Sunday, 18 May 2025
Hard News Team

คนจีนแห่ซื้อ ผงาดสินค้าขายดี งานโชว์นานาชาติ CIIE ที่เซี่ยงไฮ้

(11 พ.ย.67) ทุเรียนสดรสชาติหวานละมุนกองพะเนินถูกส่งตรงจากไทยสู่งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE) ครั้งที่ 7 ในมหานครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน โดยกลิ่นและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ได้ดึงดูดผู้บริโภคและผู้ค้าเข้าเยี่ยมชมบูธผลไม้กันอย่างคึกคัก

ไทยนั้นเป็นประเทศแรกที่ได้รับอนุญาตส่งออกทุเรียนตรงสู่จีนภายใต้ความร่วมมือทางการค้าระหว่างสองประเทศ ทำให้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนเป็นอันดับหนึ่ง และปีนี้ 'ราชาแห่งผลไม้' เป็นดาวเด่นของงานมหกรรมฯ อีกครั้งด้วยสารพัดผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ทุเรียนสดจนถึงของหวานหลายเมนู

เฝิงจี้เฉิงจากบริษัทค้าขายทุเรียนสดแห่งหนึ่งเผยว่าทุเรียนที่จัดแสดงมาจากฐานการผลิตหลักในไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งมาจากไทย พร้อมเสริมว่าบริษัทเพิ่มความร่วมมือกับหุ้นส่วนในไทย เพื่อตอบสนองอุปสงค์ของตลาดทุเรียนในจีน ซึ่งเติบโตที่อัตราร้อยละ 20-30 ในปัจจุบัน

ด้านเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์ทุเรียนสดหลายสายพันธุ์ภายใต้แบรนด์ซีพี เฟรช ซีเล็คชัน (CPFresh Selection) ทั้งหมอนทอง หนามดำ แมวภูเขา ชะนี ก้านยาว และพวงมณี เพื่อผู้บริโภคชาวจีนได้มีตัวเลือกหลากหลาย ท่ามกลางโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีน

เฉาจงหย่ง ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ทุเรียนของบริษัทค้าขายผลไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งเข้าร่วมงานมหกรรมฯ ติดต่อกันเป็นปีที่ 7 เผยว่างานนี้ช่วยให้บริษัทได้เจรจาหารือกับบรรดาหุ้นส่วนจากไทยและประเทศอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดความร่วมมือตามมาและการพัฒนาบริษัทอย่างต่อเนื่อง

บริษัทของเฉาได้ร่วมมือกับบริษัท ไทย มงกุฎ กรุ๊ป จำกัด ในจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงงานแปรรูปทุเรียนขนาดใหญ่ที่สุด นำสู่การจ้างงานและพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีการจ้างงานคนท้องถิ่นมากกว่า 200 คน ส่งออกทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ ราว 5,000 ตู้คอนเทนเนอร์ และจ่ายภาษีกว่า 40 ล้านบาท ในปี 2023

อนึ่ง แม้งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 5-10 พ.ย. ได้ปิดฉากลงแล้ว แต่กลิ่นทุเรียนไทยยังคงหอมฟุ้งดึงดูดใจผู้บริโภค และความร่วมมือทางการค้าระหว่างสองประเทศยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างสวยงาม

มักส์ชู #EndtheFed หนุนทรัมป์แทรกแซง'แบงก์ชาติ' ให้ปธน.คุมธนาคารกลางสหรัฐด้วยตัวเอง

อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla, X และ SpaceX ได้แสดงการสนับสนุนให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเป็นอิสระขององค์กรนี้ได้

เมื่อวันที่ (8 พ.ย.67) ที่ผ่านมา มัสก์ได้โพสต์บนแพลตฟอร์ม X โดยให้การสนับสนุนต่อข้อความของ ไมค์ ลี วุฒิสมาชิกจากรัฐยูทาห์ ที่กล่าวว่า “องค์กรสำคัญต่าง ๆ ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของประธานาธิบดี เพื่อสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ตัวอย่างที่เบี่ยงเบนไปจากแนวทางนี้” พร้อมติดแฮชแท็ก #EndTheFed เพื่อเสนอให้ยกเลิกหรือปรับปรุงการทำงานของธนาคารกลาง

ด้าน เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed เคยกล่าวเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ว่าตนจะไม่ลาออกจากตำแหน่งแม้ทรัมป์จะเรียกร้อง ซึ่งเป็นท่าทีชัดเจนที่อาจสร้างแรงกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประธาน Fed กับประธานาธิบดีที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่

