Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

สื่อรัสเซียได้รายงานว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน เกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เล็กน้อยหลังได้รับวัคซีน Covid-19 เข็มแรกเมื่อวันอังคารที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนแบบส่วนตัวในห้องปิด และไม่ได้นำเสนอภาพการฉีดวัคซีนออกสื่อ

และเมื่อวันอาทิตย์ ปูตินก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียว่า เขามีอาการปวดกล้ามเนื้อ ในเช้าวันถัดมา แต่พอใช้ปรอทวัดไข้แล้ว อุณหภูมิร่างกายก็ปกติ ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งวัคซีนที่ปูตินได้รับ ก็ไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นวัคซีนตัวไหน เพียงแต่รู้ว่าเป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยรัสเซียเอง ซึ่งนอกจากปูตินแล้ว ก็มีเพียงแพทย์ 3 คน ที่รับหน้าที่ฉีดวัคซีนให้กับปูตินเท่านั้นที่รู้

ตอนนี้ ที่รัสเซียสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 ในประเทศได้แล้วถึง 3 ตัว วัคซีนจากรัสเซียที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุดคือ Sputnik-V ที่มีผลการทดสอบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค Covid-19 ได้สูงถึง 92%

ส่วนวัคซีนล่าสุดอีก 2 ตัว ซึ่งอยู่ในช่วงการรอผลการทดสอบในขั้นสุดท้าย แต่ทางรัฐบาลรัสเซียได้รับรองแล้ว คือ EpiVacCorona และ CoviVac

ซึ่งวัคซีน Covid-19 ที่ฉีดให้แก่ปูติน คือ 1 ใน 3 วัคซีนจากรัสเซีย แต่เนื่องจากปูตินไม่ยอมเปิดเผย และไม่ยอมให้แพร่ภาพการฉีดวัคซีนของตัวเองออกสื่อ จึงเปิดช่องให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ โดยสื่อฝ่ายตรงข้ามว่า เป็นแค่การฉีดทิพย์ ไม่ได้มีการฉีดวัคซีนจริงๆ เป็นแค่น้ำตาลกลูโคสต่างหาก

ถึงจะโดนโจมตีแรง แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ออกมายืนยันว่า ปูตินได้รับวัคซีนแล้วจริง ๆ หลังจากฉีดแล้วก็มาทำหน้าที่ตามปกติในวันถัดมา ส่วนผลข้างเคียงมีเพียงอาการปวดกล้ามเนื้อตามคำให้สัมภาษณ์ของปูตินเมื่อช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น

แต่การที่ปูตินไม่ยอมให้นำเสนอภาพการฉีดวัคซีนออกสื่อสาธารณะ จึงกลายเป็นประเด็นที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับผู้นำชาติอื่นๆ โดยเฉพาะ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ และ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ให้สื่อมวลชนถ่ายทอดสด ช่วงที่ได้รับวัคซีน ให้ประชาชนเห็นกันจะ ๆ ว่าฉีดแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของวัคซีน

และรัสเซียก็เป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่สามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 ได้สำเร็จ โดยมีการนำเอาชื่อ Sputnik ที่เป็นดาวเที่ยมดวงแรกของโลก ที่สร้างขึ้นในยุคสหภาพโซเวียต และเป็นหนึ่งในความภูมิใจของชาวรัสเซียมาตั้งเป็นชื่อวัคซีน และมีการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ถึง 92% ซึ่งรัสเซียก็เป็นชาติแรกๆในยุโรปอีกเหมือนกันที่เดินหน้าโปรแกรมฉีดวัคซีนทั่วประเทศ

และปูตินก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เองว่า ตอนนี้มีชาวรัสเซียมากกว่า 4.3 ล้านคน รับวัคซีน Sputnik-V ครบ 2 เข็มไปแล้ว และมั่นใจว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในรัสเซียได้ไม่เกินช่วงฤดูร้อน หรือราว ๆ เดือนสิงหาคมของปีนี้

แต่จากผลสำรวจล่าสุดกลับพบว่า มีชาวรัสเซียมากถึง 2 ใน 3 ลังเลใจที่จะมารับวัคซีน Sputnik-V เพราะกลัวผลข้างเคียง และไม่เชื่อมั่นในข้อมูลของรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่มีการทุ่มงบประมาณอย่างมากเพื่อรณรงค์ให้ชาวรัสเซียเข้ามาฉีดวัคซีน จึงทำให้โปรแกรมวัคซีนของรัสเซียยังคงหลุดเป้า

