Monday, 9 June 2025
Hard News Team

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ลงพื้นที่พิษณุโลก-พิจิตร ให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย สั่งเร่งระบายน้ำและฟื้นฟูเยียวยาให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว กำชับบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุม พร้อมเตรียมวางแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาวแก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน 

เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดพิจิตร เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมว่า ตนพร้อมด้วย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดพิจิตร เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน พร้อมพบปะและให้กำลังใจประชาชน โดยได้เข้ารับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และแผนการแก้ไขปัญหา พร้อมมอบนโยบายให้กับหัวหน้าส่วนราชการ จากนั้นลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ทุ่งบางระกำ ณ  วัดพรหมเกษร อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก และลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดพิจิตร พร้อมมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย และลงเรือมอบถุงยังชีพให้กับพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่บ้านเกาะสาริกา อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร  

นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ และได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือและเยียวยาผลกระทบ เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเร็วที่สุด การลงพื้นที่ในวันนี้ ได้รับทราบสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน และได้เห็นสภาพปัญหาความเดือดร้อนจาก อุทกภัยที่เกิดขึ้น จึงได้สั่งการให้วางแผนการเร่งระบายน้ำท่วมขังโดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งวางแผนบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อของปลายฤดูฝนเข้าสู่ฤดูแล้ง จึงต้อง รอบคอบรัดกุมในการบริหารจัดการน้ำ พร้อมเร่งสำรวจและเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำสำรองไว้เพื่อใช้ในช่วงฤดูแล้งนี้ด้วย นอกจากนี้ ให้เร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ และตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนให้มีความมั่นคงแข็งแรง 
.
นายประเสริฐ กล่าวว่า ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว จะต้องเร่งทบทวนเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้สอดคล้อง กับสถานการณ์และบริบทเชิงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาวางแผนการพัฒนาโครงการที่สามารถรองรับ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่ต้องครอบคลุมพื้นที่แบบรายลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำรวมทั้งต้องสอดรับกับการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน สำหรับโครงการบางระกำโมเดลถือว่าเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการน้ำ เป็นแก้มลิงธรรมชาติที่สามารถรองรับน้ำหลากในช่วงฤดูฝน ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี 

“จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่านและรับฟังสภาพปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการบริหาร จัดการน้ำในพื้นที่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด และปริมาณน้ำที่ยังท่วมขังลดลงโดยเร็วที่สุด จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1. เร่งระบายน้ำท่วมในพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว , 2. เร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ ให้แข็งแรง รวมทั้งตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยเขื่อนให้มีความมั่นคงแข็งแรง , 3. ทบทวนเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ , 4 กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว พร้อมวางแผนการพัฒนาโครงการที่สามารถรองรับการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 5. สำรวจและพิจารณาแหล่งเก็บกักน้ำสำรองไว้เพื่อใช้ในช่วงฤดูแล้งปี 2567/68” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าวย้ำ 

ชณะที่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช.กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัย 19 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ สุโขทัย อุดรธานี กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มหาสารคาม อุบลราชธานี ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และนครปฐม ซึ่ง สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินติดตามคาดการณ์การเกิดพายุที่จะ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดพายุได้อีก 1 ลูก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนี้ – 20 ต.ค. 67 ยังไม่พบความเสี่ยงในการก่อตัวของพายุที่จะเคลื่อนที่เข้าสู่ประเทศไทย ส่วนสถานการณ์น้ำของแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จำนวน 3,857 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 452 ล้าน ลบ.ม. หรือ 87% โดยมีอ่างฯขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว คือ อ่างฯแม่มอก มีปริมาตรน้ำ 105 ล้าน ลบ.ม. หรือ 96% ส่วนแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน จำนวน 4,334 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 10,051 ล้าน ลบ.ม. หรือ 94% โดยมีอ่างฯขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ อ่างฯสิริกิติ์ มีปริมาตรน้ำ 8,965 ล้าน ลบ.ม. หรือ 94% และ อ่างเก็บน้ำแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาตรน้ำ 746 ล้าน ลบ.ม. หรือ 79% 

สำหรับแผนงานโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของจังหวัดพิษณุโลก ได้รับอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อ กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2567 จำนวน 30 รายการ ประกอบด้วยกิจกรรม ก่อสร้างใหม่ (ระบบกระจายน้ำและระบบประปา) / ซ่อมแซมและบำรุงรักษา และปรับปรุง (คุณภาพน้ำ ระบบกระจายน้ำ ระบบประปา ระบบระบายน้ำ และสระเก็บน้ำเพื่อ การเกษตรและอุตสาหกรรม) สามารถเพิ่มปริมาณน้ำได้0.37 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ 449 ครัวเรือน พื้นที่รับ ประโยชน์ 10,843 ไร่ เช่น การปรับปรุงดาดคอนกรีตคลองส่งน้ำ P.R.-64.0R.(C-32) โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลายชุมพล ตำบลบ้านไร่ อำเภอบางกระทุ่ม, การก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนพื้นที่โครงการจัดทำที่ดินทำกินให้ ชุมชนตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย, การปรับปรุงพนังกั้นน้ำฝั่งขวาแม่น้ำ แคววังทอง ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง เป็นต้น 

ในส่วน จังหวัดพิจิตร ได้รับอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2567 จำนวน 18 รายการ ประกอบด้วยกิจกรรม ก่อสร้างใหม่ (น้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภค ระบบกระจายน้ำ และระบบประปา) และขุดลอก (ระบบ กระจายน้ำ) มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 0.35 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ 780 ครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ 661 ไร่ เช่น อาคารบังคับน้ำบ้านทุ่งใหญ่ ตำบลบ้านทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง, โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำประปาชุมชน รูปแบบที่1 หมู่ที่ 2 บ้านบึงบัวใน อบต.บึงบัว อำเภอวชิรบารมี, เพิ่มประสิทธิภาพระบบผลิตน้ำประปาขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 10 ลบ.ม.ต่อชั่วโมง บ้านหนองปรือ หมู่ที่ 4 อบต.ดงเสือเหลือง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง เป็นต้น

13 ตุลาคม ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ตลอด 31 ปี ช่วยเหลือประชาชนตามแนวทางที่ทรงวางไว้ ล่าสุดนำส่งอวัยวะหัวใจ ดวงที่ 103 สำเร็จลุล่วง

เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ด้วยวันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือ “วันนวมินทรมหาราช” สำนักงานตำรวจแห่งชาติน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ 

หนึ่งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและพสกนิกร คือ “ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ” เนื่องจากทรงเป็นห่วงพสกนิกรในเรื่องปัญหาการจราจร จึงพระราชทานแนวทางปฏิบัติให้แก่ตำรวจเพื่อเป็นแนวคิดไปใช้ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งพระราชทานทุนจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ในการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ รถจักรยานยนต์พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และพัฒนาบุคลาการเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาจราจร อันจะบรรเทาความเดือดร้อนของพสกนิกรได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2536 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 31 ปี 

ปัจจุบันตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร มีหน้าที่ในการบรรเทาปัญหาการจราจรที่ติดขัด และช่วยเหลือประชาชนในกรณีพิเศษ เช่น การช่วยเหลือหญิงที่ท้องแก่ใกล้คลอด หากได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบและอำนวยความสะดวกเรื่องการจราจรนำส่งโรงพยาบาล หากเห็นว่าควรจะทำคลอดก็จะดำเนินการทำคลอดให้ทันที นอกจากนี้ ยังได้จัดทีม "ตำรวจช่าง" ลงพื้นที่กระจายตามจุดต่าง ๆ เพื่อช่วยซ่อมรถให้กับประชาชนที่จอดเสียบนท้องถนนในเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน เพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด

อีกหนึ่งภารกิจที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริช่วยเหลืออำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่อง คือภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจ ต่อลมหายใจชีวิต ซึ่งอวัยวะหัวใจหากทำการผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา ยิ่งการเดินทางในกรุงเทพมหานครนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมารถนำส่งได้โดยใช้เวลาอันสั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 12.30 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้ปฏิบัติภารกิจอำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำอวัยวะหัวใจจากโรงพยาบาลใน จ.สมุทรปราการ ส่งโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ต่อลมหายใจให้ชีวิตใหม่เป็นดวงที่ 103 ได้รับความร่วมมือจากผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้จนภารกิจชีวิตในครั้งนี้ลุล่วงด้วยดี โดยใช้เวลาในการนำส่งเพียง 45 นาทีเท่านั้น แพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้สำเร็จ

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว ให้ความช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งของประชาชนมาโดยตลอด ยึดหลักการทำงานตามแนวพระราชดำริ เสมือนเชิญน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ไปมอบให้ประชาชนที่พระองค์ท่านทรงห่วงใย โดยตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา 31 ปี ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริทุกนายยึดหลักการทำงานสอดคล้องตามแนวพระราชดำริเสมอ เป็นหมอถนน หมอคน หมอรถ ดูแลความสงบสุขและความปลอดภัยบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่ประมาณ 7,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย โดย 1 ผู้ให้สามารถช่วยได้ 8 ชีวิต การบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้ที่สายด่วน 1197 กองบังคับการตำรวจจราจร

