Saturday, 17 May 2025
Hard News Team

สื่อนอกตีข่าว "โอปอล สุชาตา" ชวดมง มิสยูนิเวิร์ส 2024 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากแฟนนางงามทั่วโลก

(18 พ.ย. 67) โอปอล สุชาตา ช่วงศรี สาวงามจากประเทศไทย วัย 21 ปี สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยในเวทีประกวด Miss Universe 2024 ด้วยการผ่านเข้าสู่ 5 คนสุดท้ายและคว้าตำแหน่งรองอันดับ 3 แม้ไม่ได้ตำแหน่งสูงสุด แต่แฟนนางงามทั้งในไทยและต่างชาติยังคงส่งกำลังใจให้เธออย่างล้นหลาม หลังจากที่ได้เห็นความสามารถและความพยายามของโอปอลในการตอบคำถามและการเดินโชว์ในแต่ละรอบ

บรรยากาศขณะประกาศผลเมื่อโอปอลได้รับตำแหน่งรองอันดับ 3 เป็นที่น่าตกใจเมื่อเสียงโห่ดังขึ้นทั่วทั้งฮอลล์การประกวด เนื่องจากหลายคนเชื่อว่าโอปอลมีศักยภาพและคำตอบที่ยอดเยี่ยมในการตอบคำถาม ทำให้มั่นใจว่าเธอควรจะได้เป็นผู้ชนะในปีนี้

หลังจากการประกาศผล สื่อใหญ่ของอังกฤษอย่าง Dailymail พาดหัวข่าวว่า “แฟนนางงามโวย! ยืนยัน 'มิสไทยแลนด์' ถูกปล้นชัยชนะ หลัง 'มิสเดนมาร์ก' คว้ามงกุฎครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการประกวด”

รายงานข่าวกล่าวว่า "วิคตอเรีย เคียร์ เธลวิก จากเดนมาร์ก กลายเป็นผู้ชนะมิสยูนิเวิร์ส 2024 โดยสร้างประวัติศาสตร์เป็นชาวเดนมาร์กคนแรกที่ได้รับมงกุฎ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับถูกวิจารณ์อย่างหนักจากแฟน ๆ นางงามทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่หลายคนเชื่อว่า โอปอล สุชาตา ควรจะเป็นผู้ชนะในปีนี้"

ในปีนี้ โอปอล สุชาตา นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดในการตอบคำถามในรอบตัดสิน โดยเฉพาะคำถามที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้นำที่ดี ซึ่งเธอได้ตอบว่า

“สำหรับฉัน ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) คือคุณสมบัติสำคัญที่สุดของผู้นำ เพราะไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนหรือมีการศึกษามากแค่ไหน ผู้นำต้องสามารถใส่ใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้ ซึ่งไม่เพียงแค่สำหรับผู้นำเท่านั้น แต่ทุกคนในสังคมก็ควรมีความเห็นอกเห็นใจกัน”

โอปอล สุชาตา ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะสาวไทยที่มีความสามารถหลากหลาย ไม่เพียงแต่เป็นนักศึกษารัฐศาสตร์เท่านั้น แต่เธอยังผ่านการผ่าตัดเนื้องอกที่เต้านมขนาด 10 เซนติเมตรตั้งแต่อายุ 16 ปี และเคยเป็นนางแบบมาก่อน โดยเธอเริ่มเข้าสู่การประกวดนางงามในปี 2564 และได้รับตำแหน่งรองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 พร้อมกับรางวัลพิเศษ Miss Natural Beauty

นอกจากนี้ มิสไนจีเรีย ชิดิมมา อเดทชินา ก็ได้รับความสนใจอย่างมากในปีนี้ หลังจากที่เธอเป็นตัวเต็งที่ได้รับตำแหน่งรองอันดับ 1 ของการประกวดมิสยูนิเวิร์ส แม้จะต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสัญชาติ แต่เธอก็สามารถเอาชนะใจกรรมการและแฟนนางงามทั่วโลกได้

การประกวดในปีนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้หญิงทุกกลุ่ม รวมถึงผู้ที่แต่งงานแล้วและมีบุตร หรือผู้หญิงที่มีรูปร่างแตกต่างจากมาตรฐานเดิมๆ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเท่าเทียมในสังคม

หลังจากการประกาศผล แฟนนางงามในโลกออนไลน์แสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรง โดยหลายคนเชื่อว่าโอปอล สุชาตา มีความสามารถที่ควรได้รับมงกุฎ และบางคนยังกล่าวว่า ทั้งมิสไนจีเรียและมิสไทยแลนด์ต่างก็ถูกปล้นชัยชนะจากการประกวดในปีนี้

