Sunday, 8 June 2025
Hard News Team

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2567

🟢 รางวัลที่  1  482962    6,000,000 บาท

🔴 เลขหน้า 3 ตัว    561 648    4,000 บาท

🔴 เลขท้าย 3 ตัว    919 493    4,000 บาท

🔴 เลขท้าย 2 ตัว    00    2,000 บาท

🔴 รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1: รางวัล 100,000 บาท
482963, 482961

🔴 รางวัลที่ 2: รางวัล 200,000 บาท
091247, 887149, 042170, 209783, 960616

🔴 รางวัลที่ 3: รางวัล 80,000 บาท
744996, 309600, 942966, 079381, 701566, 327831, 350969, 360198, 835479, 803140

🔴 รางวัลที่ 4: รางวัล 40,000 บาท
167913, 729593, 226460, 536788, 414059, 874449, 388836, 021948, 826605, 470723, 730622, 138948, 462725, 006344, 395774, 288167, 656780, 424010, 056126, 500651, 195795, 315440, 863363, 176736, 573022, 318165, 637681, 417106, 322962, 884284, 405302, 168879, 934027, 825993, 604412, 155170, 394200, 423542, 630912, 180486, 564006, 215243, 615764, 563373, 113438, 292397, 358015, 528843, 391203, 724358

🔴 รางวัลที่ 5: รางวัล 20,000 บาท
755262, 367162, 177122, 034806, 987926, 668768, 940940, 464258, 777604, 767119, 128580, 567405, 696974, 070972, 859244, 164916, 105882, 526233, 892802, 104312, 059147, 449561, 924761 995215, 392533, 424294, 916049, 996774, 141955, 812819, 109582, 937467, 755995, 726301, 594820, 565243, 269216, 311731, 892171, 848771, 315418, 915590, 396665, 207873, 516238, 926205, 400476, 714625, 169064, 318414. 474541, 913324, 133254, 942020 493933, 818894, 293854, 524834, 516489, 192105, 706603, 161363, 574970, 852841, 414328, 277076, 026221, 242520, 446104, 727325, 749182, 019648, 650003, 690027, 375592, 744551, 782906, 572047, 533524, 389716, 544623, 956648, 918643, 399081, 529490, 158877, 305067, 468744, 943107, 356122, 103237, 354352, 889734, 923774, 958786, 750256, 279617, 169981, 976947, 347685

‘นายกฯแพทองธาร’ คิกออฟแคมเปญ “ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ทั่วไทย ดึง “รายใหญ่” ช่วย “รายเล็ก” ลดต้นทุนผู้ค้า ลดค่าครองชีพประชาชน คาดกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนกว่าแสนล้าน

(16 ต.ค. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนรายใหญ่ กว่า 130 ราย ช่วยลดรายจ่ายให้ผู้ประกอบการรายเล็ก และลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชน ต่อเนื่องตลอด 5 เดือนเต็ม รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะโครงการ “เงินหมื่น ฟื้นเศรษฐกิจ” ที่ได้เติมเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไปแล้วกว่า 145,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างพายุหมุนเศรษฐกิจลูกใหญ่ เป็นการต่อลมหายใจและเพิ่มกำลังซื้อให้กับพี่น้องประชาชน รายเล็กที่กำลังเดือดร้อน ทำให้หลายคนได้ตั้งตัวใหม่จากโครงการนี้

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดมาตรการดังกล่าว และกระจายเม็ดเงินไปสู่ทุกภาคส่วนของประเทศ รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งเดินหน้า “โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ต่อเนื่องทันที เพื่อช่วยเหลือประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านการดำรงชีวิตและการประกอบธุรกิจ โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน ลดต้นทุนทางธุรกิจและเพิ่มช่องทางค้าขายให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก อาทิ การลดค่าเช่าร้านค้า ค่าเช่าแผงตลาด ค่าขนส่งไปรษณีย์ การสนับสนุนพื้นที่จำหน่ายสินค้าบริเวณศาลากลางจังหวัด นิคมอุตสาหกรรม สถานีบริการน้ำมัน เป็นต้น รวมทั้งจับมือกับผู้ผลิตผู้ค้าส่งรายใหญ่ จัดโปรโมชันสินค้าอุปโภคบริโภคราคาพิเศษผ่านร้านค้าธงฟ้า ร้านค้าชุมชน และห้างท้องถิ่นกว่า 140,000 ร้านค้า และจัดมหกรรมลดราคาสินค้าในห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ลดกระหน่ำทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนได้มากกว่า 110,000 ล้านบาท

