Wednesday, 11 June 2025
Hard News Team

14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เกิดเหตุการณ์ ‘4 ตุลา วันมหาวิปโยค’ ก่อนที่จะกำหนดเป็น ‘วันประชาธิปไตย’

วันนี้เมื่อ 51 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ได้รับการขนานนามว่า "วันมหาวิปโยค" เนื่องจากมีนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นับแสนคน เดินขบวนต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยและคัดค้านอำนาจเผด็จการของรัฐบาลคณาธิปไตย สมัยพันเอก ณรงค์ กิตติขจร, จอมพล ถนอม กิตติขจร และจอมพล ประภาส จารุเสถียร

โดยครั้งนั้นได้มีการเคลื่อนไหวขับไล่กลุ่มเผด็จการทรราชออกจากอำนาจที่ยึดครองมาหลายสมัย รวมทั้งมีการเรียกร้องให้ปล่อยนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักการเมือง 13 คน ที่ถูกจับกุมฐานเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐบาลตั้งข้อหากระทำผิดกฎหมาย ทำลายความมั่นคงของรัฐ เป็นกบฏภายในราชอาณาจักรและมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ จากนั้นรัฐบาลได้ออกปราบปรามผู้ชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 โดยทหารและตำรวจได้ใช้อาวุธ รถถัง เฮลิคอปเตอร์ และแก๊สน้ำตา ยิงใส่ผู้ชุมนุม จนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

เหตุการณ์ดังกล่าวได้ลุกลามใหญ่โต เมื่อประชาชนที่โกรธแค้นต่างร่วมมือกันต่อสู้ และบางส่วนได้เผาทำลายอาคารสถานที่และยานพาหนะของทางราชการ แต่ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงแก้ปัญหา เหตุการณ์จึงสงบ โดยจอมพล ถนอม และจอมพล ประภาส ได้ลาออกจากตำแหน่ง ก่อนเดินทางออกนอกประเทศ

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จฯ เยี่ยมผู้บาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่าง ๆ และสำหรับผู้เสียชีวิต โปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชทานเพลิงศพที่ทิศเหนือของท้องสนามหลวง และนำอัฐิไปลอยอังคารด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา อ่าวไทย อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเกล้าฯ ให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรีในเวลานั้น ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อฟื้นฟูระเบียบของบ้านเมือง เพื่อประสานสามัคคีให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และร่างรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมในการปกครองประเทศ จากนั้นจึงมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2517

ทั้งนี้ ในปัจจุบันได้มีการก่อสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ขึ้น ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 28 ปี พร้อมทั้งก่อตั้งมูลนิธิ 14 ตุลา ขึ้นด้วย ต่อมารัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ได้ลงมติเห็นชอบให้วันที่ 14 ตุลาคม ของทุกปี เป็น "วันประชาธิปไตย" เพื่อเป็นการรำลึกถึงพลังบริสุทธิ์ของคนหนุ่มสาวที่เสียสละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย

นอกจากนี้มติของรัฐสภายังเห็นชอบให้มีการนำเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 บรรจุในหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงเหตุการณ์สำคัญของชาติ ซึ่งถือว่ากรณีดังกล่าวเป็นการเมืองภาคประชาชน ที่มีผลต่อการพัฒนาการเมืองจนมีระบบรัฐสภาต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

‘สรวงศ์’ เผยแคมเปญ กระตุ้นการท่องเที่ยว!! ในพื้นที่ภาคเหนือ ททท. ออกให้ครึ่ง-นักท่องเที่ยวจ่ายเองอีกครึ่ง เริ่ม 1 พ.ย.นี้

(13 ต.ค. 67) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงการออกมาย้ำถึงแคมเปญ ‘แอ่วเหนือคนละครึ่ง’ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือ ว่า จากการลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการ ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้นำข้อมูลเพื่อมาแก้ไขปัญหา ซึ่งบางส่วนใช้งบของกระทรวงและบางส่วนต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบ  

ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. จึงเสนอโครงการแอ่วเหนือคนละครึ่ง โดยจะมีการ คลิกออฟ ได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ โดยในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ผู้ประกอบการเตรียมที่จะฟื้นฟูและกลับเข้าสู่สภาพเดิมให้ได้ โครงการนี้ยังรวมไปถึง 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยทาง ททท. จะออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง ตั้งเกณฑ์ไว้ที่ 800 บาทและนักท่องเที่ยวออกเองอีกครึ่งหนึ่ง

หากประสบผลสำเร็จก็จะมีการก็จะมีการเสนอของบประมาณจากครม.อีกครั้งหนึ่ง แต่การดำเนินการในครั้งนี้จะใช้งบประมาณของททท.ไปก่อน โดยจะพยายามอย่างยิ่งที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็นงานลอยกระทง ที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ ซึ่งทั้ง 2 จังหวัดมีความพร้อม

ส่วนการเตรียมมาตรการอื่นๆ เช่น การปล่อยกู้ อัตราดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยว  เรื่องนี้เตรียมที่จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่จากการรับฟังจากผู้ประกอบการหลายส่วน มีข้อเสนอแนะว่า ยังมีหลักเกณฑ์ต่างๆที่เข้าถึงยาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก จึงต้องมีการกลับมาปรับแก้กันในเร็ว ๆ นี้ เพื่อที่จะปรับแก้ไข ให้ผู้ประกอบการได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึงในแคมเปญนี้ ซึ่งยังไม่สามารถที่จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้ได้ เพราะมีบางจุดที่จะต้องนำกลับมาแก้ไขและเปลี่ยนแปลง

‘แอนโทนี่ ตัน’ ซีอีโอ Grab ทำงานหนัก วันละ 20 ชั่วโมง ด้วยเงินทุน 8 แสนบาท สร้าง ‘ยูนิคอร์น’ ตัวแรกของอาเซียนได้สำเร็จ กวาดรายได้ปีละ 6.6 หมื่นล้านบาท

