Tuesday, 10 June 2025
Hard News Team

สภาเอสเอ็มอีเข้าพบรองนายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและยกระดับศักยภาพ SMEs  

เมื่อวานนี้ (10 ต.ค.67) คุณสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) พร้อมด้วย คุณชนพงษ์ รุ่งกิจวัฒนกุล รองประธานอาวุโส คุณรมนต์อร บุญเรือง เลขาธิการ และคณะกรรมการบริหาร เข้าพบท่านประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้รับมอบหมายจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี มาหารือในการประชุมครั้งนี้ ณ ห้องประชุม 302 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

คุณสุปรีย์ นำเสนอว่าประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในปัจจุบัน เกิดจากการนิยามและการจำแนกประเภทของ SMEs ที่ไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้ความช่วยเหลือที่ภาครัฐส่งลงมาช่วย SMEs ไปไม่ถึง SMEs ดังนั้น จึงเสนอให้มีการยกร่างกฎหมายให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการ SMEs ในรูปแบบ พระราชบัญญัติสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ที่เป็นกฎหมายใหม่ซึ่งสภาเอสเอ็มอีได้เตรียมร่างเอาไว้แล้ว และกำลังมีกระบวนการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยการรับฟังความเห็นจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น ภาคีเครือข่ายที่เป็นตัวแทนของคลัสเตอร์ธุรกิจต่าง ๆ  ตัวแทนจังหวัด นักวิชาการ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ สภาเอสเอ็มอีปรับโครงสร้างการบริหารโดยเพิ่มด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ เข้ามาเพื่อส่งเสริมและยกระดับความสามารถของ SMEs ด้านดิจิทัลทั้งระบบนิเวศ (Digital Ecosystem) ให้สอดรับกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ซึ่งการค้าบนโลกออนไลน์นั้น การสร้างอัตลักษณ์หรือแบรนดิ้ง (Branding) ให้กับสินค้านั้นมีความจำเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นก็จะถูกลอกเลียนแบบและแทนที่ได้โดยง่าย ส่งผลให้ SMEs ไม่สามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง และยั่งยืน

จากสถานการณ์ภัยคุกคามจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติในปัจจุบัน สภาเอสเอ็มอีเสนอว่าไทยควรจะมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของประเทศ (National Platform) โดยนำ Thailand Post Mart กลับมาปรับปรุงและใช้งานให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น เนื่องจากมีจุดแข็งที่เครือข่ายของไปรษณีย์ไทยมีอยู่ในทุกอำเภอทั่วประเทศ มีเครือข่ายโลจิสติกส์ที่เข้มแข็งที่สุดในประเทศ พนักงานมีความชำนาญในพื้นที่ ฯลฯ ที่มีความได้เปรียบกว่าแพลตฟอร์มข้ามชาติ สภาเอสเอ็มอีและสมาคมสายเทคโนโลยีพร้อมเข้ามาช่วยในการพัฒนาได้

ดร.สุทัด ครองชนม์ รองประธานสภาเอสเอ็มอี และนายกสมาคมไทยไอโอที (Thai IoT) นำเสนอแนวทางการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตประสานสรรพสิ่ง (IoT) มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะภาคการผลิต ซึ่งสามารถนำเทคโนโลยีมาลดต้นทุนในกระบวนการผลิตได้ อีกทั้งยังสามารถปรับปรุงจากโรงงาน 2.0 เป็นโรงงาน 4.0 ได้ ด้วยงบประมาณที่ไม่สูงมาก จึงอยากเสนอให้ท่านพิจารณางบประมาณโครการดังกล่าวลงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

คุณอนุสรณ์ ลัภนะก่อเกียรติ รองประธานอาวุโสสภาเอสเอ็มอี และประธานกรรมการบริหารสมาคมเทคโนโลยีดิจิทัล ให้ข้อมูลว่า ในแต่ปีมีผู้ประกอบการในระบบจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 7-8 หมื่นราย ขณะที่มีการจดทะเบียนเลิกกิจการ 2 หมื่นราย สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจ SMEs นั้นขาดศักยภาพในการเติบโต สอดคล้องกับข้อมูลที่พบว่ามีผู้ประกอบการขนาดเล็ก (S) จำนวน 860,000 ราย ขณะที่มีผู้ประกอบการขนาดกลาง (M) เพียง 40,000 ราย หมายความว่า มี SMEs รายเล็กจำนวนน้อยมากที่สามารถเติบโตไปเป็นขนาดกลางได้ ทั้งนี้ ที่มาของรายได้จะประกอบไปด้วย B2G, B2B, และ B2C ซึ่งภาครัฐจะสามารถเข้ามาช่วย SMEs ได้ด้วยการให้แต้มต่อกับ SMEs จากช่องทาง B2G ผ่านโครงการ SME-GP

ในภาพรวมของผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) ถึงรายเล็ก (Small) ประกอบไปด้วย
1. Skill ให้องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่เป็น Specialize ของแต่ละกิจการ
2. Tool เครื่องมือในการประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจปัจจุบัน
3. Financial การเข้าถึงแหล่งเงินทุนภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรน

คุณสุปรีย์ สรุปแนวทางการพัฒนายกระดับ SMEs ดังนี้
1. ให้ความช่วยเหลือเป็นองค์รวมแบบ Supplier to Business to Customer (S2B2C) ที่ประสบความสำเร็จในจีน โดยต้องมีความพร้อมและพัฒนาทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) ด้านอีคอมเมิร์ซ ไลฟ์คอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์
2. จูงใจให้ธุรกิจนอกระบบกว่า 2 ล้านกิจการ ให้เข้ามาอยู่ในระบบ (ปัจจุบันในระบบมีอยู่ประมาณ 1 ล้านราย)

ท่านรองนายกรัฐมนตรี ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันกำลังอยู่ในกระบวนการยกร่างกฎหมายไปรษณีย์ไทยที่มีมาแล้วเกือบ 100 ปี ทั้งนี้ เห็นด้วยกับแนวทางการนำแพลตฟอร์มของไปรษณีย์มาปรับปรุงและนำเอาสินค้า SMEs มาเสริมในแพลตฟอร์มดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ให้นโยบายกับ สสว. ไว้เรื่องการปรับเปลี่ยน SMEs จากอุตสาหกรรมโลกเก่าไปเป็นอุตสาหกรรมโลกใหม่ การปิดช่องว่างของซัพพลายเชน และการนำเอา Soft Power มาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ดังนั้น ท่านรองนายกได้กล่าวสรุปการหารือครั้งนี้
1. นำเรื่องที่หารือกันในวันนี้เข้าที่ประชุมบอร์ด สสว. โดยเชิญผู้บริหารไปรษณีย์ไทยและสภาเอสเอ็มอีเข้าร่วมรับฟังด้วย
2. จัดกิจกรรม Workshop โดยแบ่งวงย่อยประมาณ 3-4 กลุ่ม เพื่อหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องในแต่ละหัวข้อ อาทิ ภัยคุกคามจากต่างชาติ, ปัญหาและอุปสรรค, กฎหมาย SMEs และ ระบบนิเวศ (Ecosystem)

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในโอกาสแสดงความยินดีที่เข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภา 

เมื่อวันที่ (10 ต.ค.67) เวลา 13.30 นาฬิกา นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรองนายรอเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก (H.E. Mr. Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในโอกาสแสดงความยินดีที่เข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภา โดยมีนายโสภณ มะโนมะยา รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ คนที่สอง นายชิบ จิตนิยม รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ คนที่ห้า และนายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ รองประคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม คนที่ห้า ร่วมให้การรับรอง 

ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลา 191 ปี มีการพัฒนาที่ก้าวหน้าและมีพลวัตสูงขึ้น วุฒิสภาพร้อมที่จะร่วมมือกับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาในการส่งเสริมความสัมพันธ์และผลักดันความร่วมมือทั้งกรอบรัฐสภา สาธารณสุข และความมั่นคงเพื่อเพิ่มพูนมิตรภาพระหว่างประชาชนให้มีพลวัตต่อเนื่องและก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ สำหรับด้านเศรษฐกิจ ยินดีที่ทั้งสองประเทศผลักดันกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก และเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจไปด้วยกัน 

ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณประธานวุฒิสภาที่ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งแสดงความยินดีในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภา สหรัฐอเมริกามีความมุ่งมั่นที่จะสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาในด้านต่าง ๆ และพร้อมจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับวุฒิสภา คณะกรรมาธิการต่าง ๆ ซึ่งจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งและความเจริญในหลายด้าน และมีความยินดีที่จะหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา ทั้งในเรื่องการพัฒนาความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนความรู้ด้านระบบรัฐสภา ด้านการบริหารราชการโดยยึดหลักธรรมาภิบาล สำหรับมิติทางด้านเศรษฐกิจ เป็นที่น่ายินดีที่บริษัทเอกชนของสหรัฐอเมริกาสนใจมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัท Google จะเข้ามาลงทุนในไทยซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ควรมีมาตรการส่งเสริมและจูงใจให้นักลงทุนสหรัฐอเมริกาเข้ามาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น 

