Wednesday, 28 May 2025
Hard News Team

4 แลนด์มาร์กไทย ได้รับการประกาศเป็น ‘แหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน’ ของโลก ผ่านเกณฑ์!! คุณภาพ มีความสร้างสรรค์ ครอบคลุมทุกด้านของความยั่งยืน

(19 ต.ค. 67) Green Destinations ได้ประกาศรายชื่อ Green Destinations Top 100 Stories ประจำปี 2024 โดยมี 4 แหล่งท่องเที่ยวที่ อพท. พัฒนาตามแนวทางเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC) ได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน 100 แห่งของโลก ได้แก่

- เวียงภูเพียงแช่แห้ง จังหวัดน่าน นำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีในประเภท Culture & Tradition ประเด็นกลไกการยกระดับงานประเพณีท้องถิ่น ‘เทศกาลหกเป็ง’ สู่เทศกาลที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว 

-  เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี นำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีในประเภท Destination Management ประเด็นการฟื้นฟูแหล่งเสื่อมโทรมเมืองโบราณอู่ทอง ด้วยพลังศรัทธาภาคประชาสังคม สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 

- เมืองเก่าสงขลา จังหวัดสงขลา นำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีในประเภท Thriving Communities ประเด็นการฟื้นคืนเมืองเก่าสงขลาให้กลับมามีชีวิต 

- เชียงคาน จังหวัดเลย นำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีในประเภท Thriving Communities ประเด็น เมื่อคูปองอาหารเช้ากลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชียงคาน

ในปี 2024 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมรับการคัดเลือกกว่า 170 รายชื่อแหล่งท่องเที่ยวจาก 45 ประเทศ โดยมีเรื่องราวที่ส่งเข้าประกวด 129 เรื่อง ขณะที่การคัดเลือกเรื่องราวจะถูกประเมินโดยทีมผู้ประเมิน ของ Green Destinations ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละประเทศและพันธมิตร เกณฑ์การคัดเลือกพิจารณาจากคุณภาพของเรื่องราว ความสามารถในการถ่ายทอด ความคิดสร้างสรรค์ และการครอบคลุมทุกด้านของความยั่งยืน

ทั้งนี้ แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการประกาศรายชื่อ จะได้เข้าร่วมฉลองความสำเร็จในพิธีที่จะจัดขึ้นในงานประชุมระดับโลก Green Destinations Global Conference 2024 ณ สาธารณรัฐชิลี ในเดือนธันวาคม 2567 นี้

ช่างแต่งหน้าที่อินโดนีเซีย เนรมิตเพื่อนสาว ให้กลายเป็น ‘หมูเด้ง’ ถอดแบบมาเป๊ะเวอร์ ‘จมูก-ปาก-ใบหู’ น่ารักน่าเอ็นดู เรียกเสียงฮือฮา

(19 ต.ค. 67) ‘ฮาเบล’ (Habel) อาร์ตติส-ช่างแต่งหน้าฝีมือยอดเยี่ยมจากประเทศอินโดนีเซีย เนรมิตเพื่อนสาวสุดน่ารักให้กลายเป็น ‘หมูเด้ง’

งานนี้ทำเอาโซเชียลฮือฮา เพราะฝีมือการแต่งหน้าของเธอขั้นเทพจริง ๆ ถอดแบบ ‘หมูเด้ง’ มาเป๊ะเวอร์ ไม่ว่าจะช่วงจมูก ปาก และใบหูที่เธอเนรมิตขึ้นใหม่ รวมทั้งลงสีผิว ออกมาน่ารัก น่าเอ็นดูสุด ๆ เรียกเสียงชมอย่างล้นหลาม

ฮาเบล เล่าถึงลุกส์นี้ว่า “ฉันเลือก หมูเด้ง เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งหน้าครั้งนี้ เพราะฉันเห็นหน้าเจ้าหมูเด้งเยอะมาก ๆ ในโซเชียลมีเดีย และนางแบบที่ฉันเลือกมาแต่งหน้าในครั้งนี้ ก็มีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบซึ่งเหมาะกับการออกแบบลุกส์แต่งหน้าของฉัน”

พร้อมเสริมว่า “การแต่งหน้าทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนที่ยากที่สุดในการแต่งลุกส์นี้ก็คือ การติดกาวและเกลี่ยวัสดุโฟมลาเท็กซ์บนใบหน้าของนางแบบ”

ทั้งนี้เธอทิ้งท้ายถึงแฟน ๆ ชาวไทยว่า “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ ฮาเบล ฉันเป็นช่างแต่งหน้าจากอินโดนีเซีย ฉันชอบออกแบบลุกส์แต่งหน้าที่ดูตลกและน่ารัก บางครั้งฉันก็แต่งหน้าแบบจริงจัง-สมจริงด้วย ฮ่า ๆ และขอบคุณที่ชอบการแต่งหน้าของฉันนะคะ”