มท.4 ประธาน ศปช. ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ชุมชนเกาะลอย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง

เมื่อวันที่ (12 ต.ค. 67) เวลา 14.50 น. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) ในฐานะ ประธาน ศปช. ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ชุมชนเกาะลอย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยมความคืบหน้าของงานในพื้นที่และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) ที่ปฏิบัติหน้าที่

นอกจากนี้ ยังได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์เอกชัย ที่ให้การอุปถัมภ์เจ้าหน้าที่ อส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ในชุมชนเกาะลอย ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่มีขวัญและกำลังใจในการทำงานอย่างเต็มที่เพื่อชุมชน

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2567 : ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : ไปวัดทําบุญจนเงินหมด ไม่เหลือเงินไว้ซื้อแม้กระทั่งของกิน  แบบนี้ควรจะทำอย่างไร

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) : ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘การทําบุญ’ มีมากมายหลายอย่างที่ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ว่าจะเป็น การรักษาศีล การสวดมนต์ ความเอื้อเฟื้อมีน้ำใจ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ก็ถือว่าเป็นการทำบุญได้ทุกวันเหมือนกัน 

ส่วนการทำบุญด้วยการบริจาคเงินนั้น ควรทําแต่พอประมาณ จะทำ 5 บาท 10 บาท ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าทำถึงขนาดไม่เหลือเงินไว้ซื้อน้ำกิน ก็ถือว่าไม่เป็นไปตามหลักคําสอนของพระพุทธเจ้า คือเบียดเบียนตนเอง สมมติว่าเรามีเงิน 20 บาท เราอาจจะทำบุญ 2 บาทก็ได้ แต่ไปมุ่งรักษาศีล 5 และสวดมนต์ภาวนา แบบนี้เราก็ได้บุญเหมือนกัน

สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องรักษาใจ ให้มีความเชื่อมั่น ศรัทธา ไม่หวั่นไหว ด้วยจิตที่อิ่มเอม เห็นประโยชน์ของการทำบุญการบริจาค ส่วนจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และยึดมั่นในประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ต่อพระสงฆ์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

เหตุใด? ‘รัชกาลที่ ๔’ ต้องการ ‘ปราสาทขอม’ | THE STATES TIMES Story EP.155

เมื่อไม่นานมานี้ ในโซเชียลมีเดียได้มีการเผยแพร่เรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ ๔ และปราสาทนครวัดจำลองในพื้นที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 

ซึ่งปราสาทจำลององค์นี้ ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ มีพระราชบัญชาให้ขุนนางได้จำลองมาไว้ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของการรื้อถอนปราสาทหินจากเขมรเพื่อนำมาไว้ในสยาม แต่ข้อมูลที่แชร์ในโซเชียลนั้นไม่บอกไว้ว่า เหตุใดล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ถึงต้องรื้อปราสาทหินมาไว้ในพระนคร มีก็เพียงแต่ต้องการที่จะให้ชาวพระนครได้ชมปราสาทหินเขมร ซึ่งมันคือ ‘เรื่องปลายทาง’

วันนี้ THE STATES TIMES Story จึงอาสามาเล่าถึงเหตุผลจริง ๆ ของการจำลองปราสาทหินจากเขมร เรื่องราวจะสนุกขนาดไหน ไปฟังกัน…

‘คณะกรรมการโนเบล’ มอบ ‘รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ’ ให้องค์กรในญี่ปุ่น เพื่อเชิดชูความพยายาม ในการผลักดันโลก ให้ปลอดจาก ‘อาวุธนิวเคลียร์’

(12 ต.ค. 67) คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลมีมติเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ประกาศให้ สมาพันธ์ผู้ประสบภัยจากระเบิดปรมาณูและไฮโดรเจนแห่งญี่ปุ่น หรือ ‘นิฮง ฮิดันเกียว’ (Nihon Hidankyo) ซึ่งเป็นองค์กรของผู้รอดชีวิตในญี่ปุ่นจากระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับ "รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ" ประจำปีนี้ เพื่อเชิดชูความพยายามในการผลักดันโลกให้ปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์

คณะกรรมการฯ ระบุว่า นิฮง ฮิดันเกียว ซึ่งเป็นองค์กรรากหญ้าที่มีการก่อตั้งขึ้นในปี 1956 หลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในเดือนส.ค. 1945 ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่ร้ายแรงต่อมนุษยชาติจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์

แม้เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการทำสงครามเป็นเวลาเกือบ 80 ปีแล้ว แต่เป็นเรื่องน่าวิตกที่ในปัจจุบัน แนวคิดในการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์กำลังถูกกดดัน

