Sunday, 8 June 2025
Hard News Team

9 เดือนแรก บสย. ค้ำประกันแล้วกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการขนาดย่อม

(15 ต.ค. 67) นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงาน บสย. ช่วง 9 เดือนปี 2567 (ม.ค. – ก.ย.) สามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. เพิ่มสินเชื่อในระบบ และช่วยรักษาการจ้างงาน ตลอดช่วยลูกหนี้ บสย. ปรับโครงสร้างหนี้ แก้หนี้อย่างยั่งยืน ตอบโจทย์นโยบายภาครัฐ

ตลอด 9 เดือน บสย. ค้ำประกันสินเชื่อได้กว่า 34,543 ล้านบาท ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 141,189 ล้านบาท มีผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากกว่า 70,634 ราย แบ่งเป็นกลุ่มรายย่อยหรือ Micro SMEs ในสัดส่วนถึง 91% ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 90,000 บาทต่อราย ส่วนอีก 9% เป็นกลุ่ม SMEs ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 4.71 ล้านบาทต่อราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้กว่า 36,221 ล้านบาท รวมถึงรักษาการจ้างงานไม่น้อยกว่า 311,948 ตำแหน่ง  ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อที่เป็นมาตรการรัฐ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อที่ บสย. พัฒนาเอง ได้แก่

1.โครงการตามมาตรการรัฐ วงเงิน 16,942 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 65,356 ราย
2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) วงเงิน 9,893 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 1,543 ราย
3.โครงการค้ำประกันสินเชื่อดำเนินการโดย บสย. วงเงิน 7,351 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 4,255 ราย  

ผลงานค้ำประกันที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะโครงการ PGS 11 “บสย SMEs ยั่งยืน” ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี หลังจาก บสย. ได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงสิ้นเดือนกันยายน ในระยะเวลากว่า 2 เดือน มียอดค้ำประกันสินเชื่อไปแล้ว 12,048 ล้านบาท ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน อาทิ ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ เริ่มต้น 2 ปีแรก และสูงสุดถึง 4 ปีแรก ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนค่าธรรมเนียมค้ำประกัน ด้วยอัตราค่าธรรมเนียมต่ำเพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงินสำหรับผู้ประกอบการ โดยมีวงเงินค้ำประกันต่อรายตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 40 ล้านบาท ระยะเวลาการค้ำประกันนานสูงสุด 10 ปี เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ ตอบโจทย์ความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจและเสริมสภาพคล่อง ตลอดจนยังมุ่งเน้นมาตรการการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อการพลิกฟื้นธุรกิจจากภาครัฐ

สำหรับความสำเร็จที่ชัดเจนของ บสย. ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา คือ การให้คำปรึกษาทางการเงิน โดยศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพและยกระดับขีดความสามารถทางธุรกิจของ SMEs ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 – 30 กันยายน 2567 ให้บริการรวม 21,737 ราย แบ่งเป็นผู้ลงทะเบียนขอรับคำปรึกษา 6,746 ราย และลงทะเบียนเข้าอบรม 14,991 ราย โดยมีความต้องการสินเชื่อ 17,000 ล้านบาท สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบ (Success rate) ที่ 14.92%

นอกจากนี้ บสย. ยังประสบความสำเร็จในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อที่ถูกเคลม ด้วยมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ “บสย. พร้อมช่วย” (มาตรการ 4 สี  ม่วง เหลือง เขียว และ ฟ้า) ซึ่ง บสย. พัฒนาขึ้น เพื่อรองรับความสามารถในการชำระหนี้ ช่วยลูกหนี้ ตัวเบา ลดต้นทุนทางการเงิน มีจุดเด่นคือ ตัดต้นก่อนตัดดอก และ ดอกเบี้ย 0%

ทั้งนี้ ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา มีลูกหนี้ที่ได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว 2,727 ราย แบ่งเป็นลูกหนี้กลุ่มที่มีศักยภาพในการชำระคืนเงินต้นบางส่วนแต่ต้องการปลอดดอกเบี้ย (สีเขียว) สูงถึง 73% ตามด้วยลูกหนี้กลุ่มที่จ่ายไหวเพียงบางส่วน (สีเหลือง) 20% และลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง (สีม่วง) 7% โดยตั้งแต่เริ่มมาตรการดังกล่าว ในเดือน เม.ย. 2565 มีลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และได้รับการประนอมหนี้รวม 16,068 ราย คิดเป็นมูลหนี้กว่า 7,240 ล้านบาท ที่สำคัญสามารถช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มสีเขียวให้สามารถปลดหนี้ และเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ ผ่านการร่วมมาตรการ “ปลดหนี้” (สีฟ้า) จำนวน 114 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (มาตรการปลดหนี้ เปิดใช้เมื่อเดือนมกราคม 2567 เป็นมาตรการช่วยลูกหนี้กลุ่มสีเขียวที่ผ่อนชำระดี 3 งวดติดต่อกัน และต้องการปลดหนี้ โดย บสย. ลดเงินต้นให้ 15%)

ทั้งนี้ เพื่อสามารถเข้าถึงผู้ประกอบการ SMEs ได้ง่ายขึ้น ภายใต้วิสัยทัศน์ SMEs’ Gateway วันนี้ นอกจากสำนักงานเขต บสย. 11 สาขาทั่วประเทศ ผู้ประกอบการสามารถลงทะเบียนขอรับคำปรึกษาผ่าน Line OA : @tcgfirst นอกจากนี้ บสย. ยังมีการให้บริการผ่าน “ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs” ที่พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำ SMEs ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การแก้ปัญหาหนี้ และให้ความรู้ทางการเงิน โดยผู้ประกอบการ SMEs สามารถขอรับคำปรึกษาและตรวจสุขภาพทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมก่อนยื่นขอสินเชื่อ ฟรี..ไม่มีค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พ.ศ. 2534 เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2534 เพื่อรับโอนกิจการและการดำเนินงานทั้งหมดของ กองทุนประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (กสย.) ทำหน้าที่ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ สร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ แต่ขาดหลักประกัน หรือหลักประกันไม่เพียงพอได้รับวงเงินที่เพียงพอกับความต้องการ

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 มีทุนจดทะเบียนแรกเริ่มจำนวน 400 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 กระทรวงการคลังได้ดำเนินการเพิ่มทุนอีกจำนวน 4,000 ล้านบาท ทำให้ บสย. มีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 4,400 ล้านบาท