การเผชิญหน้าครั้งนี้อาจเป็นประเด็นใหญ่ของทรัมป์ในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของเขา หากย้อนกลับไปในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก ทรัมป์ได้แต่งตั้งพาวเวลล์เป็นประธาน Fed ในปี 2018 ทรัมป์และพาวเวลมีความเห็นไม่ตรงกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการผ่อนปรนค่าเงินดอลลาร์

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลางเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินนโยบายการเงินที่ปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งช่วยคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือในการควบคุมเงินเฟ้อ แม้ว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ แต่หากเศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ก็มีความเป็นไปได้ที่นโยบายการลดอัตราดอกเบี้ยอาจถูกชะลอ

ก่อนหน้านี้ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ทรัมป์มักกล่าวถึงความต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของ Fed หากเขากลับมาชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง โดยเขากล่าวเมื่อเดือนสิงหาคมว่า “ผมเชื่อว่าประธานาธิบดีควรมีบทบาทในการกำหนดทิศทาง ผมเองก็มีประสบการณ์ในการสร้างผลกำไรและความสำเร็จ และผมคิดว่าผมมีวิจารณญาณที่ดีกว่าในบางเรื่องมากกว่าธนาคารกลาง”

จีนใกล้สำเร็จ!!! สร้างเรือบรรทุกเครื่องบินพลังนิวเคลียร์ลำแรก คืบหน้าวิจัยเครื่องปฏิกรณ์ต้นแบบ

(11 พ.ย.67) จีนได้สร้างต้นแบบเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์บนบกสำหรับเรือผิวน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า จีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่การสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ลำแรกของประเทศ จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมและเอกสารของรัฐบาลจีนที่มอบให้กับสำนักข่าว AP

ข่าวลือเกี่ยวกับแผนของจีนที่จะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์มีมานานแล้ว แต่การวิจัยล่าสุดจากสถาบัน Middlebury Institute of International Studies ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นการยืนยันครั้งแรกว่า จีนกำลังพัฒนาระบบขับเคลื่อนพลังงานนิวเคลียร์สำหรับเรือขนาดใหญ่เทียบเท่ากับเรือบรรทุกเครื่องบิน ซึ่งหากสำเร็จจีนจะกลายเป็นอีกชาติบนโลกที่มีเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ไว้เสริมแสนยานุภาพ เป็นลำแรกของกองทัพเรือจีน

ความสำคัญของการพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ของจีน กองทัพเรือจีนถือเป็นกองทัพเรือที่มีจำนวนเรือมากที่สุดในโลก และยังคงเดินหน้าพัฒนาทันสมัยอย่างรวดเร็ว การเพิ่มเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์เข้ามาในกองเรือ จะช่วยให้จีนเข้าใกล้เป้าหมายในการมี 'กองทัพน้ำลึก' หรือ blue-water navy ที่สามารถปฏิบัติการได้ทั่วโลก ซึ่งเป็นความท้าทายต่อสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้น

แม้ว่าเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์จะใช้เวลาสร้างนานกว่าเรือบรรทุกเครื่องบินแบบปกติ แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะสามารถออกทะเลได้เป็นเวลานานกว่า เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเติมเชื้อเพลิงบ่อย และมีพื้นที่สำหรับเชื้อเพลิงและอาวุธของเครื่องบินมากขึ้น ส่งผลให้ขีดความสามารถของเรือเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังสามารถผลิตพลังงานได้มากพอสำหรับระบบขั้นสูง

ในปัจจุบัน มีเพียงสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสเท่านั้นที่มีเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ โดยสหรัฐฯ มีอยู่ทั้งหมด 11 ลำ ทำให้สามารถมีกองเรือประจำการทั่วโลกได้ตลอดเวลา รวมถึงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มีความกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาและการขยายกองเรือของจีนอย่างรวดเร็ว รวมถึงการออกแบบและการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินรุ่นใหม่

ปัจจุบัน จีนมีเรือบรรทุกเครื่องบินอยู่ 3 ลำ รวมถึงเรือ Type 003 Fujian ที่เป็นลำแรกซึ่งออกแบบและสร้างขึ้นโดยจีนเอง อีกทั้งจีนยังระบุว่า กำลังดำเนินการสร้างเรือลำที่ 4 แล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศว่าจะใช้พลังงานนิวเคลียร์หรือพลังงานแบบปกติ