เพราะถึงจะออกแคมเปญ โฆษณามากมายเพียงใด แต่ถ้าคนระดับผู้นำอย่างวลาดิมีร์ ปูติน ยังต้องแอบฉีดในที่ลับตา และปิดข้อมูลเป็นความลับ ก็คงยากที่จะให้ชาวรัสเซียมั่นใจได้ว่า ตกลงปูติน ฉีดวัคซีนจริงๆ หรือเป็นเพียงยาหลอกที่ทำจากน้ำตาลกลูโคส

เห็นท่าว่า ท่านป๋าปูติน ผู้มีภาพลักษณ์แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ต้องออกสื่อฉีดวัคซีนโชว์ให้ดูจริงๆสักเข็ม วัดกันแบบใจๆไปเลย เหมือนลุงที่บ้านเราซะแล้วหล่ะมั้ง

.

อ้างอิง:

https://www.express.co.uk/news/world/1416167/Covid-latest-vladimir-putin-russian-vaccine-sputnik-v-pandemic-lockdown-rossiya-petrov-ont

https://www.dw.com/en/two-more-russian-vaccines-what-we-do-and-dont-know/a-56811025


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ปักกิ่งประกาศต่อสาธารณะต่อสหรัฐอเมริกา และแคนาดาในวันเสาร์ (27 มีนาคม) ต่อการที่ชาติตะวันตกเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ต่อการที่ปักกิ่งปฏิบัติต่อมุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอย่างไร้มนุษยธรรม

ด้าน วอชิงตันชี้ ยิ่งจีนตอบโต้ยิ่งทำให้เพิ่มความสนใจต่อปัญหาซินเจียงจากทั่วโลกมากขึ้น

ก่อนหน้านี้เอเอฟพีรายงานว่า รัฐบาลปักกิ่งสั่งจับชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ไม่ต่ำกว่าล้านคนให้อยู่ภายในค่ายกักกัน อ้างอิงจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน และยังมีการใช้กำลังบังคับจับหญิงชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ทำหมันโดยไม่สมัครใจ รวมไปถึงการใช้แรงงานบังคับ และส่งผลให้สหภาพยุโรป, อังกฤษ, แคนาดา และสหรัฐฯ ออกคำสั่งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จำนวนไม่กี่คนของซินเจียงที่อยู่ในระดับทางการเมือง และเศรษฐกิจต่อปัญหานี้

ทันทีที่เหตุการณ์ล่วงล้ำเรื่องราวอุยกูร์ในซินเจียงขยายวง ทำให้จีนได้ออกแถลงการณ์ประณามอังกฤษโดยชี้ว่า ลอนดอนได้ออกมาตรการลงโทษคว่ำบาตรต่อจีนแต่ฝ่ายเดียว เพื่อลงโทษบุคคลต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนซินเจียง โดยระบุว่า ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานใด นอกจากคำโกหก และข้อมูลเท็จ และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และประเพณีพื้นฐานการกำกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยุ่งเกี่ยวกิจการภายในของจีนอย่างเลวร้าย รวมไปถึงบั่นทอนความสัมพันธ์จีน-อังกฤษ

โดยกลุ่มในอังกฤษที่ตกเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรของจีนในครั้งนี้ ได้ครอบคลุมไปถึงสมาชิกรัฐสภาสามัญชนผู้ดี 5 คน และสภาขุนนางอังกฤษอีก 2 คน และรวมไปถึงนักกฎหมาย และนักวิชาการ

นอกจากนี้ยังมีอีก 4 องค์กรที่ถูกคว่ำบาตรได้แก่ กลุ่มวิจัยจีน (China Research Group) คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนพรรคคอนเซอร์เวตีฟ (Party Human Rights Commission) องค์กรตรวจสอบอุยกูร์ อุยกูร์ ทริบูนอล (Uyghur Tribunal) และองค์กรทางกฎหมาย Essex Court Chambers

ขณะเดียวกันยังมีการคว่ำบาตรของจีนต่อสหรัฐฯ และแคนาดา โดยทางปักกิ่งให้เหตุผลว่า ต้องการตอบโต้เนื่องมาจากวอชิงตัน และออตตาวาใช้สิทธิ์คว่ำบาตรบนพื้นฐานของข่าวลือ และข้อมูลที่เป็นเท็จ

