The king armed only with his moral authority รัชกาลที่ 9 เป็นกษัตริย์ที่มีเพียงพระราชสิทธิอำนาจทางศีลธรรมเป็นอาวุธ
(14 ต.ค. 67) นิตยสารไทมส์ (Time Magazine) ได้กล่าวยกย่อง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของคนไทย

(14 ต.ค. 67) นิตยสารไทมส์ (Time Magazine) ได้กล่าวยกย่อง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของคนไทย
(14 ต.ค. 67) หากคิดว่าหางานใน ‘ไทย’ ยากแล้ว ใน ‘จีน’ กลับยิ่งหางานยากกว่ามาก แม้มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่หนุ่มสาวจบใหม่ในจีนตอนนี้กลับหางานลำบากยิ่งนัก โดยอัตราว่างงานของหนุ่มสาวจีนในเดือนสิงหาคม “ทำสถิติใหม่” ที่ 18.8% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มใช้ระบบบันทึกสถิติใหม่ในเดือนธันวาคม โดยเพิ่มขึ้นจาก 17.1% ในเดือนกรกฎาคม
มีเรื่องราวของสาวจีนที่จบการศึกษามาไม่นาน เธอชื่อ สวี่อวี่ (Xu Yu) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกง และใช้เวลาหางานเป็นเวลา 5 เดือนแล้ว
แม้เธอจะมีผลการเรียนดีเยี่ยมและประสบการณ์ฝึกงานถึงสามครั้ง สวี่อวี่ก็ยังคงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อแข่งขันในตลาดงานที่ดุเดือด เธอลงทุนเงินกว่า 20,000 หยวน หรือราว 90,000 บาทเพื่อเข้าฝึกอบรมเทคนิคการสัมภาษณ์ แต่กลับต้องเผชิญกับความผิดหวังเมื่อได้รับจดหมายปฏิเสธจากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Tencent Holdings และ JD.com
ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ ถังฮุ่ย (Tang Hui) เธอได้รับข้อเสนองานด้านบัญชีจากผู้ผลิตรถพลังงานใหม่ชั้นนำก่อนจบการศึกษา แต่ต่อมาบริษัทได้ยกเลิกข้อเสนอทั้งหมดให้กับผู้จบใหม่ ถังฮุ่ยได้รับเงินชดเชยเป็นค่าแรงหนึ่งเดือน แต่หลังจากนั้น แม้ว่าเธอจะสมัครงานไปกว่า 50 บริษัทแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ได้รับข้อเสนอใด ๆ กลับมา เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของบัณฑิตใหม่จีนหลังจบการศึกษา
ในปีนี้ เหล่าบัณฑิตจีนที่จบออกมามีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11.8 ล้านคน และกำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานที่อ่อนแอที่สุดที่จีนเคยเผชิญมาหลายปี จากการที่บรรดาบริษัทด้านอินเทอร์เน็ต การศึกษา และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกระดูกสันหลังของจีน ตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง
ยกตัวอย่าง ‘เหล่าบริษัทเทคโนโลยี’ อย่าง Alibaba, Tencent และ Baidu ก่อนหน้านี้เคยขยายการจ้างงาน แต่ปัจจุบันตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง โดย Alibaba ตัดพนักงานลงมากกว่า 13%
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ ‘ธุรกิจกวดวิชา’ ที่เคยเป็นดาวรุ่ง ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร รัฐบาลออกระเบียบลดภาระการบ้านและการติวหลังเลิกเรียน อีกทั้ง ‘ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์’ ที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนจีดีพีจีนก็ยังคงซบเซา จนทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของงานทั้งหมดในอุตสาหกรรมนี้ได้หายไปในปีนี้
ส่วนอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น พลังงานทดแทนและเซมิคอนดักเตอร์ ยังไม่สามารถทดแทนด้านการจ้างงานได้ เพราะการสรรหาบุคลากรเหล่านี้ ‘ต้องการความสามารถเฉพาะทาง’ ซึ่งมักมีวุฒิขั้นสูง เช่น BYD ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า ในปีนี้ได้ลดการรับสมัครนักศึกษาลงมากกว่าครึ่งจาก 30,000 คนในปี 2023
หลายคนอาจมีค่านิยมว่า จบจากมหาวิทยาลัยดังมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ปัจจุบันนี้อาจไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอีกต่อไป หลายบริษัทต้องการคนมีประสบการณ์และเคยผ่านงานด้านนั้นมากกว่า
