Sunday, 18 May 2025
Hard News Team

Toyota ขยายการผลิตในจีน ตั้งเป้า 2.5 ล้านคันต่อปี สะท้อนตลาดรถแดนมังกรโตสูง

(11 พ.ย.67) รอยเตอร์รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าว 3 แหล่งว่า โตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น วางเป้าหมายผลิตรถยนต์ให้ได้อย่างน้อย 2.5 ล้านคันในจีนภายในปี 2573 ซึ่งนับเป็นการปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญที่จะเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างการขายและการผลิตในจีน และเปิดโอกาสให้ผู้บริหารในจีนมีอิสระในการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากขึ้น

รายงานระบุว่า แผนดังกล่าวสะท้อนกลยุทธ์ของโตโยต้าต่อจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเน้นย้ำถึงความพยายามที่จะฟื้นฟูธุรกิจหลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับบีวายดี (BYD) และผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในจีนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

แผนของโตโยต้าแตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น รวมถึงผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นที่เลือกจะลดกำลังการผลิตหรือถอนธุรกิจออกจากจีน

แหล่งข่าวเผยว่า โตโยต้าตั้งเป้าเพิ่มการผลิตในจีนให้ได้ถึง 3 ล้านคันต่อปีภายในสิ้นทศวรรษนี้ แต่ยังไม่มีการประกาศเป้าหมายอย่างเป็นทางการ

เป้าหมายนี้ถือเป็นการเพิ่มขึ้นจากสถิติการผลิตสูงสุด 1.84 ล้านคันในปี 2565 หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 63% โดยปีที่แล้ว โตโยต้าผลิตรถยนต์ในจีนได้ 1.75 ล้านคัน

โตโยต้าได้แจ้งแผนนี้ให้ซัพพลายเออร์บางรายทราบแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความทุ่มเทของโตโยต้าต่อตลาดจีนและการรักษาซัพพลายเชนให้มั่นคง

ในแถลงการณ์ โตโยต้าตอบคำถามรอยเตอร์ว่า “ด้วยการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดจีน เราจึงพิจารณาโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง” และยืนยันว่าจะเดินหน้าผลิตรถยนต์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อตลาดจีนต่อไป

Bitcoin คึกคักขานรับชัยชนะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ พุ่งทะลุ 81,000 ดอลลาร์ ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง

(11 พ.ย.67) Bitcoin ยังรุ่ง ราคาพุ่งทะยานสู่ New High ล่าสุดวันนี้ที่ 81,700 ดอลลาร์ ขานรับข่าวดีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ 2024 อีกทั้งพรรครีพับลิกันยังครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาสูง และกำลังลุ้นจำนวนที่นั่งในสภาล่างที่จะทำให้รัฐบาลทรัมป์ และพรรครีพับลิกันสามารถคุมเสียงในสภาคองเกรซได้อย่างเบ็ดเสร็จทั้ง 2 สภา

ตั้งแต่ช่วงค่ำคืนของวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน หลังปิดหีบเลือกตั้งและผลคะแนนเผยแววชัยชนะของโดนัลด์  ทรัมป์ ราคา Bitcoin ก็พุ่งทะยานขึ้นแตะระดับที่ 75,000 ดอลลาร์ แต่ ณ วันนี้ ราคา Bitcoin ยังคงมุ่งหน้าสู่ดวงจันทร์ และทำสถิติ New High ที่ 81,700 ดอลลาร์ 

ปัจจัยที่ทำให้ตลาดคริปโตกลับมาคึกคัก ดันราคา Bitcoin พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ มาจากนโยบายที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้หาเสียงมาตลอดว่า เขาจะเปลี่ยนสหรัฐอเมริกาให้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งเงินสกุลคริปโตของโลก ส่งผลราคา Bitcoin สูงขึ้นมากกว่า 80% ภายในปี 2024 เพียงปีเดียว และยังทำให้สกุลเงินคริปโตอื่น ๆ โดยเฉพาะ Dogecoin ที่ถูกโปรโมทโดย อีลอน มัสก์ ได้รับอานิสงส์ไปด้วย 

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจสาย Pro-Crypto ที่มีความศรัทธาในมูลค่าของเงินดิจิทัลต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเขาตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันนโยบายให้รัฐบาลสหรัฐฯ สะสมเงินคริปโตประหนึ่งเงินสำรองของชาติ

