ค่าครองชีพในเนเธอร์แลนด์..สูงมากก
ประเทศนี้เป็น Tax Land
และ 2 ปีมานี้ ค่าอาหารสูงขึ้นมากๆ
ใครอยาก..ย้ายประเทศ
เชิญหาเงินเพื่อจ่ายภาษี กับ ค่าครองชีพที่สูงมาก

ประเทศนี้เป็น Tax Land
และ 2 ปีมานี้ ค่าอาหารสูงขึ้นมากๆ
ใครอยาก..ย้ายประเทศ
เชิญหาเงินเพื่อจ่ายภาษี กับ ค่าครองชีพที่สูงมาก
เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมคุณมนทิรา พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ และคณะ เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกองบิน 41 ซึ่งลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเน้นย้ำกำลังพลของกองบิน 41 ดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ หากขาดตกบกพร่องสิ่งใดสามารถแจ้งมายังกองทัพอากาศได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยกองทัพอากาศพร้อมให้การสนับสนุนกองบิน 41 ทั้งยุทโธปกรณ์และกำลังพลจากส่วนกลางในการฟื้นฟูพื้นที่เสียหายและบ้านเรือนของประชาชนอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารอากาศและคณะ ได้เดินทางไปจุดบริการซ่อมรถจักรยานยนต์ฟรี ให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยมีรถจักรยานยนต์ของประชาชนเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ในเฟสแรกที่เปิดให้บริการซ่อมวันละ 20 คัน และจะมีแนวทางขยายจำนวนการซ่อมในเฟสที่ 2 เพิ่มเป็น 50-100 คัน
จากนั้น คณะผู้บัญชาการทหารอากาศ เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์ทำความสะอาดให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย รวมถึงนำกำลังพลทหารกองประจำการจากกองบิน 41 ช่วยทำความสะอาด ฟื้นฟูบ้านเรือนของพี่น้องประชาชนให้กลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
กองประชาสัมพันธ์
สำนักกิจการพลเรือนและประชาสัมพันธ์
กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ
13 ตุลาคม 2567
เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมด้วยคุณมนทิรา พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ และคณะ เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจแก่ทหารกองประจำการผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งมอบกระเช้าผลไม้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมี นาวาอากาศโท อรรถพร อุตสาห์ปัน ผู้บังคับกองพันทหารอากาศโยธินกองบิน 41 เป็นผู้รับมอบ ณ กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41
กองประชาสัมพันธ์
สำนักกิจการพลเรือนและประชาสัมพันธ์
กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ
13 ตุลาคม 2567
เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดี THE iCON GROUP (ดิไอคอนกรุ๊ป) บริษัทธุรกิจออนไลน์และผลิตภัณฑ์อาหารหารเสริมสุขภาพ ว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มีการเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ห้วงวันที่ 10-12 ตุลาคม 2567 มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้ว 630 ราย ความเสียหายกว่า 228 ล้านบาท โดยทางคดีมอบหมายให้ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กำกับดูแล มี พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก ดูแลการสืบสวน พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก ดูแลการสอบสวน และ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. เป็นผู้รับผิดชอบหลัก
ความคืบหน้าทางคดี เมื่อวานนี้ ตำรวจสอบสวนกลางได้เข้าตรวจค้นบริษัท THE iCON GROUP 9 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตรวจยึดเอกสารหลักฐานสำคัญมาตรวจสอบจำนวนมาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเนื้อหาทางคดี มีการสอบสวนปากคำ นายวรัตน์พล ฯ หรือ บอสพอล และสอบปากดารานักแสดง 4 ราย ได้แก่ นายยุรนันท์ ฯ หรือแซม , น.ส.พีชญา ฯ หรือ มิน , นายฐานนท์ ฯ หรือ หมอเอก , และ นายกลด ฯ หรือ ปีเตอร์ และสอบสวนปากคำกลุ่มแม่ข่ายไปแล้ว 8 ปาก แต่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ใด ส่วนนายกันต์ ฯ ดารานักแสดงอีกราย จะมีการสอบสวนปากคำในวันนี้ อีกทั้งช่วงบ่ายตำรวจสอบสวนกลางจะลงตรวจสอบข้อมูลบริษัทเพิ่มเติม เพื่อหาพยานหลักฐานประกอบสำนวนคดี