ต่อมาในช่วงปลายปี พ.ศ. 2548 ที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นได้มีมติพิเศษเพิ่มทุนอีกจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยในปี พ.ศ. 2551 ได้เรียกให้ผู้ถือหุ้นที่แสดงความประสงค์ ซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวชำระเงินค่าหุ้นบางส่วน รวมแล้วเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว จำนวน 6,702.47 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 ประกาศใช้พระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พ.ศ. 2534 ขยายขอบเขตการดำเนินงาน บสย. สามารถค้ำประกันการให้สินเชื่อของผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ซึ่งให้บริการสินเชื่อแก่ภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อมได้ รวมถึงเพื่อขยายขอบเขตการค้ำประกันให้ครอบคลุมถึงสินเชื่อประเภทอื่นที่มิใช่ความหมายโดยทั่วไป

‘ไมค์ ระยอง’ แจงสถานะในประเทศใหม่ รับสถานะ ‘ผู้พำนักถาวร’ บนแผ่นดินอื่น

(15 ต.ค. 67) นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ภาณุพงศ์ มะณีวงศ์ ที่รู้จักกันในนาม ‘ไมค์ ระยอง’ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงวิถีชีวิตในประเทศใหม่ว่า 

หลายคนสอบถามและแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับการปรับตัวของผมในประเทศใหม่ ผมต้องขอขอบคุณทุกคนที่ส่งความห่วงใยมาให้ และขอใช้โอกาสนี้ในการอัปเดทชีวิตในตอนนี้ครับ

ก่อนอื่นผมต้องบอกทุกคนก่อนว่าผมไม่ได้มาในสถานะผู้ลี้ภัย ผมได้ย้ายมาประเทศใหม่โดยการยื่น Profile ผลงานที่ผมได้ทำมาตั้งแต่ปี 2557 ภายใต้ชื่อกลุ่ม YoungLeaders Thailand เพื่อให้รัฐบาลที่นี่พิจารณา ผมต้องขอขอบคุณรัฐบาลเป็นอย่างสูงที่ให้การรับรองและมอบสถานะผู้พำนักถาวร (Permanent Residency) แก่ผม 

ผมรู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้งใจที่ผลงานและความทุ่มเทในด้านเด็ก เยาวชน สิ่งแวดล้อม และสังคมสงเคราะห์ที่ผมได้ทำมาเกือบ 10 ปีในประเทศไทยได้รับการยอมรับจากรัฐบาลประเทศใหม่นี้ครับ 

ส่วนการใช้ชีวิตในประเทศใหม่ ผมมีความสุขและปรับตัวได้ดีมาก ผมมีงานทำและได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าประเทศไทยหลายเท่า มีเงินเหลือสำหรับใช้จ่ายเพียงพอในการดำรงชีวิตที่นี่ และสามารถส่งกลับไปดูแลแม่และครอบครัวได้อีกด้วย(เพราะผมเป็นเสาหลักของบ้าน) 

อีกทั้งประเทศนี้ยังมีระบบสาธารณสุขที่รักษาฟรีและการคมนาคมที่สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ ผมหวังว่าในอนาคต หากมีโอกาส ผมจะสามารถเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศนี้ต่อไปครับ

เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ทางการทูต อินเดีย-แคนาดา ต่างขับไล่ทูต เหตุจากการลอบสังหารผู้นำชาวซิกซ์บนดินแดนแคนาดา

(15 ต.ค. 67) อินเดียและแคนาดาขับไล่ทูตระดับสูงและนักการทูตอื่นๆ เนื่องจากความขัดแย้งทวีความรุนแรงเกี่ยวกับการสังหารผู้นำแบ่งแยกดินแดนชาวซิกข์บนดินแคนาดาเมื่อปีที่แล้ว

นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด กล่าวว่ารัฐบาลของเขาตอบสนองหลังจากตำรวจเริ่มติดตามข้อกล่าวหาที่น่าเชื่อถือว่าเจ้าหน้าที่อินเดียมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหารฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์

ตำรวจแคนาดากล่าวหาเจ้าหน้าที่อินเดียว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ "การฆาตกรรม การเรียกค่าไถ่ และการกระทำที่รุนแรง" และก่อกวนผู้สนับสนุนขบวนการที่สนับสนุนดินแดนคาลิสถาน ซึ่งต้องการแยกดินแดนสำหรับชาวซิกข์ในอินเดีย

อินเดียปฏิเสธข้อกล่าวหาว่า "ไร้สาระ" โดยกล่าวหาทรูโดว่ายืมความนิยมของชุมชนชาวสิกห์ขนาดใหญ่ในแคนาดาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

ทรูโดกล่าวในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เมื่อวันจันทร์บ่ายว่าอินเดียได้ทำ "ความผิดพลาดอย่างร้ายแรง" ในการสนับสนุน "อาชญากรรม" ในแคนาดาและรัฐบาลของเขาต้องดำเนินการตามผลการค้นหาล่าสุด
"หลักฐานที่นำมาเปิดเผยโดย RCMP [Royal Canadian Mounted Police, หน่วยงานตำรวจแห่งชาติของแคนาดา] ไม่สามารถเพิกเฉยได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว

"สิ่งนี้ทำให้ได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือจำเป็นต้องขัดขวางกิจกรรมอาชญากรรมที่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยสาธารณะในแคนาดา นี่คือเหตุผลที่เราต้องดำเนินการ"
อินเดียได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดอย่างรุนแรงและยืนยันว่าแคนาดาไม่ได้ให้หลักฐานใด ๆ เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาของตน

ความสัมพันธ์ระหว่างเดลีและออตตาวาตึงเครียดนับตั้งแต่ทรูโดกล่าวว่าแคนาดามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเชื่อมโยงเจ้าหน้าที่อินเดียกับการสังหารนิจจาร์
ความขัดแย้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมลง โดยอินเดียขอให้แคนาดาถอนเจ้าหน้าที่การทูตหลายสิบคนและระงับการให้บริการวีซ่า

เมื่อวันจันทร์ กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียออกแถลงการณ์อย่างฉุนเฉียวว่าข้อกล่าวหาของแคนาดาได้รับอิทธิพลจากผู้รณรงค์แบ่งแยกดินแดนชาวซิกซ์
ต่อมาในวันเดียวกัน อินเดียประกาศให้ทูตแคนาดา 6 คน รวมถึงรักษาการเอกอัครราชทูตสจ๊วร์ต รอสส์ วีเลอร์ ออกจากอินเดียภายในวันที่ 19 ตุลาคม