นอกจากนี้ เขายังมีพันธมิตรร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับเขา ได้แก่ อีลอน มัสก์, โรเบิร์ต. เอฟ. เคนเนดี และ โฮเวิร์ด ลัทนิค CEO สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ Cantor Fitzgerald ซึ่งทั้งหมด มีเป้าหมายเดียวกันคือ 'เงินคริปโต'

และทรัมป์ได้ประกาศว่า สิ่งแรกที่เขาจะทำเมื่อได้เข้าทำเนียบขาวคือ ไล่ แกรี เจนสเลอร์ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ได้รับแต่งตั้งในสมัยของโจ ไบเดน ออก ที่ดำเนินการตามนโยบายของไบไดนในการมุ่งหน้ากวาดล้างธุรกิจเงินคริปโตอย่างหนักในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา เพราะโจ ไบเดน มองว่าเงินคริปโตเป็นแหล่งเงินทุนนอกกฎหมายของจีน และ รัสเซีย 

ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายของทรัมป์ ที่เขาต้องการให้รัฐบาลกลางถือครองเงิน Bitcoin ทั้งหมดที่มีอยู่ในสหรัฐฯ และยังตั้งเป้าไกลกว่านั้นว่าในอนาคตสหรัฐอเมริกาจะเป็นเหมือง Bitcoin เพียงแห่งเดียวของโลก เพื่อง่ายต่อการควบคุมค่าเงิน 

และเมื่อสหรัฐฯ ได้ผู้นำที่เป็นติ่ง Bitcoin ถึงขนาดนี้ นักวิเคราะห์ด้านการเงินจึงเชื่อว่าราคา Bitcoin จะพุ่งทะยานได้ไกลกว่านี้อีก และอาจไม่หยุดแค่ 100,000 ดอลลาร์/Bitcoin ด้วย 

แต่ในยุคของรัฐบาลทรัมป์ 2 จะพาเงิน Bitcoin ที่มุ่งหน้าสู่ดวงจันทร์แล้วจะต่อไปยังดาวอังคาร หรือ จะร่วงลงสู่พื้นโลกอีกครั้ง คงต้องรอดูผลงานกันต่อไป

เวียดนามขู่บล็อก Temu-Shein ไม่จดทะเบียนบริษัทสิ้นเดือนนี้สวนทางไทยถก Temu เดินหน้าตั้งบริษัท

(11 พ.ย.67) เวียดนามประกาศเตรียมบล็อกโดเมนอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันของ Shein และ Temu ซึ่งเป็นอีคอมเมิร์ซจากจีน หากทั้งสองแพลตฟอร์มเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศโดยยังไม่ได้จดทะเบียนการดำเนินงานกับกระทรวงพาณิชย์ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

รอยเตอร์รายงานว่าการเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของแพลตฟอร์มออนไลน์จากจีนต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากการตลาดของ Temu และ Shein ค่อนข้างเข้มข้น โดยมีการเสนอส่วนลดจำนวนมากให้กับผู้บริโภค รวมถึงปัญหาคุณภาพสินค้าที่มักเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์

ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามนำโดยทีมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงในการประชุมว่ากระทรวงได้ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มจีนทั้ง Shein และ Temu ในเรื่องการขอใบอนุญาตแล้ว

สรุปได้ว่า หลังจากที่กระทรวงได้แจ้งเตือนแล้ว หากแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตาม กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าจะดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้มาตรการทางเทคนิค เช่น การบล็อกแอปพลิเคชันและโดเมน ดังนั้นทางเลือกเดียวที่ Temu และ Shein มีในเวียดนามตอนนี้คือการจดทะเบียนการดำเนินงานกับกระทรวงพาณิชย์ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

“หนาวนี้ ให้ป่อเต็กตึ๊งดูแล..” มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ส่งมอบไออุ่นจากผู้มีจิตศรัทธา จัดงบฯ กว่า 34.6 ล้านบาท กระจ่ายทีมลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร 4 ภาค 43 จังหวัด

ระหว่างเดือน พฤศจิกายน -  ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร มอบหมายให้ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จัดทีมสังคมสงเคราะห์ 

นำโดย  นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน ลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบ “ภัยหนาว” ในถิ่นทุรกันดาร ครอบคลุมพื้นที่ ภาคเหนือ  ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้  รวมการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวทั้งสิ้น  4 ภาค  43 จังหวัด 

ผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภครวม 51,500 ชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 34,637,500 บาท (สามสิบสี่ล้านหกแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน)  โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนในบางพื้นที่ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา คัดกรองเบาหวาน ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ  

โดยมูลนิธิฯ ได้เริ่มออกเดินช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวภาคเหนือ และอีสาน ในระหว่างวันที่ 4 พฤศจิกายน – 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ติดต่อสอบถาม ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

โดยในวันนี้ (วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567) นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำทีมลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่อำเภอสารภี อำเภอหางดง อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านธิ และอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน มอบผ้าห่มกันหนาว พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค อาทิ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา ฯลฯ บรรจุลงกระเป๋าผ้า รวมจำนวน 1,950 ชุด โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

โครงการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยหนาว เป็นโครงการที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งดำเนินการต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่า 60 ปี โดยตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สละแรงกาย แรงใจ สมทบทุน ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป

ทรัมป์หารือผู้นำรัสเซีย ให้คำมั่นสงครามยูเครนต้องจบ

(11 พ.ย.67) สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และแนะนำไม่ให้เพิ่มความรุนแรงของสงครามในยูเครน ขณะเดียวกันมีรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะขอให้ทรัมป์ไม่หยุดสนับสนุนยูเครน

แหล่งข่าวระบุว่า ปูตินและทรัมป์ได้สนทนากันเมื่อไม่นานมานี้ และทรัมป์ยังได้พูดคุยกับโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เมื่อวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน โดยทรัมป์เคยวิพากษ์วิจารณ์ความช่วยเหลือทางทหารและการเงินจำนวนมากของสหรัฐฯ แก่ยูเครน และให้คำมั่นว่าจะยุติสงครามโดยเร็ว แต่ไม่ได้ระบุวิธีการอย่างชัดเจน

ด้านกระทรวงการต่างประเทศยูเครนระบุว่าไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างปูตินกับทรัมป์ จึงไม่สามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับการพูดคุยดังกล่าวได้

ขณะเดียวกัน สตีเวน เฉิง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทรัมป์ กล่าวเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ว่า “เราไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนทนาส่วนตัวระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับผู้นำประเทศอื่น ๆ” รายงานดังกล่าวมีการเปิดเผยครั้งแรกโดยสื่อวอชิงตันโพสต์

ทรัมป์มีกำหนดเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า และปธน.ไบเดนได้เชิญทรัมป์ไปที่ทำเนียบขาวในวันพุธที่ 13 พฤศจิกายนนี้

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ไบเดนจะยืนยันถึงการถ่ายโอนอำนาจที่ราบรื่น พร้อมทั้งหารือกับทรัมป์ในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง

ภูมิธรรม บินเยี่ยมทหารเกาะกูด ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย ส่วน MOU44 ต้องเจรจา 2 ส่วน เขตแดนและพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

เวลา 10.30 น. เมื่อวันที่ (9 พ.ย.67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเรือเอกไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ และคณะ เดินทางด้วยอากาศยานกองทัพเรือจากสนามบินดอนเมือง มายังหน่วยปฎิบัติการเกาะกูด ตรวจเยี่ยมพื้นที่ ทักทาย ให้กำลังใจทหารเรือที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญ 

เมื่อเดินทางถึง พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินและผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด นายไพรัช สร้อยแสง นายอำเภอเกาะกูด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ 

จากนั้น นายภูมิธรรม สักการะ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสร็จแล้ว กล่าวกับทหารหน่วยปฎิบัติการเกาะกูด ว่า การเดินทางมาตรวจเยี่ยมในวันนี้ ต้องการรับทราบปัญหาและชีวิตความเป็นอยู่ของกำลังทหารตามแนวชายแดน และมีหน้าที่พิทักษ์รักษาอธิปไตรของประเทศ วันนี้อยากจะมารับรู้สถานการณ์ในพื้นที่ เป็นอย่างไร เนื่องจาก ประชาชนในกรุงเทพมหานคร และบางส่วนของประเทศไทย มีความรู้สึกไม่มั่นใจและกังวลใจว่าอำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด ไม่ใช่ของไทย และวันนี้ที่เดินทางมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเกาะกูด เป็นของประเทศไทยมาตั้งแต่สนธิสัญญาฝรั่งเศษ และกล่าวให้กำลังใจกำลังพลให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง มีความสุข

