Saturday, 17 May 2025
Hard News Team

ความคืบหน้าการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในประเทศไทย เมื่อระหว่างวันที่ 14 - 16 พฤศจิกายน 2567

(17 พ.ย. 67) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการประสานการดำเนินโครงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ได้นำคณะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง โดยมีนายวัฒนา เตียงกูล ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธเนศ กิตติธเนศวร เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัยยง จันทวีภากร คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเดินทางด้วย พร้อมคณะทำงานฝ่ายไทย ประกอบด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายภูมินทร ปลั่งสมบัติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาการแทนปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพอากาศ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง และสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารอากาศ ในการเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล ในฐานะประธานกรรมการประสานการดำเนินโครงการฯ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย เดินทางมาร่วมประชุมกับหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายจีน เพื่อร่วมเตรียมการและสำรวจสถานที่ประกอบพิธีที่เกี่ยวข้องกับการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว พร้อมทั้งได้ขอทราบผลสรุปและความคืบหน้าการจัดทำร่างความตกลงและติดตามข้อมูลจากการประชุมร่วมกันของคณะทำงานทั้งสองฝ่ายที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 – 12 ตุลาคม 2567 เพื่อที่ฝ่ายไทยจะได้ประสานงานและเตรียมการที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับวาระโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะร่วมกันเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน

โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล ได้นำคณะเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ณ   วัดหลิงกวง และนมัสการพระอาจารย์ฉางจ้าง รองประธานพุทธสมาคมจีน เจ้าอาวาสวัดหลิงกวง และหารือเกี่ยวกับแนวทางการประกอบพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว โดยเจ้าอาวาสวัดหลิงกวง ได้นำสาธิตพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว เพื่อให้คณะผู้แทนฝ่ายไทยได้บันทึกวิธีการและขั้นตอนปฏิบัติอย่างละเอียด เนื่องจากเมื่ออัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาถึงประเทศไทยแล้ว คณะทำงานฝ่ายไทยต้องมีหน้าที่อัญเชิญไปประดิษฐานยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ซึ่งก่อสร้างมณฑปรองรับไว้แล้ว โดยจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามวิธีการและขั้นตอนที่ทางวัดหลิงกวงกำหนดไว้ หลังจากนั้นเจ้าอาวาสวัดหลิงกวงได้นำคณะเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว  ขึ้นเครื่องบินมายังประเทศไทย ซึ่งพิธีจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ เพื่อซักซ้อมและแนะนำขั้นตอนการปฏิบัติ จากนั้นในช่วงเย็นของวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 คณะผู้แทนฝ่ายไทยและคณะผู้แทนฝ่ายจีนได้ประชุมหารือในรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ตรงกันอันจะนำไปสู่การทำความตกลงร่วมในการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงปักกิ่ง

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำคณะเดินทางไปยังสำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีน (NRAA) เพื่อหารือข้อราชการกับนายเฉิน     รุ่ยเฟิง ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีนเกี่ยวกับการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว หลังจากนั้นคณะทำงานฝ่ายจีนได้จัดเลี้ยงอาหารรับรองให้กับคณะทำงานฝ่ายไทย และในช่วงเย็นของวันเดียวกัน นายชูศักดิ์ ศิรินิล ได้นำคณะเดินทางกลับประเทศไทย ในการเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งนี้ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายก ได้กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและประทับใจในการให้การต้อนรับของฝ่ายจีนมาก ที่ได้ให้เกียรติและอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ตั้งแต่เดินทางถึงกรุงปักกิ่งจนกระทั่งเดินทางกลับประเทศไทย โดยทางการจีนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับกิจการศาสนามาต้อนรับและอธิบายเกี่ยวกับความสำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศจีนตลอดการเยือนเป็นเวลาสามวัน ตนในนามของผู้แทนรัฐบาลไทย จึงขอขอบคุณผู้บริหารสำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีนและคณะทำงานฝ่ายจีนทุกคน และหวังว่าการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงในระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 จะเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติและในฐานะที่พระเขี้ยวแก้วเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าสูงสุดอย่างหนึ่งของประเทศจีนและของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมสักการะพระเขี้ยวแก้วในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน

