Sunday, 18 May 2025
Hard News Team

สวนทางต่างชาติสนใจย้ายมาไทย ชอบคุณภาพชีวิต-ค่าครองชีพไม่สูง

(13 พ.ย. 67) คนไทยสมองไหล? Gen Z 79% อยากย้ายประเทศเพื่อโอกาสงานที่ดีขึ้น

ปรากฏการณ์ “สมองไหล” ในไทยกำลังทวีความรุนแรง ล่าสุดรายงานจาก Jobsdb by Seek เผยว่า 66% ของคนไทยสนใจย้ายไปทำงานต่างประเทศเพื่อหางานที่มีเงินเดือนสูงขึ้นและคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่มีถึง 79% อยากหาประสบการณ์ทำงานระดับนานาชาติ

รายงาน Global Talent Survey 2024 จาก Jobsdb เผยว่าแรงงานไทยมากถึง 66% สนใจย้ายไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ให้ความสนใจสูงถึง 79% ความต้องการย้ายประเทศนี้มีสาเหตุจากความต้องการก้าวหน้าในอาชีพ รายได้ที่สูงขึ้น และประสบการณ์ทำงานระดับโลก 

แม้จะยังไม่มีตัวเลขแน่ชัดของผู้ต้องการย้าย แต่แนวโน้มนี้มีการเติบโตอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด โดยหลังจากการระบาด ความสนใจย้ายประเทศเพื่อหางานของคนไทยพุ่งสูงขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณถึงปรากฏการณ์สมองไหลที่เพิ่มขึ้น

ประเทศปลายทางที่แรงงานไทยต้องการย้ายไป ได้แก่ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งการเลือกเหล่านี้อาจมีปัจจัยจากความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม 60% ของผู้ที่ได้ไปทำงานในต่างประเทศมีแผนจะกลับมาทำงานในไทยในอนาคต ส่วนอีก 18% ต้องการอยู่ต่างประเทศอย่างไม่มีกำหนด อาชีพยอดนิยมที่แรงงานไทยสนใจไปทำในต่างประเทศ ได้แก่: การศึกษาและการฝึกอบรม (85%): ผู้สอนต้องการขยายประสบการณ์ในสายการสอนระหว่างประเทศ, กฎหมาย (73%): นักกฎหมายไทยมองหาบทบาทระดับนานาชาติ, การจัดการธุรกิจ (73%): ผู้จัดการธุรกิจต้องการโอกาสด้านการตลาด สื่อดิจิทัล และ AI โดยเฉพาะในสิงคโปร์และฮ่องกง, ไอที (72%): ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมุ่งหวังทำงานในสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูล, วิศวกรรมและเทคนิค (69%): วิศวกรไทยมุ่งหวังทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ที่ครบวงจร

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสแรงงานไทยแห่ไปทำงานต่างแดน แต่สวนทางแรงงานต่างชาติที่ให้ความสนใจเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น โดยไทยขึ้นจากอันดับ 39 เป็นอันดับ 31 ในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของแรงงานต่างชาติในปี 2023 แรงงานเหล่านี้ชื่นชอบคุณภาพชีวิต ค่าครองชีพที่ไม่สูง และวัฒนธรรมที่เป็นมิตรและครอบคลุม โดยข้อมูลจากกระทรวงแรงงานเผยว่า ไทยมีแรงงานต่างชาติ 2.7 ล้านคน คิดเป็น 7% ของแรงงานในประเทศ

ย้ายประเทศหลังทรัมป์คัมแบ็ก ยกย่อง 'วัฒนธรรม-การแพทย์' โดดเด่น

(13 พ.ย. 67) หลังการเลือกตั้ง สหรัฐฯ พบกระแสการย้ายถิ่นฐานในกลุ่มเศรษฐีชาวอเมริกันที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน 10 ประเทศยอดนิยมที่พวกเขาต้องการย้ายไปมากที่สุด

บริษัท Henley & Partners ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวางแผนการลงทุนเพื่อขอพลเมืองและถิ่นพำนักในต่างประเทศ สำหรับบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individuals) รายงานว่า ความต้องการหนังสือเดินทางที่สองหรือการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยในครั้งนี้หลายคนได้เริ่มดำเนินการจริง