หลังจากกล่าวเสร็จแล้ว นายภูมิธรรม พร้อมคณะ ไปร่วมประชุมรับฟังบรรยายสรุปและสถานการณ์ปัจจุบัน โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนรับฟังด้วย แต่อนุญาตสื่อมวลชนเก็บภาพบรรยากาศในการประชุมเท่านั้น โดยการประชุมใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนที่นายภูมิธรรม จะออกมาจากห้องประชุม มอบสิ่งของให้กำลังพล และให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

โดย นายภูมิธรรม กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้ มาในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เนื่องจากเกาะกูด เป็นอธิปไตยของประเทศไทย เป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ ทั้งบนบกและในทะเล และมายืนยันว่าเกาะกูด เป็นของประเทศไทยแน่นอน ไม่ใช่เป็นของประเทศกัมพูชาตาม mou 44 ซึ่งชาวบ้านมาตั้งถิ่นฐานกันมานานแล้ว และจะต้องทำความเข้าใจกันใหม่ในเรื่องนี้ ชาวบ้าน อายุ 80-90 ปี ที่อยู่ที่นี่ ก็ยังรู้สึกผูกพัน ไม่ยอมให้ใครมาล่วงเกิน แต่เมื่อมีความเข้าใจของประชาชนชาวไทยบางส่วน จนทำให้เกิดความสับสน ส่งผลให้การท่องเที่ยวของเกาะกูด ลดลง 20-30% และเมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจแล้ว ทำให้การท่องเที่ยวกลับมาสู่ภาวะปกติ 

“นอกจากการมาในครั้งนี้แล้ว มาเพื่อยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของไทย มีชาวบ้าน มีกองทหาร มีส่วนราชการ มีตำรวจ และอีกหลายหน่วยงาน ขอให้ทุกท่านสบายใจได้ว่า ที่นี่ประเทศไทย มีธงชาติไทยปักอยู่ทั่วอาณาบริเวณ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ป้องกันประเทศอยู่ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ทางชายแดนทั้ง 2 ฝั่ง ไปมาหาสู่กันดี ปีละ 4 ครั้ง เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ไม่มีอะไรวิกฤตหรือน่ากังวล ส่วนแรงงานกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานที่เกาะกูด 600 กว่าคน ก็เข้ามาทำงานถูกต้องตามกฎหมาย และขอยืนยันว่า เกาะกูดสงบ สวยงาม มีความปลอดภัย อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคง“ นายภูมิธรรม กล่าว

นอกจากการมายืนว่าเกาะกูด เป็นของไทยแล้ว อีกหนึ่งภารกิจ คือ การมาเยี่ยมเยือนกำลังพลตามภารกิจของกระทรวงกลาโหม อยู่แล้ว 

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เข้าใจว่าตนเองน่าจะได้เป็นประธานเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ระหว่างสองประเทศ จะสร้างความมั่นใจได้ว่า เกาะกูดเป็นของไทย  แต่เรื่องจริงคือ ใน MOU ไม่ต้องเจรจาในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เป็นการเจรจาในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล แต่ใน mou ระบุไว้ว่า สองส่วนนี้ ต้องเจรจาไปด้วยกันอย่างสันติ และไม่ต้องกังวลว่า การเจรจานั้นต้องไม่เอื้อนายทุน และต้องเจรจาให้คนไทยทั้งหมดเห็นชอบด้วยและจะต้องเข้าสภาให้ผ่านความเห็นชอบ ซึ่งการแก้ปัญหาจะต้องอยู่บนกฎหมายและประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด

หลังจากจบภารกิจแล้ว นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานครทันทีในเวลา 13.00 น.

KTC จัดโปรใหญ่ส่งท้ายปี 2024 จับมือพาร์ทเนอร์ 40 ราย เอาใจสายเที่ยวไทย-เที่ยวนอก

(11 พ.ย.67) เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับพันธมิตรท่องเที่ยวชั้นนำกว่า 40 ราย เปิดตัวแคมเปญ 'KTC Super Travel Deal ส่งท้ายปี 2024' พร้อมสิทธิพิเศษที่คุ้มค่า 3 ต่อ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567 ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชื่นชอบการวางแผนการเดินทางด้วยตนเองและมองหาสิทธิพิเศษผ่านช่องทางออนไลน์