นายวีเลอร์ยังถูกเรียกตัวไปพบกระทรวงการต่างประเทศของอินเดียเพื่ออธิบายการเคลื่อนไหวของแคนาดา
ในการแถลงข่าวหลังการประชุม นายวีเลอร์กล่าวว่าแคนาดาได้มอบหลักฐานที่อินเดียเรียกร้องไปแล้ว ตอนนี้อินเดียต้องตรวจสอบข้อกล่าวหา
"เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและประชาชนของทั้งสองประเทศที่จะหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้" เขากล่าว

เดลีได้ปกป้องนักการทูตของตน ซันเจย์ คุมาร์ เวอร์มา โดยอ้างถึง "อาชีพอันโดดเด่นของเขามานานกว่า 36 ปี"
"ข้อกล่าวหาที่รัฐบาลแคนาดาปฏิเสธต่อเขานั้นไร้สาระและสมควรได้รับการปฏิบัติด้วยความรังเกียจ" ทางกระทรวงกล่าว กระทรวงการต่างประเทศอินเดียยังกล่าวว่ากำลัง "ถอน" ทูตระดับสูงและนักการทูตคนอื่น ๆ

"เราไม่มีความเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของรัฐบาลแคนาดาปัจจุบันในการรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา ดังนั้น รัฐบาลอินเดียจึงตัดสินใจถอนเอกอัครราชทูตและนักการทูตเป้าหมายอื่น ๆ"

ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ ตำรวจแคนาดากล่าวว่าพวกเขาดำเนินการที่ผิดปกติในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการสอบสวนที่กำลังดำเนินอยู่ "เนื่องจากภัยคุกคามที่สำคัญต่อความปลอดภัยสาธารณะในประเทศของเรา"
ไมค์ ดูเฮม ผู้บัญชาการ RCMP กล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวในวันจันทร์ว่ามี "ภัยคุกคามต่อชีวิตที่น่าเชื่อถือและใกล้จะเกิดขึ้นมากกว่าสิบครั้ง" ซึ่งเขากล่าวว่า "มุ่งเป้า" ไปที่สมาชิกของขบวนการขาลสถานโดยเฉพาะ

เขาเสริมว่าภัยคุกคามร้ายแรงเพียงพอที่จะรับประกันการแทรกแซงสาธารณะของ RCMP
"เราถึงจุดที่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับรัฐบาลอินเดีย"

เจ้าหน้าที่กล่าวว่าเจ้าหน้าที่อินเดียสิบสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหา แต่ไม่ได้ยืนยันว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหารฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์ ผู้นำแบ่งแยกดินแดนชาวซิกข์ในเดือนมิถุนายน 2023

ฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์ ถูกยิงเสียชีวิตโดยชายฉกรรจ์สวมหน้ากากสองคนนอกวัดซิกข์ที่เขาเป็นผู้นำในซอร์เรย์ บริติชโคลัมเบีย
เขาเป็นผู้สนับสนุนขบวนการขาลสถานอย่างแข็งขัน ซึ่งเรียกร้องให้มีแยกดินแดนชาวซิกข์ และรณรงค์สาธารณะเพื่อสิ่งนี้

อินเดียเคยกล่าวว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้ายที่นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ - ข้อกล่าวหาที่ผู้สนับสนุนของนายนิจจาร์ตอบโต้ว่า ไม่มีมูล

ในเดือนกันยายน 2023 ทรูโดได้กล่าวต่อรัฐสภาแคนาดาว่าข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องของอินเดียในการสังหารนั้นยึดตามข่าวกรองของแคนาดา เขาย้ำว่า การกระทำนี้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของแคนาดา

ความสัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกระหว่างทั้งสองประเทศดูเหมือนจะคลายลงเล็กน้อยหลังจากอินเดียกลับมาดำเนินการวีซ่าในเดือนตุลาคม 2023
แต่สัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดา เมลานี โจลี เรียกความสัมพันธ์ของประเทศกับอินเดียว่า "ตึงเครียด" และ "ยากมาก"
เธอยังกล่าวอีกว่ายังคงมีภัยคุกคามจากการสังหารมากขึ้นบนดินแคนาดา

ทั้งนี้แคนาดาเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวสิกห์ที่ใหญ่ที่สุดนอกอินเดีย ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่อาศัยอยู่ในรัฐปัญจาบเป็นส่วนใหญ่

ส่องราคาน้ำมันเฉลี่ยในประเทศอาเซียน ราคา ณ วันที่ 15 ต.ค. 67

(15 ต.ค 67) รายงานราคาน้ำมันเฉลี่ยในอาเซียน ประจำวันที่ 15 ตุลาคม 2567 โดยราคาขายน้ำมันแต่ละประเทศ มีปัจจัยทางด้านราคา ดังนี้

1.แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน

2.ในหลายประเทศเพื่อนบ้านยังมีการอุดหนุนราคากันอยู่

3.ประเทศไทยสนับสนุนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ให้การอุดหนุนราคาโดยกองทุนน้ำมันฯ จึงทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซิน

หมายเหตุ : ราคา ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2567 อัตราแลกเปลี่ยน (อัตรากลาง) ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2567
*ประเทศไทย อ้างอิงราคาจาก ปตท. และ บางจาก และเป็นราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 E10 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้มากที่สุด

ดูราคาน้ำมันย้อนหลังได้ที่ https://public.tableau.com/.../EPPO.../SUMMARYOILPRICING

‘ชัยวุฒิ’ ยัน พปชร. กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง ปมคลิปเสียงคล้ายคนของพรรคตบทรัพย์ ‘บอสพอล’

(15 ต.ค. 67) ‘ชัยวุฒิ’ เผย ‘บิ๊กป้อม’ ทราบปมนักการเมืองเรียกรับผลประโยชน์แล้ว ขอความเป็นธรรม รอการตรวจสอบว่าเป็นใคร ยัน พลังประชารัฐไม่เกี่ยว  ย้ำคลิปเสียงคล้าย ‘สามารถ’ ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนเป็นเรื่องในอดีตก่อนเข้ามาอยู่พรรคหรือไม่ เพราะเคยถูกขับออก 

เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 67 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ  นายชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคลิปเสียงนักการเมืองเรียกรับผลประโยชน์จากผู้บริหาร ดิ ไอคอน ว่า พรรคพลังประชารัฐเราก็มีความห่วงใยต่อกรณีดังกล่าวนี้ ขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียหายทุกคน และขอให้ทุกคนได้รับเงินคืน รวมถึงผู้ที่กระทำความผิดต้องได้รับการลงโทษ 

เมื่อถามว่า มีการพาดพิงถึงคลิปเสียง ซึ่งมีการระบุว่าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า เราต้องตรวจสอบว่าเป็นเสียงใคร เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ ทั้งจากคนที่อัดคลิป และคนที่ปล่อยคลิปออกมา สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องพิจารณาว่าคลิปเสียงดังกล่าวอยู่ในช่วงเวลาใด เป็นช่วงที่บุคคลดังกล่าวมีตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ หรือเป็นแค่บุคคลธรรมดาที่ไปหลอกลวง ต้มตุ๋น ซึ่งความผิดนั้นมีความแตกต่างกัน โดยจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้ง

เมื่อถามว่า มีการระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2565  นายชัยวุฒิกล่าวว่า ต้องไปถามคุณพอลว่าได้จ่ายให้กับใครไปบ้าง วันนี้ต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจน ตนเองไม่อยากให้มีการรีบฟันธงว่าใครถูกหรือผิด ต้องพิจารณาว่า ผู้บริหารของดิไอคอนกรุ๊ปจ่ายให้ใครไปบ้าง และบุคคลดังกล่าวได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์หรือไม่อย่างไร 

นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า ตนเองเป็นห่วง เพราะว่ากฎหมายทั้งเรื่องของการขายตรง และการฉ้อโกงประชาชน มีมานาน โดยเจ้าหน้าที่จะต้องป้องกันและปราบปรามผู้ที่กระทำความผิด โดยเฉพาะเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นหลายปีก็น่าสงสัยผู้ที่มีอำนาจได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ 

เมื่อถามว่า ได้มีการต่อสายไปยังคนในพรรคของเราหรือไม่ ว่าใช่คนในเสียงหรือไม่ นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า ตนเองไม่ทราบ เพราะยังไม่มีการพูดคุยกัน ขณะเดียวกันตนเองก็ไม่ทราบว่า ขณะนี้บุคคลดังกล่าวอยู่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ

นายชัยวุฒิ  กล่าวต่อว่า นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐได้ไม่นาน และเคยถูกขับออกไปแล้ว 1 ครั้ง ก่อนจะกลับมาช่วยงานอีกครั้ง ซึ่งตนคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะใช่ช่วงหลังที่เข้ามาช่วยงานพรรค ส่วนในอดีตนายสามารถ ทำอะไรมาบ้าง เราไม่ทราบ เราต้องมีการตรวจสอบว่าทำผิดจริงหรือไม่ ก็ขอความเป็นธรรมให้เขาด้วย และขอความเป็นธรรมให้พรรคพลังประชารัฐด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค เป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นการกระทำที่ก่อนเข้ามาอยู่ที่พรรค 

เมื่อถามว่า เสียงที่ถูกปล่อยออกมาเป็นการถูกเอาคืนกรณียื่นศาลรัฐธรรมนูญ ตรวจสอบนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย นายชัยวุฒิกล่าวว่า การตรวจสอบนักการเมืองเป็นหน้าที่ของทุกฝ่าย ใครทำไม่ดีต้องถูกลงโทษ การที่เราตรวจสอบพรรคเพื่อไทย หรือตรวจสอบนายทักษิณ เป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ หากเขาทำไม่ถูกต้อง ก็เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องลงโทษหรือตัดสินเขา และยืนยันว่าไม่ใช่การแก้แค้นกัน ส่วนใครมาตรวจสอบนายสามารถ ก็เป็นหน้าที่ของทุกคนเช่นกัน 

เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐ จะมีการตรวจสอบเรื่องนี้ใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า แน่นอน เราไม่ต้องการให้มีคนไม่ดีอยู่ในพรรคอยู่แล้ว 

เมื่อถามว่า  แม้ว่าช่วงเวลาที่นายสามารถ กระทำเรียกรับผลประโยชน์นั้นจะไม่ใช่สมาชิกพรรคพลังประชารัฐแต่ ณ เวลานี้ บุคคลดังกล่าวเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐจะออกมาตรการได้หรือไม่   นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า ก็ต้องตรวจสอบว่ามีความผิดมากน้อยแค่ไหน และจะต้องดำเนินการตามข้อบังคับ โดยขอรอดูข้อเท็จจริงก่อน 

เมื่อถามว่า หากมีมลทินจริงสามารถขับพ้นพรรคได้ใช่หรือไม่  นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า โดยหลักการคนที่ไม่ดี หรือไม่มีจริยธรรมหรือทุจริตต่อหน้าที่ ทำงานการเมืองไม่ได้อยู่แล้ว ก็ขอให้ความมั่นใจกับทุกคนว่าพรรคก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และเรื่องดังกล่าวนี้ และขอให้ข้อเท็จจริงนั้นยุติก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าเบี่ยงประเด็น การติดสินบนหรือการเรียกรับผลประโยชน์มันมีอยู่ทุกวงการ แต่อยากให้ดูที่ข้อเท็จจริงว่าใครทำผิด หรือใครที่ปล่อยปละละเลยอย่างไร เมื่อมีคนมาร้องเรียนแล้ว  สคบ. หรือเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการ และหลอกลวงประชาชนมาเป็นเวลาระยะเวลาหลายปี ผู้ประกอบการเหล่าบอสต่างๆ มีความผิดจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ประชาชนได้คลายความวิตกกังวลและให้ความเชื่อมั่นกับกระบวนการยุติธรรมของเราต่อไป 

เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ทราบเรื่องแล้วหรือยัง  นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า ตนเองยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่คิดว่าท่านทราบอยู่แล้ว

ย้อนที่มา-ผลกระทบ Bully ต่อหมอลิลลี่ หลังพยาบาลดังตามคุกคาม ผลกระทบสุดช๊อก!! เมื่อข้อความทางออนไลน์ทำลายชีวิตของคนจริง ๆ