โดยกระทรวงต่างประเทศจีนระบุว่า สมาชิก 2 คนของคณะกรรมาธิการด้านเสรีภาพทางศาสนาระหว่างประเทศประจำสภาคองเกรสสหรัฐฯ 2 คนและสมาชิกรัฐสภาแคนาดา 1 คน รวมไปถึงสมาชิกคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนประจำรัฐสภาแคนดา 1 คนถูกห้ามเดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า

การตอบโต้ทางการทูตระหว่างปักกิ่ง และชาติตะวันตกเกิดขึ้นหลังจากก่อนหน้าปัญหาฝ้ายซินเจียงปะทุจนเป็นประเด็นหลังเสื้อผ้าแบรนด์ดังชาติตะวันตกเข้าร่วมขบวน เป็นต้นว่า ร้านเสื้อผ้าชื่อดังสวีเดน H&M ออกมาปฏิเสธที่จะไม่ซื้อฝ้ายจากซินเจียงที่เชื่อว่ามีการใช้แรงงานบังคับของมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งในแถลงการณ์ของ H&M ปีที่แล้วทางบริษัทยืนยันว่า ไม่มีความร่วมมือกับบริษัททอผ้าตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงาน

เอเอฟพีรายงานว่า ผลจากปัญหาฝ้ายซินเจียงทำให้ดาราชื่อดังของจีน และบริษัทไฮเทคต่างแห่ถอนตัวจากการเป็นพันธมิตรทางการค้ากับไนกี้ H&M อดิดาส เบอร์บิวรี และแคลวิน ไคลน์

.

ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000029511?fbclid=IwAR0DnHsmKBd2nzgwXocbRJ5x8aNuM8uBfeBnrUagA2ObgTLnnq8oier6xkk


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

คลัง ชี้! เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีสัญญาณดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกที่ไม่รวมทองคำกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน จากยอดขายสินค้าเกษตรและอาหาร การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ทั้ง โทรศัพท์และอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน  อาทิ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง ที่ยังคงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนมา จากมาตรการของรัฐ โดยอยู่ที่ระดับ 49.4 จากระดับ 47.8 ในเดือนก่อน มีสาเหตุมาจากไวรัสโควิด -19  ระลอกใหม่ เริ่มคลี่คลายลง และการฉีดวัคซีนโควิดภายในประเทศเริ่มกระจายหลายพื้นที่มากขึ้น ส่วนการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร มีปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนกลับมาขยายตัว 18.6% ต่อปี เช่นเดียวกับภาคการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น โดยยอดขายปูนซีเมนต์ขยายตัว 0.9% ต่อปี เพราะความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ กลับมาขยายตัว 2.9% ต่อปี

ส่วนยังมีสินค้าที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก โดยการส่งออกทองคำและสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันยังคงลดลง นอกจากนี้ในด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนก.พ.มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจจำนวน 5,741 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และจีน

‘ทิพานัน’ ชี้ ‘ธนาธร’ แพ้เลือกตั้งท้องถิ่น สะท้อนประชาชนอยากสั่งสอนอย่างชัดเจน พร้อมแนะเปิดไทยซัมมิทตั้งหมู่บ้านทะลุฟ้า ลงมือสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม อย่าเน้นพูดอย่างเดียว

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ผู้สมัครนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลในนามคณะก้าวหน้าไม่ประสบความสำเร็จในการได้รับการเลือกตั้งว่า น่าจะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า จากผลการเลือกตั้งท้องถิ่น 2 ครั้งที่ผ่านมา ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่ได้สั่งสอนให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เห็นแล้วว่าคนไทยมีความจงรักภักดีและเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์

และเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เชื่อถือนโยบายที่หลอกลวงและการหาเสียงที่ไม่สร้างสรรค์ของคณะก้าวหน้า ดังนั้นจึงขอให้นายธนาธรและแกนนำคณะก้าวหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ หยุดปั่นกระแสและหลอกใช้ประชาชน เยาวชน นักศึกษาให้มาชุมนุมเพื่อหวังผลสนองความเพ้อฝันส่วนตัว