Dominic Volek หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคลของ Henley & Partners เผยว่า ขณะนี้ชาวอเมริกันที่มีฐานะมั่งคั่งได้กลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก คิดเป็นสัดส่วน 20% ของธุรกิจบริษัท และเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% จากปีก่อน

David Lesperance ผู้บริหาร Lesperance and Associates ระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ติดต่อเขาเพื่อเตรียมโยกย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

การสำรวจจาก Arton Capital พบว่า 53% ของเศรษฐีชาวอเมริกันมีแนวโน้มย้ายออกนอกประเทศหลังการเลือกตั้ง โดยเศรษฐีวัยหนุ่มสาวสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 18-29 ปี ซึ่ง 64% สนใจโปรแกรมถิ่นพำนักผ่านการลงทุนในต่างประเทศ

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศน่าลงทุนเพื่อการย้ายถิ่นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยข้อมูลจาก Henley & Partners ระบุว่า ชาวต่างชาติที่มีรายได้สูงสามารถลงทุนเพื่อขอวีซ่าผู้มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทยได้ ด้วยงบประมาณเริ่มต้นประมาณ 900,000 บาท หรือ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับวีซ่าระยะยาว

ในกลุ่มประเทศยอดนิยมที่เศรษฐีอเมริกันสนใจย้ายไป ได้แก่ แคนาดา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ สเปน และฝรั่งเศส โดยใน 25 อันดับแรกยังมีประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ (อันดับ 21), ฟิลิปปินส์ (อันดับ 22), ไทย (อันดับ 23), สิงคโปร์ (อันดับ 28), เวียดนาม (อันดับ 29) และอินโดนีเซีย (อันดับ 33)

เหตุผลหลักในการเลือกประเทศใหม่ คือ "วัฒนธรรม" ตามด้วย "โอกาสการทำงาน" และ "ระบบเฮลท์แคร์" โดยมีผู้ให้ความสำคัญกับเรื่อง "ภาษี" และ "ระบบการศึกษา" อยู่ที่ประมาณ 3%

‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ยอมรับอ้างชื่อ ‘หนุ่ม กรรชัย’ จริง แต่ถูกตัดต่อ แจงปมเรียกเงิน 20 ล้าน ยัน! แค่อยากได้งานพีอาร์เท่านั้น

(13 พ.ย. 67) ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ยอมรับทำผิดจริง ปมอ้างชื่อ หนุ่ม กรรชัย และรายการ โหนกระแสยันไม่เจตนาตบทรัพย์ เรียกเงิน 20 ล้าน เป็นเพียงค่าทำพีอาร์เท่านั้น

หลังจากที่ทาง หนุ่ม กรรชัย ออกมาเปิดคลิปเสียง ศิลปินชาย ร่วมมือนักร้องหญิง ตบทรัพย์ 20 ล้านบาท จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักในขณะนี้ ซึ่งหลายคนก็ตั้งคำถามว่าศิลปินดังคนนั้นคือใคร สุดท้ายหวยไปออกที่ ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ และเจ้าตัวก็รีบติดต่อรายการดังทางช่อง 8 เพื่อชี้แจงความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดในทันที ทั้งยืนยันว่าเป็นเสียงของตนจริง แต่ถูกตัดต่อให้เข้าใจผิดว่าเป็นการเรียกเงิน 20 ล้านบาท

ฟิล์ม รัฐภูมิ ติดต่อไปที่รายการ คนดังนั่งเคลียร์เพื่อที่จะออกมาชี้แจงถึงประเด็นที่มีเสียงตัวเองโผล่อยู่ในคลิปเสียงตบทรัพย์ 20 ล้าน โดยเจ้าตัวเผยว่า ได้รับการติดต่อให้ทำพีอาร์ให้กับทางดิไอคอนผ่าน คุณกฤษอนงค์ ตอนนั้นยังไม่เกิดคดีความขึ้น ตนอยู่ในสถานะของผู้ถูกจ้าง

โดยคนกลางกำหนดงบประมาณมาให้เองว่ามีงบ 20 ล้านบาท และจากที่ฟังเรื่องที่เขาเล่ามาตนก็ไม่ได้ตกใจอะไร ก็คิดว่าเป็นบริษัทที่ขายของเท่านั้น ไม่ได้ทราบว่า ดิไอคอนกรุ๊ป คืออะไร ตนมีหน้าที่แค่วางแพลนมาร์เก็ตติ้งเพื่อให้เขาได้ไปดีแคร์ตัวเองผ่านทางรายการโทรทัศน์เท่านั้น เพราะเขาอ้างว่ากำลังถูกสื่อและสังคมโจมตีอย่างหนัก