(15 ต.ค. 67) จากข่าวของหมอลิลลี่ แพทย์หญิง วรัญญา งานทวี ที่ได้ฟ้องร้องพยาบาลชื่อดัง หรือที่รู้จักกันในนามพยาบาลกิ่ง น.ส.นริญญา มงคลเอี่ยม จนมีการออกหมายจับ และมีการโพสต์ขอโทษในเวลาต่อมานั้น วันนี้ The State Times จะพาผู้อ่านย้อนไปถึงที่มาและที่ไปของเหตุการณ์ในครั้งนี้ 

เริ่มต้นที่พยาบาลกิ่ง ที่ต้องย้อนกลับไปช่วงกระแสม๊อบ 3 นิ้ว มีหลาย ๆ คนต่างฉกฉวยจังหวะและโอกาสสำคัญ เป็นดาวจรัสแสง หรือจะเรียกว่าอินฟลูเอนเซอร์และอื่น ๆ 

ก้าวย่างของพยาบาลกิ่ง น.ส.นริญญา มงคลเอี่ยม ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น เท่าไหร่ หลังจากที่ได้แสงพุ่งมาที่ตัวเอง สิ่งที่พยาบาลกิ่งทำต่อคือการหาแสงอย่างต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการ แขวน หรือ เรียกทัวร์ไปลง 

บางครั้ง บางคน โพสต์นั้นต้องถูกลบและหายไปจากระบบออนไลน์ คงไม่ต่างอะไรกับหลาย ๆ เคสที่ผู้คนบนโลกออนไลน์สามารถทำร้ายกันอย่างรุนแรงได้ 

กับหมอลิลลี่ วรัญญา งานทวี ก็เช่นเดียวกันกับหลายคน
ข้อมูลจากโพสต์ในเฟซบุ๊กของหมอลิลลี่ระบุว่า ครั้งแรกที่รู้จักกับพยาบาลคนดังกล่าวมาจากที่พยาบากิ่งได้ทักมาขอความรู้เรื่องการ Verify ตัวตนใน Social Media เมื่อช่วงปี 2562 หรือ 2563 และมีการติดต่อนิดหน่อย  

ก่อนต่อมาจะถูกแขวน และสร้าง Fake News เกี่ยวกับหมอลิลลี่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขับรถชนคนเสียชีวิต หรือการใส่ชุดผ่าตัดออกนอกพื้นที่ และอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง 

ที่ผ่านมาหมอลิลลี่ตัดสินใจบล็อกบัญชี Social Media บางรายที่คุกคามความเป็นมนุษย์มากเกินไป โดยเธอให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจในครั้งนี้ว่า “เราแค่ขอใช้สิทธิความเป็นมนุษย์ในการprotectหัวใจตัวเองบ้าง ไม่ใช่ใครจะมาด่ามาคุกคามอะไรเราก็ได้”

แม้จะบล็อกไปแล้วแต่พยาบาลดังกล่าวยังใช้บัญชี Social Media อื่น ๆ ตามมาคุกคามผ่านการแคปภาพในโพสต์ไปแขวน หรือใช้บัญชีเฟซบุ๊กอื่นมา comment อยู่ดี และดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

สุดท้ายช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2567 หมอลิลลี่ ได้อัปเดตข่าวสารเรื่องนี้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกว่าได้ตัดสินฟ้องเอาผิด พยาบาลกิ่ง เนื่องจากต้องประสบปัญหาความเครียดอย่างสูง ประกอบกับการตัดสินใจที่จะแต่งงาน จึงตัดสินใจใช้ ‘ศาลสถิตยุติธรรม’ เป็นที่พึ่ง

ด้วยความกดดันและความเครียดอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 4-5 ปี มันหนักอึ้งเกินคนคนหนึ่งจะแบกรับไหว ทำให้ครอบครัวของหมอลิลลี่ต้องสูญเสียทายาท ภายหลังทราบข่าวการตั้งครรภ์ภายในระยะเวลาแค่ 5 วัน 
เนื่องจากความเครียด ความกดดันจากการฟ้องคดี เพราะหากความยุติธรรมไม่ได้อยู่ข้างหมอลิลลี่ อนาคตต่อไปคงเป็นเครื่องหมายคำถาม 

7 ต.ค. 67 เรื่องนี้มีการอัปเดตอีกครั้งเมื่อ หมอลิลลี่ แจ้งข่าวว่า จากกรณีนี้ศาลได้พิจารณาออกหมายจับ เป็นความยุติธรรมครั้งแรกที่ได้รับ หลังจากผ่านระยะเวลาแห่งความทุกข์มากกว่า 4-5 ปี ทำให้ทุกบัญชี Social Media ของ Narinya Mongkoleiam  (babygings) จะมีข้อความว่า 

ข้าพเจ้าน.ส.นริญญา มงคลเอี่ยมได้ทำการกล่าวว่าร้ายแก่พญ. วรัญญา งานทวี มาเป็นเวลาหลายปี โดยไม่เคยรู้จักกับพญ.วรัญญา มาก่อนโดยอคติส่วนตัว โดยคุณหมอรวมถึงครอบครัวคุณหมอได้รับความเดือดร้อนจากการเป็นตัวกลางก่อให้เกิดความเกลียดชัง วันนี้ได้สำนึกผิดแล้ว อยากขอโทษคุณหมอที่ทำให้เดือดร้อนกับการกระทำและจะไม่ทำพฤติกรรมแบบนี้อีก

Aufgrund meines respektlosen Verhaltens gegenüber Frau Varanya Nganthawee habe ich mehrere Jahre Sie und Ihre Familie Wegen persönlicher Voreingenommenheit verletzt. Ich, Narinya Mongkoleaim, fühle mich sehr schuldig. und Ich bin ein Teil der Hass verursacht. Dann würde ich mich aufrichtig bei ihr entschuldigen. Ich verspreche Ihnen, dass Ich mich nicht noch einmal so verhalten werde.

