(7 ต.ค. 67) ฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดใหญ่เดินทางมารายงานตัว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางไป จังหวัด สงขลา เพื่อทำการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 50 ระหว่างวันที่ 11-14 ตุลาคม 2567 

การรายงานตัวครั้งนี้นำโดย "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วย มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าผู้ฝึกสอน ทีมชาติไทย และนักเตะทั้ง 23 คนที่เดินทางมารายงานตัวโดยพร้อมเพรียง นำโดย ชนาธิป สรงกระสินธ์ กัปตันทีม

ก่อนการเดินทาง "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซํา นายกสมาคม กล่าวว่า "คิงส์ คัพ เมื่อสองครั้งที่ผ่านมาที่แป้งเป็นผู้จัดการทีม เราไปเล่นที่เชียงใหม่ เราพลาดแชมป์มา และเมื่อวันศุกร์ที่แป้งไลฟ์มีคำถามถามว่าเป็นอาถรรพ์หรือเปล่าเพราะคิงส์คัพไปเล่นต่างจังหวัดจะไม่ได้แชมป์ แต่ครั้งนี้แป้งคิดว่าภายใต้การนำทัพของมาซาทาดะ อิชิอิ และ ชนาธิป(สรงกระสินธ์) กัปตันทีม คงจะให้ความมั่นใจได้ว่าเราต้องการเป็นแชมป์ รวมถึงได้ไปเล่นที่ภาคใต้ซึ่งมีสถิติแฟนบอลเยอะด้วยก็คิดว่าจะเข้ามากันเต็มสนาม และปีนี้เป็นปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระชนมายุ 72 พรรษา ทำให้คิงส์คัพปีนี้มีความสำคัญยิ่งกว่าเดิม"

"กระแสแฟนบอลที่สงขลาถือว่าเยอะขึ้น มีแฟนบอลรอซื้อบัตรที่มีการเอาออกมาจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ วันที่ 14 เหลือบัตรอีกประมาณ 3,000 ใบ คาดว่าเมื่อนักเตะเดินทางไปถึงสงขลาและการเปิดให้แฟนบอลเข้าชมการฝึกซ้อมในวันที่ 7 และ วันที่ 8 ตุลาคม จะทำให้กระแสยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนมีแฟนบอลเข้ามาเต็มสนาม" 

เจ้าของเพจ SME ชื่อดัง ยกรถนักเรียนไทยของ ‘บัณฑูร ล่ำซำ’ เป็นโมเดล ชี้การรับส่งนักเรียนมีต้นทุนแฝงในวิถีชีวิตคนไทยสูง

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระ เจียรนัยพานิชย์ เจ้าของเพจ SME Networking Thailand ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

เวลาได้ยินข่าวเกี่ยวกับรถนักเรียนผมนึกถึง #โครงการรถนักเรียนไทย ของ คุณปั้น-บัณฑูร ล่ำซำ เสมอ

เมื่อก่อนทำงานที่ราษฎบูรณะ จะเห็นรถรับส่งนักเรียนสีเหลือง รูปทรงเท่ห์มากคล้ายกันกับรถนักเรียนในสหรัฐอเมริกา เวลาผมนั่งรถเมล์ไปทำงาน หรือวันไหนที่ไปใส่บาตร จะเห็นรถคันนี้ประจำ วิ่งรับส่งนักเรียนแถววัดสน กับ เส้นราษฎบูรณะ ส่งเสร็จแล้วก็จะมาจอดที่ ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ จอดหลังตึก 

เคยแอบไปมองดูข้างในรถ มีจอทีวี มีที่นั่งไม่เยอะมาก ตกแต่งข้างในกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กดี 

เคยถามประวัติรถคันนี้ เค้าบอกเป็นแนวคิดของคุณปั้น เห็นนักเรียนแถวนี้ต้องตากแดดตากฝนขึ้นรถเมล์ ค่าครองชีพก็สูงขึ้น เลยทำเป็นรถคันนี้ขึ้นมา มีสองสาย จำได้ว่า วัดสน อีกสายหนึ่งจำไม่ได้ บริหารโครงการนี้โดยมูลนิธิ ไม่ใช่ธนาคารทำเองโดยตรง ให้บริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย 

จะหาข่าวหรือหาข้อมูลโครงการนี้ก็มีไม่เยอะมาก ทั้งๆที่โครงการนี้ทำมานาน ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ทำมานานมากๆทำต่อเนื่องน่าจะใช้งบประมาณไม่น้อย แต่บนตัวรถเองก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเป็นโครงการของธนาคารกสิกรไทย เป็นโครงการทำตั้งใจทำจริงๆไม่ได้ทำเอาหน้าเอาตา ก็น่าจะพูดอย่างนี้ได้ เป็นหนึ่งในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมจริงๆ 

เคยอ่านข่าวเรื่องธุรกิจรถบัสในประเทศไทยเป็นธุรกิจใหญ่โตมาก แต่ธุรกิจรถรับส่งนักเรียนในไทยมีแค่เจ้าเดียวที่นึกออก คือ Montri เป็นบริษัททำรถนักเรียนในกรุงเทพ ทำมานานมาก ด้วยความที่ทำรถให้มีมาตรฐานดีมากเลยได้รับเลือกเป็นรถรับส่งนักเรียน รถทัศนศึกษาของโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ แต่ทำมานานขนาดนี้ มูลค่าธุรกิจที่ขายไปให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพียงแค่ 300 ล้านเอง ( เนชั่นNBC เป็นคนซื้อ)