สำหรับพิธีมอบรางวัลโนเบลจะมีขึ้นที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ในวันที่ 10 ธ.ค. โดยบุคคลหรือองค์กรที่คว้ารางวัลจะได้รับเงินจำนวน 11 ล้านโครนาสวีเดน (1.06 ล้านดอลลาร์) หรือราว 35 ล้านบาท

สำนักข่าววีโอเอระบุว่า สหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูสองลูกใส่ญี่ปุ่นในปี 1945 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตราว 120,000 คนทันที และมีประชาชนจำนวนเท่าๆ กันเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากแผลไหม้และผลกระทบของกัมมันตภาพรังสี ขณะที่มีผู้รอดชีวิตอยู่ราว 650,000 คนที่มีชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ฮิบากูชะ (Hibakusha)

แถลงการณ์ของคณะกรรมการโนเบลระบุว่า ชะตาชีวิตของผู้รอดชีวิตเหล่านั้นถูกปกปิดไว้หรือไม่สังคมก็ไม่ยอมรับรู้ และในปี 1956 สมาคมฮิบาคุชะหลายแห่งในญี่ปุ่นมารวมตัวกันกับเหยื่อของการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อสร้างกลุ่ม Nihon Hidankyo ขึ้นมา

คณะกรรมการรางวัลโนเบลระบุว่า กลุ่มดังกล่าวได้รับรางวัลสันติภาพจาก ‘ความพยายามที่จะให้โลกปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ และจากการแสดงให้เห็นผ่านคำให้การของพยานผู้รอดชีวิตว่า จะต้องไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์อีกต่อไป’

"ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง" โทชิยูกิ มิมากิ ประธานร่วมของนิฮง ฮิดันเกียว กล่าวโดยกลั้นน้ำตาและบีบแก้มตัวเองไว้ ในการแถลงข่าวที่เมืองฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุระเบิดปรมาณูเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ในช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง

มิมากิซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตกล่าวว่า รางวัลนี้จะช่วยผลักดันความพยายามในการแสดงให้เห็นว่า การยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นไปได้ และตำหนิรัฐบาลต่างๆ ที่ยังเดินหน้าทำสงครามแม้ว่าประชาชนจะโหยหาสันติภาพก็ตาม

ด้านยอร์เกน วัตเน ฟรีดเนส ประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลของนอร์เวย์ กล่าวเตือนโดยไม่ได้ระบุชื่อประเทศใดประเทศหนึ่งว่า ประเทศที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไม่ควรคิดที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์

‘อ.สุวินัย’ ชี้ ‘ทำใจดีสู้เสือ’ เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้ของ 'บอสพอล ดิไอคอน' รีบเข้าพบตำรวจ เข้าสู่กระบวนการให้เร็วที่สุด แล้วลากยาวในชั้นศาล จนสังคมลืม

(12 ต.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับกรณี ‘บอสพอล ดิไอคอน’ โดยมีใจความว่า ...

‘ทำใจดีสู้เสือ’ เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้ของ 'บอสพอล'

วันนี้เกมชิงไหวชิงพริบระหว่างฝ่ายตำรวจ กับฝ่าย ‘ผู้ร้าย’ (ในสายตาสังคม) ได้เริ่มต้นยกใหม่แล้ว

วันนี้ 'บอสพอล' ชิงเข้าพบตำรวจก่อนถูกออกหมายจับ เขาชิงเล่นถือหมาก ‘มือนำ’ (先手) เพื่อคุมเกมและเล่นเกม 'คดีความ' นี้เพื่อเอาตัวเองให้รอด เคล็ดและยุทธศาสตร์ในการสู้คดีของ 'บอสพอล' ชัดเจนมาก ...เขาต้องการให้คดีของเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็วที่สุด และปล่อยให้กระบวนการสู้คดีในชั้นศาลของเขาลากยาวออกไปให้นานที่สุด จนกระทั่งกระแสสังคมอ่อนแรงลง จนกระทั่งถูกกลบลืมในที่สุด

ใครที่ติดตามตำนาน ‘อายุน้อยพันล้านของบอสพอล’ มาตั้งแต่ต้น ต้องยอมรับว่า 'บอสพอล' ผู้นี้เป็นคนที่ฉลาดอย่างแยบยลในทุกขั้นตอน แผนรับมือวิกฤตทางคดีความของ The Icon ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ น่าจะอยู่ในหัวของ 'บอสพอล' ตั้งแต่แรก และเขาได้เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว

บอสพอล สามารถควบคุมสติของตนได้ ในการมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน โดยเขาน่าจะให้ปากคำกับตำรวจ ตามสคริปต์ที่เตรียมไว้แล้วกับทนาย ....