นอกจากนี้ กรณีที่นายธนาธรได้ออกมาโพสต์ข้อความต่อปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐยกกำลังสลายการชุมนุมบ้านทะลุฟ้าข้างทำเนียบรัฐบาลว่าเป็นการกระทำที่รัฐล้ำเส้นประชาชนอย่างชัดเจนที่สุดนั้น เป็นความเห็นที่อยู่บนความเท็จที่บิดเบือนเลื่อนลอย และยังสะท้อนให้เห็นว่า นายธนาธรคล้ายทำนาบนหลังคน จึงอยากให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว และการสลายการชุมนุมครั้งนี้มีข้อเท็จจริงชัดเจนว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิเกินส่วน ตำรวจได้รับการร้องเรียนจากประชาชนทั่วไป มีการแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง บ่อยครั้ง

และเมื่อสืบสวนทราบว่ามีการกระทำผิดตามกฎหมาย ได้แก่ การบุกรุกล้ำสถานที่สาธารณะและสถานที่ราชการ มีการลักทรัพย์สินไฟฟ้า น้ำประปา การทุบทำลายสิ่งของราชการและของประชาชน รวมถึงต่อท่อสิ่งปฏิกูลลงคลองและที่สาธารณะจนก่อความสกปรก กีดขวางประตูทางเข้าออกฝั่งถนนพระราม 5 ทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งยังพบสิ่งผิดกฎหมายมากมายในพื้นที่ของม็อบ เช่น กัญชาแท่งครึ่งกิโลกรัม น้ำกระท่อมต้มขวดลิตร 2 ขวด และอื่นๆ ดังนั้นจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบตามกฎหมาย นายธนาธรจึงควรหยุดเสี้ยม หลอกใช้ม็อบผ่านโซเชียลได้แล้ว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ตามที่นายธนาธรกล่าวถึงการชุมนุมดังกล่าวด้วยความชื่นชมและเห็นว่าเป็นรูปแบบการแสดงออกที่สันติ หนักแน่น ทรงพลังของประชาชน และยืนยันกับแกนนำว่าเห็นด้วยและพร้อมสนับสนุนข้อเรียกร้องของชาวเดินทะลุฟ้านั้น นายธนาธรควรแสดงความจริงใจโดยลงมือสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เน้นพูดอย่างเดียว นายธนาธรควรให้ผู้ชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าทั้งหมดใช้พื้นที่ตึกไทยซัมมิท เนื่องจากมีน้ำประปา ไฟฟ้า สุขาที่ถูกสุขอนามัย มีพื้นที่ใช้สอยเป็นห้องจัดนิทรรศการรณรงค์เรื่องการเข้าถึงความสุขทางเพศและการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยที่ถูกสุขภาวะ มียามรักษาความปลอดภัยและน้ำดื่มสะอาดบริการอย่างพอเพียง

“สุดท้ายอยากฝากให้นายธนาธร มองย้อนอดีตจากอนาคตใหม่ สู่ก้าวไกลจนถึงก้าวหน้า แล้วตอบคำถามสังคมว่า อะไรบ้างที่เป็นผลงานเด่นเพื่อปากท้องประชาชนที่ได้ลงมือทำจริงๆ อะไรบ้างที่ลงมือทำแล้วประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุขมีความสามัคคี อะไรบ้างที่พัฒนาแล้วจับต้องได้ โดยไม่ต้องอ้างว่าไม่ได้เป็นรัฐบาลจึงไม่มีอำนาจ และคำถามสุดท้ายที่สังคมอยากรู้จากนายธนาธรคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขัดขวางการสร้างสรรค์พัฒนาชาติอย่างไร” น.ส.ทิพานัน ระบุ

.

ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/97599


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ก.แรงงาน จับมือ 12 องค์กร ลงนาม MOU มุ่งมั่นแก้ปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ

กระทรวงแรงงาน จัดพิธีประกาศเจตนารมณ์   และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 12 องค์กร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ในสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่มของประเทศไทย โดยสินค้าเหล่านี้ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ 

ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา จึงมีพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับ  องค์กรในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม 12 องค์กร ได้แก่ สมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย  สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย สมาคมกุ้งตะวันออกไทย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย และคลัสเตอร์สหกรณ์กุ้งคุณภาพภาคใต้ 

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนไทยที่จะดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและยังเป็นจุดเริ่มต้นในการร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการร่วมกัน เช่น การสำรวจข้อมูลของแรงงาน การให้ความรู้แก่แรงงาน การสนับสนุนให้มีการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปจนถึงการตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป

ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันสินค้าของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดผลทางจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ ผู้บริโภคในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป โดยถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้า ส่งผลต่อการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกาแก่สินค้าของประเทศไทย ทำให้กระทบต่อธุรกิจการส่งออกอันถือเป็นแหล่งรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ก.แรงงาน จับมือ 12 องค์กร สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ลงนาม MOU มุ่งมั่นแก้ปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ

กระทรวงแรงงาน จัดพิธีประกาศเจตนารมณ์   และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ระหว่างสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย จำนวน 12 องค์กร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ในสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่มของประเทศไทย 

โดยสินค้าเหล่านี้ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา จึงมีพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ประกอบด้วย 12 องค์กร ได้แก่ สมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย  สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย

สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย  สมาคมกุ้งตะวันออกไทย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย และคลัสเตอร์สหกรณ์กุ้งคุณภาพภาคใต้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนไทยที่จะดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและยังเป็นจุดเริ่มต้นในการร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการร่วมกัน เช่น การสำรวจข้อมูลของแรงงาน การให้ความรู้แก่แรงงาน การสนับสนุนให้มีการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปจนถึงการตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป

ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันสินค้าของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ 

ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดผลทางจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ ผู้บริโภคในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป โดยถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้า ส่งผลต่อการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกาแก่สินค้าของประเทศไทย ทำให้กระทบต่อธุรกิจการส่งออกอันถือเป็นแหล่งรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ศาลปกครองพิพากษาให้ ‘บุญทรงกับพวก’ ต้องชดใช้ค่าเสียหายคดีทุจริตระบายข้าว G to G มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ตามจำนวนเดิมรวมกันกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ชี้ชัดแบ่งหน้าที่กันทำ จงใจทุจริต ทำกระทรวงพาณิชย์เสียหาย

ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ผู้ฟ้องคดีที่

1 นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ผู้ฟ้องคดีที่ 2 นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ผู้ฟ้องคดีที่ 3 นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีที่ 4 และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีที่ 5 กับ นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รมว.พาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 กระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 กรณีมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)

โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ที่มีคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ลับ ที่ 453/2559 ลงวันที่ 19 กันยายน 2559 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ารับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กระทรวงพาณิชย์ กรณีการระบายข้าวโดยเจรจาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดเป็นเงินคนละ 4,011,544,752.33 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 4 รับผิดเป็นเงิน 2,242,571,739.67 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 5 รับผิดเป็นเงิน 1,768,973,012.66 บาท

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ในการระบายข้าวโดยการแบ่งหน้าที่กันทำในลักษณะจงใจกระทำต่อกระทรวงพาณิชย์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับความเสียหายตามสัญญาระบายข้าวรวม 4 ฉบับ คิดเป็นเงินจำนวน 20,057,723,761.66 บาท อันเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีแล้ว มีเหตุให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ไม่ต้องใช้เต็มจำนวนความเสียหาย ตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 การมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 รับผิดในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหายในแต่ละสัญญาที่แต่ละคนมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงเป็นธรรมในแต่ละกรณีแล้ว

แต่ในส่วนของผู้ฟ้องคดีที่ 3 เพิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว การมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 3 รับผิดในอัตราร้อยละ 20 เท่ากับผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในสัญญาฉบับที่ 1 และที่ 2 ซึ่งบางส่วนเกิดขึ้นก่อนผู้ฟ้องคดีที่ 3 จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว จึงไม่เป็นธรรม

พิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ลับ ที่ 456/2559 ลงวันที่ 19 กันยายน 2559 เฉพาะในส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 2,694,464,066.21 บาท ยกฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

เอย่าได้ดูคลิปที่หลายคนจะเรียกได้ว่าเป็นคลิปเรียกน้ำตาแห่งปีก็ว่าได้ เมื่อ มิสแกรนด์เมียนมา ‘ฮันเลย์’ (Han lay) ใช้เวทีประกวดขอให้นานาชาติเข้ามาช่วยประเทศของเธอ เพราะตอนนี้ทหารกำลังเข่นฆ่าประชาชน

สำหรับคนที่ไม่อยู่ในเมียนมาตอนนี้ คงน้ำตาท่วมจอแล้วบอกว่า ทหารเมียนมาช่างเป็นคนโหดร้ายฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา แต่สำหรับ เอย่า ที่อยู่ในเมียนมาตอนนี้ อยากตั้งคำถามไปยัง ฮันเลย์ ว่า “ทำไมเธอพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวล่ะ”