(13 ต.ค. 67) ‘แกร็บ’ (Grab) สตาร์ทอัพเล็กๆ ในมาเลเซีย ที่เริ่มต้นด้วยบริการแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ จากเงินทุนก้อนแรก 8 แสนบาท ก้าวสู่การเป็น ‘ยูนิคอร์น’ บริษัทแรกของอาเซียนในเวลาเพียงไม่กี่ปี 

เพียงเพราะ ‘แอนโทนี่ ตัน’ เด็กหนุ่มทายาทตระกูลร่ำรวยที่อยากพิสูจน์ตัวเอง จนสร้าง ‘ซูเปอร์แอป’ ที่มีรายได้ปีละ 2 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 6.6 หมื่นล้านบาท ด้วยธุรกิจเจาะกลุ่ม ‘ฐานของปิรามิด’ และทำงานหนักเพื่อสร้างแอปที่ใช้งานได้จริง 

แอนโทนี่ ตัน โตมากับตำแหน่งทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลแทน  จากการทำธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ข้ามชาติ บริษัทตันชงมอเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศมาเลเซีย จนไม่จำเป็นต้องแสวงหาความร่ำรวยแล้ว 

ในปี 2552  แทนได้เข้าศึกษาต่อที่ Harvard Business School และพบกับ โฮย หลิง ตัน เพื่อนชาวมาเลเซียในชั้นเรียน ‘การทำธุรกิจในตลาดที่เป็นฐานของปิรามิด’ 

จนกระทั่งปีในปี 2554 ทั้งคู่ได้พูดคุยกันถึงปัญหาความปลอดภัยของระบบแท็กซี่ในมาเลเซีย โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง ซึ่งจุดประกายให้พวกเขาตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

จุดเริ่มต้นของธุรกิจ Grab หลังจากที่ทั้งคู่ได้ร่วมกันร่างแผนธุรกิจเพื่อเข้าร่วมการประกวดสตาร์ทอัพในมหาวิทยาลัย และสามรถคว้ารางวัลรองชนะเลิศพร้อมเงินรางวัล 25,000 ดอลลาร์ หรือราวๆ 8 บาทเท่านั้น

จากสตาร์ทอัพเล็กๆ ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำอย่าง SoftBank จนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เส้นทางการสร้างบริษัทให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ความคาดหวังของครอบครัวที่อยากให้ตันสานต่อธุรกิจที่บ้าน มำให้ไอเดียการสร้าง Grab ถูกปฏิเสธ พ่อของเขาพูดว่า “ฉันไม่คิดว่ามันจะสำเร็จ” ประโยคกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทันมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเอง

เมื่อขอเงินทุนจากพ่อไม่สำเร็จ ทันหันขอเสนอแผนธุรกิจนี้กับแม่ ซึ่งเห็นความเป็นไปได้ในธุรกิจนี้และตัดสินใจสนับสนุนเงินทุนให้เป็นคนแรก ด้วยเงินทุนที่ได้มา ทันจึงเริ่มต้นธุรกิจ Grab ภายใต้ชื่อ MyTeksi ในเดือนมิถุนายน ปี 2555 
.
ช่วงเริ่มต้นของ Grab นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย ตันและทีมงานต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องงบประมาณที่จำกัดในการสร้างระบบแท็กซี่ใหม่ให้กับมาเลเซีย

สำนักงานเดิมของ Grab ตั้งอยู่ในห้องเล็กๆ ในกัวลาลัมเปอร์ เป็นห้องทำงานเล็กๆ ที่ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานอย่างเครื่องปรับอากาศขณะที่อากาศร้อนตลอดปี และไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตขนาดต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตจากมือถือ

นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านงบประมาณทำให้เป็นเรื่องยากที่ทำให้ Grab ดึงคนขับมาเป็นพาร์ทเนอร์บนแพลตฟอร์ม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

ในการเริ่มต้นธุรกิจ Grab ในช่วงแรก ๆ แทนได้เดินทางไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อโน้มน้าวให้พนักงานขับรถแท็กซี่มาลองใช้บริการ Grab

ตันสังเกตเห็นพฤติกรรมของคนขับแท็กซี่ในโฮจิมินห์ซิตี้ที่มักแวะดื่มกาแฟที่ปั๊มน้ำมันในช่วงเช้า จึงนำไปสู่ไอเดียแจกกาแฟฟรีตอน ตี 4 เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีและชักชวนให้พวกเขามาร่วมงานกับ Grab นั่นเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เค้าเข้าถึงกลุ่มไรเดอร์

ส่วนที่มะนิลา แทนใช้เวลาช่วงเช้ามืดไปทำความรู้จักกับคนขับแท็กซี่อย่างใกล้ชิด นั่งคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตพร้อมกับดื่มเบียร์เย็นๆ เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง

ปี 2561  เป็นปีที่ตลาดบริการเรียกรถในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Uber ยักษ์ใหญ่ด้านการเรียกรถบริการจากสหรัฐตัดสินใจขายธุรกิจในภูมิภาคนี้ให้กับ Grab คู่แข่งรายสำคัญ โดยแลกกับหุ้นใน Grab ถึง 27.5% และ Dara Khosrowshahi ซีอีโอของ Uber เข้าร่วมคณะกรรมการของ Grab 

การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดสงครามการแข่งขันที่ดุเดือดและยาวนาน ทำให้ Grab กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาด และมีอิทธิพลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งในภูมิภาคอย่างมาก

แม้ว่า Grab จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและขยายธุรกิจไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาดตลาดจากทั้งนักวิจารณ์และหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วและการครอบคลุมตลาดในหลายประเทศ 

Grab ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว เช่นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทาง และเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้คนในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือที่เรียกว่า ‘ฐานของปิรามิด’

ตอนนี้นอกจาก Grab จะให้บริการเรียกแล้ว ยังขยายธุรกิจไปสู่บริการจัดส่งอาหารและสินค้า รวมถึงบริการทางการเงิน เช่น การชำระเงิน การให้กู้ยืมและธนาคารดิจิทัล ปัจจุบันแกร็บให้บริการลูกค้ากว่า 35 ล้านคน และสร้างงานอิสระกว่า 13 ล้านตำแหน่งใน 8 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา 

‘พีระพันธุ์’ ย้อนรำลึกเหตุการณ์ วันที่คนไทย ร้องไห้กันทั้งประเทศ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9

(13 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของคนไทยทั้งประเทศ โดยมีใจความว่า ... 