ทัวร์ลง!! ถล่มยับ ‘แม่ค้าขายปลาหมึก’ ขอซื้อไม้เดียว ไม่ยอมย่างให้ บังคับต้องซื้อ 2 ไม้ขึ้นไป ลูกค้าเผย!! แค่อยากลองชิม เป็นครั้งแรก

(19 ต.ค. 67) สมาชิก TikTok @intylertilleyโพสต์คลิป ขณะไปซื้อปลาหมึกไข่ 1 ไม้ จิ้มน้ำจิ้มเลย แต่แม่ค้ากลับบอกว่าไม้นึงไม่ย่างนะคะ เพราะมันต้องย่างใหม่คะ พี่เขาขายเป็นเจ็ดไม้ เขาไม่ขายหนึ่งไม้ สองไม้สามไม้ก็ได้ แต่ถ้าไม้นึงไม่ย่างเนาะ ด้านเจ้าของคลิปก็บอกเอาสองไม้ก็ได้ ไม้ละ 15 บาท พี่เขาไม่ขายให้หนึ่งไม้ เราก็ซื้อสองไม้ ราคา 30 บาท

โดยระบุข้อความว่า หมึกไข่แท้ไม้ละ 15 บาท เกือบไม่ได้กินแล้ว ต้องซื้อสองไม้ขึ้นไปพี่เขาจะขายให้ อินไม่รู้จริง ๆ ค่ะ อยากลองกินไม่เคยกินหมึกไข่ นี่เป็นครั้งแรก ซื้อเยอะก็กลัวกินไม่หมดเพราะไทเลอร์ไม่กินด้วย หมึกไข่อร่อยค่ะ

ขณะที่ชาวเน็ตแห่เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก อาทิ แม่ค้าวีนอะไรคะ, แม่ค้าควรพูดว่า สัก2ไม้ มั้ยลูก อร่อยนะ, ไม่แปลกใจทำไมยังเต็มถาดอยู่, ไม้เดียวไม่ขาย มีเหตุผลอะไรทำไมไม่ขาย, เข้าใจทั้งสอง ในมุมแม่ค้า1ไม้ไหนจะค่าถุงค่าน้ำจิ้มค่าถ่าน แทบไม่ได้อะไร ในมุมลูกค้าอยากลองแค่ไม้เดียวพอ แต่เป็นเรา ๆ จะซื้อ2ไม้เกรงใจ5555 เป็นต้น ซึ่งคลิปดังกล่าวมีคนเข้าไปดูแล้วกว่า 7.1 ล้านครั้ง

เปิดประวัติ ‘ไฮโซเคลวิน’ หนุ่มหล่อ อินเลิฟของ ‘บอสมิน’ เป็นแค่เพื่อนมา 12 ปี ก่อนจะข้ามเฟรนด์โซน มาเป็นแฟน

(19 ต.ค. 67) จากกรณีนางเอกดัง ‘มิน พีชญา’ ผู้หญิงหนึ่งเดียว ในกลุ่มดาราคนดัง ที่ถูกจับกุมเป็นผู้ต้องหา คดี ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ ล่าสุดในโลกออนไลน์ หลายคนก็พากันพุ่งเป้าไปที่หนุ่มหล่อ ‘เคลวิน ตีรวัฒนานนท์’ หวานใจของสาวมิน พร้อมบอกขอให้รักสาวมินและเคียงข้างเธออย่าหนีไปไหน

‘เคลวิน ตีรวัฒนานนท์’ คือใคร ทำงานอะไร มีธุรกิจยิ่งใหญ่แค่ไหน กวาดรายได้ต่อปีเท่าไหร่

ประวัติ ‘เคลวิน ตีรวัฒนานนท์’
ชื่อเล่น : เค
ชื่อจริง : เคลวิน ตีรวัฒนานนท์
อายุ 34 ปี
พื้นเพเป็นคน เชียงใหม่
จบการศึกษา คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ปัจจุบันทำอาชีพ นักวิทยากร 2 ภาษาในเมืองไทย
เป็นนักธุรกิจ ตำแหน่ง 'Marketing Director (MD)' ของ SCG Home Khonkaen
ไลฟ์สไตล์ ชอบตีกอล์ฟ, ท่องเที่ยว,นักชิม โดยเฉพาะ ร้านอาหารที่ได้รับรางวัล Michelin Star

จุดเริ่มต้นความรักของหนุ่ม เคลวิน และนางเอกสาว มิน พีชญา เริ่มจากการเป็นเพื่อน ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันนานกว่า 12 ปี ก่อนที่ฝ่ายชายสามารถก้าวข้ามเฟรนด์โซนมาได้ ซึ่งเส้นทางรักก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ต้องเอาชนะใจนางเอกสาว มิน พีชญา หนักมาก