อย่างที่คนไทยทราบดีว่าเวทีมิสแกรนด์นี้ เป็นเวทีประกวดนางงามที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเวทีเรียกแขกได้ตลอด ตั้งแต่ผู้จัดที่เอียงข้าง จนถึงตัวแทนประเทศไทยที่จะเรียกได้ว่าได้ตำแหน่งเพราะถอดแบบผู้จัดออกมาแบบด้ามเดียวกัน โดยเฉพาะทัศนคติทางการเมืองที่สุดโต่งแบบค้านระบอบการปกครองของไทยที่เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

แต่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งสุดโต่งของเวทีนี้จะไม่ได้สะเทือนแค่ในประเทศไทยเท่านั้น เมื่อตัวแทนมิสแกรนด์คนนี้ได้ขึ้นพูดสุนทรพจน์ด้วยน้ำตาประหนึ่งว่าช่วยผู้คนของเธอด้วย และพยายามบอกว่าประชาชนของพวกเขากำลังโดนฆ่าด้วยทหารของพวกเขาเอง เอย่าว่านี่มันไม่ใช่แล้ว

อันแรกฮันเลย์ ถ้าเธอจำได้ เมื่อหลายปีก่อนผู้นำหญิงที่เธอรักตอนนั้นได้ร่วมมือกับทหารในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา แม้ต่างประเทศจะประณามอย่างไร จะถอดรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอย่างไรก็ตาม ‘โนสน โนแคร์’ ทำไมเธอไม่พูดล่ะ หรือเพราะนั่นเป็นผู้นำที่เธอรัก

อย่างว่าแหละ…รักใครชอบใคร ตดที่ว่าเหม็นก็ยังหอม!!

เรื่องต่อมาทำไมเธอไม่พูดให้ครบล่ะว่าภาพที่เกิดขึ้นหลายๆ ภาพในประเทศเธอทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นถนนด้วยวัสดุต่างๆ ก็ดี หรือล่าสุดคือการเผายางกลางถนนก็ดี มันไม่ได้เป็นฝีมือของทหาร แต่เป็นฝีมือของชาวบ้านที่ข่าวใช้คำว่าผู้ก่อการร้าย

ในเมียนมาตอนนี้ไม่มีผู้ก่อการร้ายหรอก มีแต่ผู้ประท้วงหัวรุนแรงเท่านั้นแหละ!!

ทำไมเธอไม่พูดให้หมดละว่าทำไมคนเมียนมาที่เขาไม่ยอมรับในอำนาจทหารแต่เขาเลือกจะอยู่ที่บ้าน ไม่ออกไปประท้วงหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ประท้วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เป็นแกนนำ ก็ไม่เสียชีวิต

ทำไมเธอไม่พูดล่ะว่าการที่ทหารบุกค้นบ้านพักหรือสถานที่ใดๆ ก็ดี เขาเรียกให้เปิดก่อน แต่ด้วยคนในบ้านไม่เปิดไม่ตอบ เขาถึงต้องใช้กำลังในการบุกเข้าไป

อย่าลืมสิว่าเขาเข้าตรวจค้นนะ จะรอให้พวกคุณทำลายหลักฐานก่อนก็คงไม่ใช่!!

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นตามภาพข่าวนั้น พวกคุณน่าจะรู้ดีนะ บ้านพม่าไม่ใช่หลังใหญ่ขนาดคนเคาะประตูหน้าห้องแล้วจะไม่ได้ยิน ถ้าคุณรีบเปิดประตู ความสูญเสียจากการใช้กระสุนปืนคงไม่เกิดขึ้น คงไม่ต้องบอกนะว่า เอย่า กำลังพูดถึงกรณีไหน? หลายๆ คนคงทราบดี

ถามว่าทำไมถึงรู้? เพราะการบุกค้นไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่บ้านหรือสำนักงานของคนเมียนมาเท่านั้น แม้แต่สำนักงานที่มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติเขาก็ค้น แต่ถ้าเราไม่ขัดขืน ทำตามที่เขาบอก เขาอยากดูอะไร เช็คอะไร เปิดให้เขาดู