พระองค์เป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ เป็นยิ่งกว่าพ่อของแผ่นดิน

สำหรับผม พระองค์เป็นเทพที่จุติมาเพื่อชาวไทยและประเทศไทยโดยแท้ 
ผมเห็นการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์มาตั้งแต่จำความได้จนเติบใหญ่ ไม่เคยเห็นพระองค์หยุดคิดถึงประชาชนแม้ในยามประชวร 
พระองค์ไม่เคยหยุดปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนของพระองค์เลย

ผมยังจำเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีที่แล้วได้ดี ความรู้สึกนั้น ในวันที่พระองค์จากพวกเราไป

ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม เมื่อผมได้ทราบข่าวพระอาการของพระเจ้าอยู่หัว ผมรู้สึกใจหายวูบ เป็นอาการในลักษณะเดียวกันกับที่ผมเคยรู้สึกเมื่อครั้งที่ผมได้สูญเสียคุณแม่

ในขณะนั้น ผมได้แต่ภาวนาให้พระองค์ท่านทรงหายพระประชวรโดยเร็ว 

โดยในวันที่ 12 ตุลาคม ผมรีบเดินทางไปลงนามถวายพระพร ซึ่งในเย็นวันนั้น ก็มี
แถลงการณ์สำนักพระราชวังบอกว่าพระอาการ ยังไม่ดีขี้น และมีอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิตมากขึ้น ผมทนไม่ได้น้ำตาไหล และรีบเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง เพราะอยากอยู่ให้ใกล้พระองค์ท่านให้มากที่สุด

เมื่อไปถึงก็พบว่ามีพสกนิกรของพระองค์จำนวนมากต่างเดินทางมาร่วมสวดมนต์ภาวนาให้ทรงหายจากอาการพระประชวร สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปที่ชั้น 16 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติที่พระองค์ประทับอยู่ด้วยความหวังอย่างเปี่ยมล้นหัวใจ

และในวันแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ วันนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ผมจำได้อย่างแม่นยำ มีข่าวที่ไม่สู้ดีแพร่ออกมาตั้งแต่ช่วงสาย และเมื่อถึงตอนบ่ายข่าวลือยิ่งโหมสะพัด

ผมไม่รอช้า รีบเดินทางไปโรงพยาบาลศิริราช ทันที!! 

เพื่อขอให้ได้อยู่ใกล้พระองค์ท่านให้มากที่สุด รถติดมาก เส้นทางเดิมที่ควรใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง กลายเป็นสามชั่วโมง ก็ยังไม่เข้าใกล้ที่หมายเลย

จนกระทั่งรถของผมได้มาถึงบริเวณลานพระรูปทรงม้า หน้ากองทัพภาคที่ ๑ เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ‘สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ’ ว่าเจ้าชีวิตของชาวไทยทั้งชาติ ได้ทรง ‘เสด็จสวรรคต’ แล้ว 

ผมรู้สึกตกใจมาก ทุกข์ใจ เศร้าใจ สมองตื้อ ทำอะไรไม่ถูก นั่งน้ำตาไหลพรากอยู่ในรถยนต์

นาทีนั้น ผมนึกแต่เพียงอย่างเดียวว่า จะต้องไปอยู่ใกล้พระองค์ท่านให้ได้ เมื่อรถเคลื่อนมาถึงทางแยกไปโรงพยาบาลศิริราช บนสะพานพระราม 8 ตำรวจกั้นถนน ผมก็ต้องให้รถวิ่งอ้อมไปทางพุทธมลฑล แล้วหาทางกลับรถวิ่งมาใหม่ทางถนนข้างล่าง ถึงแยกถนนจรัญสนิทวงศ์รถก็ติดมาก ผมจึงตัดสินใจลงจากรถ แล้วเดินเท้ามุ่งหน้าไปหาพระองค์ท่าน ที่โรงพยาบาลศิริราช 

เดินไปน้ำตาไหลไป 

เมื่อถึงโรงพยาบาลศิริราช ผมก็ได้เข้าไปที่ลานหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระบิดา เพื่อกราบบังคมถึงพระองค์ท่านด้วยน้ำตานองหน้า

ไม่เพียงผมเท่านั้น ประชาชนอยู่เป็นจำนวนมากก็เช่นเดียวกัน ร้องไห้กันไม่หยุด เสียงตะโกนว่า “เรารักในหลวง....ทรงพระเจริญ...เราจะอยู่รอปาฏิหาริย์” ดังขึ้นเป็นระยะๆ 
แต่ที่บาดใจที่สุดก็ตรงที่ประชาชนร่วมกันร้องตะโกนว่า “เอาในหลวงของเราคืนมา” 

ผมรู้สึก ‘เหมือนใจจะขาด’ เคว้งคว้างล่องลอย เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างดับสูญไปหมด นึกถึงแต่คำว่า ‘พระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น’ ที่พระองค์ท่านมีต่อประเทศชาติและประชาชน 

พระองค์จากพวกเราไปแล้ว เหมือนโลกหยุดหมุน เสียงร่ำไห้ดังทั่วแผ่นดิน น้ำตาผมไหลออกมาเองแบบหยุดไม่ได้

แม้เหตุการณ์ในวันนั้น จะผ่านมาถึง 8 ปีแล้ว แต่มันก็ยังคงฝังลึกในความทรงจำอย่างไม่รู้ตัว แค่นึกถึงก็น้ำตาไหลอีกแล้ว…

ในเช้าวันนี้ (13 ต.ค. 67) ผมได้ไปวางพวงมาลา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ ร่วมกับคณะรัฐมนตรี 

สำหรับผม ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นการรำลึกถึงพระผู้มีพระคุณใหญ่หลวงกับปวงชนชาวไทยและประเทศไทยมายาวนานกว่า 70 ปี