กระทั่งในที่สุดทั้งคู่ก็เปิดตัวว่าคบหาดูใจกัน ยิ่งเพิ่มดีกรีความหวานให้คู่รักคู่นี้เพิ่มขึ้นไปอีก

เปิดธุรกิจ เค เคลวิน ตีรวัฒนานนท์
ข้อมูลจาก creden data ฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ผ่านระบบวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทครบวงจร พบว่า เค เคลวิน ตีรวัฒนานนท์ เป็นกรรมการบริษัท 1 แห่ง รวมทั้งถือหุ้น 1 รายการ มูลค่าหุ้นทั้งหมด 54,459 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

บริษัท มานนา ฮาร์ทเมด จำกัด

จดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2564
พบรายชื่อนายเคลวิน ตีรวัฒนานนท์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ถือหุ้นจำนวน 1,000 หุ้น (50.00%) มูลค่าหุ้น 54,459 บาท และมี น.ส.มิน พีชญา เป็นกรรมการร่วมด้วย และถือหุ้นจำนวน 980 หุ้น (49.00%) มูลค่าหุ้น 53,370 บาท
ดำเนินธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น
ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 200,000 บาท
โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

ปี 2565 รายได้ 11,575 บาท ขาดทุน 74,651 บาท
ปี 2566 รายได้ 2,398 บาท ขาดทุน 16,431 บาท
ปี 2566 สินทรัพย์รวม 141,000 บาท หนี้สินรวม 32,082 บาท

หนุนบทความประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้าและขอความร่วมมือเหล่าเซเลป-คนดัง อย่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าออกสื่อ อาจจะเกิดการเลียนแบบจาก 'เด็ก-เยาวชน'

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ได้เขียนกล่าวถึงลิงค์ วีดีโอรายการทีวี ที่ผู้ร่วมออกรายการท่านหนึ่ง สูบบุหรี่ไฟฟ้าระหว่างการเสวนาพร้อมเขียนว่า “มีใครเตือนแกหน่อยดีมั้ยครับ” จึงเห็นว่า บทความนี้ดีมีประโยชน์ต่อสังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนจึงอยากนำมาเสนอเพื่อเตือนสติและขอความร่วมมือ ผู้มีที่มีอิทธิพลทางสังคมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเซเลป ดาราหรือคนดังในแวดวงต่างๆตลอดจนรายการทางสื่อหลักและสื่อออนไลน์ อยากให้มาช่วยกันจรรโลงสังคม โดยเฉพาะการไม่สูบบุหรีไฟฟ้าออกสื่อฯซึ่งเป็นตัวอย่างไม่ดี เยาวชนและอาจจะทำให้เด็กและเยาวชนเลียนแบบได้ โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้

“ขอความกรุณา อย่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าออกสื่อเลยนะครับ”

มีสื่อมวลชนอาวุโสท่านหนึ่ง ส่งลิงก์วิดีโอรายการทีวี ที่ผู้ร่วมออกรายการท่านหนึ่ง สูบบุหรี่ไฟฟ้าระหว่างการเสวนา พร้อมเขียนว่า “มีใครเตือนแกหน่อยดีมั้ยครับ”

ที่ผมเขียนนี่ ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปเตือนท่านที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าออกสื่อนะครับ เพราะคนที่ทำอาจจะไม่ทราบเหตุผลว่า ทำไมสื่อมวลชนอาวุโสที่ส่งลิงก์มาจึงมีความ 'กังวล' ที่เห็นภาพคนที่มีชื่อเสียงสูบบุหรี่ไฟฟ้าขณะออกสื่อ

ขณะนี้บุหรี่ไฟฟ้ากำลังระบาด เข้าไปในเด็กนักเรียนเล็กลงไปถึงชั้นประถมศึกษาทั่วประเทศ และฝ่ายต่างๆพยายามช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ให้เด็กๆเข้าไปริลองจนเกิดการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า

มีการเรียกร้องให้ผู้ปกครอง ครู คนที่มีชื่อเสียง มีตำแหน่งฐานะในสังคม ขอให้เป็นแบบอย่างที่ดีที่ไม่สูบบุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้า ท่านที่สูบบุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้า ก็ขอความกรุณาไม่สูบในที่สาธารณะ โดยเฉพาะในที่ที่มีเด็กๆอยู่ด้วย

ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน ก็มีการรณรงค์ เรียกร้องให้แพทย์ที่ยังเลิกสูบบุหรี่ไม่ได้ ขออย่าสูบให้คนเห็น “หมอหนึ่งคนที่สูบบุหรี่ มีค่าเท่ากับบิลบอร์ดโฆษณาบุหรี่ขนาดใหญ่” คำกล่าวของเซอร์ จอห์น ครอฟตัน ศาสตราจารย์โรคระบบทางเดินหายใจ สก็อตแลนด์มีหลักฐานว่าบริษัทบุหรี่ จ่ายเงินให้พระเอก นางเอกหนังฮอลลีวู้ด สูบบุหรี่ระหว่างออกงานสังคม ระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อ ในหนังที่แสดง ด้วยค่าจ้างคิดเป็นเงิน 105.6 ล้านบาทตามค่าเงินในปีพ.ศ.2542