มีข้อสังเกตว่า พวกบอสดาราขาใหญ่ที่ออกมาเปิดใจกับสื่อเมื่อวานนี้และวันนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ตรรกะเดียวกัน วาทกรรมเดียวกัน ราวกับตระเตรียมกันมาล่วงหน้าจาก ‘ผู้กำกับ’ คนเดียวกันก็ไม่ปาน

การให้พวกบอสดาราขาใหญ่ ออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าไม่รู้เรื่อง แค่รับจ้างมาเป็นพรีเซนเตอร์ของบริษัทเท่านั้น ... น่าจะเป็นข้อตกลงลับ ๆ ร่วมกันระหว่างบอสพอลกับพวกบอสดาราขาใหญ่ เพราะการปล่อยให้บอสพอลรับมือคนเดียว หรือรับผิดชอบคนเดียวต่อความเสียหายที่เกิดจากบริษัท ... มันเป็นเรื่องง่ายกว่าในการสู้คดีความทางกฎหมายสำหรับบอสพอล เพราะมีโอกาสรอดคดีสูงมาก

ในขณะที่ พวกบอสดาราขาใหญ่ก็สามารถหา 'ทางลง' กลับคืนสู่อ้อมอกของประชาชนได้ไม่ยาก

วันนี้ 'บอสพอล' ได้ดำเนินแผนคู่ขนานสองแผนไปพร้อม ๆ กัน

แผนที่หนึ่ง ‘เอาน้ำเย็นเข้าลูบ’ ... 'บอสพอล' ยอมรับว่า หลังเกิดเรื่องจนถูกสังคมต่อว่า ตนได้ออกมาชี้แจงช้ามาก ซึ่งตอนนี้มีความตั้งใจจะ ‘เยียวยา’ และ 'ช่วยเหลือ' ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ส่วนผู้ที่สูญเสียคนในครอบครัว ทางบริษัทจะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาแนวทางแก้ไขช่วยเหลือ โดยจะมีบุคคลตัวกลาง ที่เป็นบุคคลที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นมาช่วยเหลือ ให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด 

ส่วนแผนที่สอง 'ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ผิดกฎหมาย' ... 'บอสพอล' บอกว่าความเสียหายทั้งหมดที่อ้างว่าเกิดขึ้นจากทางบริษัทของตน ต้องขอพิสูจน์ทราบและปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีการสอบปากคำทางบริษัทและผู้เสียหายทั้งหมดให้ปรากฏข้อเท็จจริง และเชื่อว่าประชาชนจะสามารถตัดสินใจได้ว่า ใครผิดใครถูก

บอสพอล ระบุว่า บริษัทตั้งมา 6 ปี แล้ว ไม่เคยคิดว่าการขายของออนไลน์ลักษณะนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะตนเองก็ไม่ใช่เจ้าแรกที่ประกอบธุรกิจนี้ จะเห็นว่ารุ่นพี่ในธุรกิจขายของออนไลน์ที่ทำและเติบโต ประสบผลสำเร็จก็ยัง ‘ไม่ผิดกฎหมาย’

ขอสรุปแบบฟันธงว่า ... วันนี้ ยกนี้ ฝ่ายบอสพอลเป็นฝ่ายได้คะแนนนำ จากนี้ไปสังคมต้องจับตาดูว่า ฝ่ายตำรวจจะแก้เกมอย่างไร ถึงจะจัดการ ‘ผู้ร้ายหน้าหยก’ ที่ฉลาดเป็นกรดรายนี้ได้

เหตุการณ์นี้ ผู้ชมอย่างเราเหมือนได้ดูซีรีส์อาชญากรรมของเกาหลี ในชีวิตจริงก็ไม่ปาน

‘เทศกาลวัฒนธรรมรัสเซีย’ เตรียมจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ 3 พ.ย. นี้ ที่โรงละครอักษรา ฉลอง!! วันเอกภาพแห่งชาติ โชว์ระบำพื้นบ้าน เชื่อมสัมพันธ์ ‘รัสเซีย-ไทย’

(12 ต.ค. 67) เทศกาลทางด้านวัฒนธรรมของชาวรัสเซียจะจัดขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 ณ จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื่องในโอกาสวันเอกภาพแห่งชาติ ในงานนี้จะมีนักแสดงหนุ่มสาวจากคณะการแสดง ระบำพื้นบ้าน Katyusha ขึ้นทำการแสดงบนเวทีของโรงละครอักษรากรุงเทพฯโดยงานนี้จะมีการจัดแสดงระบำพื้นบ้าน การเต้นรำและการแสดงอื่น ๆ ตามความหลากหลายของวัฒนธรรม รัสเซียให้ผู้ชมได้รับชมในงานได้เตรียมชุดแต่งกายกว่า500ชุด เพื่อใช้ในงานนี้โดยเฉพาะซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองและความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมของประเทศรัสเซีย 

นอกจากนั้นเรายังมีคณะนักแสดงจากประเทศรัสเซีย เข้าร่วมแสดงในงานนี้ด้วย ได้แก่คณะเต้นรำจาก Buryatia และ Yakutia โดยจะยิ่งเพิ่มความน่ารักสดใสให้กับเมืองหลวงของประเทศไทยผู้ชมงาน จะได้สัมผัสวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมจากหลายภูมิภาคในประเทศรัสเซีย เช่น สาธารณรัฐกาตาร์สถาน บัชคอร์โตสถาน ชูวาเชีย มอร์โดเวีย คาเรเลีย คัลมึกเกีย นอร์ทออสซีเชีย ดาเกสถาน และอื่น ๆ อีกมากมาย 

คณะระบำพื้นบ้าน Katyusha ได้จัดตั้งขึ้นมานานกว่า15ปีแล้วซึ่ง แต่เดิมมีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม ให้แพร่หลายขึ้นในประเทศไทย และการจัดแสดงครั้งนี้เป็นปีแรกที่เราได้นำคณะนักเต้น ระบำพื้นบ้านของเราเข้าร่วมการแสดงร่วมกับคณะนักเต้นจาก ประเทศรัสเซีย โดยเราได้ศึกษาลักษณะการเต้นระบำพื้นบ้านที่เป็น ส่วนหนึ่งในองค์ประกอบของการเต้นรำจากดาเกสสถานเลสกินก้า และอาวาร์โดยในงานนี้เราจะจัดแสดงการเต้นรำที่มาจาก 15 ภูมิภาค แม้จะยังน้อยนักเมื่อเทียบกับวัฒนธรรมการแสดงของชาวรัสเซียทั้งประเทศ ดังนั้นในปีหน้าเราจะมีการแสดงอีกครั้งเพื่อจัด แสดงการเต้นระบำจากภูมิภาคอื่น ๆ ในประเทศรัสเซีย

ผู้อำนวยการเยคาเทอรินน่า อเล็กเซเยวา ของคณะ Katyusha ได้ กล่าวไว้ เทศกาลทางด้านวัฒนธรรมของชาวรัสเซียจะจัดขึ้นในช่วง ก่อนสิ้นปี 2567 ซึ่งปีนี้เป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวระหว่างรัสเซีย-ไทย ซึ่งจะทำให้ทั้งสองชาติมีความสัมพันธ์ฉันมิตร และเชื่อมมรดกทางด้านวัฒนธรรมของทั้งสองชาติ การแสดงเต้นระบำครั้งนี้จะปลุกความสนใจของชาวไทยที่สนใจในวัฒนธรรมของชาวรัสเซีย 

อีกทั้งยังได้ความสามัคคีและ ความเข้าใจต่อความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมของโลก เราขอเรียนเชิญทุกท่านเพื่อรับชมและเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอันยอดเยี่ยมนี้

‘อุ๊งอิ๊ง’ พาไทยผงาด ในเวทีประชุม ‘สุดยอดผู้นำอาเซียน’ ลั่น!! พร้อมเป็นเจ้าภาพ จัดประชุมแก้ปัญหา ในเมียนมา

(12 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ ‘เสียงจากใจ…ไทยคู่ฟ้า’ ทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย  สรุปภาพรวมภารกิจของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการเดินทางเยือนสปป.ลาว ในช่วงระหว่างวันที่ 8-11 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และกำลังจะมีสมาชิกใหม่คือ ติมอร์เลสเต การเดินทางครั้งนี้ มีส่วนราชการ นักธุรกิจไปร่วม การประชุมเพื่อรวมประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวม700ล้านคน จะทำให้มีพลังและอำนาจต่อรอง โดยการประชุมได้พูดคุยกรอบร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และค้ามนุษย์ น้ำท่วม หมอกควัน PM2.5 โดยในวันแรกเป็นการเยือนสปป.ลาว ในฐานะแขกของสปป.ลาว อย่างเป็นทางการ ได้รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีลาว และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลลาวอย่างสมเกียรติ และที่ประชุมหารือปัญหาสำคัญของประเทศไทย-ลาว ที่ได้ร่วมกันจับมือแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ปัญหาหมอกควันและยาเสพติดระหว่างชาติ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาแม่น้ำโขงเพื่อป้องกันอุทกภัยระหว่างกันในอนาคต