ความยุติธรรมที่มาช้า ยังดีกว่าความยุติธรรมที่ไม่มีวันมาถึง แต่สุดท้ายต้องอึ้งเล็ก ๆ จากเหตุผลที่ตามทำร้ายชีวิตของคนคนหนึ่งที่พ่อและแม่ของพยาบาลแจ้งมาว่า “ทำเพราะหมั่นไส้“
และนอกจากพยาบาลคนนี้แล้ว หมอลิลลี่ยังได้แชร์โพสต์ของอีกหนึ่งคนที่ได้ทำการขอโทษหมอลิลลี่ 

แม้ในโลกออนไลน์ความเป็นตัวตนจะจางหาย แต่สิ่งที่จำเป็นคงหนีไม่พ้นความเป็นมนุษย์ และตระหนักว่าอีกฝั่งของจอ คือ คนที่มีเลือด เนื้อ มีพ่อ และแม่ไม่ต่างจากเรา 

ย้อนตำนาน ‘สนามติณสูลานนท์’ จ.สงขลา สนามแห่งความประทับใจของคนไทยทั้งชาติ

(15 ต.ค. 67) ค่ำวานนี้คนไทยทุกคนคงมีความสุขใจไปกับผลการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน หรือ คิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ที่ทีมชาติไทยสามารถคว้าถ้วยพระราชทานมาไว้ในมือได้ อีกทั้งตัวผู้เล่นที่เฮดโค้ชทีมชาติไทยจัดลงสนามต่างโชว์ความสามารถได้อย่างเต็มที่

อีกทั้งยังเชื่อมโยงเอา 2 ยุคสมัยที่แสดงสัญญะผ่าน ‘พลุ’ และ ‘โครน’ ที่แปรขบวนน้อมรำลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยิ่งสร้างความอิ่มเอมใจให้กับคนไทยทั้งชาติอีกไม่น้อย ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่ ‘สนามติณสูลานนท์’ สนามที่สร้างความประทับใจทั้งหมดนี้

The States Times จะพาทุกท่านย้อนถึงตำนานของสนามติณสูลานนท์ สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้

สนามกีฬาติณสูลานนท์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดสงขลา มีความจุประมาณ 35,000 ที่นั่ง สร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมกีฬาของจังหวัดและใช้จัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติและนานาชาติ

สนามกีฬาติณสูลานนท์ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2530 ในสมัยที่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ชาวสงขลาให้ความเคารพและนับถือ ได้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย สนามกีฬานี้ถูกตั้งชื่อตามท่านเพื่อเป็นการให้เกียรติและระลึกถึงคุณูปการของท่านต่อจังหวัดสงขลาและประเทศไทย

นายนิพนธ์ บุญญามณี ในขณะดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาได้ขอรับการถ่ายโอนสนามกีฬาติณสูลานนท์จากการกีฬาแห่งประเทศไทย มาเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาและได้สานต่อการปรับปรุงและพัฒนาสนามกีฬาติณสูลานนท์อย่างเป็นรูปธรรมในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.) โดยการปรับปรุงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2558 เพื่อให้สนามกีฬาได้มาตรฐานและสามารถรองรับการแข่งขันระดับประเทศและนานาชาติได้อย่างเต็มที่

การปรับปรุงสนามกีฬาครั้งนี้ใช้งบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.) และการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีงบประมาณรวมในการพัฒนาสนามอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน, ที่นั่งผู้ชม, ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันกีฬาในระดับสากล

ด้วยความมุ่งมั่นให้สนามกีฬาติณสูลานนท์เป็นสนามกีฬาที่มีมาตรฐานสากล พร้อมรองรับการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ เช่น การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ, การแข่งขันฟุตบอลไทยลีก และกิจกรรมกีฬาอื่น ๆ ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้จังหวัดสงขลากลายเป็นศูนย์กลางด้านกีฬาของภาคใต้

และค่ำวานนี้คือบทพิสูจน์ที่สำคัญครั้งหนึ่งของ ‘สนามติณสูลานนท์’

บอร์ด EEC เห็นชอบ แก้สัญญารถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน เตรียมเสนอ ครม. ปลดล็อกพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภาคตะวันออก

(15 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 4/2567 วันที่ 11 ตุลาคม 2567 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นเลขานุการการประชุมฯ ทั้งนี้ กพอ. ได้พิจารณาและมีมติในเรื่องสำคัญ ดังนี้

1.เห็นชอบหลักการการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยการปรับปรุงสัญญาร่วมลงทุนเพื่อผลักดันให้โครงการฯ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ บนพื้นฐานที่ภาครัฐไม่เสียประโยชน์ และภาคเอกชนไม่ได้ประโยชน์เกินสมควร โดยจะเสนอการแก้ไขสัญญาต่อ ครม. เพื่อพิจารณาใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย

1)วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิม เมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ รัฐจะแบ่งจ่ายเป็นจำนวน 149,650 ล้านบาท เป็น จ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ รฟท. ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท โดยเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้ภายใน 5 ปี ทั้งนี้ กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของภาครัฐ (รฟท.) ทันทีตามงวดของการจ่ายเงิน

2)กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรก
ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ในการนี้ เอกชนจะต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร ในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่นที่ รฟท. ต้องรับภาระ

3)กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการฯ ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ และเป็นผลให้เอกชนได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกิน 5.52% รฟท.มีสิทธิเรียกให้เอกชนชําระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ ตามจำนวนที่จะตกลงกันต่อไป

4)การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) โดยให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกข้อตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้ รฟท. สามารถออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมดนี้

5)การป้องกันปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการฯ โดยปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น

ที่ประชุม กพอ. มีมติให้ สกพอ. ดำเนินการนำเสนอหลักการแก้ไขปัญหาโครงการฯ ใน 5 ประเด็นดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบการทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 และให้คู่สัญญาร่วมกันเจรจาร่างสัญญาแก้ไข และเสนอต่อคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการฯ พิจารณา และนำส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาก่อนนำเสนอ กพอ. และ ครม. เพื่อให้ ครม. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาอีกครั้ง ก่อนคู่สัญญาจะลงนามในสัญญาฉบับแก้ไขต่อไป

2. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา จากการที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่ปี 2563 ทำให้ไม่สามารถเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul : MRO) ที่สนามบินอู่ตะเภาได้ และ สกพอ. เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และการยกระดับขีดความสามารถในการให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยานของประเทศไทย ตลอดจนเพิ่มศักยภาพของช่างอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และจำเป็นต้องขับเคลื่อนการดำเนินโครงการต่อไปให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป กพอ. ได้มีมติเห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการ โดยให้ยกเลิกการเป็นโครงการร่วมลงทุนตามที่ ครม. อนุมัติไว้ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 และให้ สกพอ. ดำเนินการจัดหาผู้เช่าที่ดินราชพัสดุในเขตส่งเสริม : เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เพื่อดำเนินกิจกรรมศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 และ ระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข การเช่าที่ดินราชพัสดุที่ประกาศเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. 2562 ต่อไป โดย สกพอ. จะนำเสนอให้ ครม. รับทราบมติ กพอ. ดังกล่าว และพิจารณายกเลิกมติ ครม. วันที่ 30 ตุลาคม 2561 ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