จากที่เคยเป็นเพียงส่วนเสริม ‘ประสบการณ์การฝึกงานที่ผ่านมา’ ได้กลายเป็นปัจจัยชี้ขาดโอกาสในการทำงาน หลิว จื่อเฉา (Liu Zichao) บัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงน้อยกว่า ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อนี้ เมื่อเขาคว้าตำแหน่งงานเทคโนโลยีมาครองได้สำเร็จหลังจากฝึกงานที่ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok
เรื่องราวของเขาสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่การฝึกงานเฉพาะทาง กำลังกลายเป็นตัวชี้วัดความสามารถที่สำคัญยิ่งกว่าวุฒิการศึกษา
นอกจากปัจจัยเศรษฐกิจจีนอันซบเซาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือ บัณฑิตจบใหม่หลายคนกำลังเผชิญปัญหาการหางานที่ไม่ตรงกับความสามารถของตนเอง โดยมีคุณสมบัติเกินกว่างานระดับล่าง แต่ขาดประสบการณ์สำหรับงานระดับสูง
ยิ่งไปกว่านั้น ความคาดหวังด้านอาชีพที่สูงขึ้นของบัณฑิตในปัจจุบัน กำลังทำให้ความไม่ลงรอยกันในตลาดแรงงานของจีนเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลหลายคนรายงานว่า ความทะเยอทะยานที่เกิดจากโซเชียลมีเดียสำหรับงานเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงได้นำไปสู่การเรียกร้องเงินเดือนที่สูงเกินจริง ทำให้บัณฑิตจำนวนมากไม่พอใจกับตำแหน่งงานที่มีอยู่
จาง (Zhang) ผู้จัดการทรัพยากรบุคคลกล่าวว่า บัณฑิตที่สอบข้าราชการไม่ผ่านมักเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่พร้อม และเรียกร้องเงินเดือนสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมมาก
ในทำนองเดียวกัน หยาง เจียน (Yang Jian) ซึ่งทำงานด้านการสรรหาบุคลากรสำหรับบริษัทอัตโนมัติขนาดเล็กกล่าวว่า ความคาดหวังที่ไม่สมจริงของบัณฑิตจบใหม่ และความลังเลในการยอมรับงานที่มีรายได้ต่ำกว่า ทำให้บริษัทของเธอหยุดรับสมัครบัณฑิตใหม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมามองดูมุมมองของเหล่าบัณฑิต ผู้หางานรุ่นใหม่รู้สึกไร้อำนาจในตลาดแรงงาน สวัสดิการพื้นฐานเช่น วันทำงานแปดชั่วโมงและประกันสังคมที่ได้รับกลับถูกมองว่าเป็นสิ่งหรูหรา โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีนพบว่า พนักงานรุ่นใหม่ทำงานหนักเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นการทำงานเฉลี่ย 251.9 ชั่วโมงต่อเดือน และมีความคุ้มครองด้านประกันสังคมที่ต่ำจากนายจ้าง
ด้วยภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และรู้สึกสิ้นหวังในตลาดแรงงาน ชาวจีนรุ่นใหม่จึงถอยกลับไปยังชนบท โดยหลังจากประกาศว่าตนถูกเลิกจ้าง ลาออก หรือว่างงาน ชาวจีนเจน Z และ Y ก็บันทึกชีวิตประจำวันแบบ ‘เกษียณอายุ’ ในชนบทของตนบนโซเชียลมีเดีย
เมื่อปีที่แล้ว ผู้เกษียณอายุที่ประกาศตนเองวัย 22 ปี ซึ่งใช้ชื่อแฝงว่า เหวินจือ ต้าต้า (Wenzi Dada) ได้ตั้งถิ่นฐานในกระท่อมไม้ไผ่ริมหน้าผาในมณฑลกุ้ยโจวของจีน เหวินจือ ซึ่งเคยทำงานในหลากหลายสาขา เช่น ซ่อมรถยนต์ ก่อสร้าง และการผลิต บอกกับสื่อท้องถิ่นว่าเขารู้สึกเหนื่อยกับการต้องจัดการกับเครื่องจักรทุกวัน จึงลาออกเพื่อกลับบ้านเกิด
นอกจากนี้ บัณฑิตบางคนหันไปทำงานอิสระ เช่น เป็นคนขับส่งของหรือพี่เลี้ยงเด็ก ในขณะที่อีกหลายคนก็เลื่อนการเข้าสู่ตลาดแรงงาน
(14 ต.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานประกอบการ SME จังหวัดตรังและจังหวัดพัทลุง เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมท้องถิ่น ต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุมชน และพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค ยกระดับให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ มุ่งเน้นด้านอาหารและหัตถกรรม พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับการ ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ ให้ความสำคัญ ‘Save