ผมรักและเทิดทูนพระองค์มากจริงๆ มากที่สุดในชีวิต

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

การเมืองรุกคืบ!! เข้าแทรกแซง ‘ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ’ หลายฝ่ายหวั่น เศรษฐกิจพัง กลับสู่ฝันร้าย ‘ยุคต้มยำกุ้ง’

(13 ต.ค. 67) หลัง นายปรเมธี วิมลศิริ อดีตประธานบอร์ดแบงก์ชาติ หมดวาระเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2567 เป็นจุดเริ่มต้นในการสรรหา ‘ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ’ คนใหม่ แทนที่ ซึ่งได้มีการเริ่มขั้นตอนการดำเนินงานมากว่า 3 เดือน

กระทรวงการคลังได้มีการแต่งตั้งกรรมการสรรหาฯ นำโดย นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน โดยกรรมการมีการนัดประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง ล่าสุดมีการประชุมไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2567 ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปในการคัดเลือกผู้เป็นประธาน และกรรมการในบอร์ดแบงก์ชาติ

ข้อกำหนดในเรื่องของการเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเข้ามารับตำแหน่งประธาน และกรรมการในบอร์ด ธปท.จะกำหนดให้เสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสม จาก 2 หน่วยงาน โดย ธปท.จะเสนอชื่อได้ 2 เท่าของกรรมการที่หมดวาระ และกระทรวงการคลังเสนอชื่อได้ 1 เท่า

สำหรับการสรรหาในครั้งนี้มีการเสนอชื่อประธานและกรรมการจาก ธปท. 6 รายชื่อ ประกอบไปด้วยประธาน 2 รายชื่อ และกรรมการ 4 รายชื่อ ส่วนกระทรวงการคลัง สามารถเสนอชื่อได้ 1 เท่าของผู้ที่หมดวาะระ

กระทรวงการคลังได้เสนอรายชื่อครบโควตา ส่วน ธปท.เสนอกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพียง 2 คน จากโควตาที่เสนอได้ 4 คน

ที่ผ่านมารัฐบาลได้แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ประเด็นหลัก ทั้งในเรื่องการไม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย และการคัดค้านนโยบายการแจกเงิน 1 หมื่นบาท 

“มีการคาดหมายว่ารัฐบาลจะส่งคนของตนเข้าไปเป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งวัตถุประสงค์ก็คงไม่พ้นที่จะใช้ ธปท.เป็นเครื่องมือในการสนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหากภาพนี้เกิดขึ้น หายนะของเศรษฐกิจไทยก็จะตามมาอย่างแน่นอน เหมือนที่เราเห็นในต่างประเทศที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงในธนาคารกลาง” นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเสนอความคิดเห็นไว้

ระเบียบข้อบังคับในการสรรหาประธานกรรมการ หรือกรรมการ ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีเจตนารมณ์ ป้องกันความเสี่ยงของการที่กรรมการสรรหาจะถูกแทรกแซงจากทางการเมือง กำหนดคุณสมบัติ ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ‘เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะพ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี’ เพื่อจะได้สรรหากรรมการที่ปลอดภัยจากการถูกแทรกแซง

สำหรับรายชื่อที่มีการเสนอให้เป็นประธานคณะกรรมการ ธปท.คนใหม่ จำนวน 3 รายชื่อ ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง เสนอชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ส่วนอีก 2 ชื่อที่เสนอจาก ธปท.มี 2 คน ได้แก่ นายกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน และนายสุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรรมการอิสระ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ซึ่งเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2567 หลังการประชุมคณะกรรมการสรรหาประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย นางวิเรขา สันตะพันธุ์ เลขานุการคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ฝ่ายเลขานุการฯ มีความจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนสำหรับการพิจารณาของที่ประชุม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอขยายระยะเวลาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเพื่อให้การพิจารณาคัดเลือกมีความรอบคอบที่สุด และจะรวบรวมกลับมานำเสนอคณะกรรมการคัดเลือกฯ โดยเร็ว แต่ยังไม่กำหนดวันที่ชัดเจน 

โดยมีรายงานในการประชุม มีมติเคาะเลือก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ท่ามกลางเสียงคัดค้าน ถึงการนำบุคคลที่เกี่ยวโยงการเมือง เข้ามาแทรกแซงการทำงานของแบงก์ชาติ จากการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่

แม้คณะกรรมการสรรหาฯ ยังไม่ประกาศผลการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ แต่การออกมาแสดงพลังคัดค้าน อาจตอกย้ำถึง ความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้ได้รับการคัดเลือก

เมื่อหลายฝ่ายพยายามส่งเสียง แสดงการคัดค้าน ที่การเมืองจะเข้ามาแทรกแซงองค์กรของรัฐ ที่ทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ฝั่งการเมืองจะยอมถอยหรือไม่..? และหากเข้ามากำกับ ควบคุมดูแลการทำหน้าที่ ของ ธปท. ได้สำเร็จ ภาพวิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี 40 ของไทย กลับเริ่มลอยเข้ามาในหัว ขอให้เป็นเพียงแค่ฝันร้าย ละกัน 

‘ครูอะไหล่’ หัวหน้าโครงการสตรีทอาร์ตคิงภูมิพล น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เผยความตื้นตัน!! หลังได้วาด ‘พระพักตร์ของในหลวงรัชกาลที่ 9’ สูงเท่าตึก 3 ชั้น

(13 ต.ค. 67) นายชวัส จำปาแสน (ครูอะไหล่) หัวหน้าโครงการสตรีทอาร์ตคิงภูมิพล ประธานมูลนิธิสานต่อที่พ่อทำ ได้เล่าให้ฟังถึง แรงบันดาลใจ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ‘โครงการสตรีทอาร์ตคิงภูมิพล’ และความรู้สึกตื้นตัน น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ‘พ่อหลวงของแผ่นดิน’ โดยมีใจความว่า ...