2.รับทราบความก้าวหน้าการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยเฉพาะด้านการพัฒนาเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 4 โครงการใหญ่ และการชักชวนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัล ยานยนต์สมัยใหม่ เศรษฐกิจ BCG และบริการ โดยในช่วงตั้งแต่มกราคม 2566 ถึงกันยายน 2567 สกพอ. ได้ดำเนินการชักชวนนักลงทุน 139 ราย โดยมีนักลงทุนที่สนใจการลงทุนใน 5 กลุ่มคลัสเตอร์ดังกล่าวและได้ทำหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) รวม 35 ราย จำนวน 36 โครงการ มีการยื่นข้อเสนอโครงการฯ เพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอีอีซีแล้ว จำนวน 12 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 135,000 ล้านบาท

‘ว.วชิรเมธี’ แจง คลิปที่ไวรัลแค่ตัดมาบางช่วง ยืนยันสงฆ์ทุกรูปไปเทศน์ด้วยใจสุจริต-โปร่งใส

(15 ต.ค. 67) พระเมธีวชิโรดม หรือที่รู้จักในนาม ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์-นักเขียนชื่อดัง ได้ชี้แจงกรณีปรากฏวิดีโอการเทศน์ที่ The iCon ผ่านทางเฟซบุ๊ก ว่า

“ประกาศขออภัย และทำความเข้าใจให้ตรงกับความจริง“

1.หลังจากติดตามสถานการณ์ของบริษัท ดิไอคอน อย่างใกล้ชิด 
ก็เข้าใจว่า น่าจะมีความไม่ชอบมาพากลหลายแง่มุมดำรงอยู่จริง
ตามที่ผู้บริหารได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ล่าสุดใน The Standard
(14 ต.ค. 67) 

2.แต่ภาพใหญ่ก่อนหน้านั้น ที่บริษัท ทำธุรกิจอย่างเปิดเผย
โดยมีซูเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยมาร่วมเป็น
พรีเซนเตอร์หรือผู้บริหารด้วย จึงทำให้คนที่เห็นภาพและข่าว
เชื่อได้ว่า น่าจะมีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน พระทุกรูปที่ได้รับ
นิมนต์ไปเทศน์ก็คงคิดเช่นนั้น 

3.ทุกเดือนทางบริษัทจะนิมนต์พระไปสอนธรรมะ และทำบุญ
ถวายสังฆทานเป็นประจำ ผู้เขียนเอง ก็เป็นเพียงหนึ่งในพระสงฆ์
ที่ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ไปสอน ต่างแต่ว่า ในการมานิมนต์
ผู้เขียนนั้นทีมผู้บริหารมานิมนต์ถึงวัดที่จังหวัดเชียงราย และ
มาร่วมถวายทุนการศึกษาด้วย (จึงมีภาพเยอะหน่อย)

4.ในการสอนเมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น ผู้เขียนสอนเรื่อง “หัวใจเศรษฐี”
หรือกุญแจสู่ความสำเร็จตามหลัก “ทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์” 
ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงอยู่ในพระไตรปิฎกชัดเจน (1.ขยันหา-2.รักษาดี-
3.มีกัลยาณมิตร-4.ใช้ชีวิตสมดุล) โดยสอนผ่าน 3 วลีสำคัญคือ 
“อดทนให้ได้ ใจเย็นให้พอ และรอให้เป็น” ใช้เวลาบรรยายถึง 1 ชั่วโมง
12 นาที (ไม่ใช่อย่างที่ตัดมาบางส่วน) 

ระหว่างที่บรรยายให้รู้จักสร้างเนื้อสร้างตัวตามแนวพุทธ
ด้วยความอดทน ใจเย็น ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้เขียนจึง ”แซว“ หรือ 
”ประชดแดกดัน“ คนที่มาฟังทั้งห้องประชุมว่า ถ้า ”อดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ 
และรอไม่เป็น“ จะเอาให้รวยทันใจเลย…เช่นนั้นแล้ว ก็แซวว่า 
“ลูกเอ๋ย ทำอย่างนั้นก็ดิไอคอนแล้ว…” ซึ่งทุกคนที่นั่งฟังก็หัวเราะ 
เข้าใจ, คำพูดที่ (ใครก็ไม่รู้) ตัดมาเป็นคลิปนั้น

โดยบริบทเป็นเพียงคำพูดหยิกแกมหยอกธรรมดาตามประสานักพูดทั่วไป
ที่อยากให้มีอารมณ์ขันเท่านั้น เป็นการแซะ การแซว ไม่ได้มีนัยจริงจัง ซีเรียส 
ถึงขั้นที่จะเอามาปั่นว่าพระมีส่วนร่วมทางธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น คนฟังทุกคนในห้อง 
ฟังแล้วก็เข้าใจ ขำๆ ฮาๆ จบแล้ว ถวายสังฆทาน กลับบ้าน มีแค่นั้น (ที่สำคัญ
Case study ที่ยกมาเล่าก็เป็นเรื่องราวก่อนโควิด ไม่เกี่ยวอะไรกับดิไอคอน)

5.ผู้เขียนเรียนธรรมะมาจนสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย
คือเปรียญธรรม 9 ประโยค,ดังนั้น ในการเทศน์การสอน จึงเน้นแต่ข้ออรรถ
ข้อธรรมที่มีแก่นสาร แม้จะเทศน์ด้วยภาษา ตัวอย่างร่วมสมัย แต่ก็สามารถโยง
กลับไปหาพระไตรปิฎกได้เสมอ ไม่ได้สอนแบบมั่วๆ อย่างที่ตัดมาให้คนด่า 
หรือให้คนเข้าใจผิด เรื่องนี้ ปัญญาชนที่ติดตามผู้เขียนมาตลอด
ย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว

6.แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อบางส่วนของการเทศน์การสอน ก่อให้เกิดความ
เข้าใจผิดออกไปในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง เพราะคลิปที่ตัดมาไม่ครบ
ถ้วนกระบวนความ ถึงกระนั้น ผู้เขียนก็ยินดีขออภัยจากใจจริงมา ณ ที่นี้ด้วย 
ที่อย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ต่อไปก็จะสำรวม
ระวังไม่ให้มีความพลาดพลั้งเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ขอบพระคุณทุกคนที่เตือนมา
ด้วยความรักและห่วงใย 