ส่วนประเด็นที่อ้างชื่อ หนุ่ม กรรชัย นั้น ศิลปินดัง ยอมรับว่าในเรื่องนี้ตนผิดจริง ๆ พิธีกรดังโทรศัพท์มาหาแล้วตั้งแต่เมื่อคืน (11 พ.ย. 67) ตนก็โดนด่าเหมือนที่พี่เขาด่าในรายการวันนี้เลย อยากจะขอโทษที่กล่าวอ้างไปแบบนั้นไม่ได้มีเจตนาทำให้เสียชื่อเสียง น้อมรับทุกสิ่งที่เขาต่อว่ามา และพร้อมจะปรับปรุงให้ดีขึ้น 

สาเหตุที่เอ่ยชื่อ หนุ่ม กรรชัย ไปแบบนั้น เพราะหลงเชื่อคนกลาง เพื่อต้องการจะขายงานของตัวเองให้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วบริษัทดิไอคอนก็ไม่ได้ซื้องานของตน ตนไม่ได้รับเงินก้อนนี้ และไม่ทราบว่าใครได้งานนี้ไป ยืนยันว่าไม่ได้ตบทรัพย์หรือรีดทรัพย์ 20 ล้านตามที่คลิปเสียงถูกตัดต่อจนคนมองผิดไปแน่นอน ย้ำว่าเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้าที่บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จะถูกดำเนินคดี ถือว่าเป็นบทเรียนให้ต้องมีสติในการรับงานมากกว่านี้

แม่ทัพภาคที่ 3 เน้นย้ำป้องกันสกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้น และสิ่งผิดกฏกมายแนวชายแดน จังหวัดตาก

(13 พ.ย. 67) พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำลังพล กองกำลังนเรศวร  ตามฐานปฏิบัติการ พื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก  อำเภอพบพระ อุ้มผาง และแม่สอด รวมทั้งติดตามตรวจเยี่ยมกำลังพล ที่ด่านตรวจร่วมเพื่อความมั่นคงบ้านห้วยหินฝน ถนนหมายเลข 12 แม่สอด -ตาก อำเภอแม่สอด

แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า ได้มีการเน้นย้ำการบูรณาการในการทำงานของทุกภาคส่วนร่วมกัน อย่างสามัคคี กลมเกลียว เพื่อให้ประชาชน มีความมั่นใจในข้าราชการของรัฐ เหนือสิ่งอื่นใด ชายแดนต้องมีความสงบสุข ประชาชนมีความอุ่นใจ   ส่วนเรื่องยาเสพติด ช่วงนี้อาจมีการเล็ดรอด เข้ามาด้านนี้  จึงเน้นย้ำกำลังพลเพิ่มการสังเกตุ ตรวจตรา และนำเครื่องมือที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งการทำงานที่ด่านตรวจอาจมีผลกระทบต่อประชาชนบ้าง  แต่จะดำเนินการด้วยความสุภาพอ่อนโยน เพื่อความสุขของประชาชนเป็นหลัก

"ในส่วนของสารตั้งต้น จะต้องนำเครื่องมือพิเศษมาใช้โดยได้หารือ กับทาง ป.ป.ส. ไว้แล้ว ซึ่งอาจะต้องใช้อุปกรณ์ เพื่ออำนวยความสะดวก ให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างสะดวกขึ้น ที่สามารถตรวจสอบ โดยไม่ต้องมีการขนสินค้าการเกษตรขึ้นลง ลงจากรถในอนาคต แต่ตอนนี้ จะเน้นการทำงานด้านการการสังเกตุและการข่าวเป็นหลัก" แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าว
ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว

13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ในหลวง ร.9 เสด็จเยือนจังหวัดนครพนม ก่อเกิดภาพประวัติศาสตร์ ‘ดอกไม้แห่งหัวใจ’