การปรับปรุงนี้สอดคล้องกับการเน้นหนักที่เพิ่มขึ้นของจีนต่อภาคส่วนทางทะเลและความต้องการที่เพิ่มขึ้นของกองทัพเรือในการปฏิบัติการระยะไกลจากแผ่นดินใหญ่ ตามรายงานล่าสุดของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่เสนอต่อรัฐสภาเกี่ยวกับกองทัพของจีน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบรางวัลนิสิตนักศึกษา ในการประกวดออกแบบ 'สถานีตำรวจเพื่อประชาชน'

วันนี้ (11 พ.ย.67) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานพิธีมอบรางวัลการประกวดออกแบบ 'สถานีตำรวจเพื่อประชาชน' โดยมี พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.นพวัฒน์ อารยางกูร รองจเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมพิธี ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

สำนักงานส่งกำลังบำรุง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดโครงการประกวดออกแบบ 'สถานีตำรวจเพื่อประชาชน' เพื่อคัดเลือกแนวความคิดในการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมที่เหมาะสมในการให้บริการประชาชน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาที่มีความสามารถด้านสถาปัตยกรรม เข้าร่วมประกวดเสนอแนวความคิดในการออกแบบ โดยมีเอกลักษณ์และความยั่งยืน ในระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 20 กันยายน 2567 และได้ประสานความร่วมมือกับสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการคัดเลือกผลงานที่ได้รับรางวัล โดยมีผู้ที่ได้รับรางวัล ดังนี้

- รางวัลที่ 1 เงินรางวัล 100,000 บาท ได้แก่ นายสิวรัฐ ขวัญจันทร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- รางวัลที่ 2 เงินรางวัล 50,000 บาท ได้แก่ นายวัฒนา พรมเสน , นายณัฐปคัลป์ ศรีทรัพย์ , นายคมสัน กลั่นเกษร ,นายชลัมพล ทองแย้ม และนางสาวปวริศา พรมใต้ร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เขตพื้นที่อุเทนถวาย
- รางวัลที่ 3 เงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่ นางสาวพฤกษฌา ทองอ่วมใหญ่ , นางสาวบัณฑิตา ศิรินิคม , นายอนันดา วัฒนา , นางสาวทิพจุฑา ทวิชศรี และ นายทวีศักดิ์ดา หงอเทียด จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
- รางวัล POPULAR VOTE เงินรางวัล 10,000 บาท ได้แก่ นายวัชรศักดิ์ แรมประชา , นายวรภพ ผิวนวล , นายยุทธพิชัย อ่องลออ และ นายสุรพงษ์ บัวประดิษฐ์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เขตพื้นที่อุเทนถวาย

ทั้งนี้ การประกวดออกแบบ 'สถานีตำรวจเพื่อประชาชน' นั้น นับเป็นก้าวแรกในการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการออกแบบสถานีตำรวจเพื่อให้บริการแก่ประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งผลงานดังกล่าวจะนำไปใช้เป็นต้นแบบในการก่อสร้างสถานีตำรวจทั่วประเทศต่อไป

สรรพสามิต ต้อนรับ กมธ.ฯ เห็นพ้องเดินหน้าเพิ่มโอกาส ลดข้อจำกัด สุราพื้นบ้าน-สุราชุมชน ดันสู่ Soft Power ไทย

กรมสรรพาสามิต นำโดย ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และผู้บริหาร ให้การต้อนรับคณะกรรมธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานกรรมาธิการ ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อกำหนดกรอบการออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตผลิตสุรา จะต้องมีการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ประกอบการรายย่อย ให้นำสินค้าเกษตรในท้องถิ่นมาแปรรูปเป็นสุราพื้นบ้านที่มีมูลค่าสูงขึ้น สร้างรายได้ให้ชุมชน และสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม

ดร. เผ่าภูมิ เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังและคณะกรรมาธิการฯ เห็นพ้องในการสนับสนุนการลดข้อจำกัดต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้นำผลผลิตทางการเกษตรในท้องถิ่น มาแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นสุราพื้นที่บ้าน-สุราชุมชน ซึ่งนอกจากสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมแล้ว ยังเป็นการพัฒนาสุราชุมชนที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ให้เป็น Soft Power ของไทยได้ ที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้พิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการผลิตสุราที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งได้มีการแก้ไขปลดล็อค เปิดโอกาสให้สุราชุมชนขนาดเล็กที่มีศักยภาพสามารถขยายกำลังการผลิตเป็นขนาดกลางได้ รวมถึงได้มีการยกเลิกเงื่อนไขการกำหนดขนาดกำลังการผลิตขั้นต่ำและยกเลิกการกำหนดทุนจดทะเบียนสำหรับเบียร์ ทำให้มีโรงอุตสาหกรรมสุราพื้นบ้านขนาดกลาง และโรงอุตสาหกรรมเบียร์ ประเภทผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต (Brewpub) ที่มีมาตรฐานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตกำลังจะปรับปรุงเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถขอใบอนุญาตผลิตสุราได้สะดวกขึ้นมากขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้ในอีก 3 ประเด็น โดยยังคงมุ่งเน้นและให้ความสำคัญเกี่ยวกับมาตรการในการควบคุมคุณภาพของสุราเพื่อมิให้มีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานออกมาสู่ผู้บริโภค รวมถึงการสร้างสมดุลเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมด้วย