7.ขอย้ำตรงนี้ว่า พระทุกรูปที่เคยไปเทศน์ไปสอนที่บริษัท ทุกรูป
ไปด้วยใจสุจริตในฐานะพระที่ได้รับนิมนต์ไปสอนไปฉันเท่านั้น ไม่มีรูปไหน
เข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทเชิงธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องเช่นนี้เพียงใช้
Common Sense ก็น่าจะเข้าใจได้ ไม่ควรพยายามลากไปให้เห็นเป็นว่า 
มีพระเข้าไปวุ่นวายอยู่ในธุรกิจ ผู้เขียนจึงขอทำความเข้าใจให้ตรงกัน
ด้วยใจที่เป็นธรรม รักความจริง และหวังความสุขความเจริญต่อกัน

ว.วชิรเมธี, 
(ในนามตัวแทนของพระสงฆ์
ที่เคยไปสอนที่บริษัทดิไอคอน)
14 ต.ค. 67

ย้อนเอกสารปี 45 พบ ‘แสงเดือน ชัยเลิศ’ นำทีมสารคดีเซ็ตฉากทารุณกรรมช้างไทย

(15 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีวิพากษ์วิจารณ์เรื่องปางช้างแม่แตง ระหว่างปางช้าง Elephant Nature Park (ENP) ของนาง แสงเดือน ชัยเลิศ กับบรรดาปางช้างต่าง ๆ ซึ่งบานปลายไปถึงการที่ กัญจนา ศิลปอาชา รวมถึงบรรดาสัตวแพทย์และทีมงานดูแลช้าง ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นางแสงเดือน และปางช้าง ENP 

ล่าสุดโซเชียลมีเดียได้มีการนำเอกสารปี 2546 มาเปิดเผย โดยเอกสารนั้นระบุถึงกรณีที่องค์กรคุ้มครองสัตว์ People for the Ethical Treatment of Animal (PETA) เข้าร้องเรียนต่อวุฒิสภาของไทย กรณีมีการทารุณลูกช้าง โดยได้แนบภาพวีดิทัศน์ แสดงให้เห็นถึงการทารุณกรรมช้าง โดยทางวุฒิสภาได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 25 พ.ย.2545 ถึงตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอให้สอบสวนข้อเท็จจริง

ซึ่งตำรวจภูธรเชียงใหม่ ส่งหนังสือตอบกลับที่ ชม.0020.3/1096 ลงวันที่ 6 ก.พ. 2546 เรื่อง รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการทารุณลูกช้างตามข้อร้องเรียนขององค์กร People for the Ethical Treatment of Animal (PETA) ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

“ตามอ้างถึงหนังสือของวุฒิสภา ด่วนที่สุด ที่ 5470/2545 ลง 25 พฤศจิกายน 2545 เรื่อง ขอให้ดำเนิน การสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทารุณลูกช้าง ตามข้อร้องเรียนขององค์กร People for the Ethical Treatment of Animal (PETA) ความละเอียดแจ้งอยู่แล้ว นั้น

ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และได้สั่งกำชับเจ้า หน้าที่ตำรวจ ที่เกี่ยวข้องติดตามกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมพานักท่องเที่ยวออกไปถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับสัตว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อน และขอรายงานข้อเท็จจริง ตามประเด็นที่สั่งการ ดังต่อไปนี้

1. การกระทำทารุณข้างตามที่ปรากฏในภาพวีดิทัศน์ เป็นการแต่งเติมเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการ กระทำที่โหดร้ายทารุณหรือไม่ ขอเรียนว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการร้องขอจากทีมงาน ของ นางแสงเดือน ชัยเลิศ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ จำนวน 2 คนได้มาถ่ายทำวิดีโอเกี่ยวกับช้างโดยทีมงานฯ ได้ขอให้ นายแซ่แฮ คีรี ซึ่งเป็นผู้ทำพิธีผ่าจ้านลูกช้างให้ตีหัวช้าง แล้วทีมงานใช้น้ำยาสีม่วงทาที่หลัง และหัวช้างทำให้ดู คล้ายมีเลือดไหลแล้วถ่ายภาพเอาไว

ซึ่งในการทำพิธีผ่าจ้านนั้นมิได้มีการกระทำรุนแรงหรือทำร้ายช้างแต่อย่างใด เนื่องจากคนเลี้ยงช้างทุกคนมีความรักช้างเหมือนกับเป็นลูกหลานคนหนึ่ง การทำพิธีฯ จะเป็นการทำเพื่อฝึกสอนช้าง และมีการใช้ไม้ดีเบา ๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ถึงกับทำให้เกิดบาดแผลหรือทำให้เกิดการบาดเจ็บแต่อย่างใด 

จากการที่ได้สอบปากคำผู้ให้ถ้อยคำแล้ว แจ้งว่าภาพวีดิทัศน์เป็นภาพที่แสดงเกินความจริง และมิใช่เป็นพิธีกรรมที่ถูกต้อง ซึ่งเชื่อว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงอันไม่อาจคาดเดาได้ อย่างเช่น อาจจะต้องการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศไทย หรือเพื่อดึงเงินเข้ามูลนิธิ

2. ลูกช้างที่ปรากฏในภาพวีดิทัศน์ปัจจุบันมีการเลี้ยงดูอยู่ที่ บ้านห้วยบง ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ในสภาพที่ดี มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ส่วนข้อบ่งชี้นั้นมี นายชนัตร เลาหะวัฒนะ ผู้อำนวย การองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เป็นผู้เข้าไปตรวจสอบลูกช้างในกรณีดังกล่าว

3. กระบวนการนำลูกช้างไปกระทำทารุณตามที่ปรากฏ เป็นเพียงกลุ่มบุคคลที่พานักท่องเที่ยวไป ถ่ายทำวีดิโอเท่านั้น ส่วนวัตถุประสงค์ในการกระทำยังไม่ทราบแน่ชัด ว่ามีวัตถุประสงค์ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ใด 

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ พร้อมนี้ได้แนบเอกสารการสอบสวนที่เกี่ยวข้อง มาด้วยแล้ว จำนวน 13 แผ่น

ขอแสดงความนับถือ
พลตำรวจตรี เกษม รัตนสุนทร 
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top