Sunday, 8 June 2025
Hard News Team

‘อ.เพิ่มศักดิ์’ ฟาดใส่ ‘งานวิจัยที่บิดเบือน’ ชี้!! ‘กองทัพไทย’ คือ ‘ฝ่ายปกป้อง’ สงครามที่แท้จริง!! ไม่ใช่รบกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่ต้องต่อสู้กับความยากจน

(14 ต.ค. 67) ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้วิพากษ์วิจารณ์หนังสือ ‘ในนามความมั่นคงภายใน การแทรกซึมของกองทัพไทย’ ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ โดยได้ แสดงความคิดเห็นในรายการ ‘อิสรภาพแห่งความคิด กับ.. สำราญ รอดเพชร’ ทางช่อง Thaipost โดยมีใจความว่า …

หนังสือ ‘ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย’ นั้น มันมีปัญหาในเรื่องของกรอบทฤษฎีที่มันไม่ตรงกับแนวคิดเรื่องความมั่นคง และการวิจัยมันก็ไม่ได้มีความสมเหตุสมผล จากกระบวนการได้มาซึ่งความรู้

เรื่องของในนามของความมั่นคงภายใน ก็คือการแทรกซึมสังคมของกองทัพ ก็คือว่าถ้าเราเป็นฝ่ายซ้ายเนี่ย เราก็จะมองว่ากองทัพเป็นปฏิปักษ์ต่อชีวิตของเราใช่ไหม ทีนี้ถ้าเราย้อนกลับไปในทางรัฐศาสตร์ก็ต้องย้อนกลับไปต้องนานมาก 

สมัยสมเด็จพระนเรศวรฯ เนี่ยเราก็จะพบว่าภัยความมั่นคง ก็คือ พม่าใช่มั้ย ทีนี้พม่ามันก็เข้าตีเราสองทาง คือเข้าตีผ่านกําลังทางการทหาร คือเอาทหารมาบุก อีกประการนึงคือมันก็ส่ง ‘เสือหมอบแมวเซา’ หรือแม้แต่กระทั่งการติดสินบนข้าราชการ อันนี้ก็คือการแทรกซึมใช่ไหม ดังนั้นเนี่ย ‘ฝ่ายกองทัพ’ ก็คือ ‘ฝ่ายปกป้อง’

ในยุคสงครามเย็น ‘อาจารย์พวงทอง’ ยกบริบทของสงครามเย็นเนี่ยมันคือการต่อสู้กันระหว่าง ‘โลกเสรี’ กับ ‘โลกคอมมิวนิสต์’ ใช่ไหมครับแล้วก็ในทางปฏิบัติสงครามเย็นเนี่ย มันคือสงครามตัวแทน ก็คือรัฐมหาอํานาจ มันไม่ทําสงครามเองมันแย่งชิงพื้นที่แล้วก็จะพบว่า สงครามตัวแทนมันทําให้รอบโลกเกิดสงครามกลางเมืองทุกที่สงครามเกาหลี บ้านเราก็สงครามอินโดจีน หรือสงครามเวียดนาม สงครามกัมพูชาในไทยก็คือสงครามระหว่างกองทัพไทย กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ดังนั้น ‘ฝ่ายกองทัพไทย’ จึงเป็น ‘ฝ่ายปกป้อง’

พคท. รอ. หรือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยรักษาพระองค์ ไม่ใช่กลุ่มมวลชนจัดตั้งของ กอ.รมน. และกองทัพตามข้อเสนอในหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ (หน้า 202) ของพวงทอง ภวัครพันธุ์

แต่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ‘พระบาทสมเด็จพระภัทรมหาราช’ ทรงแผ่พระบารมียุติความขัดแย้งในสงครามกลางเมือง (Civil War) ระหว่างประชาชนคนไทยด้วยกันเอง

ในรัชสมัยของพระองค์ ความขัดแย้งทางสังคมที่มีความรุนแรงระหว่างคนไทยด้วยกันเอง มีต้นเหตุมาจากสงครามเย็น ที่เป็นสงครามความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ ผ่านสงครามตัวแทนที่เกิดขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลกในห้วงเวลาดังกล่าว

ในประเทศไทย ความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยและ พคท. เต็มไปด้วยความรุนแรงที่แผ่ขยายออกเป็นวงกว้างทั่วประเทศ เกิดเหตุความรุนแรง การชุมนุมประท้วง การก่อความไม่สงบ จนถึงการปะทะกันด้วยอาวุธจนมีการสูญเสียทั้งสองฝ่าย 

หลังจากความพ่ายแพ้ของโลกคอมมิสต์และ พคท. เกิดนโยบาย 66/23 ที่เปิดโอกาสให้ พคท. กลับเข้ามาร่วมกันพัฒนาสังคมไทยหรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย’

เมื่อประชาชนเคยถูกผลักไส หรือมีแนวคิดที่ต่างกันกับคนในชาติอีกส่วนหนึ่งได้กลับเข้ามาใช้ชีวิตในฐานะคนไทยอีกครั้ง การส่งเสริมอาชีพ ความเป็นอยู่ และชีวิตที่ดีของ อดีตแนวร่วม พคท. ในฐานะประชาชนไทย จึงเป็นเรื่องพึงกระทำทั้งในด้านศีลธรรมและเป็นหน้าที่อันพึงกระทำของรัฐ ไม่ใช่การจัดตั้งมวลชนของรัฐตามที่พวงทองกล่าวอ้าง