จากนั้นในวันที่ 9-11 ต.ค.นายกฯได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 44-45 และการประชุมอื่น รวมทั้งการพบปะผู้นำแต่ละชาติที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้นกว่า20การประชุม อาทิ การประชุมแบบเต็มคณะ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนอกจากนี้ยังมีการประชุมครั้งที่ 45 ซึ่งเป็นการหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน ซึ่งผลของการประชุมเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอย่างยิ่ง การประชถมอาเซียนบวกสาม

นายจิรายุ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีความหลากหลาย อาทิการประชุมสุดยอดอาเซียน - จีน ครั้งที่ 27 และการประชุมสุดยอดอาเซียน - เกาหลีใต้ ครั้งที่ 25 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียน กับเกาหลีใต้และการประชุมสุดยอดอาเซียน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 27 และการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ครั้งที่ 21 และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 19  นอกจากนี้นายกฯ ของไทย ได้หารือทวิภาคีเพื่อแนะนำตัว และสร้างความคุ้นเคยกับผู้นำ 12 ประเทศ ได้แก่ บรูไนฯ กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา รวมทั้ง  รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯและนาย Klaus Schwab ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร WEF ที่เชิญนายกรัฐมนตรีไปร่วมการประชุม WEF ที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี2568 รวมถึงพูดคุยกับนายกฯแคนาดา 

นายจิรายุ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ ถือว่าประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการนำเสนอและผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน รวมทั้งการส่งเสริมความเชื่อมโยง ซึ่งนายกฯ ได้หยิบยกเรื่องการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างกัน และการขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน 

ส่วนในหลายเวทีการประชุมและการหารือกับประเทศต่าง ๆ ไทยและประเทศคู่เจรจา ยังตอบรับที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการลักลอบค้ายาเสพติด และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การรับมือภัยพิบัติ การบริหารจัดการน้ำ และการแก้ไขปัญหาหมอกควันและ PM2.5 รวมทั้งการรับมือ การเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศจากทั้งประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจา และจะเป็นประโยชน์การส่งเสริมการกินดีอยู่ดี และความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน 

ขณะที่นายกฯกล่าวในเวทีอาเซียนวันสุดท้ายของการประชุมว่า จะส่งเสริมสันติภาพ ในภูมิภาคนี้ซึ่งในส่วนของเมียนมา ไทยเสนอตัวเป็นสถานที่จัดการประชุมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในเดือนธันวาคมปีนี้ เพื่อส่งเสริมความพยายามของอาเซียนในการช่วยกันแก้ไขปัญหาในเมียนมาโดยสันติด้วย 

นายจิรายุ กล่าวสรุปว่าการประชุมทั้ง 4 วันครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามสื่อมวลชนต่างชาติ และประเทศคู่เจรจาให้ความสำคัญกับประเทศไทย และได้นำปัญหาและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน มาพูดคุยกันจนเป็นรูปธรรมเพื่อนำไปสู่ การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของแต่ละประเทศต่อไป โดย โดยในปีหน้าประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียนครั้งที่ 46 ต่อไป

‘หมูเด้ง’ ขึ้นแท่น ‘ซุปตาร์-พรีเซ็นเตอร์’ ปัจจุบันมีสินค้ามาขอ official แล้ว 38 องค์กร .

(12 ต.ค. 67) สินค้าลิขสิทธิ์ ‘หมูเด้ง’ แบบ Official ปัจจุบันมี 38 องค์กร ที่มาขออนุญาตจากองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อนำเอาหมูเด้งไปใช้กับสินค้าของตัวเองเป็นสินค้าลิขสิทธิ์ ‘น้องหมูเด้ง’ อย่างเป็นทางการ คือ

1. บริษัท ไปรษณีย์ไทย ทำชุดแสตมป์ และโปสการ์ด
2. บริษัท พอดี้ อินโนเวชัน เอาภาพหมูเด้ง จัดทำสินค้าเพื่อส่งเสริมการขาย
3. บริษัท ทิพย์วารี (ชาตรามือ) นำภาพหมูเด้งบนแก้วเครื่องดื่ม
4.บริษัท เดลิค จัดหาผู้สนับสนุน หมูเด้งผ่าน ZZoodio.live
5.บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) โปรโมชันเครื่องดื่ม ชื่อ Hippoween ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับหมูเด้ง
6. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ทำเสื้อยืดอุ่นใจ หมูเด้ง และไลน์สติกเกอร์ อุ่นใจหมูเด้ง
7.บริษัท ซีพีออลล์ พิมพ์ลายแก้ว สติกเกอร์หมูเด้ง จำหน่ายในร้านคัดสรร และร้าน เบลลินี่
8.บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จัดแคมเปญส่งเสริมการขายสาขาสวนสัตว์เขาเขียว และพื้นที่ จ.ชลบุรี
9.บริษัท ฟาร์ม เอ็กซ์โป ทำเสื้อยืดหมูเด้ง
10.บริษัท Giftwise asia ทำแก้วเซรามิค เสื้อยืด ปากกา แก้วเก็บความเย็น คอลเลกชันตุ๊กตา 12 คาแรกเตอร์