อุตสาหกรรมไทย’ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมท้องถิ่นและต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุมชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โดยร่วมกับกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่สนับสนุนให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ SME โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขผ่อนปรน ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น สินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ (เสือติดปีก) และ สินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงินกู้รวม 1,900 ล้านบาท เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนและพัฒนาธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้คณะฯ ได้เยี่ยมชมร้าน กวนนิโตพาทิสเซอรี (KUANITO Patisserie) ในจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นกับเทคนิคการทำขนมแบบฝรั่งเศส โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ผ่านโครงการสินเชื่อเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก ให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและดึงดูดลูกค้าจากทั่วประเทศ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำวัฒนธรรมและวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และสามารถแข่งขันในตลาดระดับสากลได้ จากนั้น ได้เยี่ยมชมโรงงานแปรรูปไก่ของ บริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม จำกัด ในจังหวัดพัทลุง เป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล มีการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แช่แข็งไปยังหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป และมีการใช้แนวคิดตามหลัก ESG (Environment Social and Governance) ที่ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยวางหลักการทำงานว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ต้องพัฒนาชุมชนและสังคมให้เติบโตไปพร้อมกัน เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals: SDGs) และยังได้เยี่ยมชมหัตถกรรมกระจูดวรรณี & โฮมสเตย์ จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตงานหัตถกรรมกระจูดที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อใช้ในการจัดหาเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
"การสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจให้สามารถต่อยอดธุรกิจและสามารถแข่งขันได้ ถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับภูมิภาคโดยการนำเอกลักษณ์ท้องถิ่นไปสู่ระดับสากล เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนสู่เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน กระทรวงอุตสาหกรรม ยินดีให้การสนับสนุนในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้แข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่านความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เสริมและเพิ่มศักยภาพให้อุตสาหกรรมท้องถิ่น การแปรรูปอาหาร การท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรม ผลักดันไปสู่ซอฟต์พาวเวอร์ในพื้นที่ภาคใต้ ตามนโยบาย ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ ที่ให้ความสำคัญ ‘Save อุตสาหกรรมไทย’ อย่างยั่งยืน และสอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุนการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป" นายเอกนัฏกล่าวทิ้งท้าย
(14 ต.ค. 67) การประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายใต้ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 ได้รับความสนใจจากผู้ผลิตไฟฟ้าอย่างมาก เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนตามเทรนด์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งเป้าหมายสู่ Net Zero
สำหรับการประกาศรับซื้อรอบแรก 5,000 เมกะวัตต์ มีผู้สนใจยื่นขายไฟฟ้าถึง 15,000 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ภาครัฐประกาศรับซื้อเพิ่มอีก 3,000 เมกะวัตต์ โดยการประกาศรับซื้อรอบล่าสุดประกาศไป 2,100 เมกะวัตต์ ยังเหลืออีกบางส่วนที่รอประกาศเพิ่ม
นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ.เปิดเผยว่า สำนักงาน กกพ.กำหนดรายละเอียดการเพื่อประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายใต้ประกาศ กกพ.เรื่องรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 (เพิ่มเติม)
ทั้งนี้ ได้กำหนดให้เงื่อนไขและระยะเวลาการรับซื้อไฟฟ้าวันที่ 8 ต.ค.2567 โดยการไฟฟ้าประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการ กรอบเวลา 7 วัน จากนั้นสำนักงาน กกพ.ประกาศรายชื่อภายใน 30 วัน และจะมีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 180 วัน
นายพูลพัฒน์ กล่าวว่า กกพ.กำหนดเงื่อนไขให้สิทธิ์กลุ่มที่เคยยื่นข้อเสนอผลิตไฟฟ้าประเภทพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินภายใต้โครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบ FiT ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงจำนวน 198 ราย รวมปริมาณรับซื้อไฟฟ้า 5,203 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ได้ผ่านเกณฑ์พร้อมทางด้านเทคนิคขั้นต่ำ (Pass/Fail Basis) และได้รับประเมินความพร้อมตามเกณฑ์คะแนนคุณภาพ (Scoring) ภายใต้โครงการแต่ไม่ได้รับการคัดเลือกในโครงการดังกล่าว เนื่องจากการจัดหาไฟฟ้าได้ครบตามเป้าหมายแล้ว
สำหรับการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมดังกล่าวรวม 2,180 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานลมไม่เกิน 600 เมกะวัตต์ เป็นลำดับแรก และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ไม่เกิน 1,580 เมกะวัตต์
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมยื่นเสนอขายไฟสะอาดรอบ 2 ของสำนักงาน กกพ.โดยคาดว่าจะได้รับโครงการไม่ต่ำกว่า 20% ของจำนวนที่เปิดรับซื้อ โดยเบื้องต้นอาจร่วมมือกับพันธมิตร
นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดรับซื้อไฟสะอาดเฟส 2 กัลฟ์พร้อมเข้าร่วมเสนอราคาและหวังที่จะให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
สำหรับการเปิดรับรอบแรก 5,000 เมกะวัตต์ กัลฟ์เป็นผู้ชนะราว 3,000 เมกะวัตต์ โดยภาพรวมรายได้จะเริ่มเห็นในช่วงปีหน้าเป็นต้นไป ส่วนแผนลงทุน 5 ปีวางไว้อยู่ที่ 9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน 80% หรือที่ระดับ 7.5 หมื่นล้านบาท
“ปัจจุบันกำลังการผลิตรวมกลุ่มกัลฟ์ที่ COD ไปแล้วอยู่ที่ 1.4 หมื่นเมกะวัตต์ โดยหากรวมกำลังการผลิตในต่างประเทศด้วยจะมีอยู่ที่รวม 2.3 หมื่นเมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน 8% และตั้งเป้าหมายปี 2033 จะเพิ่มเป็น36%” นายรัฐพล กล่าว
หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวว่า กลุ่มบาฟส์มีธุรกิจโรงงานไฟฟ้า 40 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่ม โดยพร้อมยื่นขอรับสิทธิขายไฟสะอาดเฟส 2 จากสำนักงาน กกพ.แน่นอน โดยจะร่วมมือกับพันธมิตร
“หากชนะการนำเสนอครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสขยายสัดส่วนพลังงานสะอาดในไทย อีกทั้งจะเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชน จากการร่วมลงทุนกับ บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ลัคกี้ คลีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ไบเซล เวสท์ เอ็นเนอร์ยี่ ที่ชนะรอบแรกมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่ จ.สุราษฎร์ธานี จำนวน 9.9 เมกะวัตต์” หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ กล่าว
นอกจากนี้ กำลังศึกษาโครงการ Direct PPA ขนาด 2,000 เมกะวัตต์ และมองว่าตลาดขยายตัวสูงจากนโยบายรัฐบาลพยายามส่งเสริมให้เอกชนได้ซื้อ-ขาย ไฟได้โดยตรง โดยอาจยื่นเองโดยตรงและร่วมกับพันธมิตร เพราะบางโครงการมีความเสี่ยงและบริษัทยังไม่มีเทคโนโลยีและประสบการณ์มากพอ