วันนี้เป็นวันครบรอบ 69 ปี ของภาพเหตุการณ์ที่กลายมาเป็นภาพประวัติศาสตร์สำคัญภาพหนึ่ง ...ของประเทศเล็กๆ..บนโลกใบนี้ที่ชื่อว่าประเทศไทย กับภาพ ‘ดอกไม้แห่งหัวใจ’ ที่ตราตรึงอยู่ในใจคนไทยตลอดมา

วันนั้นเป็นหนึ่งวันในพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในภาคอีสาน ระหว่างวันที่ 2-20 พฤศจิกายน 2498 โดยในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2498 ทรงสร้างประวัติศาสตร์อย่างแรกคือทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จฯไปสักการะ พระธาตุพนม 

แต่ในวันเดียวกันนั้นยังเกิดภาพประทับใจ ที่คนไทยคุ้นตาเป็นอย่างดี และถือได้ว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ ที่แสดงถึง 'ความอ่อนโยน' ( หรือ มทฺทวํ) ของพระผู้เป็นประมุขของประเทศ ที่ทรงน้อมพระองค์ลงสู่ราษฎร อันเป็นข้อหนึ่งในทศพิธราชธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์ 

เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากพระราชกรณียกิจภาคเช้าที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารแล้ว ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จกลับมายังที่ประทับแรม ตลอดทางมีราษฎรมารอเฝ้ารับเสด็จอยู่ตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งทั้งสองพระองค์ก็ทรงหยุดรถพระที่นั่ง เสด็จลงไปทักทายปฏิสันถารกับราษฎรเหล่านั้นเป็นระยะ 

ที่สามแยกชยางกูร-เรณูนคร มีราษฎรอุ้มลูกจูงหลานมารอเฝ้าอยู่กลุ่มใหญ่ หนึ่งในนั้นคือครอบครัวจันทนิตย์ ที่บรรดาลูกหลานได้พา แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี(อายุในขณะนั้น) มาเฝ้าอยู่ ณ จุดนั้นด้วย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้าน 700 เมตร และได้หาดอกบัวสาย สีชมพูให้แม่เฒ่ามาถวาย 3 ดอก แล้วพาไปนั่งแถวหน้าสุดเพื่อให้ได้โอกาสเข้าเฝ้าใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท 

ตั้งแต่เช้าจนบ่าย แม้ความร้อนจากแสงแดดจะทำให้ดอกบัวในมือของแม่เฒ่าเหี่ยวเฉา แต่ก็ไม่อาจจะแผดเผาให้หัวใจแม่เฒ่าวัย 102 ปีเหี่ยวเฉาไปได้ จะขอเฝ้าล้นเกล้าฯทั้งสองพระองค์สักครั้งในชีวิต 

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงตรงหน้า แม่เฒ่ายกดอกบัวสายที่เหี่ยวทั้ง 3 ดอกนั้นขึ้นเหนือหัว แสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง 

พระเจ้าอยู่หัวทรงหยุดพระราชดำเนินที่แม่เฒ่า และโน้มพระองค์ลงจนพระพักตร์แทบแนบชิดศีรษะแม่เฒ่า แย้มพระสรวลด้วยความเมตตา พระหัตถ์แตะมืออันกร้านของแม่เฒ่าด้วยความอ่อนโยน รับดอกบัวทั้ง 3 ดอกไว้ด้วยพระหัตถ์ 

ขอบพระคุณ ที่วินาทีนั้น คุณอาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์ ได้กดชัตเตอร์บันทึกภาพนี้ไว้ได้ในนาทีประวัติศาสตร์ 

ไม่ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะมีรับสั่งกับแม่เฒ่าอย่างไร ภาพนี้ก็ไม่ต้องการคำอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้น และบอกถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ที่ทรงมีกับราษฎรของพระองค์ ได้มากกว่าคำอธิบายใด ๆ เป็นล้านคำ 

หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯแล้ว สำนักพระราชวังยังได้ส่งภาพนี้ พร้อมด้วยพระบรมรูปหล่อด้วยปูนปลาสเตอร์ พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนม ให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึกด้วย และนั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้แม่เฒ่าวัย 102 ปียังคงมีชีวิตยืนยาวอย่างชุ่มชื่นหัวใจต่อมาอีก 3 ปี 

ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของพวกเราคงไม่เคยพบเห็นภาพ ประมุขหรือผู้นำของประเทศไหน ๆ ในโลกใบนี้ ได้แสดงออกถึงความรักและให้ความใกล้ชิดกับประชาชนของตนอย่างมากในลักษณะเช่นนี้อีกแล้ว ภาพนี้จึงมักเป็นภาพแรกๆ ที่ปรากฏในห้วงความทรงจำของคนไทยเมื่อยามที่ระลึกถึงพระองค์ท่าน....