เอกอัครราชทูตฯ กล่าวแสดงความเสียใจในนามของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต่อสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ทางภาคเหนือของไทย ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกามีความยินดีที่จะแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและขยายความร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม สำหรับด้านการศึกษามีความสำคัญอย่างมากสหรัฐอเมริกาพร้อมขยายความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนการศึกษาระดับอุดมศึกษา อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาและการวิจัยให้มีการแลกเปลี่ยนกันกว่า 50 แห่ง รวมทั้งบริษัทเอกชนที่จะมาอบรมความรู้เกี่ยวกับ AI เทคโนโลยีเพื่อให้มีทักษะทางด้านวิชาชีพที่เหมาะกับความต้องการของโลกต่อไป

ประธานวุฒิสภากล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ต่อสถานการณ์น้ำท่วมของไทย ทั้งนี้ ไทยกำลังพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเกิดภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วม สึนามิ ที่สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบทั่วโลก ซึ่งขณะนี้รัฐสภาไทยกำลังขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม รัฐสภาสู่ Net Zero นอกจากนี้ สมาชิกวุฒิสภาได้ร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็นเขตการค้าเสรี FTA และ OECD รวมถึงด้านแรงงาน การพัฒนาทักษะให้กับแรงงานไทย และการส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาด้านภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนไทย

11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ‘กบฏบวรเดช’ การก่อกบฏครั้งแรกของชาติไทย ศึกชิงอำนาจ ‘ขุนนางเก่าฝ่ายอนุรักษ์ฯ กับ คณะราษฎร’

เหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” เกิดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2476 ถือเป็นการก่อกบฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างขุนนางเก่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายคณะราษฎรผู้ทำการอภิวัตน์การปกครองในปี 2475

โดยคณะทหารในนาม “คณะกู้บ้านกู้เมือง” นำโดย “พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช” อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม “พลตรี พระยาจินดาจักรรัตน์ (เจิม อาวุธ)” “พลตรี พระยาทรงอักษร (ชวน ลิขิกร)” และ “พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ)” ได้นำกองกำลังทหารหัวเมืองจากนครราชสีมา สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา บุกเข้ายึดดอนเมืองและพื้นที่ทางด้านเหนือของพระนคร โดยตั้งกองอำนวยการใหญ่อยู่ที่สโมสรทหารอากาศ กรมอากาศยาน ดอนเมือง ระหว่างวันที่ 11 - 25 ตุลาคม 2476

แล้วยื่นหนังสือเรียกร้องให้ฝ่ายรัฐบาลลาออก โดยอ้างเหตุผลว่า คณะรัฐมนตรีปล่อยให้มีการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และไม่พอใจที่ “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)” ซึ่งคณะผู้ก่อการมองว่ามีความคิดแบบคอมมิวนิสต์ กลับมาร่วมคณะรัฐบาล

“พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)” นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ตอบปฏิเสธและส่งกำลังกองผสมนำโดย “หลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป.พิบูลสงคราม)” เข้าปราบปรามจนได้ชัยชนะในวันที่ 25 ตุลาคม 2476

จากนั้น “พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช” ได้เสด็จลี้ภัยการเมืองไปยังอินโดจีนของฝรั่งเศส ต่อมารัฐบาลได้ก่อสร้าง “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” (คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ “อนุสาวรีย์หลักสี่”) ขึ้นที่บริเวณหลักสี่ เขตบางเขน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ปราบกบฏในครั้งนี้

ผู้บริหารวอร์นเนอร์มิวสิคฯ เข้าขอโทษศาลรัฐธรรมนูญ ปมโพสต์ภาพแอปเปิลเน่าด้อยค่า ‘ตุลาการศาล รธน.’