“เราจะทำโซลาร์เพราะมองว่าความเสี่ยงต่ำ ตอนขึ้นโครงการที่มองโกเลีย เป็นโครงการแรกของกลุ่มบริษัททำโซลาร์และระบบแบตเตอรี่สำรองไฟ จึงมองว่าไทยมีโอกาสจะได้นำมาใช้ ส่วนจำนวนเมกะวัตต์ต้องรอดูก่อน” หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ กล่าว
น.ส.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายระยะสั้นเป็นการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2573 ผ่านการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับการลงทุนในประเทศ EGCO Group พร้อมนำโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินกว่า 10 โครงการ ที่ผ่านเกณฑ์คะแนนความพร้อมด้านเทคนิคขั้นต่ำ (Pass/Fail Basis) จากโครงการ RE Big Lot รอบที่ 1 แต่ยังไม่ได้คัดเลือกเพื่อเข้าร่วมโครงการ RE Big Lot ในรอบที่ 2
นอกจากนี้ หาก EGCO Group ได้รับคัดเลือกในรอบ 2 จะช่วยให้บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในพอร์ตโฟลิโอเพิ่ม และสอดคล้องเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2573
“หากการยื่นสิทธิรอบ 2 ครั้งนี้รวม 2,180 เมกะวัตต์ เรียบร้อยแล้ว สำนักงาน กกพ.ยังมีโควตาพลังงานหมุนเวียนเหลือ 1,488 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดรับซื้อเป็นการทั่วไปในรอบที่ 3” น.ส.จิราพร กล่าว
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราชกรุ๊ป มีความสนใจที่จะร่วมยื่นขายไฟจากพลังงานหมุนเวียนรอบ 2 ของ สำนักงาน กกพ.เช่นเดียวกัน โดยหากเศรษฐกิจดีจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น จึงขอให้รัฐบาลเร่งใช้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2024) ที่รองรับความต้องการใช้พลังงานสะอาดเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต
ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังของปี 2567 จะลงทุนระดับ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจและเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนให้ถึง 30% ในปี 2573 และ 40% ในปี 2578 โดยปัจจุบันราชกรุ๊ป มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนรวม 10,817.28 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรวม 7,842.61 เมกะวัตต์ (72.5%) และกำลังผลิตจากพลังงานทดแทนรวม 2,974.67 (27.5%)
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การเปิดรับซื้อพลังงานหมุนเวียนรอบ 2 รวม 3,668 เมกะวัตต์ แม้สำนักงาน กกพ.อนุมัติกรอบเวลาการรับซื้อไว้แล้ว แต่ยังเหลือไฟสะอาดอีก 1,500 เมกะวัตต์ ที่จะต้องรอคณะกรรมการ กกพ.ชุดใหม่มาบริหารงานตามนโยบายต่อไป
อย่างไรก็ตาม สิ้นเดือน ก.ย.2567 มี กกพ.ครบวาระ 4 คน คือ 1.นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ 2.นายสุธรรม อยู่ในธรรม 3.นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ และ 4.นายสหัส ประทักษ์นุกูล โดยกระทรวงพลังงานควรเสนอชื่อคณะกรรมการสรรหาบอร์ด กกพ.ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่วงหน้า 1 เดือน เพื่อมีเวลาสรรหา แต่ยังไม่ดำเนินการและนายเสมอใจ ประธาน กกพ.มีอายุครบ 70 ปี ต้องพ้นจากตำแหน่ง
“เมื่อประธานพ้นตำแหน่งต้องตั้งรักษาการประธานจะทำให้การทำงานล่าช้า ดังนั้น การเปิดรับซื้อไฟสะอาดรอบ 2 ในส่วนที่เหลืออาจจะต้องรอบอร์ดชุดใหม่ที่มีอำนาจเต็มมาดำเนินการ” แหล่งข่าว กล่าวทิ้งท้าย
(14 ต.ค. 67) ในแถลงการณ์ของ ‘เอสมาอิล บาเกอี’ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ได้กล่าวปกป้องการโจมตีอิสราเอลของอิหร่านว่า เป็นการกระทำที่ ‘ถูกกฎหมาย’ และยืนกรานว่า อิหร่านมีสิทธิตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรใหม่ พร้อมกับประณามการคว่ำบาตรของสหรัฐอย่างรุนแรง โดยบอกว่าเป็นการดำเนินงานที่ ‘ผิดกฎหมายและไม่ยุติธรรม’
เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) ที่ผ่านมา สหรัฐลงโทษอิหร่านด้วยการออกมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เพื่อตอบโต้ที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค.