ส่วนกระแสข่าวที่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ได้สั่งการให้ทำการตรวจสอบทุกมิติ หากพบว่าเป็นความผิดก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย รวมถึงการดำเนินการทั้งทางวินัยควบคู่กันไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบจะต้องมีความเป็นธรรม หากเป็นความผิดชัดเจนก็ต้องดำเนินการ ไม่มีความแตกต่างจากรายอื่น แต่หากข้าราชการตำรวจรายดังกล่าวเป็นเหมือนผู้เสียหายที่อยู่ในห่วงโซ่ของวงจรนี้ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับตำรวจด้วย เพราะอาจจะมีโค้ชหลายคนที่เข้าร่วมแต่ไม่ได้มีเจตนาในการกระทำผิด หรือรับรู้ในการกระทำผิดหรือหลอกลวง จึงต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นอกจากนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า พอใจในภาพรวมของการทำงาน เพียง 2-3 วัน หลังจากที่ตั้งศูนย์รับแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระดมพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำคดีนี้ เพื่อให้สังคมเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ และคดีมีความคืบหน้าไปมาก ได้กำชับการบูรณาการร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. , กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. โดยเฉพาะมิติของการตรวจสอบและยึดอายัดทรัพย์สิน ต้องประสานและทำงานกับ ปปง.อย่างใกล้ชิด
พร้อมกันนี้ ยังได้ย้ำเรื่องการอำนวยความสะดวกทางคดีกับผู้เสียหาย ซึ่งทาง พล.ต.ท.อัคราเดช ฯ ได้มีวิทยุสั่งการลงไปแล้ว ให้ตำรวจทั่วประเทศรับแจ้งความจากผู้เสียหาย ไม่ว่าจะแจ้งความที่ใด ขอประชาสัมพันธ์ถึงผู้เสียหายว่า หากท่านได้รับความเสียหาย ขอให้มาแจ้งความเพิ่มเติม โดยสามารถแจ้งความได้ 3 ช่องทาง ได้แก่
1. เดินทางเข้ามาแจ้งด้วยตัวเองได้ที่ “ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ.” ชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
2. แจ้งความที่สถานีตำรวจใดก็ได้
3. แจ้งความผ่านระบบออนไลน์ ทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th
ขอยืนยันว่า ตำรวจจะบูรณาการร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ตามสั่งการของรัฐบาลที่ได้สั่งการให้ตำรวจติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการแก้ไขปัญหาให้กับคดีความต่างๆ และทำคดีแบบตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน หากเกี่ยวข้องกับใครจะดำเนินการโดยเด็ดขาด ขอเวลาตำรวจทำงาน คาดอีกไม่นานจะสรุปผลคดีได้แน่นอน
เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) หอบเอกสารเข้าคณะกรรมาธิการพิจารณา สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง "จี้" กองทัพต้องเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ 13 ตุลาคม 2567 ที่บ้านเลขที่ 112 หมู่ 4 ตำบลระวะ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล เลขานุการคณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา จ.สงขลา ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการโดยมี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธานกรรมาธิการฯให้พบครอบครัวของ พลทหารศิริวัฒน์ ใจดี อายุ 22 ปี พลทหารประจำการในเหล่าทัพเสียชีวิต โดยมีนางกาญจนา ใจดี มารดาและพี่สาวและนายสมใจ ศรีสงค์ นายก อบต.ระวะ ให้การต้อนรับ และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แห่งเหตุการณ์
นายไชยยงค์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่มาพบครอบครัวผู้เสียหายนั้น ตนได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการฯและในฐานะเป็นสมาชิกวุฒิสภา จ.สงขลา เพื่อมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเพื่อได้ทราบข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากครอบครัวผู้เสียชีวิตที่ได้รับบอกเล่าจากเพื่อนของผู้เสียชีวิตด้วยกัน เพื่อทราบข้อเท็จจริงในเบื้องต้น นำไปประกอบการพิจารณาต่อไป
นายไชยยงค์ ยังกล่าวอีกว่า ต้องการรับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อที่จะดำเนินการพูดคุยทำความเข้าใจกับกองทัพ เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกรณีนี้ควรให้เป็นเรื่องสุดท้าย ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้ว ขบวนการของการฝึกทหารเกณฑ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกชาวบ้าน และผู้เสียชีวิตสมัครเข้ามารับใช้ชาติ เขามีความเสียสละรับใช้ชาติด้วย เรื่องนี้ สว.และ สส.ให้ความสนใจเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหา
“ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดจนทำให้เกิดการเสียชีวิต จากถูกปฏิบัติไม่ถูกต้อง อาทิถูกซ้อมหรือทรมาน กองงทัพเรือต้องคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต ต้องมีการเยียวยา และผู้กระทำที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกดำเนินการทางอาญา กองทัพและกระทรวงกลาโหมต้องจะดำเนินการแก้ปัญหาอย่าให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในอนาคต”
นายไชยยงค์ ยังกล่าวต่อว่า คณะกรรมาธิการฯจะพยายามให้เร็วที่สุด ตนจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมาธิการทหารฯวันที่ 16 ตุลาคม 67 และจะทำหนังสือถึงหน่วยเหนือเพื่อให้เข้ามาชี้แจงตามขบวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย
ทางด้าน นางกาญจนา กล่าวว่า ครอบครัวเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขอความเป็นธรรมให้กับ พลทหารศิริวัฒน์ ใจดี ที่เสียสละด้วยการสมัครเข้าเป็นทหารเกณฑ์ เพื่อรับใช้ชาติ แต่มาถูกกระทำจนเสียชีวิตครอบครัวรับไม่ได้ หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานราชการ องค์กรอิสระ สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะจากเพื่อนของผู้เสียชีวิตเล่าให้ฟังและตรวจสภาพร่างกายผู้เสียชีวิตแล้วเชื่อได้ว่าน่าไม่ใช่เสียชีวิตธรรมดา
นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา
เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดพิจิตร เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมว่า ตนพร้อมด้วย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดพิจิตร เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน พร้อมพบปะและให้กำลังใจประชาชน โดยได้เข้ารับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และแผนการแก้ไขปัญหา พร้อมมอบนโยบายให้กับหัวหน้าส่วนราชการ จากนั้นลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ทุ่งบางระกำ ณ วัดพรหมเกษร อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก และลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดพิจิตร พร้อมมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย และลงเรือมอบถุงยังชีพให้กับพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่บ้านเกาะสาริกา อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร
นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ และได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือและเยียวยาผลกระทบ เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเร็วที่สุด การลงพื้นที่ในวันนี้ ได้รับทราบสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน และได้เห็นสภาพปัญหาความเดือดร้อนจาก อุทกภัยที่เกิดขึ้น จึงได้สั่งการให้วางแผนการเร่งระบายน้ำท่วมขังโดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งวางแผนบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อของปลายฤดูฝนเข้าสู่ฤดูแล้ง จึงต้อง รอบคอบรัดกุมในการบริหารจัดการน้ำ พร้อมเร่งสำรวจและเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำสำรองไว้เพื่อใช้ในช่วงฤดูแล้งนี้ด้วย นอกจากนี้ ให้เร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ และตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนให้มีความมั่นคงแข็งแรง
.
นายประเสริฐ กล่าวว่า ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว จะต้องเร่งทบทวนเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้สอดคล้อง กับสถานการณ์และบริบทเชิงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาวางแผนการพัฒนาโครงการที่สามารถรองรับ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่ต้องครอบคลุมพื้นที่แบบรายลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำรวมทั้งต้องสอดรับกับการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน สำหรับโครงการบางระกำโมเดลถือว่าเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการน้ำ เป็นแก้มลิงธรรมชาติที่สามารถรองรับน้ำหลากในช่วงฤดูฝน ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
“จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่านและรับฟังสภาพปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการบริหาร จัดการน้ำในพื้นที่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด และปริมาณน้ำที่ยังท่วมขังลดลงโดยเร็วที่สุด จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1. เร่งระบายน้ำท่วมในพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว , 2. เร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ ให้แข็งแรง รวมทั้งตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยเขื่อนให้มีความมั่นคงแข็งแรง , 3. ทบทวนเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ , 4 กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว พร้อมวางแผนการพัฒนาโครงการที่สามารถรองรับการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 5. สำรวจและพิจารณาแหล่งเก็บกักน้ำสำรองไว้เพื่อใช้ในช่วงฤดูแล้งปี 2567/68” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าวย้ำ