บริษัทบุหรี่ใช้ศิลปินดาราเป็น 'สื่อบุคคล' ในการโฆษณาส่งเสริมให้คนสูบบุหรี่ นักวิชาการบางคนมีความเห็นว่า โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่เป็น 'โรคติดต่อทางสังคม' (ที่แตกต่างจากโรคติดต่อจากเชื้อโรค) จากการโฆษณาส่งเสริมการขายโดยบริษัทบุหรี่ ผ่านช่องทางและรูปแบบต่าง ๆ และ 'สื่อบุคคล' 

การสูบบุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้าอย่างเปิดเผย จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามมีอิทธิพลสูงมาก ในการนำไปสู่การเกิดนักสูบหน้าใหม่ โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้า ที่เด็ก ๆ เริ่มสูบตามแบบอย่างผู้ใหญ่

ต้องขอบคุณคุณกร ทัพพะรังสี ที่คณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุข เป็นผู้ริเริ่มผลักดันให้มีการออกกฏกระทรวง ห้ามการแสดงที่มีการใช้ยาสูบ (ฉากสูบบุหรี่) ในวิทยุ-โทรทัศน์ เมื่อพ.ศ.2545

ดังนั้น การสูบบุหรี่ไฟฟ้าให้ปรากฏในสื่อ ขณะออกสื่อสาธารณะ จึงเป็นเรื่องที่กฏหมายห้ามทำ สมควรที่จะหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เป็นการสนับสนุน 'ค่านิยมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า' ซึ่งจะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดนักสูบบุหรี่ไฟฟ้าหน้าใหม่ ที่เสพติดไปตลอดชีวิต

โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งยังเป็นสินค้าที่ผิดกฏหมาย ถ้าเป็นในสิงค์โปร์ เขาจะเอาผิดคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 'คุณซื้อมาจากไหน' เพื่อสาวต่อไปจับคนที่ขาย

อย่างที่ผมพูดแล้ว คนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าในลิงก์ที่ส่งมา อาจจะไม่รู้ถึงผลเสียที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าขณะออกสื่อ และเมื่อรู้แล้ว ก็คงจะไม่ทำอีกนะครับ

ช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้แก่สังคม ด้วยการเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่สูบบุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้า ในที่สาธารณะ รวมทั้งสูบให้เห็นในสื่อ

ดีที่สุดก็คือไม่สูบอะไรเลย ตามธรรมชาติที่ 'เป็นปกติ' ของสิ่งมีชีวิต ที่ปอดมีไว้สำหรับหายใจเท่านั้น ขอย่ำ 'เท่านั้น' อะไรที่ผิดจากนี้ เป็นเรื่อง 'ผิดปกติ-ฝืนธรรมชาติ' ไม่ดีต่อสุขภาพ ครับ

รัฐบาลเตรียมดันโครงการ!! ‘ไทยแลนด์มิวสิคแคมเปญ’ ในปีหน้า ใช้ดนตรีดึงดูดนักท่องเที่ยว เปิดประสบการณ์ ‘เอ็กซ์คลูซีฟคอนเสิร์ต’

(19 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ ‘เสียงจากใจ…ไทยคู่ฟ้า’ สรุปงานรอบสัปดาห์ของรัฐบาล ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย 92.5 เมกกะเฮิร์ต ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ผ่านมาว่า ในปี 2568 จะถือเป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย หลังจากที่ประเทศไทยเจอปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 และอุทกภัยที่เกิดขึ้น จึงได้มีดำริให้มีการดำเนินโครงการที่เรียกว่า ‘ไทยแลนด์มิวสิคแคมเปญ’ เป็นโครงการที่นำดนตรีเข้ามาเป็นจุดดึงดูดให้กับนักท่องเที่ยวและคนไทยได้ไปชมศิลปหัตถกรรมและคอนเสิร์ตสำคัญต่าง ๆ

โดยนายกฯมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)เป็นหน่วยงานหลักจัดทำโครงการเอ็กซ์คลูซีฟคอนเสิร์ต ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 ซึ่งต่างประเทศได้ทำโครงการดังกล่าว มีการจัดคอนเสิร์ตสำคัญ ๆ  ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีการจัดคอนเสิร์ตสำคัญจะมีประชาชนให้ความสนใจเข้ามาดู จะมีรายได้เข้าประเทศจำนวนมาก อีกทั้งจะเป็นการกระตุ้นรายได้และสร้างภาพลักษณ์ให้กับประเทศไทย

นายกฯสั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำศิลปินระดับโลกเข้ามาการแสดงในไทย รวมถึงงานศิลปะต่าง ๆ เอามาโชว์ ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้มีโอกาสเห็นภาพของโมนาลิซ่า ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ของฝรั่งเศส อาจจะมีการนำมาโชว์ในเมืองไทยก็เป็นได้ เหมือนที่เราได้ชมบารมีของพระเขี้ยวแก้วมาแล้ว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์คดี The Icon Group พร้อมกันทั่วประเทศวันนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้เสียหาย และลดความยุ่งยากในการแจ้งความ โดยไม่ต้องเดินทางมายัง บก.ปคบ. 