ผมได้วาดรูปพระองค์ท่านขึ้นมาในไซส์ประมาณสองเมตร ผมเห็นบรรยากาศของศิลปินทุกคนที่วาดกัน ทุกคนก็เศร้า ทุกคนเงียบ ทุกคนสงบแล้วก็วาดรูปอย่างเดียว มีระยะเวลาสองวันก็วาดกันข้ามคืน วาดกันสองวันเต็ม อาจารย์บางคนก็แทบจะไม่ทานข้าวเลย บรรยากาศตอนนั้นเนี่ย ก็เหมือนผลักดันความรู้สึก เหมือนกับว่าสองเมตรยังไม่พอซึ่ง เวลานั้น ทําให้ผมรู้สึกอยากจะวาดให้ใหญ่ขึ้นอีก

แล้วก็ได้มาวาดที่แรก ที่อําเภอเบตง ก็ใหญ่ในระดับประมาณ 3 ชั้น ตึก 3 ชั้น ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นเนี่ยตอนที่วาดรูปตึก 3 ชั้นสําเร็จเนี่ยรู้สึกโล่งใจขึ้นจากความรู้สึกที่เราอั้นมันอยู่ข้างในแล้วน้ำตาไม่ไหล แต่กลายเป็นว่า พอเราปล่อยออกมาผ่านการวาดรูปเนี่ย เหมือนเราได้ร้องออกมาผ่านผลงานศิลปะ

ทําให้เรารู้สึกว่า เราหายคิดถึง เราหายเสียใจ พระองค์ท่านเป็นแรงบันดาลใจในการทําศิลปะอย่างแท้จริง 

บางคนที่ว่าผมวาดรูป ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ อาจจะดูเหมือนไม่ใช่งานส่วนตัว แต่จริงๆ เนี่ย ‘สตรีทอาร์ตคิงภูมิพล’ เนี่ยคืองานส่วนตัวที่ผมทําและมีแพชชั่นกับตัวงานอย่างแท้จริง ก็ด้วยว่าการที่เราวาดบุคคลอื่นเนี่ย เราไม่รู้สึกว่าเราได้รับพลัง แล้วเรามีพลังในการทํางานเท่ากับการที่เราได้วาด ‘พระพักตร์ของในหลวงรัชกาลที่ 9’

รำลึกถึงพระองค์ท่านไม่เคยลืมเลือน ใครไม่อินกับสถาบัน แต่นายชวัส จำปาแสน หรือครูอะไหล่ เขาอิน เพราะพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ทรงทำจริงเพื่อคนไทย 

ไม่มีวันไหนไม่คิดถึงพ่อ 

‘ปตท.–ซีพีเอฟ–ไทยเบฟ’ ติดโผ นายจ้างที่ดีที่สุด จากผลสำรวจโดย ‘Forbes’ ด้าน Microsoft ครองแชมป์ ประจำปี 8 สมัยรวด ด้วยคะแนนที่ท่วมท้น

(13 ต.ค. 67) จากรายงานการศึกษาของ World Economic Forum ด้านสถานการณ์การจ้างงาน ชี้ว่า โลกการทำงานยุคนี้ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและแรงกดดันจากปัญหาสังคมและเศรษฐกิจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความไม่สงบทางการเมือง ค่าครองชีพที่สูงขึ้น การพัฒนาอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ในที่ทำงาน รวมถึงองค์กรหรือธุรกิจต่างๆ ต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืน จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นเหล่านี้ไม่น้อย 

สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในตลาดงาน ดังนั้น ตัวแรงงานหรือลูกจ้างหากต้องการให้ตนเองสามารถแข่งขันในตลาดงานต่อไปได้ จำเป็นต้องเพิ่มทักษะใหม่ๆ และปรับตัวให้เข้ากับลักษณะงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งฝั่งนายจ้างเองก็ย่อมต้องการทักษะใหม่ต่างๆ จากแรงงานเช่นกัน

ลูกจ้างของบางบริษัทอาจต้องขวนขวายหาความรู้หรือเพิ่มทักษะด้วยตนเอง แต่ลูกจ้างของบางบริษัทก็โชคดีกว่านั้น เพราะองค์กรของพวกเขาได้เข้ามาสนับสนุนและจัดให้มีพื้นที่ในการอบรม เพื่อฝึกฝนพัฒนาทักษะใหม่ให้พนักงานในองค์กรเท่าทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เครื่องมือใหม่ๆ ซึ่งทำให้พนักงานเติบโตไปพร้อมกับงานนั้นได้ อีกทั้งทำให้องค์กรรับมือกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงได้ นำไปสู่การพัฒนาองค์กรให้เติบโตก้าวหน้าต่อไป

พนักงานที่ทำงานในบริษัทที่ให้การสนับสนุนฝึกฝนทักษะดังกล่าว มักจะทำงานในบริษัทเหล่านั้นได้นานขึ้น มีความสุข และมีส่วนร่วมกับงานมากขึ้น แต่บางครั้งลูกจ้างที่จบใหม่ก็อาจไม่รู้ว่าบริษัทดีๆ แบบนี้คือที่ไหนบ้าง เพราะการค้นหาบริษัทเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป

ล่าสุด Forbes ได้ร่วมกับ Statista บริษัทให้บริการข้อมูลด้านสถิติระดับโลก ได้ทำให้การค้นหานั้นง่ายขึ้นด้วยการจัดอันดับนายจ้างที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 ซึ่งได้ทำต่อเนื่องติดต่อกันมาเป็นครั้งที่ 8 แล้ว

โดยการสำรวจและรวบรวมข้อมูลของปีนี้ ทีมงานวิจัยได้สำรวจพนักงานกว่า 300,000 คนในกว่า 50 ประเทศ ที่ทำงานให้กับกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คน และดำเนินงานในภูมิภาคทวีปอย่างน้อย 2 แห่งจากทั้งหมด 6 แห่งของโลก (แอฟริกา เอเชีย ยุโรป ละตินอเมริกาและแคริบเบียน อเมริกาเหนือ และโอเชียเนีย)

โดยผู้ตอบแบบสอบถามถูกถามว่า จะแนะนำบริษัทของตนให้กับครอบครัวหรือเพื่อนหรือไม่ และให้คะแนนโดยพิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ ได้แก่ 1.เงินเดือน 2.การพัฒนาบุคลากร และ 3.ตัวเลือกการทำงานจากระยะไกล นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมยังสามารถให้คะแนนบริษัทที่ตนรู้จักจากความรู้ในอุตสาหกรรมของตนเองและจากเพื่อนหรือครอบครัวที่ทำงานที่นั่นได้ด้วย