ด้าน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า วันนี้การฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นแนวทางของท่านนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร อยากเห็นเศรษฐกิจไทยฟื้น ขอขอบคุณผู้ประกอบการรายใหญ่ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชนที่ด้อยโอกาสและที่ยังลำบาก รัฐบาลจะดูแลทุกภาคส่วน ที่ผ่านมามีการลงทุนใหญ่ๆเข้ามาเยอะ ปีที่แล้วมี PCB (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) เข้ามาถึง 150,000 ล้านบาท ปีนี้มีศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center เข้ามาแล้วถึง 160,000 ล้านบาท ยังไม่รวม Google อีก 30,000 ล้านบาท และ UAE อีก 30,000 ล้านบาท รวมเป็นกว่า 200,000 ล้านบาท และมีเรื่อง Food Security (ความมั่นคงทางอาหาร) กับประเทศต่างๆ ซึ่งการขับเคลื่อนเป็นไปได้ดี การที่ท่านนายกฯไปเยือนทั้งกาตาร์และลาว ได้หารือทวิภาคีกับหลายประเทศ ซึ่งทุกประเทศให้ความสนใจ ไทยกำลังเป็นประเทศที่รุ่ง มีสัญญาณการลงทุนต่างๆเข้ามา และเราก็ต้องดูแลประชาชนที่กำลังลำบาก ขอขอบคุณผู้ประกอบการทั้งหลายที่มาดูแลประชาชน ขายสินค้าให้ในราคาถูก และในประเทศจะมีโครงการอื่นๆเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนต่อไป“ นายพิชัยกล่าว

โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้นำร่องกิจกรรมภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างๆไปแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา อาทิ ตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ เทศกาลกินเจ งาน International Live Commerce Expo 2024 เป็นต้น สำหรับเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า 110,000 ล้านบาท คาดการณ์มาจากกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ 3 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ส่วนแรกประมาณ 78,700 ล้านบาท มาจากการกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินไปคนละ 10,000 บาท คาดว่ากลุ่มนี้จะนำเงินมาซื้อของที่จัดโปรโมชันลดราคา ภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจประมาณ 54.1% ของเงินที่ได้รับไป โดยสัดส่วนนี้คิดมาจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุว่า “ครัวเรือนรายได้ต่ำ จะนำเงินมาซื้ออาหารเครื่องดื่ม เครื่องใช้ภายในบ้าน และเครื่องแต่งกายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 54.1% ของรายได้” 

ส่วนที่สองประมาณ 18,700 ล้านบาท มาจากการลดต้นทุนทางธุรกิจและสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก รวมทั้งการจัดกิจกรรมกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ อาทิ International Live Commerce Expo 2024 เทศกาลกินเจ เทศกาลลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ ธงฟ้า และตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ เป็นต้น 

และส่วนที่สาม เป็นการจัดมหกรรมลดราคาสินค้าของห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง และการที่ผู้ผลิตรายใหญ่ลดราคาเพื่อช่วยลดค่าครองชีพและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกประมาณ 14,400 ล้านบาท โดยคาดว่าเมื่อจบโครงการ จะสามารถกระตุ้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้ตามเป้า เป็นการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มในทุกมิติและ ช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างชีวิต อย่างยั่งยืน มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรีแก่ชาวนครพนม