เมื่อวานนี้ (18 ต.ค.67)  เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดี The Icon Group โดยมี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,  พล.ต.ท.พิสิฐ ตันประเสริฐ ผบช.สงป. , พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. , พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประชุมทางไกลกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 

ผบ.ตร.ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และตำรวจภูธรภาค 1-9 จัดตั้งศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดี The Icon Group ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นวงกว้าง เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับแจ้งความของผู้เสียหายที่อยู่ต่างจังหวัด โดยไม่ต้องเดินทางมายังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ) โดยวันนี้เป็นการเปิดศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดี The Icon Group พร้อมกันทั่วประเทศ 

สำหรับศูนย์แจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าว มอบหมายให้ ผกก.(สอบสวน) และพนักงานสอบสวนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาดำเนินการ โดยจัดพนักงานสอบสวนอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมให้หน่วยต่างๆ รายงานผลการปฏิบัติในแต่ละวันให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบ หากพบว่ามีการปฏิเสธการรับแจ้งความ ให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบและรายงานเหตุการณ์ต่อ ผบ.ตร. ทันที พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงแนวทางการอำนวยความสะดวกผ่านช่องทางต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า เนื่องจากคดี The Icon Group มีผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งเดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ที่ บก.ปคบ. เฉลี่ยวันละ 300 – 500 คน แม้จะมีการจัดพนักงานสอบสวนเพื่อรองรับการปฏิบัติ แต่ยังไม่สอดคล้องกับจำนวนพนักงาน จึงได้สั่งการให้เปิดศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์คดีดังกล่าวทั่วประเทศ โดยจัดทำเป็นโมเดลแนวทางเดียวกันกับรูปแบบที่ บก.ปคบ.ดำเนินการในการบริหารการรับแจ้งความ จากนั้นเป็นการบริหารคดีของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ต่อไป และจากนี้ต่อไปแนวทางในการทำงานนี้จะเป็นโมเดลการปฏิบัติ ในการบริหารคดี และบริหารการสื่อสาร หากมีกรณีลักษณะคดีเช่นนี้ในอนาคต โดยในการเปิดศูนย์รับแจ้งความคดีนี้จะทำให้ตำรวจเห็นภาพในการจัดการเรื่องรับแจ้งความ วิเคราะห์ บริหารคดี ให้เกิดความรวดเร็วต่อไป

เชื้อเพลิงพลังงานที่ใช้กันมากที่สุด ในชีวิตประจำวันของคนไทย เหตุใดต้องมี ‘SPR’ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์

(19 ต.ค. 67) นับแต่มีการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในสำหรับรถยนต์และรถบรรทุกในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 จนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และเมื่อเครื่องยนต์น้ำมันดีเซลเข้ามาแทนที่เครื่องจักรไอน้ำในเรือรบ การควบคุมปริมาณน้ำมันจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในยุทธศาสตร์ทางการทหาร และมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่สองหลังจากที่ถ่านหินลดความนิยมลงในช่วงกลางทศวรรษ 1950 สำหรับบ้านเราแล้ว มีการนำเข้ารถสันดาปภายในตั้งแต่ พ.ศ. 2447 และคนไทยก็ใช้รถยนต์อย่างแพร่หลายต่อเนื่องนับแต่นั้นมา 

ด้วยรถยนต์สันดาปภายในใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ซึ่งในอดีตไทยเรายังต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปกระทั่งมีการสร้างโรงกลั่นน้ำมันเชิงพาณิชย์เป็นแห่งแรก ณ ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร (ในสมัยนั้น) และเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2507 กิจการน้ำมันเชื้อเพลิงของรัฐบาลไทยได้กลายเป็นวิสาหกิจของรัฐ 2 แห่งในปัจจุบันคือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทุกวันนี้คนไทยบริโภคเชื้อเพลิงพลังงานเทียบเท่าน้ำมันดิบ 1,995,000 บาร์เรลต่อวัน โดยเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง 44% ก๊าซธรรมชาติ 38% ถ่านหิน 12% พลังงานจากน้ำ แสงอาทิตย์ และพลังงานไฟฟ้านำเข้า ฯลฯ อีก 6% ดังนั้นคนไทยจึงบริโภคเชื้อเพลิงพลังงานปริมาณมหาศาล โดยต้องนำเข้าถึง 80% และที่ต้องนำเข้ามากที่สุดคือ ‘ปิโตรเลียม’