“เผ่าภูมิ” แจกสัญญาเช่าที่ดิน“ธนารักษ์เอื้อราษฎร์-สุราษฎร์”300 สัญญา กว่า 2,000 ไร่ ชาวบ้านร่ำไห้ดีใจ

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวในโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” สัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน ในอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า

กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ มอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้ประชาชน ตามโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ “สัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน” โดยในวันนี้ (17 พฤศจิกายน 2567) เป็นการมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สฎ.848 (บางส่วน) อ.เคียนซา อ.พระแสง และ อ.พุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวม 300 ราย (300 สัญญา) เนื้อที่ประมาณ 2,041 ไร่ 14 ตารางวา เป็นการจัดให้เช่าเพื่ออยู่อาศัย จำนวน 77 ราย เนื้อที่ประมาณ 18 ไร่ 85 ตารางวา และ เพื่อประกอบการเกษตร จำนวน 223 ราย เนื้อที่ประมาณ 2,022 ไร่ 3 งาน 29 ตารางวา ในอัตราค่าเช่าต่ำสุดที่ 40 บาทต่อไร่ต่อปี ซึ่งพี่น้องประชาชนต่างดีใจและบางรายถึงกับร่ำไห้

กรมธนารักษ์มุ่งมั่นจัดหาที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยประชาชน เพราะถือเป็นรากฐานสำคัญของการดำรงชีวิต เราต้องการเห็นคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนที่ดีขึ้น ต้องการเห็นพี่น้องประชาชนมีที่ดินทำกิน มีที่ดินสำหรับรายได้ที่มั่นคง และมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เข้าถึงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของรัฐ ทั้งสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ประกอบการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้อีกด้วย

สรุปผลการดำเนินโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ “สัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน” ของปีงบประมาณ 2567 ดำเนินการทั้งสิ้น 12 จังหวัด รวมจำนวน 3,200 ราย เนื้อที่ประมาณ 11,587 ไร่ 1 งาน 94.90 ตารางวา และกรมธนารักษ์จะแถลงแผนธนารักษ์เอื้อราษฎร์ ในปี พ.ศ. 2568 ในวันพุธที่ 20 พ.ย. อีกกว่า 5,000 ราย