ด้านกระทรวงการคลังสหรัฐ รายงานว่า หน่วยงานมุ่งเป้าออกมาตรการคว่ำบาตรไปที่กองเรือมืดของอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายน้ำมันอิหร่าน ซึ่งถือเป็นช่องทางหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรที่มีอยู่
กระทรวงฯระบุว่า ได้ออกข้อกำหนดให้บริษัทอย่างน้อย 10 แห่ง และเรืออย่างน้อย 17 ลำ เป็น ‘สินทรัพย์ที่ถูกปิดกั้น’ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของอิหร่าน
นอกจากนี้ยังได้ประกาศออกมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อธุรกิจ 6 ราย และเรือ 6 ลำ เนื่องจากมีส่วนร่วมในการทำธุรกรรมที่สำคัญสำหรับการซื้อ การขาย การขนส่ง หรือการตลาดของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมหรือปิโตรเคมีจากอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม บาเกอี บอกว่า นโยบายที่เป็นภัยคุกคามและสร้างแรงกดดันมากที่สุดนี้ ไม่มีผลกระทบต่อเจตจำนงของอิหร่านที่ต้องการปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน และว่า การคว่ำบาตรจะอาจทำให้อิสราเอลสังหารผู้บริสุทธิ์ได้ต่อไป ทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อความสงบ และความสามัคคีของภูมิภาคและของโลก
ทั้งนี้ มาตรการคว่ำบาตรใหม่มีขึ้นขณะที่โลกกำลังจับตาดูการตอบโต้ของอิสราเอลต่อการโจมตีของอิหร่าน และมีขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ส.ค.
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้แนะให้อิสราเอลหลีกเลี่ยงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในอิหร่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่อับบาส อารักชี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ออกมาเตือนเมื่อวันอังคาร (8 ต.ค.) ว่า หากมีการโจมตีใด ๆ เกิดขึ้นต่อโครงสร้างพื้นฐานในอิหร่าน อิหร่านจะตอบโต้อย่างรุนแรงมากขึ้น
เมื่อวันที่ (14 ต.ค. 67 ) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชื่นชมตำรวจ สภ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ตาไวสังเกตเห็นรถตู้รับส่งนักเรียนมีควันออกมาจากใต้ท้องรถตู้ที่จอดเสียอยู่ จึงรีบแจ้งคนขับให้ทราบ และเร่งนำนักเรียนออกจากรถตู้ทันที ก่อนที่จะมีรถยนต์พลเมืองดีช่วยนำนักเรียนส่งโรงเรียนปลอดภัยทุกคน นับว่าเป็นการถอดบทเรียนจากการสูญเสียที่เคยเกิดขึ้น ใช้ไหวพริบนำเด็กลงอย่างรวดเร็ว การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอ
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 07.40 น. ขณะ ด.ต.สมคิด กองลุน ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ท่าบ่อ (ปฏิบัติงานจราจร) และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ ทาะเวท ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ท่าบ่อ (ปฏิบัติงานจราจร) กำลังปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจรอยู่บริเวณสี่แยกไฟแดงประตูเมืองท่าบ่อ เขตเทศบาลเมืองท่าบ่อ จ.หนองคาย ด.ต.สมคิดฯ ได้สังเกตเห็นรถตู้รับส่งนักเรียนสีขาวจอดติดไฟแดง แต่เมื่อไฟเขียวแล้วกลับไม่เคลื่อนที่ จึงเดินไปตรวจสอบ พบว่ารถตู้ดังกล่าวเสียและมีควันพุ่งออกมาจากใต้รถ โดยในรถมีเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาของโรงเรียนเทศบาลเมืองท่าบ่อ อยู่จำนวน 6 คน ด.ต.สมคิดฯ รีบแจ้งคนขับถึงควันที่พุ่งออกมา พร้อมเปิดประตูนำเด็กนักเรียนทั้งหมดลงจากรถทันทีเพื่อความปลอดภัย หลังจากนั้นได้มีพลเมืองดีนำเด็กนักเรียนทั้งหมดส่งโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย ส่วนรถตู้ตรวจสอบพบว่าหม้อน้ำแห้งทำให้เกิดความร้อนและมีควันพวยพุ่งออกมา ด.ต.สมคิดฯ และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ฯ จึงได้ช่วยเข็นรถชิดข้างทางก่อนประสานช่างมาซ่อมต่อไป
เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการชื่นชมมากมายจากชาวบ้านที่พบเห็นเหตุการณ์ และจากผู้คนในสื่อสังคมออนไลน์ ต่างชื่นชมในไหวพริบของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ให้เด็กลงจากรถทันทีที่เห็นควัน เพราะหวั่นจะเกิดอุบัติเหตุเฉกเช่นเดียวกับรถบัสทัศนศึกษา รวมถึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยดูแลบุตรหลานของประชาชนให้ปลอดภัยอยู่เสมอ
พล.ต.ท.ประจวบ ฯ กล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์ดังกล่าว ต้องขอขอบคุณและชื่นชม ด.ต.สมคิดฯ และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ ที่มีสติ มีไหวพริบ แก้ไขปัญหาและป้องกันเหตุได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนพลเมืองที่อาสานำนักเรียนไปส่งโรงเรียน ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็วของ ด.ต.สมคิดฯ และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ ในเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง มีจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับตำรวจทั่วประเทศ
ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แนะนำให้ผู้ขับขี่ตรวจเช็คยานพาหนะของตนเสมอ โดยสาเหตุหลักของการเกิดรถไฟไหม้มักมาจากระบบเชื้อเพลิงรั่ว ระบบไฟฟ้าลัดวงจร เครื่องยนต์ร้อนเกินไป หรือสิ่งของในรถเกิดลุกไหม้ การป้องกันดีกว่าการแก้ไขเสมอ ในกรณีที่มีควันออกมา ให้ดับเครื่องยนต์เพื่อลดโอกาสเพลิงไหม้ แต่หากเกิดเหตสุดวิสัย รถเกิดไฟไหม้ ให้ทิ้งสัมภาระ และออกจากรถทันที โดยอยู่ห่างจากรถอย่างน้อย 30 เมตร และโทรเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความช่วยเหลือ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือประสบเหตุ สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ทางช่องทาง
- โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ. ทั่วประเทศ
- โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจร ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
- โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ
คุณภาพชีวิตที่ดี ใคร ๆ ก็อยากได้ THE STATES TIMES พาสำรวจ 10 ลำดับประเทศคุณภาพดีที่สุดในโลก
ไทยติดอันดับ 35 ของโลก อันดับ 2 ของอาเซียน ตอกย้ำความเป็นผู้นำของภูมิภาค
ส่วนลำดับอื่น ๆ มาดูกัน
เมื่อวันที่ (14 ต.ค.67) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ส่วนหน้า จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า สถานการณ์การฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมและโคลนถล่ม ในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงรายขณะนี้ สามารถกู้คืนพื้นที่บ้านเรือนประชาชนและถนนได้ 80% แล้ว ที่เหลือยังมีโคลนในท่อระบายน้ำและยังอยู่ระหว่างการดูดโคลนออกอย่างต่อเนื่อง ส่วนสถานการณ์โคลนตามบ้านเรือนประชาชน อำเภอแม่สาย มีความคืบหน้าในภาพรวม 65% ส่วนที่ชุมชนถ้ำผาจมและที่ตลาดสายลมจอย ระบบน้ำและไฟฟ้าบางส่วนอยู่ระหว่างการเคลียร์พื้นที่ถนนประมาณ 20% จะสามารถใช้ได้ทั้งหมด จึงต้องเร่งจัดการดูดโคลนออกจากพื้นที่ต่อ ซึ่งได้ประสานความร่วมมือหลายภาคส่วน เพื่อดึงทรัพยากรของแต่ละหน่วยงานมาร่วมกันฟื้นฟูพื้นที่อย่างเต็มศักยภาพและรวดเร็ว ดังนี้
1.ประสานความร่วมมือไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอความร่วมมือรถดูดโคลนเพิ่มอีก 3 คัน จากเดิมที่กระทรวงเกษตรฯ ส่งรถดูดโคลนมาประจำการในพื้นที่ 2 คัน โดยทำงานร่วมกับรถดูดโคลนจากหน่วยงานราชการอื่นๆ และมูลนิธิต่างๆ อย่างเต็มที่
2.ขอความร่วมมือ กทม.โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ขอให้รถดูดโคลน 4 คัน และรถน้ำ 4 คัน ที่ทาง กทม. ส่งมาช่วยเหลือก่อนหน้านี้ จากกำหนดการเดิม จะกลับในวันที่ 12 ตุลาคม ให้อยู่ในพื้นที่ต่อ พร้อมจัดหาคนขับรถเพิ่มเติม
3. ประสาน กระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำอุปกรณ์การติดตั้งระบบน้ำในบ้านเรือน ที่มีผู้ประกอบการมาบริจาคก่อนหน้านี้ มาสร้างบ้านน็อกดาวน์ให้ประชาชนที่ถูกกระแสน้ำท่วมบ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง โดยกรมราชทัณฑ์ เป็นเจ้าภาพในการก่อสร้าง โดยจะตรวจความเรียบร้อยของบ้านน็อกดาวน์ 15 ตุลาคมนี้