ดังพระราชดำรัสของพระภัทรมหาราช ต่อข้อทูลถามใน สารคดีของบีบีซี เรื่อง ‘Soul of a Nation - The Royal Family of Thailand’ (ศูนย์รวมใจของชาติ - พระราชวงศ์ไทย) ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินยังพื้นที่เตรียมการสร้างเขื่อนตามพระราชดำริว่า โครงการหลวงนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้พระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือพวกคอมมิวนิสต์ใช่หรือไม่ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า

"ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์หรือคนผู้หนึ่งผู้ใด แต่สู้กับความอดอยากยากจน เพื่อให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้น คนที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปด้วย ทุกคนก็จะมีความสุข"

การเกิดขึ้นของ พคท. รอ. จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามพระราชปณิธานในการแก้ไขปัญหาความอดอยากยากจน โดยการจัดหาที่ดินส่งเสริมอาชีพในอนาคต ให้พวกเขากลับมาเป็นประชาชนที่มีคุณภาพเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทยตราบจนทุกวันนี้ 

พคท. จึงไม่เคยถูกทำลายให้หมดสิ้นไปเสมือนหนึ่งไม่ใช่ประชาชนคนไทยด้วยกัน แต่พวกเขาคือ ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่ทรงยุติสงครามกลางเมืองระหว่างคนไทยด้วยกันเองด้วยพระบารมี

ปมร้อน!! ‘ดิไอคอน กรุ๊ป’ ลามถึงสภาฯ สังคมสงสัย ใครคือคนในคลิป ‘ประธานวันนอร์’ สั่งสอบด่วน หลังมี ‘นักการเมือง’ เรียกรับผลประโยชน์

(14 ต.ค. 67) วันมูหะมัด นอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้สัมภาษณ์ กรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงนักการเมืองรายหนึ่ง เรียกรับผลประโยชน์จากผู้บริหารบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ที่ตกเป็นผู้ต้องหา ในชั้นของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สภาฯ ว่า จะมอบหมายให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวโดยด่วน ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขด้วย เพราะมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น 1-2 ครั้งแล้ว จึงต้องรีบแก้ไข คิดว่าคงไม่ยาก 

เมื่อถามว่าที่ผ่านมามีการเรียกรับทรัพย์ หรือตบทรัพย์อยู่ตลอด ทางสภาฯจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ปัญหาดังกล่าวหมดไป ประธานสภาฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของบุคคล เพราะสภาฯ เวลาตั้งคณะกรรมาธิการ เราตั้งทั้งคนภายในและภายนอก โดยเฉพาะกรรมาธิการวิสามัญ จะมีบุคคลภายนอก ที่เสนอโดยพรรคการเมืองต่างๆ เราไม่อาจตรวจสอบได้หมด แต่ถ้าพบเห็นหรือได้รับรู้เราต้องแก้ไขให้บุคคลเหล่านั้นพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไป เราไม่ต้องการให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป ต่อจากนี้ต้องมีการกลั่นกรอง และระมัดระวังคนที่จะเข้ามาในกรรมาธิการให้มากขึ้น

เมื่อถามว่าจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่มีการเรียกรับผลประโยชน์แล้วสามารถเคลียร์ได้ในชั้นกรรมาธิการ ประธานสภาฯ กล่าวว่า ขณะนี้ยังเป็นข้อกล่าวหา ต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริง คงไม่ยาก ถ้าหากมีผู้ได้รับความเสียหายมายืนยันกับฝ่ายเลขาฯสภาฯ ก็จะดำเนินการตรวจสอบให้ทันที เพราะเป็นเรื่องความเชื่อถือ เราต้องสร้างความเชื่อถือของสภาฯ ให้กับประชาชน เป็นที่พึ่งของประชาชน 

‘ดังนั้นหากประชาชนมีข้อสงสัย ก็ขอให้ติดต่อมา สำหรับบทลงโทษผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในกรรมาธิการแล้วเรียกรับผลประโยชน์ แม้ไม่ได้เป็น สส. จะต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ เพราะการแอบอ้างและหาผลประโยชน์ถือเป็นความผิดที่มีโทษในคดีอาญา แต่ต้องมีการแจ้งหลักฐานที่ชัดเจน’

‘แพนทากอน’ เตรียมส่ง THAAD พร้อมทหารอเมริกัน เสริมกำลังให้ ‘อิสราเอล’ ย้ำชัด!! ‘สหรัฐฯ’ พร้อมอยู่เคียงข้าง ในการต่อสู้กับภัยคุกคาม จากอิหร่าน

(14 ต.ค. 67) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ เตรียมที่จะจัดส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศในบรรยากาศระดับสูง หรือ THAAD พร้อมระบบต้านขีปนาวุธ และ กองกำลังทหารอเมริกัน ผนึกกำลังกองทัพอิสราเอล ต้านภัยการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน 

โดยนายพล แพท ไรเดอร์ โฆษกประจำแพนทากอน กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน ได้รับคำสั่งตรงจาก ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ให้จัดส่งระบบป้องกันขีปนาวุธอันล้ำสมัยของสหรัฐไปเสริมกำลังให้ฝ่ายอิสราเอลทันที ซึ่งความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐในวันนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯพร้อมยืนอยู่เคียงข้างอิสราเอลในการต่อสู้กับภัยคุกคามจากอิหร่าน หลังจากที่เตหะรานตัดสินใจยิงขีปนาวุธกว่า 180 ลูกโจมตีกรุงเทล-อาวีฟ ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา

การส่งกำลังทหารไปยังอิสราเอล ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่จะเกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับสหรัฐอเมริกา ยกเว้นการซ้อมรบร่วมของ 2 ชาติ แต่ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯครั้งนี้ ทางแพนทากอนกล่าวว่า เป็นการปรับเปลี่ยนแผนการครั้งใหม่เพื่อสนับสนุนอิสราเอลและปกป้องพลเมืองสหรัฐฯ จากเมื่อหลายเดือนก่อน ที่กองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งทหารอเมริกันไปช่วยเหลืออิสราเอลในการป้องกันเรือรบและการโจมตีทางอากาศในตะวันออกกลางมาก่อนแล้ว แต่นั่นเป็นการตั้งกองหนุนนอกพรมแดนอิสราเอลเท่านั้น

ด้าน พ.ต.ท. นาดาฟ โชชานี โฆษกกองทัพอิสราเอล ได้ออกมาขอบคุณสหรัฐฯ ที่ส่งระบบต้านขีปนาวุธมาสนับสนุนอิสราเอล แม้ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าระบบ THAAD จะถูกส่งมาถึงอิสราเอลเมื่อใดก็ตาม

THAAD เป็นของระบบป้องกันทางอากาศแบบหลายชั้น ที่มีความสำคัญในกองทัพสหรัฐฯ อีกทั้งยังเพิ่มระบบการป้องกันต่อต้านขีปนาวุธของอิสราเอลที่น่าเกรงขามอยู่แล้วให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก

โดยปกติแล้ว THAAD ต้องใช้กำลังทหารประมาณ 100 นาย ในการควบคุม สำหรับการปฏิบัติการ โดยระบบจะประกอบด้วยเครื่องยิงที่ติดตั้งบนรถบรรทุกได้ 6 เครื่อง ที่จะมีเครื่องสกัดกั้น 8 ชุดในแต่ละเครื่องยิง และเรดาร์ศักยภาพสูงอีก 1 ตัว 

ด้าน อับบาส อารัคชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้โพสต์ผ่าน X ว่า สหรัฐฯกำลังทำให้ชีวิตกองทหารของตนอยู่ในความเสี่ยงหากคิดจะส่งพวกเขาไปสนับสนุนกองทัพอิสราเอล ในขณะที่อิหร่านพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และพร้อมปกป้องประชาชน และ ผลประโยชน์ของอิหร่านเช่นกัน 

ด้านนักวิเคราะห์บอกว่า อิหร่านก็พยายามหลีกเลี่ยงการทำสงครามโดยตรงกับสหรัฐฯ แต่หากรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจส่งกองทหารอเมริกันเข้ามาสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มตัว ก็จะเป็นตัวแปรสำคัญในสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางที่อิหร่านต้องปรับแผนรับมือใหม่อีกครั้ง 

‘บอสพอล’ สะอื้นไห้!! กลางรายการดัง เปิดใจ!! อยากพูด ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

(14 ต.ค. 67) จากกรณีธุรกิจขายตรงชื่อดัง ‘The icon’ ซึ่งมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความจำนวนมาก โดยมีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาทนั้น 

ล่าสุด ‘รายการโหนกระแส’ ได้สัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียหายจากการลงทุนกับบริษัทดังกล่าวจนคิดสั้นฆ่าตัวตาย และสัมภาษณ์ ‘บอสพอล’ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด (The iCON) โดยในการสัมภาษณ์ในรายการ ‘บอสพอล’ สะอื้นไห้ พร้อมบอกตอนหนึ่งว่า ตนกลัวที่จะมารายการ แต่ที่ตัดสินใจมาอยากมาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะดี 

บัณฑิตจีน สิ้นหวัง เกษียณกลับบ้านเกิด ด้วยความท้อแท้ เหตุ!! อุตสาหกรรมทรุดตัว บริษัทเลิกจ้าง แรงงานล้นตลาด

(14 ต.ค. 67) หากคิดว่าหางานใน ‘ไทย’ ยากแล้ว ใน ‘จีน’ กลับยิ่งหางานยากกว่ามาก แม้มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่หนุ่มสาวจบใหม่ในจีนตอนนี้กลับหางานลำบากยิ่งนัก โดยอัตราว่างงานของหนุ่มสาวจีนในเดือนสิงหาคม “ทำสถิติใหม่” ที่ 18.8% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มใช้ระบบบันทึกสถิติใหม่ในเดือนธันวาคม โดยเพิ่มขึ้นจาก 17.1% ในเดือนกรกฎาคม

มีเรื่องราวของสาวจีนที่จบการศึกษามาไม่นาน เธอชื่อ สวี่อวี่ (Xu Yu) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกง และใช้เวลาหางานเป็นเวลา 5 เดือนแล้ว

แม้เธอจะมีผลการเรียนดีเยี่ยมและประสบการณ์ฝึกงานถึงสามครั้ง สวี่อวี่ก็ยังคงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อแข่งขันในตลาดงานที่ดุเดือด เธอลงทุนเงินกว่า 20,000 หยวน หรือราว 90,000 บาทเพื่อเข้าฝึกอบรมเทคนิคการสัมภาษณ์ แต่กลับต้องเผชิญกับความผิดหวังเมื่อได้รับจดหมายปฏิเสธจากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Tencent Holdings และ JD.com

ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ ถังฮุ่ย (Tang Hui) เธอได้รับข้อเสนองานด้านบัญชีจากผู้ผลิตรถพลังงานใหม่ชั้นนำก่อนจบการศึกษา แต่ต่อมาบริษัทได้ยกเลิกข้อเสนอทั้งหมดให้กับผู้จบใหม่ ถังฮุ่ยได้รับเงินชดเชยเป็นค่าแรงหนึ่งเดือน แต่หลังจากนั้น แม้ว่าเธอจะสมัครงานไปกว่า 50 บริษัทแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ได้รับข้อเสนอใด ๆ กลับมา เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของบัณฑิตใหม่จีนหลังจบการศึกษา

ในปีนี้ เหล่าบัณฑิตจีนที่จบออกมามีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11.8 ล้านคน และกำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานที่อ่อนแอที่สุดที่จีนเคยเผชิญมาหลายปี จากการที่บรรดาบริษัทด้านอินเทอร์เน็ต การศึกษา และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกระดูกสันหลังของจีน ตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง 

ยกตัวอย่าง ‘เหล่าบริษัทเทคโนโลยี’ อย่าง  Alibaba, Tencent และ Baidu ก่อนหน้านี้เคยขยายการจ้างงาน แต่ปัจจุบันตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง โดย Alibaba ตัดพนักงานลงมากกว่า 13%

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ ‘ธุรกิจกวดวิชา’ ที่เคยเป็นดาวรุ่ง ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร รัฐบาลออกระเบียบลดภาระการบ้านและการติวหลังเลิกเรียน อีกทั้ง ‘ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์’ ที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนจีดีพีจีนก็ยังคงซบเซา จนทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของงานทั้งหมดในอุตสาหกรรมนี้ได้หายไปในปีนี้

ส่วนอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น พลังงานทดแทนและเซมิคอนดักเตอร์ ยังไม่สามารถทดแทนด้านการจ้างงานได้ เพราะการสรรหาบุคลากรเหล่านี้ ‘ต้องการความสามารถเฉพาะทาง’ ซึ่งมักมีวุฒิขั้นสูง เช่น BYD ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า ในปีนี้ได้ลดการรับสมัครนักศึกษาลงมากกว่าครึ่งจาก 30,000 คนในปี 2023

หลายคนอาจมีค่านิยมว่า จบจากมหาวิทยาลัยดังมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ปัจจุบันนี้อาจไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอีกต่อไป หลายบริษัทต้องการคนมีประสบการณ์และเคยผ่านงานด้านนั้นมากกว่า  

จากที่เคยเป็นเพียงส่วนเสริม ‘ประสบการณ์การฝึกงานที่ผ่านมา’ ได้กลายเป็นปัจจัยชี้ขาดโอกาสในการทำงาน หลิว จื่อเฉา (Liu Zichao) บัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงน้อยกว่า ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อนี้ เมื่อเขาคว้าตำแหน่งงานเทคโนโลยีมาครองได้สำเร็จหลังจากฝึกงานที่ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok 

เรื่องราวของเขาสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่การฝึกงานเฉพาะทาง กำลังกลายเป็นตัวชี้วัดความสามารถที่สำคัญยิ่งกว่าวุฒิการศึกษา

นอกจากปัจจัยเศรษฐกิจจีนอันซบเซาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือ บัณฑิตจบใหม่หลายคนกำลังเผชิญปัญหาการหางานที่ไม่ตรงกับความสามารถของตนเอง โดยมีคุณสมบัติเกินกว่างานระดับล่าง แต่ขาดประสบการณ์สำหรับงานระดับสูง

ยิ่งไปกว่านั้น ความคาดหวังด้านอาชีพที่สูงขึ้นของบัณฑิตในปัจจุบัน กำลังทำให้ความไม่ลงรอยกันในตลาดแรงงานของจีนเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลหลายคนรายงานว่า ความทะเยอทะยานที่เกิดจากโซเชียลมีเดียสำหรับงานเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงได้นำไปสู่การเรียกร้องเงินเดือนที่สูงเกินจริง ทำให้บัณฑิตจำนวนมากไม่พอใจกับตำแหน่งงานที่มีอยู่

จาง (Zhang) ผู้จัดการทรัพยากรบุคคลกล่าวว่า บัณฑิตที่สอบข้าราชการไม่ผ่านมักเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่พร้อม และเรียกร้องเงินเดือนสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมมาก

ในทำนองเดียวกัน หยาง เจียน (Yang Jian) ซึ่งทำงานด้านการสรรหาบุคลากรสำหรับบริษัทอัตโนมัติขนาดเล็กกล่าวว่า ความคาดหวังที่ไม่สมจริงของบัณฑิตจบใหม่ และความลังเลในการยอมรับงานที่มีรายได้ต่ำกว่า ทำให้บริษัทของเธอหยุดรับสมัครบัณฑิตใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมามองดูมุมมองของเหล่าบัณฑิต ผู้หางานรุ่นใหม่รู้สึกไร้อำนาจในตลาดแรงงาน สวัสดิการพื้นฐานเช่น วันทำงานแปดชั่วโมงและประกันสังคมที่ได้รับกลับถูกมองว่าเป็นสิ่งหรูหรา โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีนพบว่า พนักงานรุ่นใหม่ทำงานหนักเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นการทำงานเฉลี่ย 251.9 ชั่วโมงต่อเดือน และมีความคุ้มครองด้านประกันสังคมที่ต่ำจากนายจ้าง