ผลการสำรวจได้รับการวิเคราะห์จากข้อมูลตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นให้ความสำคัญกับข้อมูลล่าสุดและการประเมินจากพนักงานปัจจุบันเป็นหลัก ในที่สุดก็ได้บริษัทที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ต่างๆ ออกมา ไล่เลียงบริษัทที่ได้คะแนนตรงตามเกณฑ์มากที่สุดไปหาน้อยที่สุด โดยมีทั้งหมด 850 แห่งจาก 48 ประเทศ ซึ่งพบว่าบริษัทที่ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 ได้แก่ Microsoft เนื่องจากได้รับคะแนนท่วมท้นทั้งในแง่ของ การให้พนักงานทำงานอย่างยืดหยุ่นได้ พนักงานได้รับเงินเดือนที่เหมาะสม และบริษัทมีการพัฒนาบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ

ขณะที่บริษัทจากประเทศไทยก็ติดโผในรายงานนี้ด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ติดอันดับต้นๆ ก็ตาม โดยพบว่ามี 3 บริษัทใหญ่ในไทยที่ติดอันดับในรายงานชุดนี้ ได้แก่ 

- อันดับที่ 69 คือ ปตท. (PTT)
ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส ปิโตรเลียม โรงกลั่น เคมีภัณฑ์ การก่อสร้าง มีพนักงานจำนวน 3,574 คน

- อันดับ 246 คือ ซีพีเอฟ (CPF) 
ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเกษตรอุตสาหกรรม ปศุสัตว์ อาหารสัตว์ ผลิตเนื้อสัตว์ อาหารสด อาหารแปรรูป อาหารพร้อมทาน เครื่องดื่มต่างๆ มีพนักงาน 135,446 คน

- อันดับ 456 คือ ไทยเบฟเวอเรจ
ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับค้าปลีกและขายส่ง อาหาร เครื่องดื่มทั่วไป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีพนักงาน 60,000 คน

ทั้งนี้ สำหรับการจัดอันดับบริษัททั่วโลกที่ถือเป็น "นายจ้างที่ดีที่สุดในโลก ปี 2024" นั้น ขอยกมาเฉพาะใน 10 อันดับแรก พบว่า เป็นบริษัทชื่อดังระดับโลกที่มีสำนักงานกระจายตัวอยู่หลายภูมิภาคทั่วโลก ได้แก่ 

อันดับ 1 Microsoft จากสหรัฐ มีพนักงาน  221,000 คน 
อันดับ 2 Alphabet  จากสหรัฐ มีพนักงาน  182,502 คน
อันดับ 3 Samsung จากเกาหลีใต้ มีพนักงาน  270,372 คน
อันดับ 4 Adobe จากสหรัฐอเมริกา มีพนักงาน 29,000  คน
อันดับ 5 BMW Group จากเยอรมนี มีพนักงาน 154,950 คน
อันดับ 6 Delta Air Lines จากสหรัฐ มีพนักงาน  90,000 คน
อันดับ 7 AIRBUS จากเนเธอร์แลนด์ มีพนักงาน  147,893 คน
อันดับ 8 IKEA จากเนเธอร์แลนด์ มีพนักงาน  208,000 คน
อันดับ 9 Lego Group จากเดนมาร์ก มีพนักงาน  27,000 คน
อันดับ 10 IBM จากสหรัฐ มีพนักงาน 187,000 คน

หมายเหตุ: ลิสต์รายชื่อบริษัทต่างๆ ตามรายงานของ Forbes ชิ้นนี้บริษัทต่างๆ ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใดๆ เพื่อเข้าร่วมหรือได้รับเลือก 

‘เจ้าของไอส์เบิร์กไอศกรีม’ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เผย!! เปลี่ยนคันเบ็ดเป็นที่ตักไอศกรีม จากโอกาสที่ได้ดูงาน ในโรงงานสวนจิตรลดา

(13 ต.ค. 67) ‘เจ้าของไอส์เบิร์กไอศกรีม’ โพสต์ซึ้งถึงเรื่องราวในอดีต ที่เคยได้รับพระราชทานโอกาส ให้เข้าดูงานในโรงงานไอศกรีมสวนจิตรลดา ทำให้ได้รับความรู้และประสบการณ์ จนนำมาต่อยอด มีกิจการใหญ่ ได้อย่างทุกวันนี้ โดยได้เล่าว่า …

8 ปีแล้วนะ ที่พ่อหลวงร.9 จากพวกเราไป ผมคิดเสมอว่าผมช่างโชคดีที่ผมได้เกิดเป็นคนไทย ได้เกิดและเติบโต ในช่วงที่พระองค์ยังทรงมีชีวิต

ในวัยเด็ก ช่วงเวลา2ทุ่ม ผมเห็นผู้ชายคนนี้ในจอทีวี ทุกวัน ผมสงสัยจึงถามป๋าขึ้นมา 

"ในหลวงต้องไปช่วยชาวบ้านไกลๆแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ เขาไม่เหนื่อยบ้างเหรอ" 

ป๋าตอบผมว่า " ท่านออกไปช่วยประชาชนของท่าน ช่วยสร้างแหล่งน้ำ ช่วยสร้างอาชีพ ช่วยให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ เหนื่อยมากๆ แต่ป๋าเชื่อว่า ท่านมีความสุขที่ได้ไปช่วยคนอื่น ช่วยให้ประชาชนท่านทำมาหากินเองได้"