ร่วมรำลึกวันเหยื่อโลก จี้รัฐบาลไทยเอาจริงนโยบายลดตายบนท้องถนน

เมื่อวันที่ (17 พ.ย. 67) ณ บริเวณหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ มูลนิธิเมาไม่ขับ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สโมสรโรตารี่ประเทศไทย ภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุภาครัฐ ภาคเอกชน ได้ร่วมกันจัดงานวันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ( World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) ขึ้น โดยมีบุคคลสำคัญจากองค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศมาร่วมงาน อาทิเช่น นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ที่ปรึกษาคณะกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน รัฐสภา, ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, HE. Mr. Jean-Claude Poimbœuf เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย, นายนิกร จำนง ประธานกรรมการมูลนิธิประชาปลอดภัย, Mr. Ishtiaque Ahmed, Economic Affairs Officer, Sustainable Transport Section, Transport Division, UNESCAP ผู้แทน UNESCAP,Thailand,  Dr Jos Vandelaer ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย,  Mr.Dave Thomas อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย, นางสาวภัทร์ศรี สุวิมล ผู้ว่าการโรตารี่ ภาค 3350 ผู้แทนโรตารี่ประเทศไทย, นายปรีชา กลิ่นแก้ว เลขาธิการโครงการถนนปลอดเหตุชีวิตปลอดภัย โรตารี่ประเทศไทย, นางรัชนี สุภวัตรจริยากุล (คุณแม่หมอกระต่าย), นายมหาโภคัย ขำกระแสร์  บิดาเด็กชายณัฐพงศ์ ขำกระแสร์ ครอบครัวเหยื่อรถบัสนักเรียน จังหวัดอุทัยธานี, นายอนุสรณ์ แก้วใจ (บิดา) นางสุจิตร รอดจิตร์ ( มารดา ) (เด็กชายสิริณัฏฐ์ แก้วใจ ) ครอบครัวเหยื่อรถบัสนักเรียน จังหวัดอุทัยธานี, นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ, ดร.อุดม หงส์ชาติกุล ผู้ก่อตั้งSocial Lab Thailand, นางสาววารุณี ซื่อสัตย์สกุลชัย ผู้จัดการแผนกกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท วิริยะประกันภัยจำกัด (มหาชน ), ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด, เรืออากาศเอกนายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน, ผู้แทนมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง, ผู้แทนมูลนิธิร่วมกตัญูญู, ผู้แทนสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.), ผู้แทนสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 2  แขกผู้มีเกียรติ พร้อมด้วยเหยื่อเมาแล้วขับผู้สูญเสีย  มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ในฐานะฝ่ายประสานงานการจัดงานวันโลกรำลึกถึงเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ( World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) เปิดเผยว่า ย้อนหลังไปในอดีต ภัยธรรมชาติได้สร้างความสูญเสียให้กับประชากรโลกเป็นอันดับหนึ่ง แต่ล่วงมาถึงปัจจุบัน ภัยจากน้ำมือมนุษย์ได้สร้างความหายนะให้กับประชากรโลกมากกว่าภัยธรรมชาตินับร้อยนับพันเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอุบัติเหตุจราจรที่ได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ ในปีหนึ่ง ๆ ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 4,100 คน สำหรับประเทศไทยผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ย 17,000 คนต่อปี บาดเจ็บอีกปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน เหตุนี้องค์การสหประชาชาติจึงได้กำหนดให้วันอาทิตย์ที่สามของเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันโลกรำลึกถึงเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ( World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) เพื่อเชิญชวนให้คนทั่วโลกได้รำลึกถึงผู้ที่จากไปจากอุบัติเหตุจราจร สำหรับประเทศไทย มูลนิธิเมาไม่ขับได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุภาครัฐ เอกชน โดยการสนับสนุนจากสำนักงาน ยูเอ็นเอสแครป ประจำประเทศไทย จัดงานวันโลกรำลึกถึงเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2549 ทั้งนี้เพื่อเป็นการเชิญชวนให้คนไทยร่วมรำลึกถึงเหยื่อจากอุบัติเหตุจราจรที่จากไป ต่อมาสมัยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2556 กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน เป็นวันโลกรำลึกถึงเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ( World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) และเป็นวันสำคัญของชาติตามประกาศขององค์การสหประชาชาติ เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า มูลนิธิเมาไม่ขับและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทำงานขับเคลื่อนเพื่อการลดอุบัติเหตุทางถนนมายาวนาน สิ่งที่คาดหวังและอยากเห็นมากที่สุดในชีวิต คือรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นชุดใดที่เข้ามาบริหารประเทศให้ความสำคัญกับการลดการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนที่เป็นรูปธรรม มีการกำหนดตัวชี้วัดชัดเจน เพราะความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนมีมูลค่ามหาศาล คิดเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี คนไทยต้องสังเวยชีวิตบนท้องถนนปีละ 17,000 คน บาดเจ็บเกือบ 1 ล้านคน จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมบนท้องถนนที่คนไทยต้องเผชิญ อยากขอวิงวอนรัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะคนรุ่นใหม่ กำหนดนโยบายหยุดโศกนาฏกรรมบนท้องถนนอย่างจริงจัง โดยเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนช่วยเจ้าหน้าที่จัดการกับคนที่ไม่เคารพกฎแห่งความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะลำพังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ตนเชื่อว่าปัจจุบันประชาชนที่ขับขี่รถบนท้องถนนมีกล้องหน้ารถ มีโทรศัพท์มือถือ ทุกคนพร้อมจะช่วยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจัดการปัญหานี้ เพียงแต่รัฐบาลต้องแก้กฎหมายเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนช่วย อาทิเช่น แก้กฎหมายให้ผู้แจ้งได้รับส่วนแบ่งค่าปรับจากผู้กระทำความผิดกฎจราจร เพื่อเป็นแรงจูงใจ

‘รองโฆษก’ เผย!! รัฐบาลไทย รับมอบ 4 วัตถุโบราณบ้านเชียง อายุกว่า 3,500 ปี ชี้!! เป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ‘ไทย – สหรัฐอเมริกา’ ทางด้านวัฒนธรรม