เรื่องรับส่งนักเรียนนี่เป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงในประเทศไทยมายาวนานมากๆ แต่แทบไม่มีการแก้ไข เพราะมูลค่าทางธุรกิจไม่มาก หากจะทำให้มีคุณภาพราคาก็สูง สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกให้พ่อแม่ผู้ปกครองเลือกกลายเป็นการต้องไปรับส่งเอง เป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล พ่อแม่ทุกคนรู้ดี

ผมเชื่อว่าคุณปั้นตอนตั้งโครงการนี้ก็คิดแบบเดียวกัน ช่วยประหยัดต้นทุนให้คนในชุมชน สังคมชุมชนรอบสำนักงานใหญ่ก็จะดี เมืองไทยจะน่าอยู่มากขึ้นถ้าทุกคนคิดแบบนี้ 

สทนช. ออกประกาศเตือนคน 3 ลุ่มน้ำ เจ้าพระยา-ท่าจีน-แม่กลอง เฝ้าระวังน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุน-น้ำเหนือไหลบ่า พื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ประกาศให้เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 13 – 24 ตุลาคม 2567

เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับมวลน้ำหลากจากตอนบนของลุ่มน้ำไหลลงมาสมทบส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น 

มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) 

จึงขอให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม

‘ธนกร’ อัดเต็มแรงใส่ ‘ธนาธร’ ละเมิดกฎหมายไม่ใช่ความเสมอภาค ย้ำชัด ๆ สถาบันฯ อยู่เหนือการเมือง หยุดหนุนหลังคนออกมาก้าวล่วง

(7 ต.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า พูดบนเวทีงานรำลึกครบรอบ 48 ปี 6 ตุลาฯ 2519 ที่พูดถึงความเสมอภาคในสังคมไทย ว่า 

การพูดถึงเรื่องคดีความต่าง ๆ ที่บุคคลกระทำความผิด ก็สมควรที่จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่คดีที่พรรคการเมืองถูกตัดสินยุบพรรคและบุคคลที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น 

ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องการสร้างประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยให้มีสิทธิ เสรีภาพ มีความเจริญก้าวหน้ามีความเสมอภาคเท่าเทียม อย่างที่นายธนาธรกล่าวอ้าง  แต่เป็นการทำผิดละเมิดกฎหมายหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง เพราะไม่ใช่กับบุคคลธรรมดาแต่เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์ประมุขของรัฐ ถือเป็นความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง 

เมื่อถามว่าเหตุใดนายธนาธรถึงกล้าพูดชัดว่า ปี 2563-2564 รวมถึงการหาเสียงเรื่องการแก้ ม.112 ในปี 2566 มีการพูดเรื่องนี้อย่างกว้างขวางในสังคม ถือเป็นความก้าวหน้าของประเทศไทย และรู้สึกตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น 

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการพูดของนายธนาธรครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยเจตนาเบื้องลึกเบื้องหลัง หรือ ธาตุแท้อย่างชัดเจน เพราะพูดด้วยความภาคภูมิใจ เสมือนหนึ่งว่าได้ร่วมสร้าง ประวัติศาสตร์นี้ขึ้นมา เพื่อให้สังคม กล้าพูด กล้าวิพากษ์วิจารณ์เบื้องสูงได้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งตน ก็สงสัยและตั้งคำถามเหมือนกันว่าเป็นความก้าวหน้าของประเทศตรงไหน 

พร้อมขอตั้งข้อสังเกตและวิเคราะห์จากคำพูดนายธนาธร มองว่าความคิดในลักษณะนี้เป็นความไม่ปลอดภัยของชาติบ้านเมือง เพราะไม่มีคนไทยที่รักประเทศชาติ รักสถาบันฯ คนไหนเขาคิดกันแบบนี้  และตนไม่เห็นผู้นำพรรคการเมือง หรือองค์กร หน่วยงานใด สนับสนุนให้คนจาบจ้วงก้าวล่วงสถาบัน ซึ่งเป็นการทำลายชาติแบบนี้

“ขอย้ำว่าสถาบันฯอยู่เหนือการเมือง และอย่านำเรื่องนี้ มาเกี่ยวโยงอ้างประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะเป็นคนละเรื่องกัน พี่น้องประชาชนชาวไทย ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ เพราะทุกวิกฤตตั้งแต่ ภัยธรรมชาติ ภัยโรคระบาด ไปจนถึงวิกฤตเศรษฐกิจ สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงไม่เคยทิ้งคนไทยเลย  จึงขอให้นายธนาธรและพวกทบทวนแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองเสียใหม่ อย่าเป็นพวกจาบจ้วง เซาะกร่อนบ่อนทำลายชาติ เห็นผิดเป็นชอบ หยุดพยายามโน้มน้าวให้คนไทยเห็นดำเป็นขาวแบบนี้เลย ถ้านายธนาธรบอกว่า อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีจริงๆ หยุดเถอะครับ หันไปทุ่มสรรพกำลัง นำกำลังคน สิ่งของไปช่วยพี่น้องที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในภาคเหนือจะดีกว่า“ นายธนกร ระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top