ศาลรัฐธรรมนูญ แจงผู้บริหารบริษัทวอร์นเนอร์มิวสิคฯ เข้าขออภัยต่อคณะตุลาการแล้ว กรณีเผยแพร่รูปภาพตัดต่อและถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม กระทบต่อตุลาการศาล รธน.จะนำเหตุการณ์เป็นบทเรียนและเครื่องเตือนใจไม่ให้เกิดขึ้นอีก

(10 ต.ค.67) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ออกเอกสารข่าวเผยแพร่ ระบุว่า ผู้แทนบริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้าพบเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงความเสียใจและขออภัยต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีเผยแพร่ภาพและข้อความที่ไม่เหมาะสม ซึ่งตามที่ปรากฏข่าวเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 เพจเฟซบุ๊ก Warner Music Thailand ซึ่งเป็นบัญชีโซเชียลทางการของบริษัทดังกล่าวได้โพสต์รูปของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ดัดแปลงตัดต่อโดยใช้ผลแอปเปิลเน่าสีเขียวแทนใบหน้าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และมีถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมประกอบภาพ ต่อมาในวันที่ 11 สิงหาคม เพจ ดังกล่าวได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งได้ลบภาพกับข้อความข้างต้นออก

ซึ่งบริษัทได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้น และแสดงความเสียใจ และขออภัยในวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. โดยมี นายคาล นิทัศน์ คงขำ กรรมการ ผู้มีอำนาจของบริษัทดังกล่าวพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าพบนายสุทธิรักษ์ ทรงวิไล เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและผู้บริหารของสำนักงาน เพื่อแสดงความเสียใจและขออภัยต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางบริษัทระบุว่าจะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนและเครื่องเตือนใจเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก

ไทย ได้เป็นสมาชิก ‘คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน UN’ คว้าคะแนนสูงสุดในกลุ่มประเทศเอเชีย – แปซิฟิก

(10 ต.ค.67) ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี 2568-2570 จากการลงคะแนนเลือกตั้งในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ด้วยคะแนนสูงสุดถึง 177 คะแนน ในกลุ่มประเทศเอเชีย – แปซิฟิก ซึ่งถือเป็นคะแนนสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในภูมิภาค

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิก UNHRC ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 โดยจะมีวาระ 3 ปี ร่วมกับประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับเลือก รวมทั้งสิ้น 18 ประเทศ ได้แก่ ไทย เบนิน โบลิเวีย โคลอมเบีย ไซปรัสเช็ก คองโก เอธิโอเปีย แกมเบีย ไอซ์แลนด์ เคนย่า หมู่เกาะมาร์แชลล์ เม็กซิโก มาเซโดเนียเหนือ กาตาร์ สเปน เกาหลีใต้ และสวิตเซอร์แลนด์

“รัฐบาลเชื่อมั่นว่าการมีส่วนร่วมในฐานะสมาชิก UNHRC จะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ พร้อมเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยการได้รับเลือกครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเด็นสิทธิมนุษยชนในเวทีโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะทำงานอย่างแข็งขันร่วมกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชน ร่วมกันต่อไป” นายจิรายุ กล่าว

ในอดีตประเทศไทยเคยดำรงตำแหน่งสมาชิก UNHRC ระหว่างปี 2553 -2556 โดยประเทศไทย ได้ดำรงตำแหน่งประธาน UNHRC ระหว่างเดือนมิถุนายน 2553 ถึงเดือนมิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการทบทวนสถานะ และการทำงานของ UNHRC ซึ่งประเทศไทย ในฐานะประธานฯ ได้นำการหารือ และเจรจาจนสามารถบรรลุฉันทามติในเรื่องดังกล่าวได้

นอกจากนั้น ประเทศไทยในฐานะสมาชิก UNHRC เมื่อปี 2554 ยังได้ริเริ่มการเสนอข้อมติรายปีหลายเรื่อง โดยเฉพาะการสนับสนุนความร่วมมือทางวิชาการ และการเพิ่มขีดความสามารถในด้านสิทธิมนุษยชน (Enhancement of Technical Cooperation and Capacity Building in the Field of Human Rights) ในกรอบ HRC ซึ่งไทยยังคงเป็นผู้ยกร่าง (penholder) ของข้อมติดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน

ต่างชาติ แห่เที่ยวไทย 9 เดือน ทะลุ 26 ล้านคน โกยรายได้เข้าประเทศกว่า 1.2 ล้านล้านบาท

กระทรวงท่องเที่ยว อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 6 ต.ค. 2567 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 26 ล้านคนแล้ว สร้างรายได้จากการใช้จ่ายต่างชาติแล้ว 1,244,099 ล้านบาท 

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม –6 ตุลาคม 2567 พบว่า  ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทยแล้วทั้งสิ้น 26,643,454 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,244,099  ล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
จีน 5,388,047 คน
มาเลเซีย 3,820,087 คน
อินเดีย 1,568,430 คน
เกาหลีใต้ 1,416,015 คน
รัสเซีย  1,181,442 คน