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต 'เคทีซี' หรือ บริษัท บัตร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ถือเป็นช่วงไฮซีซั่น สมาชิกจะเริ่มมองหาจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อพักผ่อนเคทีซีจึงได้ออกแคมเปญ 'KTC Travel Super Deal ส่งท้ายปี 2024 รับคุ้ม 3 ต่อ เอาใจนักเดินทาง'

คุ้มที่ 1: รับส่วนลดสูงสุด 50 % และโปรโมชั่นสุดพิเศษ (Exclusive promotion) จากพันธมิตรที่ร่วมรายการกว่า 40 ราย สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีจองผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวกับพันธมิตรที่ร่วมรายการ เช่น เว็บไซต์จองท่องเที่ยวออนไลน์ยอดนิยม เช่น อโกด้า (Agoda) / ทริปดอทคอม (Trip.com) / ทราเวลโลก้า(Traveloka) / แอร์เอเชีย มูฟ (AirAsia Move) / สกายฟัน ทราเวล (Skyfun Travel)

จองโดยตรงกับโรงแรม เช่น วาลา หัวหิน - นู แชปเตอร์ โฮเทลส์  (VALA Hua Hin - Nu Chapter Hotels) / อนันตรา หัวหิน รีสอร์ท (Anantara Hua Hin Resort) / อินเตอร์คอนติเนนตัล พัทยา รีสอร์ท (InterContinental Pattaya Resort) จองตั๋วโดยสารสายการบิน เช่น ไทยเวียตเจ็ท แอร์ (Thai Vietjet Air) / อีวีเอ แอร์ (EVA Air) / กาตาร์ แอร์เวย์ส (Qatar Airways)

ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว เช่น เคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส (KTC World Travel Service) / มัลดีฟส์ เอ็กซ์เพิร์ทส (Maldives Experts) รถเช่า บัดเจ็ท คาร์ เรนทัล (Budget Car Rental) / ชิค คาร์ เรนทัล (Chic Car Rental) สถานที่เที่ยว สยามอะเมซิ่งพาร์ค (Siam Amazing Park) จองสถานที่เที่ยวอื่น เคเคเดย์ (KKday)  

คุ้มที่ 2: แลกคะแนนสะสมรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อใช้คะแนนสะสมตามกำหนด จำกัดการแลกคะแนนไม่เกินยอดชำระเงินต่อเซลส์สลิป และลงทะเบียนทุกครั้งภายในวันที่ทำรายการใช้จ่าย ผ่านบัตรฯ เมื่อต้องการใช้คะแนนแลกรับเครดิตเงินคืน

คุ้มที่ 3: ฟรี บัตรกำนัลห้องพักจากโรงแรมชั้นนำ เช่น แพ็กเกจรีสอร์ท Hurawalhi Maldives จาก มัลดีฟส์ เอ็กซ์เพิร์ทส / แพ็กเกจท่องเที่ยวดานัง เวียดนาม จาก สกายฟัน ทราเวล / โรงแรมวาลา หัวหิน / โรงแรมเดอะสแตนดาร์ด /บัตรกำนัลล่องเรือยอร์ช ที่ Oce Yachting / บัตรกำนัลรับประทานอาหารแหลมเจริญซีฟู้ด / บัตรชมภาพยนตร์เฟิร์สคลาส ที่ เอส เอฟ ซีเนม่า รวมมูลค่ากว่า 350,000 บาท สำหรับสมาชิกที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสูงสุด 50 ราย ณ พันธมิตรที่ร่วมรายการ และลงทะเบียนเข้าร่วมแคมเปญ ตามรอบระยะเวลาที่กำหนด

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการตำรวจทั่วประเทศดูแลความปลอดภัยช่วงเทศกาลลอยกระทงอย่างเข้มงวด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนป้องกันอันตราย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่น

(11 พ.ย.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศ ดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว ในวันลอยกระทง ประจำปี พ.ศ.2567 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยกำชับให้หน่วยปฏิบัติดำเนินการตามมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด 

มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ได้กำชับให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภทก่อนวันลอยกระทง ระหว่างวันที่ 8 – 14 พฤศจิกายน 2567 พร้อมกวดขันจับกุมผู้เล่นดอกไม้เพลิง พลุ และประทัด ในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ หรือในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในส่วนของผู้ผลิต หรือผู้จำหน่ายดอกไม้เพลิง พลุ และประทัดที่ได้รับอนุญาต ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากตรวจพบว่ามีการลักลอบผลิต จำหน่าย โดยผิดกฎหมาย ให้ดำเนินคดีทันที ในกรณีที่เป็นเด็กให้ดำเนินการกับผู้ปกครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 เพื่อให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนรับผิดชอบด้วย