ด้วยภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และรู้สึกสิ้นหวังในตลาดแรงงาน ชาวจีนรุ่นใหม่จึงถอยกลับไปยังชนบท โดยหลังจากประกาศว่าตนถูกเลิกจ้าง ลาออก หรือว่างงาน ชาวจีนเจน Z และ Y ก็บันทึกชีวิตประจำวันแบบ ‘เกษียณอายุ’ ในชนบทของตนบนโซเชียลมีเดีย  

เมื่อปีที่แล้ว ผู้เกษียณอายุที่ประกาศตนเองวัย 22 ปี ซึ่งใช้ชื่อแฝงว่า เหวินจือ ต้าต้า (Wenzi Dada) ได้ตั้งถิ่นฐานในกระท่อมไม้ไผ่ริมหน้าผาในมณฑลกุ้ยโจวของจีน เหวินจือ ซึ่งเคยทำงานในหลากหลายสาขา เช่น ซ่อมรถยนต์ ก่อสร้าง และการผลิต บอกกับสื่อท้องถิ่นว่าเขารู้สึกเหนื่อยกับการต้องจัดการกับเครื่องจักรทุกวัน จึงลาออกเพื่อกลับบ้านเกิด

นอกจากนี้ บัณฑิตบางคนหันไปทำงานอิสระ เช่น เป็นคนขับส่งของหรือพี่เลี้ยงเด็ก ในขณะที่อีกหลายคนก็เลื่อนการเข้าสู่ตลาดแรงงาน

‘เอกนัฏ’ ล่องใต้เยือน ‘ตรัง-พัทลุง’ ผลักดันอุตสาหกรรมท้องถิ่น เน้น!! ชุมชนเข้มแข็ง เข้าถึงแหล่งเงินทุน รุกตลาดออนไลน์

(14 ต.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานประกอบการ SME จังหวัดตรังและจังหวัดพัทลุง เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมท้องถิ่น ต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุมชน และพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค ยกระดับให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ มุ่งเน้นด้านอาหารและหัตถกรรม พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับการ ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ ให้ความสำคัญ ‘Save อุตสาหกรรมไทย’ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมท้องถิ่นและต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุมชน 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โดยร่วมกับกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่สนับสนุนให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ SME โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขผ่อนปรน ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น สินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ (เสือติดปีก) และ สินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงินกู้รวม 1,900 ล้านบาท เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนและพัฒนาธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้คณะฯ ได้เยี่ยมชมร้าน กวนนิโตพาทิสเซอรี (KUANITO Patisserie) ในจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นกับเทคนิคการทำขนมแบบฝรั่งเศส โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ผ่านโครงการสินเชื่อเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก ให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและดึงดูดลูกค้าจากทั่วประเทศ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำวัฒนธรรมและวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และสามารถแข่งขันในตลาดระดับสากลได้ จากนั้น ได้เยี่ยมชมโรงงานแปรรูปไก่ของ บริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม จำกัด ในจังหวัดพัทลุง เป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล มีการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แช่แข็งไปยังหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป และมีการใช้แนวคิดตามหลัก ESG (Environment Social and Governance) ที่ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยวางหลักการทำงานว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ต้องพัฒนาชุมชนและสังคมให้เติบโตไปพร้อมกัน เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals: SDGs) และยังได้เยี่ยมชมหัตถกรรมกระจูดวรรณี & โฮมสเตย์ จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตงานหัตถกรรมกระจูดที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อใช้ในการจัดหาเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย 

"การสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจให้สามารถต่อยอดธุรกิจและสามารถแข่งขันได้ ถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับภูมิภาคโดยการนำเอกลักษณ์ท้องถิ่นไปสู่ระดับสากล เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนสู่เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน กระทรวงอุตสาหกรรม ยินดีให้การสนับสนุนในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้แข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่านความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เสริมและเพิ่มศักยภาพให้อุตสาหกรรมท้องถิ่น การแปรรูปอาหาร การท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรม ผลักดันไปสู่ซอฟต์พาวเวอร์ในพื้นที่ภาคใต้ ตามนโยบาย ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ ที่ให้ความสำคัญ ‘Save อุตสาหกรรมไทย’ อย่างยั่งยืน และสอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุนการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป" นายเอกนัฏกล่าวทิ้งท้าย

‘กัลฟ์-เอ็กโก-ราช-บาฟส์’ ลงชิง ขายไฟ ‘ลม-โซลาร์เซลล์’ 2.1 พันเมก หลัง ‘กกพ.’ ประกาศรับซื้อไฟฟ้าสะอาดจาก ‘พลังงานหมุนเวียน’

(14 ต.ค. 67) การประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายใต้ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 ได้รับความสนใจจากผู้ผลิตไฟฟ้าอย่างมาก เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนตามเทรนด์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งเป้าหมายสู่ Net Zero 