4.กระทรวงมหาดไทยได้สับเปลี่ยนอาสาสมัคร (อส.) จำนวน 1,500 คนจาก 37 จังหวัดทั่วประเทศ ให้ทุกคนได้กลับบ้านและเปลี่ยนผลัดเวรหมุนเวียนกันไป เนื่องจาก อส.บางจังหวัดต้องดูแลบ้านของตนเอง และที่ผ่านมาทำงานทุกวัน
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์หน้างานและการหารือกับส่วนราชการ ทุกฝ่ายมั่นใจว่า จะสามารถล้างโคลนเพื่อให้พี่น้องประชาชนกลับมาอยู่บ้านได้ตามปกติ ภายในวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ตามแผน Quick win ที่วางไว้ (ต้องแล้วเสร็จภายใน 21 วัน) และบางจุดจะเป็นไปตามกรอบที่จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ซึ่งตนจะลงพื้นที่ในช่วงสัปดาห์หน้าเพื่อติดตามความคืบหน้าต่อไป
“ในฐานะประธาน ศปช.ส่วนหน้า อยากให้การจัดการโคลนสำเร็จ เป็นไปตามกรอบ ยิ่งเสร็จเร็วยิ่งดี พี่น้องประชาชนชาวเชียงรายจะได้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขอขอบคุณทุกกระทรวง กรม จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่ได้เสียสละ ทุ่มเท มุ่งมั่น พร้อมใจกันบูรณาการการทำงาน เพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ บรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชน ขอขอบคุณความร่วมมือทุกท่านจากใจจริงค่ะ“ นางสาวธีรรัตน์ กล่าว
เมื่อวันที่ (14 ต.ค. 67) พรรคประชาธิปัตย์ได้ร่วมวางพวงมาลารำลึก“ 51 ปี 14 ตุลาฯ. ” ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร โดยดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้มอบหมายนายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพร้อมด้วย
นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด กรรมการบริหารพรรคเป็นผู้วางพวงมาลาในนามพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีถ้อยแถลงว่า ”14 ตุลา วันประชาธิปไตย ถือเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ นิสิต นักศึกษา และพี่น้องประชาชนได้รวมพลังกันต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในขณะนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนและถือเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของการพัฒนาประชาธิปไตยและการมีสิทธิเสรีภาพในมิติต่างๆรวมทั้งการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม พรรคประชาธิปัตย์ขอร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญนี้ และเชื่อมั่นว่า จิตวิญญาณ 14 ตุลาฯ.จะเป็นคบเพลิงแห่งประชาธิปไตยที่นำประเทศไทยไปสู่การพัฒนาการเมืองไทยอย่างยั่งยืนตลอดไป“
เมื่อวันที่ (14 ต.ค. 67)ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยระหว่างการนำคณะธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ อ. แม่แตง จ.เชียงใหม่ ว่า
กระทรวงการคลัง โดย SME Bank ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อบรรเทาทุกข์ ลดค่าใช้จ่าย ต่อลมหายใจให้พี่น้องประชาชน ดังนี้
1.มาตรการ "พักชําระหนี้" เงินต้นและดอกเบี้ย
ผู้ขอสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม ตามประกาศฯ มีสถานะหนี้ A หรือ M สามารถ "พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย สูงสุด 1 ปี" และตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่ออายุตั๋วสัญญา และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ขยายเวลาชําระตั๋วสัญญาใช้เงิน ออกไปอีกสูงสุด 180 วัน
2. มาตรการ "เติมทุนฉุกเฉินฟื้นฟูกิจการ"
เติมทุนโดยให้กู้เพิ่มต่อราย 10% ของวงเงินอนุมัติสินเชื่อ สำหรับผู้ประสบภัยทางตรง บุคคลธรรมดา 30,000 - 1 แสนบาท และนิติบุคคล 30,000 - 2 แสนบาท ระยะเวลากู้สูงสุด 3 ปี พักชําระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน ไม่ใช้หลักประกัน ไม่คิดค่าธรรมเนียม