‘ปิโตรเลียม’ หมายถึง สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยมีธาตุเป็นองค์ประกอบหลัก คือ คาร์บอน และไฮโดรเจน โดยอาจมีธาตุอื่น เช่น กํามะถัน ออกซิเจน ไนโตรเจน ปนอยู่ด้วย ปิโตรเลียมเป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของปิโตรเลียมเอง พลังงานความร้อน และความกดดันตามสภาพแวดล้อมที่ปิโตรเลียมสะสมตัวอยู่ ซึ่งแบ่งตามสถานะในธรรมชาติได้ 2 ชนิด ได้แก่ 
1. น้ำมันดิบ (Crude Oil)  มีสถานะตามธรรมชาติเป็นของเหลว ประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดระเหยง่ายเป็นส่วนใหญ่ แบ่งเป็น 3 ชนิด ตามคุณสมบัติ และชนิดของไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบอยู่ คือ
1.1 น้ำมันดิบฐานพาราฟิน
1.2 น้ำมันดิบฐานแนฟทีน
1.3 น้ำมันดิบฐานผสม 

โดยน้ำมันดิบทั้ง 3 ชนิด เมื่อนํามากลั่นแล้ว จะให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ก๊าซธรรมชาติ เป็นปิโตรเลียมที่อยู่ในสถานะก๊าซที่สภาพแวดล้อมบรรยากาศ ซึ่งไทยเรานำเข้าน้ำมันดิบเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป (เบนซิน ดีเซล น้ำมันก๊าด น้ำมันเตา) โดยกำลังการกลั่นเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ และส่งออกในปริมาณที่ไม่มากนัก 

2. ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas)  จะประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนในปริมาณร้อยละ 95 ขึ้นไป ส่วนที่เหลือจะเป็น ไนโตรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ ปนอยู่เพียงเล็กน้อย ไฮโดรคาร์บอนในก๊าซธรรมชาติ จัดอยู่ในอนุกรมพาราฟิน มีคุณสมบัติอิ่มตัวและไม่เปลี่ยนแปลงทางเคมีในสภาวะปกติ ก๊าซธรรมชาติมีองค์ประกอบส่วนใหญ่คือ มีเทน (CH4) ซึ่งมีน้ำหนักเบาที่สุด และจุดเดือดต่ำที่สุดเป็นส่วนประกอบถึงประมาณร้อยละ 70 ขึ้นไป ปัจจุบันเป็นเชื้อเพลิงพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า และเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง

โดยที่ประเทศไทยนำเข้า ‘ปิโตรเลียม’ ปีละกว่าล้านล้านบาท ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกจึงส่งผลอย่างสำคัญต่อราคาเชื้อเพลิงพลังงานในประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจของไทยโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาต่างก็ใช้ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เพื่ออุดหนุนชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลซึ่งถือเป็นน้ำมันเศรษฐกิจของประเทศ เพราะรถโดยสารและรถบรรทุกขนส่งส่วนใหญ่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง ซึ่ง ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ มาจาก 3 ส่วน คือ
- ส่วนของภาษีสรรพสามิตที่กรมสรรพสามิตเรียกเก็บจากผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ
- ส่วนของภาษีศุลกากรที่กรมศุลกากรเรียกเก็บจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
- ส่วนของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้รับสัมปทานที่ทำธุรกิจก๊าซ ซึ่งต้องนำส่งเงินให้แก่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

ปัจจุบัน ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ของไทยติดลบเกือบหนึ่งแสนล้านบาท ทำให้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต้องศึกษาหาหนทางเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด จึงเป็นที่มาของแนวคิดการจัดทำ ‘ระบบ SPR : Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ เข้ามามีบทบาททำหน้าแทนที่ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ด้วยในอนาคตเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ถือครองปริมาณน้ำมันมากที่สุดในประเทศเพียงพอสำหรับการใช้งาน 50-90 วันแล้ว รัฐบาลย่อมสามารถนำปริมาณสำรองเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้ เพราะที่ผ่านมาปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากวิกฤตเชื้อเพลิงมีการใช้ ‘เงิน’ จาก ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ในการแก้ไขปัญหา 

แต่ในยามที่เกิดวิกฤตน้ำมัน ‘เงิน’ จะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหา เพราะต้องใช้ ‘เงิน’ มากขึ้นในการซื้อน้ำมัน หรือในบางสถานการณ์แม้ จะมี ‘เงิน’ ก็ตาม แต่อาจไม่สามารถหาซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่สามารถขนส่งมาประเทศไทยได้ ดังนั้น ด้วยการถือครอง ‘น้ำมันเชื้อเพลิงสำรอง’ โดยรัฐที่มากพอ (สำหรับการใช้งาน 90 วัน) เพื่อรอเวลาที่วิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงจะผ่านพ้นไป จึงเป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด

‘มาครง - เนทันยาฮู’ ปะทะเดือด หลังการโจมตีใน ‘เลบานอน’ ชี้!! มุ่งเป้าไปที่ ‘ผู้รักษาสันติภาพ’ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม

(19 ต.ค. 67) ท่ามกลางการโจมตีเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพในเลบานอน ประธานาธิบดีมาครงและนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูกำลังแลกฝีปากกัน ตามข้อมูลของพระราชวังเอลิเซ มาครงแสดงความไม่พอใจต่อการโจมตีดังกล่าวในการสนทนาทางโทรศัพท์ เขากล่าวว่าอิสราเอลต้องหยุดมุ่งเป้าไปที่ผู้รักษาสันติภาพทันที เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม

แต่อิสราเอลเน้นย้ำว่าไม่ได้มุ่งเป้าไปที่กองทหารสหประชาชาติแต่อย่างใด ขณะเดียวกันก็กล่าวหากลุ่มฮิซบอลเลาะห์เลบานอนที่ใช้พวกเขาเป็นโล่กำบัง

สื่อฝรั่งเศสยังรายงานคำเตือนจากมาครงถึงเนทันยาฮูว่า เนทันยาฮูไม่ควรลืมว่าอิสราเอลก่อตั้งขึ้นโดยการตัดสินใจของสหประชาชาติ มีรายงานว่ามาครงกล่าวถึงประเด็นนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่อิสราเอลจะตีตัวออกห่างจากการตัดสินใจของสหประชาชาติ

เนทันยาฮูตอบโต้ด้วยความโกรธเคืองต่อคำพูดของมาครง และประกาศกร้าวเป็นการเตือนความจำสำหรับประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศสว่า อิสราเอลไม่ได้ก่อตั้งขึ้นโดยการตัดสินใจของสหประชาชาติ แต่เกิดจากชัยชนะในสงครามอาหรับ-อิสราเอลที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1948

ในส่วนของมาครง เขาพูดพาดพิงถึงแผนการแบ่งดินแดนของสหประชาชาติสำหรับปาเลสไตน์ ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติให้การรับรองในปี 1947 ดังนั้น หลังจากสิ้นสุดอาณัติของอังกฤษ ปาเลสไตน์ควรถูกแบ่งออกเป็นรัฐสำหรับชาวยิว และอีกรัฐหนึ่งสำหรับชาวอาหรับ กรุงเยรูซาเล็มควรได้รับสถานะพิเศษ ซึ่งแผนดังกล่าวไม่เคยถูกนำมาใช้

โยนาธาน อาร์ฟี-ประธานองค์กรของชาวยิวในฝรั่งเศส วิพากษ์วิจารณ์จุดยืนของมาครง ‘หากความคิดเห็นเหล่านี้เป็นจริง ก็ถือเป็นความผิดพลาดทั้งในอดีตและทางการเมือง’ เขาโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X นั่นหมายถึง ‘การดูแคลนประวัติศาสตร์ร้อยปีของไซออนิสต์ และการเสียสละของผู้คนนับหมื่นนับพัน’

นอกจากนี้ ความคิดเห็นของประธานาธิบดีมาครงยังสนับสนุนผู้โต้แย้งสิทธิในการดำรงอยู่ของอิสราเอลอีกด้วย อาร์ฟีกล่าว

ขุนแผนญี่ปุ่น อวดชีวิตดี๊ดี!! เมีย 4 กิ๊ก 2 แต่รักปรองดองกันทั้งบ้าน ตั้งเป้ามีลูก 54 คน เพื่อครองตำแหน่ง ‘เทพเจ้าแห่งพ่อบ้านญี่ปุ่น’

(19 ต.ค. 67) พระลอต้องกราบ คาสโนวาต้องซูฮก ให้กับ วาตานาเบะ เรียวตะ ขุนแผนแสนสะท้านชาวญี่ปุ่นวัย 36 ปี ชาวฮอกไกโด เมื่อเขาเปิดเผยชีวิตรักสุดสะพรึง ว่าเขามีภรรยาที่เคยอยู่กินด้วยกันถึง 4 คน กับกิ๊กอีก 2 คน และลูก ๆ อีก 10 คน โดยไม่ต้องทำงาน และยึดอาชีพพ่อบ้าน Full-Time มานานถึง 10 ปีแล้ว

แม้จะฟังดูผิดหลักการใช้ชีวิตครอบครัว ที่กล่าวว่า เมีย 2 ต้องห้าม และในญี่ปุ่นไม่สามารถจดทะเบียนสมรสซ้อนได้ ดังนั้น ภรรยาของเขาจึงต้องใช้ชีวิตร่วมกับเรียวตะในสถานะ ‘พาร์ทเนอร์ที่อยู่กินฉันคู่สมรส’ เท่านั้น แต่เรียวตะ กลับมีเป้าหมายสูงกว่านั้นในการเป็นจะเป็นเทพเจ้าแห่งพ่อบ้านญี่ปุ่น ที่มีลูกให้ได้ถึง 54 คน