สำหรับการประกาศรับซื้อรอบแรก 5,000 เมกะวัตต์ มีผู้สนใจยื่นขายไฟฟ้าถึง 15,000 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ภาครัฐประกาศรับซื้อเพิ่มอีก 3,000 เมกะวัตต์ โดยการประกาศรับซื้อรอบล่าสุดประกาศไป 2,100 เมกะวัตต์ ยังเหลืออีกบางส่วนที่รอประกาศเพิ่ม

นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ.เปิดเผยว่า สำนักงาน กกพ.กำหนดรายละเอียดการเพื่อประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายใต้ประกาศ กกพ.เรื่องรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 (เพิ่มเติม)

ทั้งนี้ ได้กำหนดให้เงื่อนไขและระยะเวลาการรับซื้อไฟฟ้าวันที่ 8 ต.ค.2567 โดยการไฟฟ้าประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการ กรอบเวลา 7 วัน จากนั้นสำนักงาน กกพ.ประกาศรายชื่อภายใน 30 วัน และจะมีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 180 วัน

นายพูลพัฒน์ กล่าวว่า กกพ.กำหนดเงื่อนไขให้สิทธิ์กลุ่มที่เคยยื่นข้อเสนอผลิตไฟฟ้าประเภทพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินภายใต้โครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบ FiT ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงจำนวน 198 ราย รวมปริมาณรับซื้อไฟฟ้า 5,203 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ ได้ผ่านเกณฑ์พร้อมทางด้านเทคนิคขั้นต่ำ (Pass/Fail Basis) และได้รับประเมินความพร้อมตามเกณฑ์คะแนนคุณภาพ (Scoring) ภายใต้โครงการแต่ไม่ได้รับการคัดเลือกในโครงการดังกล่าว เนื่องจากการจัดหาไฟฟ้าได้ครบตามเป้าหมายแล้ว

สำหรับการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมดังกล่าวรวม 2,180 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานลมไม่เกิน 600 เมกะวัตต์ เป็นลำดับแรก และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ไม่เกิน 1,580 เมกะวัตต์

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมยื่นเสนอขายไฟสะอาดรอบ 2 ของสำนักงาน กกพ.โดยคาดว่าจะได้รับโครงการไม่ต่ำกว่า 20% ของจำนวนที่เปิดรับซื้อ โดยเบื้องต้นอาจร่วมมือกับพันธมิตร

นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดรับซื้อไฟสะอาดเฟส 2 กัลฟ์พร้อมเข้าร่วมเสนอราคาและหวังที่จะให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ 

สำหรับการเปิดรับรอบแรก 5,000 เมกะวัตต์ กัลฟ์เป็นผู้ชนะราว 3,000 เมกะวัตต์ โดยภาพรวมรายได้จะเริ่มเห็นในช่วงปีหน้าเป็นต้นไป ส่วนแผนลงทุน 5 ปีวางไว้อยู่ที่ 9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน 80% หรือที่ระดับ 7.5 หมื่นล้านบาท

“ปัจจุบันกำลังการผลิตรวมกลุ่มกัลฟ์ที่ COD ไปแล้วอยู่ที่ 1.4 หมื่นเมกะวัตต์ โดยหากรวมกำลังการผลิตในต่างประเทศด้วยจะมีอยู่ที่รวม 2.3 หมื่นเมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน 8% และตั้งเป้าหมายปี 2033 จะเพิ่มเป็น36%” นายรัฐพล กล่าว

หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวว่า กลุ่มบาฟส์มีธุรกิจโรงงานไฟฟ้า 40 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่ม โดยพร้อมยื่นขอรับสิทธิขายไฟสะอาดเฟส 2 จากสำนักงาน กกพ.แน่นอน โดยจะร่วมมือกับพันธมิตร

“หากชนะการนำเสนอครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสขยายสัดส่วนพลังงานสะอาดในไทย อีกทั้งจะเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชน จากการร่วมลงทุนกับ บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ลัคกี้ คลีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ไบเซล เวสท์ เอ็นเนอร์ยี่ ที่ชนะรอบแรกมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่ จ.สุราษฎร์ธานี จำนวน 9.9 เมกะวัตต์” หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ กำลังศึกษาโครงการ Direct PPA ขนาด 2,000 เมกะวัตต์ และมองว่าตลาดขยายตัวสูงจากนโยบายรัฐบาลพยายามส่งเสริมให้เอกชนได้ซื้อ-ขาย ไฟได้โดยตรง โดยอาจยื่นเองโดยตรงและร่วมกับพันธมิตร เพราะบางโครงการมีความเสี่ยงและบริษัทยังไม่มีเทคโนโลยีและประสบการณ์มากพอ

“เราจะทำโซลาร์เพราะมองว่าความเสี่ยงต่ำ ตอนขึ้นโครงการที่มองโกเลีย เป็นโครงการแรกของกลุ่มบริษัททำโซลาร์และระบบแบตเตอรี่สำรองไฟ จึงมองว่าไทยมีโอกาสจะได้นำมาใช้ ส่วนจำนวนเมกะวัตต์ต้องรอดูก่อน” หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ กล่าว

น.ส.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายระยะสั้นเป็นการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2573 ผ่านการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับการลงทุนในประเทศ EGCO Group พร้อมนำโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินกว่า 10 โครงการ ที่ผ่านเกณฑ์คะแนนความพร้อมด้านเทคนิคขั้นต่ำ (Pass/Fail Basis) จากโครงการ RE Big Lot รอบที่ 1 แต่ยังไม่ได้คัดเลือกเพื่อเข้าร่วมโครงการ RE Big Lot ในรอบที่ 2