กำชับหน่วยปฏิบัติให้เข้มงวดกวดขันป้องกันการฉวยโอกาสของผู้ไม่หวังดีหรือผู้เสียผลประโยชน์ ก่อเหตุร้ายในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นกรณีพิเศษ โดยเพิ่มความเข้มในการตรวจตรารักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ สถานที่ที่มีชาวต่างชาตินิยมเดินทางไปท่องเที่ยว รวมทั้งสวนสาธารณะ แหล่งชุมชน พร้อมประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนร่วมปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ หรือสถานที่ที่คาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวไปร่วมงานประเพณีลอยกระทงจำนวนมาก เพื่อป้องกันการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ การหลอกลวงขายสินค้าหรือบริการของกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งต้มตุ๋น ผู้มีอิทธิพลหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพล รวมถึงการกระทำอนาจารที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมทั้งให้เพิ่มความเข้มในตรวจตราการกระทำผิดในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในประเทศ จัดกำลังสนับสนุนการปฏิบัติของตำรวจท้องที่ในการตรวจสอบสถานบันเทิงไม่ให้มีการใช้ยาเสพติดชนิดต่าง ๆ และประสานหน่วยในพื้นที่ที่มีพื้นที่รับผิดชอบติดแนวชายแดนในการป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์

สำหรับการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ให้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกและจัดการจราจร ประจำในบริเวณสถานที่ที่คาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวมาร่วมงานประเพณีลอยกระทง และเส้นทางหลักที่คาดว่าจะมีปัญหาจราจร

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว ในการป้องกันอาชญากรรมหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นในช่วงวันลอยกระทง โดยห้ามเล่นดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด และโคมลอย อันก่อความเดือดร้อนรำคาญหรือเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น การยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันควร การแต่งกายที่เหมาะสมไม่ควรประดับของมีค่าหรือนำทรัพย์สินติดตัวไปจำนวนมาก เพื่อป้องกันมิให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสประทุษร้ายต่อทรัพย์ได้ ให้ระมัดระวังการใช้บริการโป๊ะ ท่าเทียบเรือ หรือพื้นที่ที่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวหนาแน่น เพราะอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และให้ผู้ปกครองกำชับบุตรหลานให้ระมัดระวังเพื่อมิให้ถูกหลอกลวงไปในทางมิชอบหรือประพฤติตนไม่สมควร รวมถึงไม่ควรปล่อยให้เด็กไปเที่ยวงานโดยลำพัง ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดทำคลิปประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ทางสื่อต่างๆ เพื่อสร้างความรับรู้ดังกล่าวให้กับพี่น้องประชาชนด้วย 

หากพี่น้องประชาชนต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเบาะแส เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับอาชญากรรมต่างๆ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือสายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘วิรไท’ ย้ำ อย่าให้การเมืองครอบงำแบงก์ชาติ หวั่นส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย

'ดร.วิรไท' อดีตผู้ว่าการ ธปท. เตือนอย่าให้การเมืองแทรกแซง ครอบงำแบงก์ชาติ หวั่นเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจไทย ทำลายความน่าเชื่อถือธนาคารกลาง และทำลายหน่วยงานหลักทางเศรษฐกิจของประเทศให้อ่อนแอ ชี้ไม่ใช่แค่แบงก์ชาติ แต่เป็นเรื่องอนาคตของชาติ

(11 พ.ย.67) จะมีการประชุมคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ หลังจากที่เลื่อนมาจากเมื่อวันที่ 4 พ.ย. โดยมีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาฯ เพื่อคัดเลือก 1 ใน 3 รายที่เป็นแคนดิเดต

สำหรับรายชื่อแคนดิเดตประธานกรรมการแบงก์ชาติมี 3 ราย ประกอบด้วย ‘นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง’ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เสนอโดยกระทรวงการคลัง ‘นายกุลิศ สมบัติศิริ’ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน เสนอโดยแบงก์ชาติ และ ‘นายสุรพล นิติไกรพจน์’ ศาสตราจารย์ประจำสาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอโดยแบงก์ชาติ