ด้านนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ กล่าวว่า กรรมาธิการในคณะนี้ประกอบด้วยผู้แทนทั้งจากภาคการเมือง ราชการ นักวิชาการ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง มาร่วมกันพิจารณากฎหมาย และที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนผู้ประกอบการสุราชุมชน ที่จังหวัดชัยภูมิและนครราชสีมา จึงได้รับนำปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นความต้องการของพี่น้องประชาชนที่อยากจะประกอบอาชีพให้ถูกต้อง มาใช้ปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัย และเหมาะสมกับบริบทของการส่งเสริมสุราชุมชนในปัจจุบันตามนโยบายของรัฐบาลมากขึ้น โดยการแก้พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ จะเป็นเหมือนหลักประกันทางโอกาสของกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย ว่าจะสามารถเข้าถึงสิทธิในการเป็นผู้ผลิตสุราได้ เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่แค่การสร้างอาชีพเท่านั้น แต่จะเป็นการยกระดับการแปรรูปสินค้าเกษตร ให้ครัวเรือนเกษตรกรมีทางเลือกในการสร้างรายได้ที่มากขึ้น และการส่งเสริมวัฒนธรรมสุราชุมชนที่อยู่กับสังคมมายาวนานนี้ จะสร้างเอกลักษณ์ให้แต่ละพื้นที่ ส่งต่อการสร้างเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอาหารต่อไป

Toyota ขยายการผลิตในจีน ตั้งเป้า 2.5 ล้านคันต่อปี สะท้อนตลาดรถแดนมังกรโตสูง

(11 พ.ย.67) รอยเตอร์รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าว 3 แหล่งว่า โตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น วางเป้าหมายผลิตรถยนต์ให้ได้อย่างน้อย 2.5 ล้านคันในจีนภายในปี 2573 ซึ่งนับเป็นการปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญที่จะเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างการขายและการผลิตในจีน และเปิดโอกาสให้ผู้บริหารในจีนมีอิสระในการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากขึ้น

รายงานระบุว่า แผนดังกล่าวสะท้อนกลยุทธ์ของโตโยต้าต่อจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเน้นย้ำถึงความพยายามที่จะฟื้นฟูธุรกิจหลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับบีวายดี (BYD) และผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในจีนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

แผนของโตโยต้าแตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น รวมถึงผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นที่เลือกจะลดกำลังการผลิตหรือถอนธุรกิจออกจากจีน

แหล่งข่าวเผยว่า โตโยต้าตั้งเป้าเพิ่มการผลิตในจีนให้ได้ถึง 3 ล้านคันต่อปีภายในสิ้นทศวรรษนี้ แต่ยังไม่มีการประกาศเป้าหมายอย่างเป็นทางการ

เป้าหมายนี้ถือเป็นการเพิ่มขึ้นจากสถิติการผลิตสูงสุด 1.84 ล้านคันในปี 2565 หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 63% โดยปีที่แล้ว โตโยต้าผลิตรถยนต์ในจีนได้ 1.75 ล้านคัน

โตโยต้าได้แจ้งแผนนี้ให้ซัพพลายเออร์บางรายทราบแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความทุ่มเทของโตโยต้าต่อตลาดจีนและการรักษาซัพพลายเชนให้มั่นคง

ในแถลงการณ์ โตโยต้าตอบคำถามรอยเตอร์ว่า “ด้วยการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดจีน เราจึงพิจารณาโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง” และยืนยันว่าจะเดินหน้าผลิตรถยนต์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อตลาดจีนต่อไป

Bitcoin คึกคักขานรับชัยชนะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ พุ่งทะลุ 81,000 ดอลลาร์ ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง

(11 พ.ย.67) Bitcoin ยังรุ่ง ราคาพุ่งทะยานสู่ New High ล่าสุดวันนี้ที่ 81,700 ดอลลาร์ ขานรับข่าวดีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ 2024 อีกทั้งพรรครีพับลิกันยังครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาสูง และกำลังลุ้นจำนวนที่นั่งในสภาล่างที่จะทำให้รัฐบาลทรัมป์ และพรรครีพับลิกันสามารถคุมเสียงในสภาคองเกรซได้อย่างเบ็ดเสร็จทั้ง 2 สภา

ตั้งแต่ช่วงค่ำคืนของวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน หลังปิดหีบเลือกตั้งและผลคะแนนเผยแววชัยชนะของโดนัลด์  ทรัมป์ ราคา Bitcoin ก็พุ่งทะยานขึ้นแตะระดับที่ 75,000 ดอลลาร์ แต่ ณ วันนี้ ราคา Bitcoin ยังคงมุ่งหน้าสู่ดวงจันทร์ และทำสถิติ New High ที่ 81,700 ดอลลาร์ 

ปัจจัยที่ทำให้ตลาดคริปโตกลับมาคึกคัก ดันราคา Bitcoin พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ มาจากนโยบายที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้หาเสียงมาตลอดว่า เขาจะเปลี่ยนสหรัฐอเมริกาให้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งเงินสกุลคริปโตของโลก ส่งผลราคา Bitcoin สูงขึ้นมากกว่า 80% ภายในปี 2024 เพียงปีเดียว และยังทำให้สกุลเงินคริปโตอื่น ๆ โดยเฉพาะ Dogecoin ที่ถูกโปรโมทโดย อีลอน มัสก์ ได้รับอานิสงส์ไปด้วย 

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจสาย Pro-Crypto ที่มีความศรัทธาในมูลค่าของเงินดิจิทัลต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเขาตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันนโยบายให้รัฐบาลสหรัฐฯ สะสมเงินคริปโตประหนึ่งเงินสำรองของชาติ

นอกจากนี้ เขายังมีพันธมิตรร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับเขา ได้แก่ อีลอน มัสก์, โรเบิร์ต. เอฟ. เคนเนดี และ โฮเวิร์ด ลัทนิค CEO สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ Cantor Fitzgerald ซึ่งทั้งหมด มีเป้าหมายเดียวกันคือ 'เงินคริปโต'

และทรัมป์ได้ประกาศว่า สิ่งแรกที่เขาจะทำเมื่อได้เข้าทำเนียบขาวคือ ไล่ แกรี เจนสเลอร์ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ได้รับแต่งตั้งในสมัยของโจ ไบเดน ออก ที่ดำเนินการตามนโยบายของไบไดนในการมุ่งหน้ากวาดล้างธุรกิจเงินคริปโตอย่างหนักในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา เพราะโจ ไบเดน มองว่าเงินคริปโตเป็นแหล่งเงินทุนนอกกฎหมายของจีน และ รัสเซีย 

ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายของทรัมป์ ที่เขาต้องการให้รัฐบาลกลางถือครองเงิน Bitcoin ทั้งหมดที่มีอยู่ในสหรัฐฯ และยังตั้งเป้าไกลกว่านั้นว่าในอนาคตสหรัฐอเมริกาจะเป็นเหมือง Bitcoin เพียงแห่งเดียวของโลก เพื่อง่ายต่อการควบคุมค่าเงิน 

และเมื่อสหรัฐฯ ได้ผู้นำที่เป็นติ่ง Bitcoin ถึงขนาดนี้ นักวิเคราะห์ด้านการเงินจึงเชื่อว่าราคา Bitcoin จะพุ่งทะยานได้ไกลกว่านี้อีก และอาจไม่หยุดแค่ 100,000 ดอลลาร์/Bitcoin ด้วย 

แต่ในยุคของรัฐบาลทรัมป์ 2 จะพาเงิน Bitcoin ที่มุ่งหน้าสู่ดวงจันทร์แล้วจะต่อไปยังดาวอังคาร หรือ จะร่วงลงสู่พื้นโลกอีกครั้ง คงต้องรอดูผลงานกันต่อไป

เวียดนามขู่บล็อก Temu-Shein ไม่จดทะเบียนบริษัทสิ้นเดือนนี้สวนทางไทยถก Temu เดินหน้าตั้งบริษัท

(11 พ.ย.67) เวียดนามประกาศเตรียมบล็อกโดเมนอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันของ Shein และ Temu ซึ่งเป็นอีคอมเมิร์ซจากจีน หากทั้งสองแพลตฟอร์มเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศโดยยังไม่ได้จดทะเบียนการดำเนินงานกับกระทรวงพาณิชย์ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