เวลาผ่านไปจนผมเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ผมได้ดูรายการทีวีรายการหนึ่ง ทำให้ผมรู้จักโรงนมและโรงงานไอศกรีมในสวนจิตรลดา บ้านในหลวงนั่นเอง ผมจึงเขียนจดหมายด้วยลายมือ เล่าว่าผมเป็นลูกพ่อค้าขายไอศกรีมร้านหนึ่งในจ.นครปฐม ขอโอกาสในการศึกษาดูงานการผลิตไอศกรีมแบบสมัยใหม่ เพื่อมาต่อยอดองค์ความรู้เดิมในการผลิตไอศครีมของป๋า ป๋าผมขายไอศกรีมมาหลายสิบปีแล้ว ตอนนั้นท่านอายุ 70 กว่าแล้ว ผมจึงเริ่มวางแผนมาทำงานที่บ้าน จะได้ดูแลป๋ากับแม้ในช่วงบั้นปลายชีวิตได้ด้วย เวลาท่านไม่สบายจะได้ปิดร้านพาไปโรงพยาบาลได้ทันที

หลังจากส่งจดหมายไปเกือบเดือนผมก็ได้จดหมายตอบกลับมาจากทางสวนจิตรลดา ผมได้รับโอกาสในการขอดูงานในโรงงานไอศกรีมของพระองค์ ตื่นเต้นมากๆที่เราจะได้ไปบ้านในหลวง ผมลางาน1วัน ตื่นแต่เช้า เพื่อนั่งรถเมล์เข้ากรุงเทพ รถเมล์ส่งผมถึงหน้าประตูวัง ผมเดินเข้าไปสอบถามคุณตำรวจที่ยืนรักษาการณ์ที่หน้าประตูวัง

หลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจดหมายผมแล้ว ก็อนุญาตให้ผมเข้าประตูด้านในได้ ผมเดินไปตามทางถนนลาดยางที่อยู่ภายใน เห็นแปลงนาสาธิตอยู่ด้านข้าง เห็นโรงสีข้าว ผมเห็นป้ายโรงนม โดยมีคอกวัวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก นี่บ้านในหลวงจริงๆเหรอ ผมเคยเข้าใจว่าวังคงมีแต่อาคารใหญ่โตสวยงาม แต่ที่นี่มีแต่แปลงสาธิต สิ่งต่างๆ เพื่อให้ประชาชนของท่านได้นำเอาองค์ความรู้จากที่นี่ไปใช้ในการประกอบอาชีพได้

มาถึงโรงงานไอศกรีมแล้วครับ ผมได้เห็นถึงขบวนการผลิตไอศกรีมแบบสมัยใหม่ของที่นี่ ผมได้นำองค์ความรู้ในวันนั้น มาผสมผสานกับการทำไอศกรีมของคุณพ่อ แล้วปรับเปลี่ยนเป็นไอกรีมของผมเอง ดึงเอาจุดเด่นของแต่ละสูตรมา ทดลองทำอยู่นาน จึงได้สูตรไอศกรีมที่ดีที่สุด 

ผมเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ได้รับความรู้ ในการประกอบอาชีพจากพระองค์ ยังคงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอยู่เสมอมา หากไม่มีโครงการโรงนม &โรงงานไอศกรีมสวนจิตรลดา ก็คงไม่มีไอส์เบิร์กไอศกรีม หากไม่มีร้านไอศกรีมร้านนี้ ผมก็ไม่มีเงินพอฟอกไตแม่ ชีวิตผมคงแย่มากๆ ไม่ใช่แค่คนต่างจังหวัดเท่านั้นที่ได้ความช่วยเหลือจากพระองค์ ผมเป็นคนเมืองอีก1คนที่ได้ความช่วยเหลือนั้น พระราชาไม่ได้ให้ปลาแก่ผม แต่พระราชาได้มอบคันเบ็ดให้ผม เพื่อใช้ตกปลาเอง วันนี้ผมเปลี่ยนคันเบ็ดเป็นที่ตักไอศกรีมและผมสามารถทำไอศกรีมรสชาติต่างๆในจินตนาการที่ผมคิดอยากทำได้แล้ว เผลอแป๊บเดียว ปีนี้ร้านไอส์เบิร์กครบ 24 ปี แล้วครับ ขอบคุณพระองค์มากๆ ครับ

วันอาทิตย์นี้ ตรงกับ วันที่13 ตุลาคม เนื่องในวันครบรอบวันคล้ายวันสวรรคต ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน จึงตั้งใจว่าวันอาทิตย์นี้ 

ผมจะแจกไอศกรีม จำนวน 999 ลูก 

เริ่มตักแจกเวลา 10:00 น เป็นต้นไป

1 ท่านรับไอศครีมถ้วยละ 1 ลูก จำนวน 2 ถ้วย สามารถเลือกรสได้ มีไอศกรีมให้เลือกจำนวน 10 รสชาติ

วันอาทิตย์นี้ไม่ได้ขายไอศครีมนะครับ ผมแจกฟรีท่านใดทานหมดเอาถ้วยเก่ากลับมาเติมใหม่ได้ครับ จนกว่าไอศกรีมจะหมดตู้ 

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ‘โกรธไหมถ้าเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ไม่ตรงปก’ ปชช. ชี้!! รับได้ หากแบ่งจ่าย 5,000 บาท 2 งวด แต่โกรธมาก หากยกเลิก

(13 ต.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘โกรธไหมถ้าเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ไม่ตรงปก’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาคระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 

จากการสำรวจเมื่อถามถึงสถานะการได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 56.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 รองลงมา ร้อยละ 23.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใด ๆ ร้อยละ 17.00 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่ได้รับเงินสด 10,000 บาท ไปเรียบร้อยแล้ว และร้อยละ 2.10 ระบุว่า ไม่แน่ใจ 

เมื่อสอบถามผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 และผู้ที่ระบุว่าไม่แน่ใจ (จำนวน 1,181 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ดังนี้ 

รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกโครงการ ไม่มีการจ่ายเงินไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือเงินดิจิทัล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.58 ระบุว่า โกรธมาก รองลงมา ร้อยละ 34.38 ระบุว่า ไม่โกรธเลย ร้อยละ 14.56 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.14 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

หากเป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่น้อยกว่า 10,000 บาท เช่น จ่ายแค่ 5,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.30 ระบุว่า 
ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 24.47 ระบุว่า โกรธมาก ร้อยละ 21.25 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 13.64 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

หากเป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.54 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 17.53 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 12.11 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.31 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.51 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