วัยรุ่นจีนนับหมื่น ปั่นจักรยานข้ามเมือง ชิมเสี่ยวหลงเปาเจ้าดังยามราตรี

(12 พ.ย.67) กลายเป็นไวรัลฮิตในจีนหลังจากที่มีการแชร์เรื่องราวว่า มีนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งได้ปั่นจักรยานเป็นระยะทาง 48 กิโลเมตร จากเมืองเจิ้งโจวไปเมืองไคเฟิง เพื่อลิ้มรสร้านเสี่ยวหลงเปาเจ้าดัง จนกลายเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียจีน 

ส่งผลให้นักปั่นชาวจีนจำนวนมากรวมตัวกันเมื่อคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน ทำให้เกิดการจราจรในเมืองไคเฟิงติดขัดเป็นอย่างมาก เพื่อไปชิมเกี๊ยวซุปร้านดัง จนทำให้ถนนหนาแน่นไปด้วยจักรยาน และบริษัทร้านเช่าจักรยานบางแห่งต้องปิดให้บริการชั่วคราวเพราะขาดแคลนจักรยาน

การปั่นจักรยานกลางคืนนี้ยังสะท้อนถึงเทรนด์การท่องเที่ยวแบบประหยัดที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของจีน โดยสื่อของรัฐยกย่องกิจกรรมนี้ว่าเป็นการแสดงออกถึง 'ความกระตือรือร้นของคนรุ่นใหม่' และยังมองว่าเป็นโอกาสในการโปรโมทการท่องเที่ยว โดยในวันที่จัดกิจกรรมดังกล่าวทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่พยาบาลมาคอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยตลอดเส้นทาง

‘ทนายเชาว์’ แนะฟ้องศาลเอาผิด คกก. คัดเลือกฯ เหตุเลือก ‘กิตติรัตน์’ นั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ ทั้งที่มีลักษณะต้องห้าม

(12 พ.ย.67) ‘ทนายเชาว์’ ชี้ ‘กิตติรัตน์’ ขาดคุณสมบัตินั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ แนะฟ้องศาลฯ เอาผิด คกก.คัดเลือก ฐานจงใจเลือกคนมีลักษณะต้องห้าม เหตุพ้นตำแหน่งทางการเมืองไม่ถึง 1 ปี เชื่อส่งผลทำคนติดคุกได้ ชี้ตำแหน่ง 'ที่ปรึกษาของนายกฯ' แม้ไม่ใช่ ขรก.การเมือง แต่ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นายเชาว์ มีขวด ทนายความ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า 'กิตติรัตน์' ขาดคุณสมบัตินั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ผมไม่เข้าใจว่าเหตุใดคณะกรรมการคัดเลือก 7 คน จึงมีมติเลือกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และเตือนไว้เลยว่า ใครก็ตามที่ลงคะแนนให้นายกิตติรัตน์ นั่งเก้าอี้ตัวนี้ ท่านเตรียมสู้คดีในชั้นศาล ที่อาจต้องจบที่เรือนจำได้เลย

ที่พูดแบบนี้ก็เพราะ ระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือก การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 กำหนดไว้ชัดเจนในหมวดที่ 2 การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไว้ในข้อ 16 (4) ว่า ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี

โดยเจตนารมณ์ของระเบียบฯ ที่กำหนดไว้เช่นนี้

ต้องการให้ บุคคลที่จะได้รับคัดเลือกเป็น ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสีย หรือ เกี่ยวข้อง กับการเมือง 

แต่นายกิตติรัตน์ เคยเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี  ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 เรื่องแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี  โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ. 2535 มีทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย

โดยให้ส่วนราชการสนับสนุนงานของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอและให้สำนักเลขาธิการนายกดนตรีอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบของราชการโดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขานายกรัฐมนตรี

เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีของนายกิตติรัตน์ แม้โดยนิตินัยจะไม่ได้เป็นข้าราชการการเมือง โดยเลี่ยงใช้คำว่าที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แต่โดยพฤตินัย ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 ระบุให้ นายกิตติรัตน์ ทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และให้ส่วนราชการสนับสนุนงานของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอและให้สำนักเลขาธิการนายกฯ อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบของราชการโดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขานายกรัฐมนตรี

ตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ของนายกิตติรัตน์ จึงอยู่ในความหมายของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามความใน ข้อ 16 (4) ของระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือกฯ เพราะนายกิตติรัตน์ ยังพ้นตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ไม่ถึงหนึ่งปี โดยพ้นตำแหน่งไปในวันที่นายเศรษฐา ทวีสิน หลุดตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 14 ส.ค.67 เท่ากับเพิ่งพ้นหน้าที่มาเพียงแค่ไม่ถึงสามเดือน

ถ้าเราปล่อยให้นายกิตติรัตน์ ได้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ด้วยข้ออ้างว่าตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง จึงไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย ต่อไประเบียบฯ เรื่องห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาเป็นประธานหรือกรรมการแบงก์ชาติ เว้นพ้นตำแหน่งแล้ว 1 ปี จะกลายเป็นหมันใช้บังคับในทางปฏิบัติไม่ได้ เพราะการเมืองใช้วิธีศรีธนญชัยเล่นแร่แปรธาตุทางกฎหมาย

ผมยืนยันว่าในทางกฎหมายแม้ตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ จะไม่ใช่ข้าราชการการเมือง แต่หน้าที่ที่ทำตามคำสั่งนายกฯ ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างแน่นอน กรณีนี้ผมเสนอให้มีการฟ้องศาลฯ เอาผิดคณะกรรมการคัดเลือก จงใจเลือกคนที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ไปให้สุดจะได้รู้ว่าต้องไปหยุดที่คุกหรือไม่

จ.ส.อ.รอด อาสนพรรณ แห่งกองพันพยัคฆ์น้อย เกาหลีใต้บรรจุอัฐิในสุสานเมืองปูซาน

(12 พ.ย.67) เกาหลีใต้จัดพิธีบรรจุอัฐิทหารผ่านศึกเกาหลีชาวไทยให้แก่ จ.ส.อ. รอด อาสนพรรณ ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกเกาหลีชาวไทยคนแรกที่ได้รับการบรรจุอัฐิในสุสานอนุสรณ์สถานแห่งสหประชาชาติในเมืองปูซาน

ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีในประเทศไทยเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน เวลา 12.00 น. สำนักงานบริหารสุสานอนุสรณ์สหประชาชาติในเกาหลี ได้จัดพิธีบรรจุอัฐิทหารผ่านศึกสงครามเกาหลีชาวไทย จ.ส.อ. รอด อาสนพรรณ ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีรำลึกถึงทหารผ่านศึกเกาหลีที่ชื่อว่า 'Turn Toward Busan' โดยมีผู้ร่วมงานประมาณ 100 คน รวมทั้งลูกสาวและหลานสาวของท่าน (นางสมทรง และ นางสาวจิรัชญา เจริญพงศ์อนันต์) รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกเกาหลีใต้ นางคัง จองเอ เอกอัครราชทูตไทยประจำเกาหลี นายธานี แสงรัตน์ และทหารผ่านศึก พร้อมด้วยครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการเยือนเกาหลี รวมถึงนักศึกษาจากโครงการอาสาสมัครสันติภาพสหประชาชาติ

จ.ส.อ. รอด อาสนพรรณ เป็นทหารผ่านศึกชาวไทยที่เข้าร่วมสงครามเกาหลีระหว่างวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ถึง 28 ตุลาคม พ.ศ. 2496 โดยประจำการในกองพัน 'พยัคฆ์น้อย' ที่โดดเด่นด้านความกล้าหาญและความรวดเร็ว รัฐบาลไทยมอบเหรียญชัยสมรภูมิให้เป็นเกียรติและเพื่อยกย่องคุณงามความดีของท่าน การบรรจุอัฐิครั้งนี้ทำให้สุสานอนุสรณ์สหประชาชาติมีทหารผ่านศึกจำนวนทั้งสิ้น 2,330 นายจาก 14 ประเทศทั่วโลก