ชณะที่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช.กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัย 19 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ สุโขทัย อุดรธานี กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มหาสารคาม อุบลราชธานี ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และนครปฐม ซึ่ง สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินติดตามคาดการณ์การเกิดพายุที่จะ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดพายุได้อีก 1 ลูก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนี้ – 20 ต.ค. 67 ยังไม่พบความเสี่ยงในการก่อตัวของพายุที่จะเคลื่อนที่เข้าสู่ประเทศไทย ส่วนสถานการณ์น้ำของแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จำนวน 3,857 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 452 ล้าน ลบ.ม. หรือ 87% โดยมีอ่างฯขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว คือ อ่างฯแม่มอก มีปริมาตรน้ำ 105 ล้าน ลบ.ม. หรือ 96% ส่วนแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน จำนวน 4,334 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 10,051 ล้าน ลบ.ม. หรือ 94% โดยมีอ่างฯขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ อ่างฯสิริกิติ์ มีปริมาตรน้ำ 8,965 ล้าน ลบ.ม. หรือ 94% และ อ่างเก็บน้ำแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาตรน้ำ 746 ล้าน ลบ.ม. หรือ 79%
สำหรับแผนงานโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของจังหวัดพิษณุโลก ได้รับอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อ กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2567 จำนวน 30 รายการ ประกอบด้วยกิจกรรม ก่อสร้างใหม่ (ระบบกระจายน้ำและระบบประปา) / ซ่อมแซมและบำรุงรักษา และปรับปรุง (คุณภาพน้ำ ระบบกระจายน้ำ ระบบประปา ระบบระบายน้ำ และสระเก็บน้ำเพื่อ การเกษตรและอุตสาหกรรม) สามารถเพิ่มปริมาณน้ำได้0.37 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ 449 ครัวเรือน พื้นที่รับ ประโยชน์ 10,843 ไร่ เช่น การปรับปรุงดาดคอนกรีตคลองส่งน้ำ P.R.-64.0R.(C-32) โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลายชุมพล ตำบลบ้านไร่ อำเภอบางกระทุ่ม, การก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนพื้นที่โครงการจัดทำที่ดินทำกินให้ ชุมชนตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย, การปรับปรุงพนังกั้นน้ำฝั่งขวาแม่น้ำ แคววังทอง ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง เป็นต้น
ในส่วน จังหวัดพิจิตร ได้รับอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2567 จำนวน 18 รายการ ประกอบด้วยกิจกรรม ก่อสร้างใหม่ (น้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภค ระบบกระจายน้ำ และระบบประปา) และขุดลอก (ระบบ กระจายน้ำ) มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 0.35 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ 780 ครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ 661 ไร่ เช่น อาคารบังคับน้ำบ้านทุ่งใหญ่ ตำบลบ้านทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง, โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำประปาชุมชน รูปแบบที่1 หมู่ที่ 2 บ้านบึงบัวใน อบต.บึงบัว อำเภอวชิรบารมี, เพิ่มประสิทธิภาพระบบผลิตน้ำประปาขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 10 ลบ.ม.ต่อชั่วโมง บ้านหนองปรือ หมู่ที่ 4 อบต.ดงเสือเหลือง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง เป็นต้น
เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ด้วยวันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือ “วันนวมินทรมหาราช” สำนักงานตำรวจแห่งชาติน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
หนึ่งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและพสกนิกร คือ “ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ” เนื่องจากทรงเป็นห่วงพสกนิกรในเรื่องปัญหาการจราจร จึงพระราชทานแนวทางปฏิบัติให้แก่ตำรวจเพื่อเป็นแนวคิดไปใช้ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งพระราชทานทุนจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ในการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ รถจักรยานยนต์พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และพัฒนาบุคลาการเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาจราจร อันจะบรรเทาความเดือดร้อนของพสกนิกรได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2536 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 31 ปี
ปัจจุบันตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร มีหน้าที่ในการบรรเทาปัญหาการจราจรที่ติดขัด และช่วยเหลือประชาชนในกรณีพิเศษ เช่น การช่วยเหลือหญิงที่ท้องแก่ใกล้คลอด หากได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบและอำนวยความสะดวกเรื่องการจราจรนำส่งโรงพยาบาล หากเห็นว่าควรจะทำคลอดก็จะดำเนินการทำคลอดให้ทันที นอกจากนี้ ยังได้จัดทีม "ตำรวจช่าง" ลงพื้นที่กระจายตามจุดต่าง ๆ เพื่อช่วยซ่อมรถให้กับประชาชนที่จอดเสียบนท้องถนนในเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน เพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด
อีกหนึ่งภารกิจที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริช่วยเหลืออำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่อง คือภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจ ต่อลมหายใจชีวิต ซึ่งอวัยวะหัวใจหากทำการผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา ยิ่งการเดินทางในกรุงเทพมหานครนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมารถนำส่งได้โดยใช้เวลาอันสั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 12.30 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้ปฏิบัติภารกิจอำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำอวัยวะหัวใจจากโรงพยาบาลใน จ.สมุทรปราการ ส่งโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ต่อลมหายใจให้ชีวิตใหม่เป็นดวงที่ 103 ได้รับความร่วมมือจากผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้จนภารกิจชีวิตในครั้งนี้ลุล่วงด้วยดี โดยใช้เวลาในการนำส่งเพียง 45 นาทีเท่านั้น แพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้สำเร็จ
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว ให้ความช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งของประชาชนมาโดยตลอด ยึดหลักการทำงานตามแนวพระราชดำริ เสมือนเชิญน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ไปมอบให้ประชาชนที่พระองค์ท่านทรงห่วงใย โดยตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา 31 ปี ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริทุกนายยึดหลักการทำงานสอดคล้องตามแนวพระราชดำริเสมอ เป็นหมอถนน หมอคน หมอรถ ดูแลความสงบสุขและความปลอดภัยบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่ประมาณ 7,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย โดย 1 ผู้ให้สามารถช่วยได้ 8 ชีวิต การบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้ที่สายด่วน 1197 กองบังคับการตำรวจจราจร
เมื่อวันที่ (12 ต.ค. 67) เวลา 14.50 น. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) ในฐานะ ประธาน ศปช. ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ชุมชนเกาะลอย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยมความคืบหน้าของงานในพื้นที่และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) ที่ปฏิบัติหน้าที่
นอกจากนี้ ยังได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์เอกชัย ที่ให้การอุปถัมภ์เจ้าหน้าที่ อส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ในชุมชนเกาะลอย ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่มีขวัญและกำลังใจในการทำงานอย่างเต็มที่เพื่อชุมชน
จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน
คำถาม : ไปวัดทําบุญจนเงินหมด ไม่เหลือเงินไว้ซื้อแม้กระทั่งของกิน แบบนี้ควรจะทำอย่างไร
พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) : ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘การทําบุญ’ มีมากมายหลายอย่างที่ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ว่าจะเป็น การรักษาศีล การสวดมนต์ ความเอื้อเฟื้อมีน้ำใจ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ก็ถือว่าเป็นการทำบุญได้ทุกวันเหมือนกัน
ส่วนการทำบุญด้วยการบริจาคเงินนั้น ควรทําแต่พอประมาณ จะทำ 5 บาท 10 บาท ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าทำถึงขนาดไม่เหลือเงินไว้ซื้อน้ำกิน ก็ถือว่าไม่เป็นไปตามหลักคําสอนของพระพุทธเจ้า คือเบียดเบียนตนเอง สมมติว่าเรามีเงิน 20 บาท เราอาจจะทำบุญ 2 บาทก็ได้ แต่ไปมุ่งรักษาศีล 5 และสวดมนต์ภาวนา แบบนี้เราก็ได้บุญเหมือนกัน
สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องรักษาใจ ให้มีความเชื่อมั่น ศรัทธา ไม่หวั่นไหว ด้วยจิตที่อิ่มเอม เห็นประโยชน์ของการทำบุญการบริจาค ส่วนจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และยึดมั่นในประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ต่อพระสงฆ์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ ในโซเชียลมีเดียได้มีการเผยแพร่เรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ ๔ และปราสาทนครวัดจำลองในพื้นที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ซึ่งปราสาทจำลององค์นี้ ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ มีพระราชบัญชาให้ขุนนางได้จำลองมาไว้ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของการรื้อถอนปราสาทหินจากเขมรเพื่อนำมาไว้ในสยาม แต่ข้อมูลที่แชร์ในโซเชียลนั้นไม่บอกไว้ว่า เหตุใดล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ถึงต้องรื้อปราสาทหินมาไว้ในพระนคร มีก็เพียงแต่ต้องการที่จะให้ชาวพระนครได้ชมปราสาทหินเขมร ซึ่งมันคือ ‘เรื่องปลายทาง’
วันนี้ THE STATES TIMES Story จึงอาสามาเล่าถึงเหตุผลจริง ๆ ของการจำลองปราสาทหินจากเขมร เรื่องราวจะสนุกขนาดไหน ไปฟังกัน…