(16 ต.ค. 67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ พร้อมด้วย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน  ร่วมในพิธีมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดนครพนม (จังหวัดที่ 14 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จำนวน 25 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 612,689 บาท (หกแสนหนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยแปดสิบเก้าบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ)  และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายวรวิทย์ พิมพนิตย์ ปลัดจังหวัดนครพนม นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชนเป็นประธานร่วมในพิธี  พร้อมด้วย คณะสมาคมพ่อค้าจังหวัดนครพนม เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี  และอาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายศรสุทธา กลั่นมาลี (ถั่วแระ เชิญยิ้ม)  นายธนกฤต พรามเย็น  (ศรีหลอด เชิญยิ้ม) ร่วมในพิธี และสร้างสีสันภายในงาน ณ บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม 

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ  www.facebook.com/pohtecktungofficial

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

‘สุริยะ’ เล็งตั้งกองทุน 2 แสนล้าน ซื้อรถไฟฟ้าคืนทุกสาย ปูทางค่าโดยสาร 20 บาททุกสาย คาดเริ่มได้ใช้ ก.ย.2568

‘สุริยะ’ เตรียมตั้งกองทุน 2 แสนล้าน ซื้อรถไฟฟ้าคืนจากเอกชนทุกสาย ปูทางค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ยันใช้งานได้ภายในเดือน ก.ย.2568

เมื่อวันที่ (16 ต.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 นั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลังร่วมกันไปศึกษา แนวทางการดำเนินการ นโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายและการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าเพื่อเป็นการลดภาระให้กับประชาชน และสนับสนุนให้ประชาชนมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อเป็นการลดมลพิษทางอากาศ

โดยที่ประชุม ครม.ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาเรื่องแหล่งเงินทุน และให้ทั้ง 2 กระทรวง คำนึงถึงเรื่องของผลประโยชน์ที่จะได้รับ และจะต้องไปศึกษาว่าจะต้องใช้วิธีการอย่างไรมีความคุ้มค่าทางการเงินอย่างไร และแหล่งเงินจะมาจากที่ใด เพื่อให้ประชาชนรับผลประโยชน์มากที่สุดโดยจะต้องรีบดำเนินการโดยเร็ว

“กระทรวงการคลังคงต้องกลับไปจ้างที่ปรึกษา เพื่อศึกษาการตั้งกองทุน 200,000 ล้านบาท ในการซื้อรถไฟฟ้าทุกสายคืน เพื่อให้สามารถกำหนดราคาค่าบริการที่ 20 บาททุกสายได้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องแหล่งเงินและวิธีการซื้อคืน ซึ่งเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่น่ามีปัญหา” นายสุริยะกล่าว

และยังยืนยันว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จะเกิดขึ้นจริงแน่นอน และจะสามารถเปิดให้บริการทุกเส้นทาง ประชาชนจะสามารถใช้งานได้ภายในเดือนกันยายน 2568 โดยหลังจากที่ได้เริ่มดำเนินการเก็บค่าโดยสารในอัตรา 20 บาทตลอดสายมาแล้ว ทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง ซึ่งทั้ง 2 สายเป็นการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจจึงสามารถทำได้ทันที และผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 50% ซึ่งถือว่าเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีต้องการจะให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกสาย ไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาลหรือให้สัมปทานกับเอกชน

นายสุริยะกล่าวว่า ในส่วนแนวทางของกระทรวงคมนาคมนั้น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้มีการศึกษาเบื้องต้นกรณีการจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง จะทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น

ซึ่งการที่รถไฟฟ้าทุกเส้นทาง มีอัตราค่าโดยสารในราคา 20 บาทตลอดสายได้ทั้งหมดทุกสีนั้น หากกระทรวงการคลังดำเนินการตั้งกองทุนเพื่อไปซื้อรถไฟฟ้าคืนได้เรียบร้อยแล้ว ก็จะใช้วิธีการซื้อคืนได้เลย แต่หากกระทรวงการคลังยังดำเนินการไม่ทัน กระทรวงคมนาคมจะนำแนวทาง จะใช้เงินจากส่วนแบ่งรายได้ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในเส้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มาชดเชยค่าโดยสารให้ประชาชนระหว่างที่รอผลการศึกษายังไม่แล้วเสร็จ