จ.ส.อ. รอด เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2465 และเสียชีวิตอย่างสงบในวัย 100 ปี เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ก่อนวันเกิดครบ 101 ปีเพียง 2 เดือน ท่านเคยเดินทางไปเกาหลีอีกครั้งเมื่อปีที่แล้วในโครงการเยี่ยมเยียนทหารผ่านศึกเกาหลี และแสดงความปรารถนาที่จะบรรจุอัฐิของตนไว้ที่สุสานแห่งนี้ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจัดการสุสานนานาชาติในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ครอบครัวของ จ.ส.อ. รอด เปิดเผยว่ารู้สึกภาคภูมิใจในท่านอย่างยิ่ง ท่านเคยเล่าเรื่องราวความยากลำบากในช่วงสงครามให้ครอบครัวฟังอยู่เสมอ ซึ่งทำให้พวกเขาได้ตระหนักถึงความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของท่าน จ.ส.อ. รอดยังยึดมั่นในระเบียบวินัย ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม และเป็นผู้ที่มุ่งมั่นแบ่งปันความสุขให้ครอบครัวและผู้คนรอบข้าง

กองทัพจีนโชว์ 'เฮลิคอปเตอร์ Z-20' นักวิเคราะห์เชื่อศักยภาพเหนือกว่าสหรัฐ

(12 พ.ย.67) รอยเตอร์รายงานว่า ที่งานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติแห่งประเทศจีน หรือ Airshow China ในเมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ท่ามกลางการโชว์อากาศยานและเทคโนโลยีการบินระดับนานาชาติของจีนนั้น หนึ่งในไฮไลต์ที่นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรณ์ให้ความสนใจคือ การโชว์ของเฮลิคอปเตอร์  Z-20 ที่กองทัพอากาศจีนนำมาโชว์ภายในงาน

จากข้อมูลระบุว่า กองทัพจีนได้พัฒนาเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20 เพื่อเข้ามาอุดช่องว่างด้านความสามารถในการระบบป้องกันภัยต่อต้านเรือดำน้ำ ซึ่งเฮลิคอปเตอร์นี้ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ช่วยทูตฝ่ายกลาโหมระดับภูมิภาค และนักวิชาการด้านความมั่นคงอย่างมาก 

สำหรับข้อมูลพื้นฐานของเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า Harbin Z-20 ได้รับการพัฒนาโดยกลุ่มอุตสาหกรรมอากาศยานฮาร์บิน เริ่มเข้าประจำการในกองทัพจีนตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2019 และได้รับการพัฒนาเรื่อยมาในหลายซีรีส์ โดยเฮลิคอปเตอร์รุ่นพื้นฐานนี้สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 12-15 คน ความยาว 20 เมตร ความสูง 5.3 เมตร น้ำหนักเปล่าไร้การบรรทุก  5,000 ก.ก. ขับเคลื่อนด้วยโรเตอร์เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ WZ-10 จำนวน 2 ตัว ให้กำลังที่ 2,100–2,700 แรงม้า ต่อเครื่องยนต์ ทำความเร็วสูงสุดได้ 360 km/h พิสัยการบินไกล 560 km เพดานบินสูงสุด 20,000 ft 

สำหรับรุ่นที่โชว์ในงานจะเป็น Z-20J ซึ่งจากรายงานล่าสุดของเพนตากอนระบุว่า จีนยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20F ที่คล้ายกับ SH-60 Black Hawk ของกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งเทคโนโลยียังตามหลังเฮลิคอปเตอร์ Black Hawk แต่ทว่าภายในงานการบินล่าสุดนี้ จีนได้นำต้นแบบของรุ่น  Z-20J ซึ่งเป็นรุ่นที่ถูกพัฒนาต่อจาก Z-20F มาโชว์ภายในงานแล้ว ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การสร้างระบบต่อต้านเรือดำน้ำอย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งสะท้อนว่ารายงานด้านความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐไม่ได้อัปเดตข้อมูลเท่าที่ควร

เฮลิคอปเตอร์ Z-20 กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา และว่ารุ่น Z-20F ที่คล้ายกับ SH-60 Black Hawk ของกองทัพเรือสหรัฐ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้านเรือดำน้ำได้อย่างมาก เมื่อเทียบกับเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กที่ PLAN ใช้งานในปัจจุบัน