(17 พ.ย. 67) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมรับมอบโบราณวัตถุบ้านเชียง 4 ชิ้น จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ประกอบด้วย ภาชนะดินเผา กำไลข้อมือ และลูกกลิ้งทรงกระบอกสองชิ้นที่ยังไม่ทราบการใช้งานที่แน่ชัด โดยวัตถุโบราณดังกล่าว มีลวดลายเขียนสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และได้รับยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยีของมนุษย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุกว่า 3,500 ปี 

“พิธีการส่งคืนโบราณวัตถุบ้านเชียงครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญต่อแหล่งที่มาของโบราณวัตถุแล้ว ถือเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมมาต่อเนื่อง ต่อจากการส่งคืนโบราณวัตถุประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ โกลเด้นบอย เมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งการนำวัตถุโบราณ ที่ห่างไกลจากประเทศไทย ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะสถานทูตสหรัฐที่ติดต่อและส่งคืนวัตถุโบราณล้ำค่าชิ้นนี้ รวมถึงหน่วยงานทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือโดยเฉพาะองค์การยูเนสโก” นางสาวศศิกานต์ กล่าวระบุ

นางสาวศศิกานต์ ยังกล่าวอีกว่า คณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุในต่างประเทศ และได้วางแนวทางติดตามวัตถุโบราณคืนสู่ประเทศไทยทุก ๆ สามเดือน และได้รับแจ้งว่าสหรัฐจะส่งคืนโบราณสถานให้ไทยอีก 2 ชิ้น เป็นประติมากรรมรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการตรวจพิสูจน์ และภายหลังการรับมอบโบราณวัตถุทั้ง 4 ชิ้น จะมีการจัดแสดงให้ผู้สนใจได้เข้าชมยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่อไป รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้าย

‘โอปอล สุชาตา’ ตอบคำถามได้ใจ ‘กรรมการ’ คุณสมบัติอะไรที่จะทำให้ เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ

(17 พ.ย. 67) สางงามที่เข้ารอบ 5 คน สุดท้าย Miss Universe 2024 ได้แก่ ไนจีเรีย,เม็กซิโก,เดนมาร์ก,ไทยแลนด์ และเวเนซุเอลา

จากนั้นเข้าสู่รอบตอบคำถาม โอปอล สุชาตา ได้คำถามที่ว่า ‘คุณสมบัติอะไรที่จะทำให้เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ’

โดยโอปอลตอบว่า … 

คุณสมบัติที่ควรมีคือ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เพราะไม่ว่าคุณจะดีหรือเก่งแค่ไหนสุดท้ายแล้วคุณต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่ใช่แค่ผู้นำ แต่ทุกคนต้องมีความเห็นอกเห็นใจกัน เราถึงจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้

คนขับสิบล้อ จอดรับ!! ชาวต่างชาติ ติดรถไป ‘ชุมพร’ ด้วยกัน ดูแลอย่างดี!! มีน้ำบริการ ให้นอนหลับพักผ่อน อย่างสบาย

(17 พ.ย. 67) อีกหนึ่งเรื่องราวที่ถูกแชร์ต่อกันในโลกโซเชียล หลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นโชเฟอร์ขับรถบรรทุก ได้จอดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่างทาง

ชายชาวต่างชาติคนดังกล่าวได้โบกรถ พร้อมถือป้ายจากลังกระดาษที่เขียนข้อความว่าชุมพร ซึ่งโชเฟอร์รถบรรทุกก็เรียกขึ้นมาแต่โดยดี

ระหว่างทางโชเฟอร์ยังยื่นน้ำสมุนไพรชนิดหนึ่งให้นักท่องเที่ยวดื่ม ซึ่งเมื่อพอกินไปนักท่องเที่ยวคนดังกล่าวดูคล้ายถูกใจในรสชาติอีกด้วย

หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมายในเรื่องความมีน้ำใจของโชเฟอร์ แม้อุปสรรคทางภาษาจะติดขัดไปบ้าง แต่สุดท้ายเรายังทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี ดูแลนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ให้ทั้งติดรถ มีน้ำสมุนไพรบริการ แถมให้นอนหลับพักบนรถได้เต็มอิ่ม

‘โทนี่’ ฮิปโปแคระเยอรมัน ส่ง!! จดหมาย - ของขวัญ ให้หมูเด้ง ย้ำ!! ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อมิตรภาพที่ดีต่อกัน ตลอดไป

(17 พ.ย. 67) เฟซบุ๊ก ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง ได้โพสต์ข้อความ ...