นายสุริยะกล่าวว่า ส่วนกรณีการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น ภาพรวมทั้งหมด คงต้องไปศึกษาให้เสร็จแล้วว่าจะใช้แหล่งเงินทุนจากที่ไหน และให้ทั้งสองกระทรวงเร่งหารือกัน

โดยทางกระทรวงการคลังจะพิจารณาแนวทาง การจัดตั้งกองทุนต่างๆ และแหล่งเงินของกองทุน ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่ง (Congestion charge) ซึ่งเรื่องนี้ทาง สนข.ได้มีการศึกษา โดยความร่วมมือกับสำนักงานองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) ประจำประเทศไทย ให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า ซึ่งมีการสำรวจถนนที่อยู่ในใจกลาง กทม.ที่เส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน สามารถอำนวยความสะดวกในการเดินทางได้สมบูรณ์ และคาดว่าจะมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่ง ได้ประมาณ 6 เส้นทาง ซึ่งพบว่ามีปริมาณจราจรรวมกันประมาณ 700,000 คัน/วัน สมมุติหากจัดเก็บค่าธรรมเนียมในราคาคันละ 50 บาท ตรงนี้ตนประเมินเบื้องต้นว่าจะมีรายได้เข้ากองทุนเพียงพอสำหรับการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า

ทั้งนี้ นายสุริยะกล่าวว่า การตั้งกองทุนจะต้องมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จำเป็นจะต้องศึกษาให้ดีเพราะจะต้องมีแหล่งเงินที่จะต้องจัดเก็บรายได้ และนำเงินไปซื้อรถไฟฟ้าคืน แต่ทั้งนี้ก็ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเพื่อไปดำเนินการ เรื่องนี้พรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นด้วยซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เชื่อว่าพรรคร่วมจะไม่มีปัญหา เพราะถือว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงร่วมกัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนโพสต์เอาสนุก หวังป่วนเมือง โทษหนัก จำคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท

(16 ต.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมในทุกรูปแบบ รวมทั้งการสร้างความตื่นตระหนกให้กับพี่น้องประชาชน ก่อให้เกิดความเดือดร้อน เข้าข่ายผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา พบกรณีมีผู้โพสต์ข้อความในกลุ่มเฟซบุ๊ก "โคราชบ้านเอ็ง" ว่าจะก่อเหตุรุนแรงด้วยอาวุธปืนในห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในพื้นที่ จ.นครราชสีมา สร้างความตื่นตระหนกให้กับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้ในวันเดียวกัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนพี่น้องประชาชนว่าอย่าเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าว แม้ว่าจะทำไปเพื่อความสนุก หรือหยอกล้อกันในหมู่เพื่อนฝูง และหากการโพสต์ดังกล่าวทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความตื่นตระหนก จะเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14(2) ฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หากพี่น้องประชาชนพบเห็นการโพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ ในลักษณะข่มขู่ว่าจะก่อเหตุความรุนแรงในที่สาธารณะ หรือสถานที่ที่มีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก อย่าแชร์ อย่าเผยแพร่ต่อ ให้รีบแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ทราบโดยเร็ว ผ่านช่องทางสายด่วน 191 หรือ สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

หลากโซเชียลรุมขุดบอสเคยออกรายการโหนกระแส ‘หนุ่ม กรรชัย’ ไม่ตระหนก ชี้แจงแล้วก่อนเรื่องแดง

(16 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ใน Social Media หลายช่องทางได้มีการเผยแพร่คลิปความยาวขนาดสั้น และข้อความ ในทำนองเดียวกันว่า 

รายการโหนกระแสที่มีนายกรรชัย กำเนิดพลอย หรือ 'หนุ่ม กรรชัย' เป็นพิธีกร ได้มีการโฆษณาคอร์สการตลาดออนไลน์ของหนึ่งในสมาชิก 'The iCon Group' โดยมีบางคอมเมนต์เชื่อมโยงไปว่าอาจจะเป็นหนึ่งในเครือข่าย

โดยผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่าเมื่อ 9 ต.ค. 67 นายกรรชัย กำเนิดพลอย ได้เคยกล่าวในรายการ ‘เที่ยงวัน ทันเหตุการณ์’ ว่า

“บางคนเคยมาออกรายการโหนกระแส ระดับบอสด้วย ในช่วงขาย 3 นาทีท้ายรายการ อย่าให้บอกเลยว่าใคร และเคยมาขายคอร์สออนไลน์ ตอนแรกก็ไม่รู้คิดว่า เขาสอนออนไลน์ทั่วไป ๆ ให้คนศึกษา แต่มาทราบภายหลังว่าคอร์สลักษณะนี้จะมีการขายของในนั้นด้วย หลังจากนั้นตนจึงยกเลิกงานนี้ไปทั้งหมด บอกไปว่าไม่เอางานแบบนี้”

นอกจากนี้เพจ Drama-Addict ยังได้โพสต์แจ้งในข่าวเรื่องนี้อีกว่า 

“เฮียหนุ่มเล่า ในรายการ บอสคนนึง เคยมาออกโฆษณาโหนกระแสมาขายคอร์สสอนยิงแอด 99 บาท อะไรเทือกนั้น เฮียหนุ่มเพิ่งมารู้ตอนดิไอคอนว่าคนเดียวกันกับบอสของดิไอคอน

อันนี้จ่าเป็นพยาน เพราะ กูคือคนแจ้งเฮียหนุ่มเอง ถถถถถถถ ว่ามีคนไปออกโหนกระแสขายคอรสยิงแอด แต่เอาไปโฆษณาแปลก ๆ ในเฟซ เลยไปแจ้งเฮีย เฮียแกพอรู้ก็สั่งหยุดรับโฆษณาจากพวกนั้น ลบคลิป และห้ามเอาเฮียแกไปอ้างอิงอีกเด็ดขาด

แต่เพิ่งรู้ไม่กี่วันนี้ ว่าหลังจากนั้นแม่งไปเข้ากับดิไอคอน ถถถถถ”

สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์  ได้จัดงานเสวนาในโครงการส่งเสริมขีดความสามารถและเครือข่ายด้านเศรษฐกิจ BCG ไทย – สิงคโปร์ (Seminar on Opportunities for Cooperation in BCG Business with Singapore)

สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์  ได้จัดงานเสวนาในโครงการส่งเสริมขีดความสามารถและเครือข่ายด้านเศรษฐกิจ BCG ไทย – สิงคโปร์ (Seminar on Opportunities for Cooperation in BCG Business with Singapore) ในวันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2567 เวลา 09.30-12.00 น. ที่ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ ถ. ศรีอยุธยา จัดโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์

งานเสวนาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความยั่งยืน รวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้และส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือด้าน BCG ระหว่างประเทศไทยกับสิงคโปร์ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและภาคเอกชนของสิงคโปร์เดินทางมาประเทศไทย เพื่อนําเสนอข้อมูลนโยบาย Green Economy ด้านความยั่งยืนและคาร์บอนเครดิตของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานเสวนาทราบถึงโอกาสทางธุรกิจและสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างไทยกับสิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือในตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้มองเห็นโอกาสจากการที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญต่อประเด็นสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอย่างมาก อันเป็นผลมาจากข้อจำกัดด้านภูมิประเทศ เช่น การขาดแคลนแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และการมีพลังงานทางเลือกที่จำกัด ดังนั้น สิงคโปร์จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างความร่วมมือเพื่อเศรษฐกิจสีเขียวที่มีความยั่งยืน

ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดทำนโยบาย Singapore Green Plan 2030 เป็นวาระแห่งชาติของสิงคโปร์มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและการพัฒนาพื้นที่สีเขียวและสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์ในระยะเวลา 10 ปี (ปี 2564 – 2573) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Bio-Circular-Green (BCG) Economy ของประเทศไทย และเพื่อการบรรลุเป้าหมายตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 (SDG) และความตกลงปารีส ทั้งนี้ สิงคโปร์ตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 โดยกำหนดกฎระเบียบเพื่อการปรับให้ธุรกิจสิงคโปร์ให้ส่งเสริมความยั่งยืน มุ่งลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เร่งสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศด้านความยั่งยืน และสร้างสังคมที่นิยมกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนมากขึ้น

โดย มีนโยบายเชิงเศรษฐกิจสำคัญที่น่าเรียนรู้ของสิงคโปร์ อาทิ
(1) สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่เริ่มการจัดเก็บภาษีคาร์บอนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2562 ในอัตรา 5 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (S$5/tCO2e) และในปีนี้ได้ปรับเพิ่มอย่างก้าวกระโดดเป็น 25 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีก
(2) การพัฒนาศูนย์กลางซื้อขายคาร์บอนเครดิตระดับโลกในลักษณะตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น

ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีศักยภาพในด้าน Circular Economy และ Green Economy อย่างมาก เนื่องจากบูรณาการความร่วมมือเพื่อสนับสนุนความเชื่อมโยงให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน ดังนั้น สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงต้องการที่จะนำข้อมูลความสำเร็จเหล่านี้มาแบ่งปันเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในด้านเศรษฐกิจ BCG นำไปปรับใช้ประโยชน์ และปรับตัวทางธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อตลาด BCG ของโลก โดยเฉพาะด้านคาร์บอนเครดิต

สำหรับกิจกรรมกรเสวนา ในครั้งนี้ มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละท่านจะได้รับข้อมูลที่ทันสมัยจากหน่วยงาน ผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายด้านความยั่งยืนและคาร์บอนเครดิตของสิงคโปร์ และสามารถต่อยอดความร่วมมือระหว่างไทยกับสิงคโปร์ในเรื่องนี้ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือในตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่อาจมีโอกาสพัฒนาเป็นการซื้อขายลักษณะเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต

‘สุริยะ’ เผยเตรียมลดค่าทางด่วน 50 บาทตลอดสาย คาด เริ่มหั่นค่าผ่านทาง ม.ค. เป็นของขวัญปีใหม่

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการที่ได้มอบหมายให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ร่วมกันพิจารณาแก้ไขปัญหาการจราจรบนโครงข่ายทางพิเศษ ระยะที่ 1 และให้ กทพ. ไปดำเนินการปรับปรุงระบบเก็บค่าผ่านทาง และลดอัตราค่าผ่านทาง ในอัตราสูงสุดไม่เกิน 50 บาท (50 บาทตลอดสาย) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยในระยะแรกจะดำเนินการบนโครงข่ายทางพิเศษในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานครนั้น

ทั้งนี้ กทพ. ได้เจรจาร่วมกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 เพื่อปรับลดอัตราค่าผ่านทางฯ โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างเสนอขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ฉบับแก้ไข) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ด (ฉบับแก้ไข) ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 คาดว่า จะสามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนฯ ได้ในเดือนธันวาคม 2567 และเริ่มปรับลดอัตราค่าผ่านทางในเดือนมกราคม 2568

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ กทพ. ไปเจรจาร่วมกับ BEM เพื่อให้ลงทุนก่อสร้างโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 สายงามวงศ์วาน-พระราม 9 (Double Deck) มูลค่าประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดบนทางพิเศษในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานคร โดยในการลงทุนก่อสร้าง Double Deck ของ BEM ในครั้งนี้ จะขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอเรื่องการแก้ไขสัญญาฯ ต่อคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) และเสนอไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ในการขยายสัมปทานดังกล่าว เป็นการแลกกับการก่อสร้าง Double Deck เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการปรับลดค่าผ่านทางแต่อย่างใดเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน และประเทศชาติ

“การดำเนินการในเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนแต่อย่างใด แต่เร่งดำเนินการ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ช่วยลดภาระค่าครองชีพ และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งนี้ ได้ให้นโยบายและเน้นย้ำว่า ทุกกระบวนการในการดำเนินงานนั้นตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีความละเอียดรอบคอบ โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้” นายสุริยะ กล่าว

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า สำหรับการปรับลดอัตราค่าผ่านทางและการปรับปรุงระบบค่าผ่านทาง โดยในเบื้องต้น โดยจะยกเลิกด่านประชาชื่น (ขาออก) และด่านอโศก 3 ซึ่งมีปริมาณจราจรหนาแน่น เพื่อให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้น และจะทำการปรับเพิ่มช่องเก็บค่าผ่านทางแบบอัตโนมัติ (ETC) แบบไม่มีไม้กั้น และลดจำนวนช่องเก็บค่าผ่านทางแบบเงินสด (MTC) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง และจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาจราจรบนโครงข่ายทางพิเศษอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ คือ ผู้ใช้ทางจ่ายค่าผ่านทางในราคาที่เหมาะสม และคุ้มค่าเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ การดำเนินการปรับลดค่าผ่านทางบนโครงข่ายทางพิเศษในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษศรีรัช ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้ทางพิเศษในปีงบประมาณ 2566 เฉลี่ย 968,150 คัน/วันจากจำนวนผู้ใช้ทางพิเศษเฉลี่ยรวมทุกสายทาง 1,715,306 คัน/วัน หรือ 56% ของปริมาณจราจรบนโครงข่ายทางพิเศษทั้งหมด โดยผู้ใช้ทางจะได้รับประโยชน์ สามารถเดินทางข้ามระบบทางพิเศษในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานครโดยจ่ายค่าผ่านทางในอัตราสูงสุดไม่เกิน 50 บาท สำหรับรถยนต์ 4 ล้อ อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางได้สูงสุด 30 นาที/เที่ยว

นอกจากนี้ จากผลการศึกษาของ กทพ. ระบุว่า การปรับลดค่าผ่านทางดังกล่าว สามารถทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนได้ 1,200-3,000 ล้านบาท/ปี ตลอดอายุโครงการ รวมถึงไปจนถึงผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวมโดยเฉพาะในด้านการประหยัดเวลาการเดินทาง (Value of Time Saving) มูลค่ามากกว่า 1,300 ล้านบาท/ปี อีกทั้งยังทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น จากการที่ประชาชนสามารถนำค่าผ่านทางที่ประหยัดได้มาจับจ่ายใช้สอย รวมถึงช่วยลดก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม และแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมถึงยังเป็นการส่งเสริมการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพของเมือง และที่สำคัญคือ ลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพของประชาชนในประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ

‘ดร.นิว’ ย้ำชัด "การเซ็นรัฐประหาร" ไม่มีจริง ชี้!! เป็นเพียงวาทกรรมใส่ร้ายในหลวง ร.9 เท่านั้น

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค.67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas โพสต์เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ระบุข้อความว่า...

การเซ็นรัฐประหารเป็นเพียงวาทกรรมใส่ร้าย ร.9 

ในหลวง ร.9 โดนบิดเบือนให้ร้ายมากที่สุดในข้อกล่าวหาเซ็นรัฐประหาร ทั้ง ๆ ที่การเซ็นรัฐประหารเป็นเพียงแค่วาทกรรมเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่จริง แต่กลับถูกปั่นกระแสบิดเบือนทางโซเชียลมีเดีย ผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ท่องตาม ๆ กัน ไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ปราศจากความรู้และความเข้าใจในความจริง 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิมของพระมหากษัตริย์ได้ผ่องถ่ายมาสู่ประชาชน พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจึงมีพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มิได้มีพระราชอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมถึงไม่ได้มีพระราชอำนาจที่จะยับยั้งการรัฐประหารได้ 

พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจึงไม่ต่างจากพ่อที่ได้ยกมรดกหรือกิจการให้ลูก ๆ ไปแบ่งปันดูแลเกือบหมด จนเป็นหน้าที่ของลูกๆ ในการบริหารจัดการกันเอง พ่อจึงเป็นได้เพียงแค่ที่ปรึกษาหรือพี่เลี้ยงที่มีความเป็นกลาง คอยเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ สามารถแนะนำ ให้กำลังใจ และตักเตือนได้เท่านั้น แต่ไม่อาจแทรกแซงได้ 

การรัฐประหารแต่ละครั้งคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ของคณะราษฎรที่ไม่ได้สร้างประชาธิปไตย ไม่ได้ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง หากแต่เป็นการยึดอำนาจที่พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานให้กับประชาชนมาเป็นของคณะราษฎรเสียเอง แล้วก็ไม่เคยที่จะส่งอำนาจนั้นถึงมือประชาชน 

เมื่อการเซ็นรัฐประหารไม่ได้มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มีอยู่จริง คือ การนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำรัฐประหาร ซึ่งการรัฐประหารเหมือนกับการที่ลูก ๆ ทะเลาะกัน ส่วนการนิรโทษกรรมก็คล้ายกับการที่ลูกฝ่ายซึ่งได้ดูแลกิจการขอโทษพ่อที่ลูก ๆ ทะเลาะกัน โดยต้องยอมรับว่าการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำรัฐประหารเป็นวัฒนธรรมที่คณะราษฎรริเริ่มขึ้น 

การที่ในหลวง ร.9 ไม่ได้ทรงยุ่งเกี่ยวกับการรัฐประหารถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด อีกทั้งยังเป็นไปด้วยความรักที่มีต่อประชาชนอย่างลึกซึ้ง เพราะถ้าหากในหลวงทรงแทรกแซงด้วยการไม่ยอมรับการรัฐประหาร ก็เท่ากับปลุกให้ประชาชนลุกฮือ อันเป็นเหตุให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายรัฐประหารกับฝ่ายต่อต้านรัฐประหาร 

นอกจากนี้ การที่ในหลวง ร.9 ทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการรัฐประหาร จึงเหมือนกับการที่ในหลวง ร.7 ทรงตัดสินพระทัยไม่ต่อสู้กับคณะราษฎร ในหลวงทุกพระองค์ล้วนรักประชาชนอย่างแท้จริง ในหลวงต่างจากนักการเมืองที่ความรักของในหลวงไม่ได้หวังผลตอบแทน และไม่ได้ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเฉกเช่นนักการเมือง แต่ทรงรักประชาชนเหมือนดั่งลูก 

ดร.ศุภณัฐ
14 ตุลาคม พ.ศ. 2567
#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนไม่มีการรับแจ้งความ-ลงทะเบียนคืนเงินผ่านโซเชียล การรับแจ้งความออนไลน์มีเพียงเว็บไซต์เดียวเท่านั้น คือ www.thaipoliceonline.go.th

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค.67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทุกรูปแบบ ซึ่งในปัจจุบันได้มีกลุ่มมิจฉาชีพที่อาศัยการลงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อ้างเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือหน่วยงานราชการอื่น ระบุข้อความว่า 'แจ้งความออนไลน์ได้ที่นี่' 'ลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพ' หรือข้อความในลักษณะดังกล่าว โดยบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอมที่กลุ่มมิจฉาชีพสร้างขึ้นมา มักจะมีการนำภาพของผู้บังคับบัญชา และหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ มาใช้ ซึ่งล่าสุดได้มีการนำภาพของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร. มาใช้ประกอบการหลอกลวงด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังในใช้สื่อสังคมออนไลน์ อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการรับแจ้งความหรือลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีช่องทางในการแจ้งความร้องทุกข์ผ่านช่องทางออนไลน์ 'เพียงช่องทางเดียว' คือเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th เท่านั้น ไม่มีการรับแจ้งความร้องทุกข์ผ่านช่องทางแชทในเฟซบุ๊ก หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อย่างแน่นอน
 
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ใด ลงโฆษณาอ้างว่าสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลต่อไป และหากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงทางสื่อสังคมออนไลน์ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top