หากเป็นการแบ่งจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต เช่น งวดละ 5,000 บาท จำนวนสองงวด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.88 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 20.07 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 10.58 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 8.30 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.17 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

ท้ายที่สุดเมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใด ๆ (จำนวน 479 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับการแจกเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 29.44 ระบุว่า รัฐบาลควรแจกเงินให้กับทุกกลุ่ม ไม่ว่ากลุ่มนั้นจะมีรายได้หรือทรัพย์สินเท่าไรรองลงมา ร้อยละ 25.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินให้แก่กลุ่มใด ๆ ร้อยละ 25.25 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่กลุ่มผู้เปราะบาง ผู้พิการ เท่านั้น ร้อยละ 15.66 ระบุว่า เห็นด้วยกับการแจกเงินทั้งแบบเงินสดแก่ผู้เปราะบาง ผู้พิการ และแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 ร้อยละ 2.30 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเป็นรูปแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 เท่านั้น และร้อยละ 1.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘อ่าวประทับ’ จุดเริ่มต้น สะพานเชื่อมเกาะสมุย ในเขต อ.ขนอม เดินทางสะดวก พร้อม!! รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

(13 ต.ค. 67) เพจ ‘โครงสร้างพื้นฐานประเทศไทย’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘โครงการพัฒนาเกาะสมุย’ และ ‘อ่าวประทับ’ จุดเริ่มต้น สะพานเชื่อมเกาะสมุย ในเขต อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช โดยมีใจความว่า …

อ่าวประทับ จุดเริ่มต้น สะพานเชื่อมเกาะสมุย ในเขต อ.ขนอม

พร้อมจุด เข้า-ออก 2 จุด ในเขต ดอนสัก สุราษฎร์ธานี และ ขนอม นครศรีธรรมราช เปิดโอกาสใหม่ในการท่องเที่ยว

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ผมไปนครศรีฯ ขากลับเลยแวะเยี่ยมชมพื้นที่ก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะสมุย ฝั่งขนอม ซึ่งจากการศึกษาล่าสุด ได้เลือกตำแหน่ง อ่าวประทับ เป็นจุดเริ่มต้นของสะพานเพื่อข้ามไปสมุย

ซึ่งจริงๆโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาเกาะสมุย โดยจะไปสนับสนุนโครงการท่าเรือสำราญ เกาะสมุย ที่อนาคตจะรองรับปริมาณผู้โดยสารเที่ยวในเกาะอีกมหาศาล

หลายๆ คงทราบกันอยู่แล้วว่าปัจจุบัน การเดินทางไปเกาะสมุย เดินทางด้วยรถยนต์ ผ่านเรือเฟอร์รี่ เท่านั้น ทำให้มีปัญหาในด้านจราจรก่อนข้ามเกาะ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการรอข้ามเกาะ

โดยปัจจุบัน เรือเฟอร์รี่ จะเริ่มต้นที่ท่าเรือดอนสัก สุราษฎร์ธานี ข้ามไปที่ เกาะสมุย ใช้เวลาประมาณ 1:30 ชั่วโมง รวมถึงมีปัญหา เรื่องมรสุม ที่ต้องเจอในช่วงฤดูฝน 

ทำให้รัฐบาลมีแนวคิดในการจะก่อสร้าง สะพานเชื่อมเกาะสมุย โดยมอบหมายให้ การทางพิเศษฯ เป็นคนศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่า ของโครงการ

ซึ่งปัจจุบัน ผ่านการประชุมมา 2 ครั้งแล้ว ทำให้ได้ตำแหน่งและเส้นทางของสะพาน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

รายละเอียดและตำแหน่งของสะพานเชื่อมเกาะสมุย

แนวทางที่เลือก เป็นเส้นทางที่ 6 

สะพานเริ่มต้นจาก ริมฝั่งอ่าวประทับ อ.ขนอม นครศรีธรรมราช วิ่งออกไปทางทิศเหนือ แล้วเลี้ยวเล็กน้อยมุ่งหน้าไปทางเกาะสมุย แล้วเลี้ยวอีกครั้งใกล้เกาะแตน ก่อนเข้าพื้นที่เกาะสมุย บริเวณหาดท้องกรูด เชื่อมต่อกับทางหลวง 4170

รูปแบบสะพาน จะมี 2 ลักษณะ
- สะพานทั่วไป ช่วงน้ำตื้น และไม่มีเรือผ่าน จะเป็นสะพานช่วงเสา 60 เมตร ท้องคานถึงระดับน้ำ 15 เมตร
- สะพานหลัก เพื่อให้เรือขนาดใหญ่ผ่านได้ มีช่วงเสากว้างที่สุด 250-300 เมตร ท้องคานถึงระดับน้ำ 50 เมตร เป็นรูปแบบสะพานขึง
สะพานจะมีขนาด 4 เลน + ไหล่ทางกว้าง 1 เมตร ทั้ง 2 ข้าง
ช่วงระดับดิน จะมีทางพิเศษ เชื่อมจาก จุดเริ่มต้นของสะพาน ไปยังทางเข้า-ออก ทั้ง 2 จุด เป็นถนนหลัก 4 เลน และถนนบริการเชื่อมโยงชุมชนโดยรอบ ข้างละ 2 เลน

จุดตัดทางเข้า-ออก โครงการ มี 2 จุด คือ
1. จุดตัดถนน 4142 กม.35 ซึ่งอยู่ฝั่ง อ.ขนอม 
2. จุดตัดถนน 4142 กม.14 ซึ่งอยู่ฝั่ง อ.ดอนสัก ซึ่งเป็นเส้นหลักเข้า ดอนสัก และทางไปท่าเรือเฟอร์รี่

ส่วนตัวผมมองว่า ตำแหน่งก่อสร้างเหมาะสม และผลกระทบกับแหล่งท่องเที่ยวบริเวณอ่าวประทับก็ต่ำ 

แต่ก็ต้องฝากให้ทีมงานช่วยวางแผนฟื้นฟูป่าชายเลนที่จะต้องมีการตัดเพื่อก่อสร้างด้วยครับ โครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะสมุย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top