โทนี่ฮิปโปแคระจากเยอรมัน ส่งจดหมายและของขวัญ ให้หมูเด้ง

แต่อ่านเเล้วน้ำตาจะไหล อ่านไม่ออก 555... 

On behalf of our baby hippo Toni, we are sending you a special gift. We think Toni and Moo Deng are destined to be long distance BFFs! (Best friend forever)
Here’s a special friendship bracelet just for Moo Deng

ต่อมา แอดมินเพจ ได้ แปลเนื้อหาในจดหมาย ความว่า ...

เราส่งของขวัญพิเศษในนามของฮิปโปแคระตัวน้อย ชื่อว่า Toni ของเรา แม้ว่าจะอยู่ไกลกันแต่เราคิดว่าโทนี่กับหมูเด้ง ถูกกำหนดให้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป นี่เป็นสร้อยข้อมือมิตรภาพที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ Moo Deng

ทั้งนี้ของขวัญที่ฮิปโป โทนี่ส่งมาเป็นของขวัญให้หมูเด้งก็คือ สร้อยลูกปัด และ โปสการ์ด เป็นรูปลิงกอลิลา และนกฟลามิงโก

โดยมีแฟนเพจได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น เอ็นดู ‘พี่เบนซ์’ พี่เลี้ยงของหมูเด้ง ที่โพสต์ข้อความนี้ พร้อมกับถามว่า

‘หมูเด้ง’ จะส่งอะไรกลับไปให้ ‘โทนี่’

ว่าที่ลูกเขยพี่เบนซ์

อร๊ายยยย ผู้ชายให้สร้อยข้อมือ ใส่ตรงไหนอ่ะทีนี้
4 เดือน ก็มีหนุ่มส่งจดหมายมาหาแล้ว สายฝอนะเรา เด้งเอ้ย
ของหมั้นแน่ๆ ว่าแต่ชื่อเดียวกับพ่อเด้งเลยอ่ะเนอะ

'พลัฏฐ์' นำทีมคนรุ่นใหม่ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ เที่ยว 'งานวัดสระเกศ 2567' สักการะ!! พระบรมสารีริกธาตุ - เก้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ - ร่วมประเพณีห่มผ้าแดง

เมื่อวานนี้ (16 พ.ย. 67) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ อดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขต 1 นำทีมคนรุ่นใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรคและผู้ช่วยผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ, นางสาวพัชรนันท์ โกศลสมบัตินนท์ เข้าร่วม งานภูเขาทอง 2567 หรือ งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 8-17 พฤศจิกายน 2567 

นายพลัฏฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ว่างเว้นการจัดงานไปหลายปี เมื่อสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลายลง การจัดงานภูเขาทองจึงได้กลับมาอีกครั้ง ตนและทีมคนรุ่นใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ ดีใจที่ได้มาเที่ยวชมงานในวันนี้ ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ร่วมสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และ เก้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประเพณีห่มผ้าแดง นอกจากนี้ยังมีการสืบสาน วัฒนธรรมไทย 4 ภาค พร้อมความสนุกสนานไปกับ เกมส์งานวัด, ชิงช้าสวรรค์, การแสดงดนตรีลูกทุ่งย้อนยุค, แต่งชุดไทย เดินเที่ยวตลาดย้อนยุค, ลอยประทีปเทียนหอมบูชาพระพุทธเจ้าน้อย, การออกร้านค้าชุมชนและอาหารนานาชนิด การประดับไฟตกแต่งกว่า 1 ล้านดวง