11.บริษัท พีซีเอส 999 เอ็นเตอร์ไพรส์ 2016 ทำหมอนผ้าห่ม
12.บริษัท ช็อปปี้ (ประเทศไทย) เข้าดูไลฟ์ มอบของขวัญน้องหมูเด้ง
13.บริษัท ลาซาด้า (ประเทศไทย) ทำกางเกงหมูเด้ง
14.บริษัท ไลน์ คอมพานี ประเทศไทย ทำไลน์สติกเกอร์หมูเด้ง
15.บริษัท โกรล เวลส์ ผลิตภัณฑ์ทิชชูเปียก วีว่าออแกนนิก เบบี้ไวท์
16.บริษัท แอดด้า ฟุตแวร์(ไทยแลนด์) ทำรองเท้าหนีบลายฮิปโป
17.บริษัท การีนา ทำเกมออนไลน์ เวอร์ชัน หมูเด้ง
18.บริษัท มัลติพลาย บายเอท ทำปลอกยาดมลายหมูเด้ง ปลอกยาดมสมุนไพรลายหมูเด้ง
19.บริษัท ออล์เวย์ซัมเมอร์แบงคอก ทำเสื้อฮาวาย เสื้อยืด หมวก สมุดโน้ต หมูเด้ง
20.บริษัท แกรนดี้อินเตอร์เทรด ทำเสื้อฮาวาย เสื้อยืด หมวก สมุดโน้ต

21.บริษัท บางกอกสมาร์ทการ์ด ซิสเทม ทำบัตรเติมเงิน
22.บริษัท เอ็กโซเซ ทำคอลเลกชันหมูเด้ง 6 แบบ เหรียญหมูเด้งสีทอง เหรียญหมูเด้งสีเงิน
23.ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอริกะ12(ไทยแลนด์) ทำที่ปัดแก้ม
24.บริษัท นานาสาระพัน ทำชุดหมอนอิง เบาะรองนั่ง หมอนรองคอ ชุดผ้ากันเปื้อน กระเป๋าผ้า
25. บริษัท ริชเวิลด์ ทำเสื้อเด็ก เสื้อผู้ใหญ่ แก้วน้ำ หมวก
26. บริษัท พิมพ์ตามใจ ทำหมอนผ้าห่ม หมวกบักเก็ต เป้ผ้า พวงกุญแจ กระเป๋าสตางค์
27. บริษัท โซดา พริ้นติ้ง ทำเสื้อยืด กางเกง กระเป๋า หมอนอิง กระบอกน้ำเก็บความเย็น
28. บริษัท ธนันพัฒนะ ทำกระเป๋าผ้า
29. บริษัท ธนาคารกสิกรไทย ทำ เคแบงค์ สติกเกอร์
30. บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง ทำรองเท้าแตะช้างดาว รุ่นพิเศษ

31. บริษัท เพ็ท โฟกัส จำกัด (เบทาโกร) ไม่มีการทำผลิตภัณฑ์จำหน่าย (บริจาคอาหารสัตว์)
32. บริษัท เนเจอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทำขวดนม 4 แบบ
33. บริษัท นานมี จำกัด ทำชุดสมุดภาพระบายสี และ/หรือสมุดภาพระบายสีนิทานหมูเด้ง
34. บริษัท ศรีไทย ซปเปอร์แวร์ จำกัด ทำกระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิ
35. บริษัท โปรเจค เอ็ม เอ็น พี จำกัด ทำ Animated Sticker / Chat Theme /GIPHY
36. บริษัท เมกะบาท จำกัด ทำเครื่องประดับ (ต่างหู / จี้/ชาร์ม / สร้อยข้อมือ / แหวน / สร้อยคอ)
37. บริษัท ชีบร้า มาร์เกตติ้ง จำกัด ทำถ้วยน้ำสุญญากาศ รุ่น POLAR SAVE THE EARTH (2ขนาo)
38. บริษัท ภราภัช แอดวานย์ จำกัด ทำ ผลิตกัดภัณฑ์ครอบครัวหมูเด้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top