นอกจากนี้ หาก EGCO Group ได้รับคัดเลือกในรอบ 2 จะช่วยให้บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในพอร์ตโฟลิโอเพิ่ม และสอดคล้องเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2573

“หากการยื่นสิทธิรอบ 2 ครั้งนี้รวม 2,180 เมกะวัตต์ เรียบร้อยแล้ว สำนักงาน กกพ.ยังมีโควตาพลังงานหมุนเวียนเหลือ 1,488 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดรับซื้อเป็นการทั่วไปในรอบที่ 3” น.ส.จิราพร กล่าว

นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราชกรุ๊ป มีความสนใจที่จะร่วมยื่นขายไฟจากพลังงานหมุนเวียนรอบ 2 ของ สำนักงาน กกพ.เช่นเดียวกัน โดยหากเศรษฐกิจดีจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น จึงขอให้รัฐบาลเร่งใช้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2024) ที่รองรับความต้องการใช้พลังงานสะอาดเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต

ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังของปี 2567 จะลงทุนระดับ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจและเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนให้ถึง 30% ในปี 2573 และ 40% ในปี 2578 โดยปัจจุบันราชกรุ๊ป มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนรวม 10,817.28 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรวม 7,842.61 เมกะวัตต์ (72.5%) และกำลังผลิตจากพลังงานทดแทนรวม 2,974.67 (27.5%)

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การเปิดรับซื้อพลังงานหมุนเวียนรอบ 2 รวม 3,668 เมกะวัตต์ แม้สำนักงาน กกพ.อนุมัติกรอบเวลาการรับซื้อไว้แล้ว แต่ยังเหลือไฟสะอาดอีก 1,500 เมกะวัตต์ ที่จะต้องรอคณะกรรมการ กกพ.ชุดใหม่มาบริหารงานตามนโยบายต่อไป

อย่างไรก็ตาม สิ้นเดือน ก.ย.2567 มี กกพ.ครบวาระ 4 คน คือ 1.นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ 2.นายสุธรรม อยู่ในธรรม 3.นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ และ 4.นายสหัส ประทักษ์นุกูล โดยกระทรวงพลังงานควรเสนอชื่อคณะกรรมการสรรหาบอร์ด กกพ.ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่วงหน้า 1 เดือน เพื่อมีเวลาสรรหา แต่ยังไม่ดำเนินการและนายเสมอใจ ประธาน กกพ.มีอายุครบ 70 ปี ต้องพ้นจากตำแหน่ง

“เมื่อประธานพ้นตำแหน่งต้องตั้งรักษาการประธานจะทำให้การทำงานล่าช้า ดังนั้น การเปิดรับซื้อไฟสะอาดรอบ 2 ในส่วนที่เหลืออาจจะต้องรอบอร์ดชุดใหม่ที่มีอำนาจเต็มมาดำเนินการ” แหล่งข่าว กล่าวทิ้งท้าย

‘อิหร่าน’ ออกประณาม!! มาตรการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของ ‘สหรัฐอเมริกา’ ชี้!! ‘ผิดกฎหมาย-ไม่ยุติธรรม’ ทั้งยังทำให้อิสราเอลได้ใจ เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ต่อไป

(14 ต.ค. 67) ในแถลงการณ์ของ ‘เอสมาอิล บาเกอี’ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ได้กล่าวปกป้องการโจมตีอิสราเอลของอิหร่านว่า เป็นการกระทำที่ ‘ถูกกฎหมาย’ และยืนกรานว่า อิหร่านมีสิทธิตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรใหม่ พร้อมกับประณามการคว่ำบาตรของสหรัฐอย่างรุนแรง โดยบอกว่าเป็นการดำเนินงานที่ ‘ผิดกฎหมายและไม่ยุติธรรม’

เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) ที่ผ่านมา สหรัฐลงโทษอิหร่านด้วยการออกมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เพื่อตอบโต้ที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค.

ด้านกระทรวงการคลังสหรัฐ รายงานว่า หน่วยงานมุ่งเป้าออกมาตรการคว่ำบาตรไปที่กองเรือมืดของอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายน้ำมันอิหร่าน ซึ่งถือเป็นช่องทางหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรที่มีอยู่

กระทรวงฯระบุว่า ได้ออกข้อกำหนดให้บริษัทอย่างน้อย 10 แห่ง และเรืออย่างน้อย 17 ลำ เป็น ‘สินทรัพย์ที่ถูกปิดกั้น’ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของอิหร่าน

นอกจากนี้ยังได้ประกาศออกมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อธุรกิจ 6 ราย และเรือ 6 ลำ เนื่องจากมีส่วนร่วมในการทำธุรกรรมที่สำคัญสำหรับการซื้อ การขาย การขนส่ง หรือการตลาดของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมหรือปิโตรเคมีจากอิหร่าน

อย่างไรก็ตาม บาเกอี บอกว่า นโยบายที่เป็นภัยคุกคามและสร้างแรงกดดันมากที่สุดนี้ ไม่มีผลกระทบต่อเจตจำนงของอิหร่านที่ต้องการปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน และว่า การคว่ำบาตรจะอาจทำให้อิสราเอลสังหารผู้บริสุทธิ์ได้ต่อไป ทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อความสงบ และความสามัคคีของภูมิภาคและของโลก

ทั้งนี้ มาตรการคว่ำบาตรใหม่มีขึ้นขณะที่โลกกำลังจับตาดูการตอบโต้ของอิสราเอลต่อการโจมตีของอิหร่าน และมีขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ส.ค.