คอลลิน โกห์ นักวิชาการด้านความมั่นคงจาก S. Rajaratnam School of International Studies ในสิงคโปร์ กล่าวว่า Z-20 จะกลายเป็นเฮลิคอปเตอร์มาตรฐานของกองทัพเรือและการต่อต้านเรือดำน้ำของจีน เนื่องจากมีความสามารถลงจอดบนเรือได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่เรือคอร์เวตต์และเรือพิฆาต ไปจนถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน ก่อนหน้านี้จีนมีเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-8 และ Z-9 ซึ่งหนักเกินไปและเบาเกินไปตามลำดับ ที่จะทำให้จำกัดเรือที่จะร่วมปฏิบัติการ รวมถึงจำกัดพิสัยการบินและน้ำหนักของอาวุธและเซ็นเซอร์ในการต่อต้านเรือดำน้ำของฝ่ายตรงข้าม Z-20 จึงเป็นคำตอบ

สอดคล้องกับ Navy Professional Journal สื่อวิชาการของกองทัพเรือไต้หวัน เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์ต่อต้านเรือดำน้ำของจีนเมื่อเดือน ธ.ค. 2565 โดยระบุว่า ความสามารถของ Z-20 ล้ำหน้ากว่าเฮลิคอปเตอร์แบบ MH-60R Black Hawk ของสหรัฐ

ทั้งนี้ ยุทธวิธีต่อต้านเรือดำน้ำสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเฮลิคอปเตอร์ที่ปฏิบัติการไกลจากเรือหลัก คือการทำหน้าที่ล่า และติดตามศัตรูด้วยเซ็นเซอร์หลายรูปแบบ ทั้งยังประสานงานกับเรือและเครื่องบินลำอื่นๆ ด้วย โดยเฮลิคอปเตอร์ส่วนใหญ่มักติดตั้งอาวุธน้ำหนักเบา เช่น ระเบิดใต้น้ำ และตอร์ปิโด

ในการประเมินของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษากลยุทธ์ในกรุงลอนดอน เกี่ยวกับการจัดการกำลังทหารระหว่างประเทศ พบว่า จีนได้ส่งเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20 ราว 15 ลำ ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยมานานแล้ว

จีนออกกฎเด็กเล็กเลิกสอบเข้าเรียน ลดภาระทางวิชาการ มีผล 1 มิ.ย. ปีหน้า

(12 พ.ย.67) กระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศว่าจะไม่อนุญาตให้เด็กก่อนวัยเรียน (preschool-aged) ที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นอนุบาลทำการสอบหรือการทดสอบก่อนเข้าเรียนไม่ว่าในรูปแบบใด

ระหว่างการแถลงข่าวประเด็นกฎหมายการศึกษาก่อนวัยเรียน ซึ่งสมาชิกสภานิติบัญญัติจีนได้รับรองร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.) ที่ผ่านมา จางเหวินปิน เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงฯ กล่าวว่าโรงเรียนอนุบาลของรัฐควรรับเด็กที่มีความพิการเข้าเรียนด้วย เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรงเรียนอนุบาลได้ ท่ามกลางความพยายามปกป้องสิทธิในการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น

กฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย. 2025 กำหนดให้การศึกษาก่อนวัยเรียนเป็นบริการการดูแลและการศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลและสถาบันอื่นๆ จัดให้สำหรับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปก่อนเข้าเรียนในชั้นประถม อีกทั้งระบุว่าการศึกษาก่อนวัยเรียนถือเป็นส่วนสำคัญของระบบการเรียนระดับชาติและสวัสดิการสังคม 

จีนพัฒนาการศึกษาก่อนวัยเรียนอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีเด็กเล็กเกือบ 40.93 ล้านคนเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลทั่วประเทศเมื่อปี 2023 ครองสัดส่วนร้อยละ 91.1 ของเด็กเล็กก่อนวัยเรียนทั้งหมด

ทั้งนี้ การยกเลิกการสอบและการทดสอบก่อนเข้าเรียน ยังถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการลดภาระทางวิชาการให้กับเด็กและนักเรียนชาวจีน โดยจีนได้ออกเอกสารสนับสนุนนโยบาย 'ลดสองเท่า' (double reduction) ซึ่งมุ่งลดการบ้านและชั่วโมงเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนที่มากเกินไปของนักเรียนระดับประถมและมัธยมต้นเมื่อปี 2021


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top