รอยเตอร์รายงานว่าการเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของแพลตฟอร์มออนไลน์จากจีนต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากการตลาดของ Temu และ Shein ค่อนข้างเข้มข้น โดยมีการเสนอส่วนลดจำนวนมากให้กับผู้บริโภค รวมถึงปัญหาคุณภาพสินค้าที่มักเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์

ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามนำโดยทีมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงในการประชุมว่ากระทรวงได้ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มจีนทั้ง Shein และ Temu ในเรื่องการขอใบอนุญาตแล้ว

สรุปได้ว่า หลังจากที่กระทรวงได้แจ้งเตือนแล้ว หากแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตาม กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าจะดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้มาตรการทางเทคนิค เช่น การบล็อกแอปพลิเคชันและโดเมน ดังนั้นทางเลือกเดียวที่ Temu และ Shein มีในเวียดนามตอนนี้คือการจดทะเบียนการดำเนินงานกับกระทรวงพาณิชย์ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

“หนาวนี้ ให้ป่อเต็กตึ๊งดูแล..” มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ส่งมอบไออุ่นจากผู้มีจิตศรัทธา จัดงบฯ กว่า 34.6 ล้านบาท กระจ่ายทีมลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร 4 ภาค 43 จังหวัด

ระหว่างเดือน พฤศจิกายน -  ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร มอบหมายให้ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จัดทีมสังคมสงเคราะห์ 

นำโดย  นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน ลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบ “ภัยหนาว” ในถิ่นทุรกันดาร ครอบคลุมพื้นที่ ภาคเหนือ  ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้  รวมการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวทั้งสิ้น  4 ภาค  43 จังหวัด 

ผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภครวม 51,500 ชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 34,637,500 บาท (สามสิบสี่ล้านหกแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน)  โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนในบางพื้นที่ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา คัดกรองเบาหวาน ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ  

โดยมูลนิธิฯ ได้เริ่มออกเดินช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวภาคเหนือ และอีสาน ในระหว่างวันที่ 4 พฤศจิกายน – 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ติดต่อสอบถาม ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

โดยในวันนี้ (วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567) นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำทีมลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่อำเภอสารภี อำเภอหางดง อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านธิ และอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน มอบผ้าห่มกันหนาว พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค อาทิ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา ฯลฯ บรรจุลงกระเป๋าผ้า รวมจำนวน 1,950 ชุด โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

โครงการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยหนาว เป็นโครงการที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งดำเนินการต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่า 60 ปี โดยตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สละแรงกาย แรงใจ สมทบทุน ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป

ทรัมป์หารือผู้นำรัสเซีย ให้คำมั่นสงครามยูเครนต้องจบ

(11 พ.ย.67) สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และแนะนำไม่ให้เพิ่มความรุนแรงของสงครามในยูเครน ขณะเดียวกันมีรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะขอให้ทรัมป์ไม่หยุดสนับสนุนยูเครน

แหล่งข่าวระบุว่า ปูตินและทรัมป์ได้สนทนากันเมื่อไม่นานมานี้ และทรัมป์ยังได้พูดคุยกับโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เมื่อวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน โดยทรัมป์เคยวิพากษ์วิจารณ์ความช่วยเหลือทางทหารและการเงินจำนวนมากของสหรัฐฯ แก่ยูเครน และให้คำมั่นว่าจะยุติสงครามโดยเร็ว แต่ไม่ได้ระบุวิธีการอย่างชัดเจน

ด้านกระทรวงการต่างประเทศยูเครนระบุว่าไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างปูตินกับทรัมป์ จึงไม่สามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับการพูดคุยดังกล่าวได้

ขณะเดียวกัน สตีเวน เฉิง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทรัมป์ กล่าวเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ว่า “เราไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนทนาส่วนตัวระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับผู้นำประเทศอื่น ๆ” รายงานดังกล่าวมีการเปิดเผยครั้งแรกโดยสื่อวอชิงตันโพสต์

ทรัมป์มีกำหนดเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า และปธน.ไบเดนได้เชิญทรัมป์ไปที่ทำเนียบขาวในวันพุธที่ 13 พฤศจิกายนนี้

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ไบเดนจะยืนยันถึงการถ่ายโอนอำนาจที่ราบรื่น พร้อมทั้งหารือกับทรัมป์ในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top