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้แนะให้อิสราเอลหลีกเลี่ยงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในอิหร่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่อับบาส อารักชี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ออกมาเตือนเมื่อวันอังคาร (8 ต.ค.) ว่า หากมีการโจมตีใด ๆ เกิดขึ้นต่อโครงสร้างพื้นฐานในอิหร่าน อิหร่านจะตอบโต้อย่างรุนแรงมากขึ้น

พล.ต.ท.ประจวบฯ ชื่นชมตำรวจ สภ.ท่าบ่อ สังเกตเห็นรถตู้รับ-ส่งนักเรียนมีควันขึ้นจากใต้ท้องรถ รีบพาเด็กๆ ลงจากรถ ป้องกันการเกิดเหตุอันตรายซ้ำ

เมื่อวันที่ (14 ต.ค. 67 ) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชื่นชมตำรวจ สภ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ตาไวสังเกตเห็นรถตู้รับส่งนักเรียนมีควันออกมาจากใต้ท้องรถตู้ที่จอดเสียอยู่ จึงรีบแจ้งคนขับให้ทราบ และเร่งนำนักเรียนออกจากรถตู้ทันที ก่อนที่จะมีรถยนต์พลเมืองดีช่วยนำนักเรียนส่งโรงเรียนปลอดภัยทุกคน นับว่าเป็นการถอดบทเรียนจากการสูญเสียที่เคยเกิดขึ้น ใช้ไหวพริบนำเด็กลงอย่างรวดเร็ว การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอ

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 07.40 น. ขณะ ด.ต.สมคิด กองลุน ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ท่าบ่อ (ปฏิบัติงานจราจร) และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ ทาะเวท ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ท่าบ่อ (ปฏิบัติงานจราจร) กำลังปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจรอยู่บริเวณสี่แยกไฟแดงประตูเมืองท่าบ่อ เขตเทศบาลเมืองท่าบ่อ จ.หนองคาย ด.ต.สมคิดฯ ได้สังเกตเห็นรถตู้รับส่งนักเรียนสีขาวจอดติดไฟแดง แต่เมื่อไฟเขียวแล้วกลับไม่เคลื่อนที่ จึงเดินไปตรวจสอบ พบว่ารถตู้ดังกล่าวเสียและมีควันพุ่งออกมาจากใต้รถ โดยในรถมีเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาของโรงเรียนเทศบาลเมืองท่าบ่อ อยู่จำนวน 6 คน ด.ต.สมคิดฯ รีบแจ้งคนขับถึงควันที่พุ่งออกมา พร้อมเปิดประตูนำเด็กนักเรียนทั้งหมดลงจากรถทันทีเพื่อความปลอดภัย หลังจากนั้นได้มีพลเมืองดีนำเด็กนักเรียนทั้งหมดส่งโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย ส่วนรถตู้ตรวจสอบพบว่าหม้อน้ำแห้งทำให้เกิดความร้อนและมีควันพวยพุ่งออกมา ด.ต.สมคิดฯ และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ฯ จึงได้ช่วยเข็นรถชิดข้างทางก่อนประสานช่างมาซ่อมต่อไป

เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการชื่นชมมากมายจากชาวบ้านที่พบเห็นเหตุการณ์ และจากผู้คนในสื่อสังคมออนไลน์ ต่างชื่นชมในไหวพริบของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ให้เด็กลงจากรถทันทีที่เห็นควัน เพราะหวั่นจะเกิดอุบัติเหตุเฉกเช่นเดียวกับรถบัสทัศนศึกษา รวมถึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยดูแลบุตรหลานของประชาชนให้ปลอดภัยอยู่เสมอ

พล.ต.ท.ประจวบ ฯ กล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์ดังกล่าว ต้องขอขอบคุณและชื่นชม ด.ต.สมคิดฯ และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ ที่มีสติ มีไหวพริบ แก้ไขปัญหาและป้องกันเหตุได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนพลเมืองที่อาสานำนักเรียนไปส่งโรงเรียน ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็วของ ด.ต.สมคิดฯ และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ ในเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง มีจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับตำรวจทั่วประเทศ

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แนะนำให้ผู้ขับขี่ตรวจเช็คยานพาหนะของตนเสมอ โดยสาเหตุหลักของการเกิดรถไฟไหม้มักมาจากระบบเชื้อเพลิงรั่ว ระบบไฟฟ้าลัดวงจร เครื่องยนต์ร้อนเกินไป หรือสิ่งของในรถเกิดลุกไหม้ การป้องกันดีกว่าการแก้ไขเสมอ ในกรณีที่มีควันออกมา ให้ดับเครื่องยนต์เพื่อลดโอกาสเพลิงไหม้ แต่หากเกิดเหตสุดวิสัย รถเกิดไฟไหม้ ให้ทิ้งสัมภาระ และออกจากรถทันที โดยอยู่ห่างจากรถอย่างน้อย 30 เมตร และโทรเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความช่วยเหลือ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือประสบเหตุ สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ทางช่องทาง

- โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ. ทั่วประเทศ
- โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจร ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
- โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top