ชีวิตรักไร้ขีดจำกัดของเรียวตะ มีจุดเริ่มต้นเมื่อราวๆ 6 ปีก่อน ที่เขาต้องเลิกกับแฟนเก่า แถมตกงานมานาน จนตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นมาใหม่ พร้อมกับคติประจำใจว่า ‘สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม’ และเริ่มนัดเดตกับสาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่ติดต่อกันผ่านเว็บไซต์หาคู่ จนท้ายสุดเขาลงเอยกับผู้หญิงถึง 4 คน และยังมีกิ๊กอีก 2 คนที่ยังติดต่อกันทางออนไลน์ 

แต่ตัวเขาไม่มีความสามารถทางเศรษฐกิจ ตกงานมานานเกือบ 10 ปี จึงไม่สามารถหาเลี้ยงภรรยา และลูก ๆ ถึง 10 คน ที่มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนสูงถึง 9.14 แสนเยน (ประมาณ 2 แสนบาท) ได้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนบทบาทมาเป็นพ่อบ้าน Full-Time ที่ต้องทำงานบ้าน เลี้ยงลูก ทำกับข้าว ดูแลภรรยาทุกอย่าง ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดตกเป็นหน้าที่ของภรรยาและกิ๊กของเขา ที่ช่วยกันหาร และออกค่าใช้จ่ายร่วมกัน

วิถีชีวิตครอบครัวสุดพิสดารของ วาตานาเบะ เรียวตะ ถูกเปิดเผยผ่านรายการโทรทัศน์ญี่ปุ่น Abema Prime ซึ่งเรียวตะ กล่าวว่า "เขาแค่มีความรักให้กับผู้หญิง และตราบใดที่เขารักพวกเธออย่างเท่าเทียมกัน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร" 

เมื่อถูกถามว่า เขาทำอย่างไร จึงสามารถอยู่ร่วมชายคากับภรรยาหลายคนได้ เรียวตะ เปิดเผยว่า เขามีห้องส่วนตัวให้ภรรยาทุกคน และจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปหลับนอนกับพวกเธอในแต่ละคืน แถมยังอวดด้วยว่าเขามีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 28 ครั้งเป็นประจำทุกสัปดาห์ ภรรยาแต่ละคนต่างก็รักใคร่กันดี ไม่ได้มีปัญหาหึงหวงกันในครอบครัว 

นอกจากนี้ เรียวตะ ยังตั้งเป้าที่จะเป็น ‘เทพเจ้าแห่งพ่อบ้านญี่ปุ่น’ ด้วยการทำลายสถิติ พ่อบ้านที่มีบุตรมากที่สุดในญี่ปุ่น  ซึ่งเจ้าของสถิติที่มีการจดบันทึกไว้คือ โชกุน โทกุกาวะ อิเอนาริ ที่เสียชีวิตในปี 1841 โดยอดีตโชกุนในยุคเอโดะคนนี้ มีลูก 53 คนที่เกิดจาก กับภรรยา และสนมรวมกันถึง 27 คน 

ดังนั้น เขาจึงตั้งเป้าหมายจะมีลูกให้ได้ 54 คน และยังไม่หยุดที่จะมองหาภรรยาเพิ่ม

การเปิดเผยชีวิตครอบครัวแบบหมดเปลือก ของ วาตานาเบะ เรียวตะ ผ่านสื่อโทรทัศน์ ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ของญี่ปุ่น ทั้งในแง่ของศีลธรรม และ สิทธิในการใช้ชีวิต

หลายคนเป็นห่วงความรู้สึกของลูกๆของครอบครัววาตานาเบะ ที่ต้องเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ยากจะอธิบายให้สังคมทั่วไปเข้าใจได้ง่าย และ พวกเด็กๆจะได้รับความรักที่สมบูรณ์แบบครอบครัวปกติทั่วไปหรือไม่ แต่ในขณะเดียวกัน บางคนก็มองว่า เป็นเรื่องส่วนบุคคล ที่ทุกคนมีสิทธิ์เลือกใช้ชีวิต และรับผิดชอบกับทางเลือกของตัวเอง ตราบใดที่เขาสามารถบริหารครอบครัวได้อย่างมีความสุข คนนอกก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปวิพากษ์ วิจารณ์ได้

และไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้ชีวิตได้อย่าง วาตานาเบะ เรียวตะ เพราะเฮียอาจจะรักทุกคนได้ แต่ถ้าวันหนึ่ง ทุกคนเกิดไม่รักเฮียขึ้นมา ชีวิตก็จบเหมือนกัน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top