คุณรู้ไหมฮันเลย์ ตำรวจและทหารที่เข้าตรวจค้น เขาพูดว่าอะไร เขาบอกว่า “ขอโทษนะครับที่ทำให้พวกคุณกลัว พวกผมทำไปตามหน้าที่ครับ”

ถามว่าคำพูดแบบนี้ทำไมมันไม่เคยปรากฎต่อหน้าสื่อละ เพราะพูดไปใครๆ ก็หาว่าโกหกไงละ เพราะคนพม่าเลือกจะเชื่อไปแล้ว

สุดท้ายในเมื่อคุณเลือกที่จะ ‘หาแสง’ คุณอย่ามาอ้างว่าคุณกลับประเทศคุณไม่ได้ คุณสามารถดำเนินการกลับประเทศคุณได้นะ โดยติดต่อสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ไม่ต้องทำอะไรเลยจ้า แค่ยื่นพาสปอร์ต ลงชื่อไว้ เดี๋ยวเดือนหน้ามี Relieve Flight ทางสายการบินก็ติดต่อคุณเพื่อซื้อตั๋วก็แค่นั้น

แถมไม่ต้องมีการตรวจโควิดหรือทำเอกสาร Fit to Fly ก่อนบินด้วยนะไม่เหมือนคนต่างชาติ…อ้อ ได้ข่าวว่าต้นเดือนเมษายนนี้นี่ มีไฟลท์ คุณก็กลับได้แล้ว อย่าใช้คำอ้างว่าอันตรายแล้วตีเนียนขอลี้ภัยใช้ประเทศไทยเพื่อมาสร้างปัญหาในประเทศเมียนมา

ส่วนคนไทยในคลิปที่อ้างว่านางกลับไปเมียนมาไม่ได้นั้น ไม่ใช่นะจ๊ะ คนเมียนมาไม่มีเงิน เดินทางโดยเครื่องบินไม่ได้หรอก การที่นางมาได้ นางต้องประเมินค่าใช้จ่ายสำหรับตอนกลับไว้แล้ว สิ่งที่นางได้กระทำบนเวทีมิสแกรนด์นั้น นางก็แค่เป็นเหมือนดาราจำนวนหนึ่งที่ไม่เอาด้วยกับการรัฐประหารครั้งนี้

อย่ามาหากินกับวิกฤตบ้านเมืองตัวเอง ถ้าอยากออกตัวแรงวิ่งหาแสง ก็ควรจะรับผิดชอบโดยไปร่วมชุมนุมกับผู้เรียกร้องของเธอนะ อย่ามาเสวยสุขกินหรูอยู่สบายในไทย แล้วปล่อยให้พี่น้องที่เธอบอกว่าทหารกำลังฆ่าพวกขาตายนั้นถูกฆ่าไป โดยอ้างว่ากลับไปไม่ได้

เลือกจะพูดแล้วก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พูดนะคะ เอย่าหวังว่าทางการไทยคงไม่ปล่อยให้นางเป็นคนที่จะสร้างปัญหาในประเทศไทยนะคะ ทุกวันนี้ลำพังปัญหาคนกลุ่มนี้ในประเทศไทยก็มากมายเหลือคนานับแล้ว เป็นเอย่าจะรีบส่งกลับประเทศเมียนมาให้ไวเลยค่ะ

.

ที่มา: AYA IRRAWADEE


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

‘บิ๊กตู่’ จัดให้ ! ฉีดวัคซีนนศ.ไทย ได้กลับไปเรียนต่อจีนและประเทศอื่น

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จัทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีความห่วงใยนักศึกษาไทยที่เรียนอยู่ในต่างประเทศ แต่ยังไม่สามารถกลับไปเรียนต่อได้ เช่น นักศึกษาไทยในประเทศจีน ที่คาดว่าจะมีประมาณ 1,000 คน จึงได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข ทำงานร่วมกัน เพื่อดูแลในเรื่องการจัดการฉีดวัคซีนแก่นักศึกษาทุกคน

ซึ่งขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าได้จัดเตรียมวัคซีนและสถานที่ ๆ สถาบันบำราศนราดูร เพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนไว้แล้ว เหลือเพียงการรวบรวมและจัดระบบข้อมูล และกระบวนการอำนวยความสะดวกแก่นักศึกษา ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการอยู่ ขอให้นักศึกษาสบายใจ และรัฐบาลจะแจ้งให้ทราบถึงวันที่ให้เริ่มไปรับการฉีดวัคซีน ที่จะมีให้เร็ว ๆ นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top