"การจัดงานในครั้งนี้ ได้ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สืบทอดประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ชุมชนโดยมีประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงร่วมกับชุมชน ออกร้านค้าจำหน่ายสินค้ามากกว่า 100 ร้านค้าตลอด 10 วันคาดว่าจะสร้างเศรษฐกิจชุมชนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท" นายพลัฏฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘อุ๊งอิ๊ง’ หารือ!! ผู้นำเปรู เพื่อเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจ - การค้าเสรี - สินค้าเกษตร เล็ง!! ผสมผสาน ‘ขนสัตว์อัลปากา - ผ้าไหมไทย’ ร่วมพัฒนาเป็นซอฟต์พาวเวอร์

(17 พ.ย. 67)  นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนการเดินทางกลับประเทศไทยช่วงเวลา 18 นาฬิกาของวันนี้ (วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน) ตามเวลาเปรู ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 27 ชั่วโมง โดยจะถึงประเทศไทยในวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน ประมาณ 11 นาฬิกา ตามเวลาในประเทศไทย นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สรุปภาพรวมภารกิจ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ดังนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชม เปรูในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยไทยได้เป็นเจ้าภาพเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด BCG Economy หรือ Bio-circular -Green ecocomy สำหรับการประชุมครั้งที่ 31 นี้มีหัวข้อหลัก เช่นการเสริมสร้างพลังการมีส่วนร่วม และการเติบโตที่ยั่งยืน (Empower Inclusive Growth) เพื่อให้สมาชิกเติบโตไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนการลงทุน และผลักดันให้เกิดการค้าเสรี หรือ FTA  ขณะเดียวกัน ก็ส่งเสริมเรื่องนวัตกรรม ดิจิทัลและการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งตรงกับนโยบายที่ไทยกำลังผลักดันอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคมีแนวทางเดียวกันในการพัฒนาอย่างยั่งยืน 
(Sustainability) ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพลังงานแห่งอนาคตที่ยั่งยืน และวิธีการรับมือกับอุปสรรคและปัญหาจากภัยธรรมชาติ  การนำเทคโนโลยีที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกัน มาสนับสนุนและแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เวทีการหารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders ) ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ โดยได้คุยกับนักธุรกิจระดับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจ อาทิ พลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า และ AI ซึ่งหลายบริษัทสนใจลงทุนในประเทศไทยมาก และได้เชิญชวนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยโดยเน้นไปที่เทคโลโลยี AI  Semiconductor และ Data center  และ ยังได้พูดคุยกับเอกชนยักษ์ใหญ่  3 บริษัท ประกอบด้วย Tiktok Microsoft และ Google  ที่แจ้งว่าสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่ม

การลงทุนอย่าง Data center จะทำให้คนไทยเกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพี ของไทยตอนนี้เติบโตไม่เต็มศักยภาพ การหาเม็ดเงินใหม่ๆเข้าประเทศจะให้คนไทยมีรายได้และมีอาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไทยจะต้องพัฒนาทุกด้านไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหมื่น การสร้างรายได้ใหม่ ซอฟต์พาวเวอร์ การลงทุน และการหาเม็ดเงิน เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งทุกกรอบการประชุมต่างๆ ได้ระบุไปว่า ไทยพร้อมแล้วที่จะมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจ โดยจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านเกษตรกรรมอัจฉริยะ หรือ Smart farming อย่างแท้จริง

ส่วนการหารือทวิภาคีกับ นางดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต เซการ์รา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอชี่นชมเปรูในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคปี 2024 นี้  ยืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกันโดยเฉพาะการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างไทย-เปรู ซึ่งเปรูเพิ่งเปิดท่าเรือชางใค ที่จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งสินค้าเกษตรของไทยได้เป็นอย่างมาก และสามารถเชื่อมโยงกับโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยในอนาคตได้อีกด้วย 

จะให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นำไปพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์ ขนสัตว์อัลปากาของเปรูที่มาทำเป็นเสื้อผ้า มาผสมผสานกับผ้าไหมของไทย เพื่อให้เกิดเนื้อผ้าพิเศษขึ้นมาเพื่อนำเสนอเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของทั้งสองประเทศ มารวมกันเพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง

ส่วนการหารือทวิภาคีกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้พูดคุยถึงความร่วมมือกันในปีหน้า ที่ไทย-จีน จะเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี โดยจีนได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระเขี้ยวแก้ว มาประดิษฐานไว้ที่ประเทศไทยในวันที่ 4 ธันวาคมนี้   และจีนยืนยันที่จะมอบหมีแพนด้ายักษ์มาประเทศไทยอีกครั้ง  

นอกจากนี้ ประเทศไทยพร้อมที่จะเรียนรู้รูปแบบการพัฒนาประเทศของจีน ในการลดความยากจนในประเทศรวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ และได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนที่ไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประธานาธิบดีจีนกล่าวยินดีและยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ Online scam ระหว่างกัน และจะสนับสนุนไทยเข้าร่วม BRICS ด้วย

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเข้าร่วมงานกาล่าดินเนอร์ทั้ง 2 คืน ทั้งในงานเลี้ยงอาหารค่ำ APEC CEOs-Leaders Dinner และ งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคว่า “ได้สร้างความมั่นใจให้กับประเทศไทยและเชิญชวนภาคเอกชนเขตเศรษฐกิบสมาชิกมาลงทุนที่ประเทศไทย ตลอด 3 วัน ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมาก  เพราะได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อกัน ขณะเดียวกันย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลกด้วยว่า ประเทศไทยพร้อมแล้ว สำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและสมาชิกเอเปค โดยมั่นใจว่าการได้พูดคุยกันจะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และหาโอกาสให้กับประเทศไทยได้ง่ายขึ้น" นายกรัฐมนตรีได้กล่าว

นายจิรายุ กล่าวถึงบรรยากาศการประชุมในครั้งนี้ ว่าเจ้าภาพเปรูเป็นประธานจัดงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเวทีการประชุมในแต่ละเวทีตลอด 3 วัน ได้สอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของเปรูไว้ทุกเวที นายกรัฐมนตรี ผู้นำของประเทศไทยได้รับความสนใจอย่างมาก ในทุกครั้งที่ขึ้นกล่าวหรือแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุม โดยสื่อมวลชนต่างชาติ ต่างให้ความสนใจนายกรัฐมนตรีสุภาพสตรี 1 ใน 2 คนของไทยในการประชุมครั้งนี้อย่างมาก 

‘อุ๊งอิ๊ง’ พูดคุย!! นักเรียนไทยในเปรู ที่มาทำงาน อาสาสมัครเอเปค ยัน!! เตรียมพิจารณาให้ทุนการศึกษา เพื่อเรียนต่อต่างประเทศ

(17 พ.ย. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ในการประชุม APEC CEO Summit และจากการได้พบปะและพูดคุยกับน้องๆ เยาวชนคนไทยที่มาเป็นอาสาสมัครและมาช่วยงานในการประชุมเอเปคครั้งนี้ ทราบว่ามีความต้องการให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนทุนการศึกษา ซึ่งตรงกับนโยบาลรัฐบาลที่อยากให้เด็กไทยมีทุนการศึกษาที่มากขึ้นเพื่อมีโอกาสพัฒนาบุคคล และพัฒนาชาติไปพร้อมๆ กันด้วย 

จะสนับสนุนน้องๆที่อยากจะไปเรียนต่างประเทศ และจะกำหนดนโยบายให้เปลี่ยนไปศึกษาในสาขาวิชา ที่เกี่ยวข้องกับ พวกเทคโนโลยีแห่งอนาคตให้มากขึ้น ซึ่งสาขาการบริหารธุรกิจและการตลาด ที่นิยมมาเรียน น่าจะลดลงเพราะที่ประเทศไทยก็มีดีอยู่แล้วแต่ศาสตร์ด้านเทคโนโลยีล้ำหน้าหรือ AI เป็นตลาดธุรกิจที่ต้องการมาก รัฐบาลจะสนับสนุนตรงนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับนักศึกษาและประเทศไทยด้วย

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกด้วยว่า "การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเยาวชนกับรัฐบาล ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ขอส่งกำลังใจให้น้องๆ ทุกคน พร้อมยืนยันว่ากลับไปจะไปพิจารณาเรื่องการให้ทุนการศึกษาเพื่อเรียนต่อในต่างประเทศทันที" นายกรัฐมนตรีกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top