ด้านดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Veerathai Santiprabhob ระบุว่า ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของแบงก์ชาติ แต่เป็นเรื่องอนาคตของชาติ

candidate ชื่ออะไรไม่สำคัญ แต่ถ้ามีประวัติเป็นคนการเมืองแบบแนบแน่น มีทัศนคติและวิธีคิดที่อยากแทรกแซงการทำงานของธนาคารกลางเพื่อตอบโจทย์การเมือง ก็ไม่สมควรครับ

ถ้าเรายอมให้ฝ่ายการเมืองส่งคนการเมืองเข้ามาครอบงำแบงก์ชาติได้โดยง่าย จะเป็นอันตรายยิ่งต่อการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทย ทำลายความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง และทำลายหน่วยงานหลักทางเศรษฐกิจของประเทศให้อ่อนแอจนไม่เหลือสักหน่วยงานเดียวที่จะทัดทานนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ถูกไม่ควรได้

ต่อไปเราคงเห็นนโยบายประชานิยมแบบปลายเปิดเต็มไปหมด ไม่มีใครสนใจวินัยการเงินการคลัง มีแต่นโยบายที่หวังผลประโยชน์ระยะสั้นเพื่อตอบโจทย์การเมืองเป็นหลัก ในอนาคตนโยบายการเงิน และนโยบายสถาบันการเงินก็อาจจะถูกทำให้กลายพันธุ์เป็นนโยบายประชานิยมไปด้วยก็ได้ครับ

“11.11 ร่วมด้วยช่วยกันป้องกันอย่าให้การเมืองเข้ามาครอบงำแบงก์ชาติได้โดยง่ายครับ”

ซักเคอร์เบิร์กรอดคดี!! ฐานทำเยาวชนเสพติดโซเชียลมีเดีย จ่อเอาผิดบริษัท Facebook-Instagram แทน

(11 พ.ย.67) ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางได้ปฏิเสธคำร้องอีกครั้งที่พยายามให้มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กต้องรับผิดชอบเป็นรายบุคคลในคดีความกว่า 20 คดี ซึ่งกล่าวหา Meta Platforms Inc. และบริษัทโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ว่ามีส่วนในการเสพติดสื่อของเด็กและเยาวชน

ผู้พิพากษาอีวอนน์ กอนซาเลซ โรเจอร์ส แห่งศาลแขวงสหรัฐ ซึ่งดูแลคดีนี้ได้ตัดสินให้ซีอีโอของ Meta อยู่ในข้างเดียว โดยเห็นว่าคำร้องที่แก้ไขยังไม่เพียงพอที่จะดำเนินคดีต่อไป โดยคำตัดสินนี้ยกเลิกการฟ้องร้องซักเคอร์เบิร์กในฐานะจำเลยโดยไม่กระทบต่อข้อกล่าวหาต่อ Meta ในฐานะบริษัท

คดีความที่ยื่นในนามของเยาวชนกล่าวหาว่า พนักงานของ Meta เคยเตือนซักเคอร์เบิร์กหลายครั้งว่า Instagram และ Facebook ไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก แต่เขาเพิกเฉยต่อคำเตือนดังกล่าวและเลือกที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ

การถือให้ซีอีโอของบริษัทขนาดใหญ่รับผิดชอบในทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากกฎหมายขององค์กรมีการคุ้มครองผู้บริหารจากความรับผิดชอบโดยตรง

"แม้ว่าในอนาคตการสืบพยานอาจเผยให้เห็นการมีส่วนร่วมและการสั่งการของซักเคอร์เบิร์กในเรื่องการปิดบังข้อมูลที่เป็นการหลอกลวงของ Meta แต่ข้อกล่าวหาที่มีอยู่ในขณะนี้ยังไม่เพียงพอต่อมาตรฐานการรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่บริษัท" โรเจอร์สกล่าวในคำสั่งของเธอ

คดีที่ระบุชื่อซักเคอร์เบิร์กเป็นเพียงส่วนน้อยในคดีฟ้องร้องกว่า 1,000 คดีในศาลรัฐบาลกลางและศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยครอบครัวและเขตการศึกษาได้ยื่นฟ้อง Meta และบริษัทอื่นๆ เช่น Google ของ Alphabet, TikTok ของ ByteDance และ Snap เจ้าของแพลตฟอร์ม Snapchat โดยโรเจอร์สและผู้พิพากษาแห่งรัฐลอสแอนเจลิสได้อนุญาตให้บางข้อกล่าวหาดำเนินการได้ ขณะที่ปฏิเสธบางข้อกล่าวหาไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top