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึง สถานการณ์การท่องเที่ยวระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567 พบว่า ปัจจุบันไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแตะระดับ 26,643,454 คน โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มตลาด โดยเพิ่มขึ้นจำนวน 7.78 % จากสัปดาห์ก่อนหน้า

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น 33.87 % นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ที่เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 19.54 % จากการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดต่อเนื่องในวันชาติของทั้ง 2 ประเทศ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) เดินทางเข้ามาจำนวน 479,900 คน หรือเพิ่มขึ้น 6.77 % จากสัปดาห์ก่อนหน้า

ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เดินทางเข้ามาจำนวน 158,259 คน หรือเพิ่มขึ้น 10.98 % จากการเริ่มกลับมาเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป และสหรัฐอเมริกา

ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์นี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 638,159 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 46,090 คน หรือ 7.78 % คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 91,166 คน

โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ นักท่องเที่ยวจีน 160,474 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 33.87 %  นักท่องเที่ยวมาเลเซีย 85,240 คน ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6.43 % นักท่องเที่ยวอินเดีย 37,718 คน ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 17.46 % นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ 37,541 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 19.54 % และนักท่องเที่ยวลาว 25,080 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 7.09 %

สำหรับในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การมีวันหยุดในประเทศเกาหลีใต้ การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวก่อนวันหยุดเนื่องในวันชาติจีน การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ที่ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น

“ฉันดีใจเหลือเกินที่ได้สวมใส่ชุดไทยและได้รับรู้ถึงบุคคลสำคัญในประเทศไทย ‘ท้าวสุรนารี’ คือต้นแบบของความกล้าหาญ สง่างาม เสียสละ ฉันรักคุณประเทศไทย”

บัญชีอินสตาแกรมของมิสแกรนด์กานา @officialmissgrandghana ได้เผยแพร่ข้อความของ Sage La'Parriea Yakubu มิสแกรนด์กานา 2024 ภายหลังจากที่ภาพเธอสวมชุดไทยขณะเยี่ยมชมวัดอรุณราชวรารามกลายเป็นไวรัล เนื่องจากหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าเธอดูละม้ายคล้ายคลึงกับ ท้าวสุรนารี หรือ ย่าโม ของชาวโคราชและชาวไทยนั่นเอง

โดยเธอได้เขียนข้อความเป็นภาษาไทย ว่า

“สวัสดีค่ะ ประเทศไทย ขอบคุณที่ให้การต้อนรับและมอบความรักให้กับพวกเรา ฉันดีใจเหลือเกินที่ได้สวมใส่ชุดไทยและได้รับรู้ถึงบุคคลสำคัญในประเทศไทย ‘ท้าวสุรนารี’ คือต้นแบบของความกล้าหาญ สง่างาม เสียสละ ฉันในฐานะมิสแกรนด์กานา ขอยก ‘ท้าวสุรนารี’ เป็นบุคคลที่น่าเคารพเป็นอย่างยิ่ง ฉันรักคุณ ประเทศไทย”

กองทัพเรือ โดยหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จัดกิจกรรมจิตอาสาบริจาคโลหิต 'เนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2567'

(10 ต.ค.67) เมื่อเวลา 09.00 น. นาวาเอก ธเนตร อนามธวัช รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นผู้แทน พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง นำกำลังพล ร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 35 นาย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2567 เพื่อทดแทนโลหิตในกรุ๊ปที่ขาดแคลน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการใช้รักษาผู้ป่วย ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

วันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวัน 'นวมินทรมหาราช' เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ กำหนดชื่อวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ว่า 'วันนวมินทรมหาราช' ตามที่รัฐบาลได้ขอพระราชทานพระมหากรุณา และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 รับทราบการกำหนดให้ วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็น 'วันนวมินทรมหาราช' ซึ่งแปลว่า วันที่ระลึกถึงพระมหาราชรัชกาลที่ 9 ผู้ยิ่งใหญ่

ปทุมธานี ผู้ว่าฯ ปทุมธานี พบปะเยาวชน โครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และนำความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนาบ้านเกิด

(10 ต.ค.67) เวลา 09.30 น. นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ต้อนรับกลุ่มเยาวชนในโครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ที่มาพักอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในจังหวัดปทุมธานี พร้อมให้โอวาทให้เยาวชนทุกคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์และสิ่งที่ดี นำไปพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดี นำความรู้ประสบการณ์ไปพัฒนาสังคมบ้านเกิดให้มีความเจริญก้าวหน้า โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้กล่าวขอบคุณครอบครัวอุปถัมภ์ ทั้ง 19 ครอบครัวที่ดูแลเยาวชนเป็นอย่างดี และมอบของที่ระลึกให้แก่เยาวชนฯ โดยมี นางสาวกันตรัตน์ เริ่มสูงเนิน ปลัดจังหวัดปทุมธานี  หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมบัวหลวง ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี  

ทั้งนี้ โครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ได้นำเยาวชน จำนวน 320 คน จาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอนาทวี จะนะ เทพา และอำเภอสะบ้าย้อย) มาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ที่นับถือศาสนาอิสลามในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง โดยมีเยาวชนมาพักอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในจังหวัดปทุมธานี ระหว่างวันที่ 2 – 15 ตุลาคม 2567 รวม 38 คนเป็นชาย 12 คน และหญิง 26 คน โดยพักอาศัยในพื้นที่อำเภอคลองหลวง จำนวน 8 ครอบครัว เยาวชนอิสลามเพศชาย จำนวน 8 คน เยาวชนอิสลามเพศหญิง จำนวน 6 คน และเยาวชนพุทธเพศหญิง จำนวน 2 คน รวม 16 คน อำเภอธัญบุรี จำนวน 4 ครอบครัว เยาวชนพุทธเพศหญิง จำนวน 8 คน รวม 8 คน  อำเภอหนองเสือ จำนวน 6 ครอบครัว เยาวชนอิสลามเพศชาย จำนวน 4 คน และเยาวชนอิสลามเพศหญิง จำนวน 8 คน รวม 12 คน และอำเภอลาดหลุมแก้ว จำนวน 1 ครอบครัว เยาวชนอิสลามเพศหญิง จำนวน 2 คน และมีกิจกรรมนำคณะเยาวชนไปทัศนศึกษา ณ แหล่งเรียนรู้และสถานที่สำคัญต่างๆ ในพื้นจังหวัดปทุมธานี  พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้ศึกษาเรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และเข้าค่ายเปิดโลกการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ฯ ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ คลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

นันยาง มอบรายได้รวมกว่า 3.2 แสนบาท สมทบทุนโครงการ ‘หมูเด้งช่วยผู้ประสบอุทกภัย’

(10 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ นันยาง Nanyang ได้เผยแพร่โพสต์ความว่า 

ขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมกับรองเท้าแตะหูคีบธรรมดาที่เกิดจากความน่ารักและใจดีของเพื่อนคู่ซี้ 'ช้างดาว' กับฮิปโปน้อย 'หมูเด้ง' สองเพื่อนซี้ที่ใจดีและชอบช่วยเหลือสัตว์อื่น ที่ตั้งใจทำรองเท้าแตะที่เด้งได้เหมือน 'หมูเด้ง' ที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสความสนุก ใครใส่ก็เด้งได้เหมือนหมูเด้ง!

จากรองเท้าธรรมดา ๆ จึงกลายเป็นของที่ใคร ๆ ก็อยากมี เพราะใส่แล้วรู้สึกเหมือนได้เล่นสนุกกับช้างดาวและหมูเด้งทุกวัน! นี่คือที่มาของ 'รองเท้าแตะช้างดาว หมูเด้ง Edition' รองเท้าธรรมดาใส่แล้วเด้งได้ เกิดจากความน่ารักและใจดีของเพื่อนคู่ซี้ ที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสความสนุก ใครใส่ก็เด้งได้เหมือนหมูเด้ง สนุกสุด ๆ ทั่วทั้งป่า!

สุดท้าย ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับเจ้าของช้างดาวหมูเด้งทุกท่านที่จะได้สนับสนุน 'โครงการหมูเด้ง ชวนช่วยผู้ประสบอุทกภัยและดูแลสวัสดิภาพเพื่อนสัตว์' ของ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

โดยทางเฟซบุ๊กแฟนเพจได้รายงานอีกว่ารองเท้าคอลเลกชัน ‘ช้างดาว หมูเด้ง’ สามารถทำยอดขายได้รวม16,372 คู่

ต่อมาทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง’ ได้รายงานว่า 

ผู้บริหารกลุ่มบริษัทนันยางได้มอบเงิน 327,440 บาท จาก การจำหน่ายรองเท้านันยาง รุ่นพิเศษ หมูเด้ง จากยอดสั่งจอง 16,372 คู่ เพื่อร่วมโครงการหมูเด้งชวนช่วยผู้ประสบอุทกภัยและช่วยเหลือสวัสดิภาพสัตว์ป่า องค์การสวนสัตว์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top