สื่อตะวันตกยอมรับ อเมริกาตามหลัง ผู้นำตัวจริงในสงครามเทคโนโลยี

(18 พ.ย. 67) สถาบันวิจัยระดับโลกอย่าง Australian Politics Policy Institute และสื่อตะวันตกหลายแห่ง เช่น Bloomberg, The Economist และ Voice of America ได้ออกมายอมรับว่า จีนได้ชัยชนะในสงครามเทคโนโลยีและกลายเป็นผู้นำในด้านนี้ไปแล้ว ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสำคัญในระเบียบโลกที่กำลังเกิดขึ้น

สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ถือเป็นชัยชนะของจีนมาแล้วนาน โดยสหรัฐฯ ยังประสบปัญหาการขาดดุลการค้า ขณะที่จีนยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้สหรัฐฯ จะพยายามใช้มาตรการปิดกั้น เช่น การเพิ่มภาษีสูงๆ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายใน แต่สิ่งที่จีนทำสำเร็จคือการคว้าผู้นำในด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ

รายงานจาก Australian Politics Policy Institute เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า จีนเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในสาขาที่สำคัญอย่างการป้องกันประเทศ, อวกาศ, พลังงาน, เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มากถึง 57 หมวดหมู่จากทั้งหมด 64 หมวดหมู่ เทียบกับสหรัฐฯ ที่ยังคงนำอยู่ใน 7 สาขา เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติและควอนตัมคอมพิวติ้ง

The Economist และ Voice of America รายงานว่า จีนตอนนี้ได้แซงสหรัฐฯ ไปแล้วในด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาด ที่สำคัญคืออำนาจในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่ออนาคตของโลก โดยจีนได้กลายเป็นศูนย์กลางในการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21

ในด้านเศรษฐกิจ ขณะนี้จีนใกล้จะแซงสหรัฐฯ ในเรื่องของอำนาจการซื้อ (Purchasing Power Parity) แม้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะยังคงมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่การเติบโตทางเทคโนโลยีและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีนทำให้จีนมีศักยภาพในการนำพาโลกเข้าสู่ยุคใหม่

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางเศรษฐกิจหรือการค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการท้าทายระเบียบโลกเก่าที่ถูกนำโดยสหรัฐฯ โดยจีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สำคัญ

อนาคตของเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกันหรือการแข่งขันอย่างดุเดือด แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในสงครามเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21

'ชวีชุ่ยหรง' นายหญิงแห่ง KFC จีน เผยเคล็ดลับสำเร็จ ขยาย 10,000 สาขาในเวลาอันสั้น

(18 พ.ย. 67) โจอี้ วัต หรือ ชวีชุ่ยหรง ผู้บริหารหญิงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดของจีน และติดอันดับหนึ่งใน 500 ผู้บริหารยอดเยี่ยมจากการสำรวจของนิตยสาร Fortune ได้ เผยเคล็ดลับการขยายธุรกิจร้านอาหาร Fast Food ในเครือ Yum China ซึ่งรวมถึง KFC, Pizza Hut, และ Taco Bell กว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศจีน

ในปี 2024 KFC ได้ทะยานสู่เป้าหมาย 10,000 สาขา ครอบคลุม 2,000 เมืองทั่วจีน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของแบรนด์ Fast Food ยอดนิยมจากต่างประเทศ ที่ยังคงครองใจผู้บริโภคจีนอย่างเหนียวแน่น

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ KFC สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว คือการสังเกตพฤติกรรมลูกค้าอย่างใกล้ชิดของ ชวีชุ่ยหรง ซึ่งไม่ได้พึ่งพาทีมการตลาดหรือการใช้ AI เท่านั้น แต่เธอใช้เวลามากกว่า 2-3 ชั่วโมงทุกวันในการนั่งดูลูกค้ากินอาหารในร้าน KFC เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงบริการและเมนูต่างๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ตัวอย่างหนึ่งคือเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าผู้บริโภควัยรุ่นชาวจีนชอบกินไก่ทอดคู่กับมันบด แต่พบว่ามันไม่สะดวกในการรับประทาน ชวีชุ่ยหรงจึงคิดค้นเมนู "เบอร์เกอร์มันบดไก่ไม่มีกระดูก" ซึ่งกลายเป็นเมนูยอดฮิตใน KFC จีน

ไม่เพียงแค่ใน KFC ชวีชุ่ยหรงยังได้สร้างสรรค์เมนูพิซซ่าหน้าทุเรียนในร้าน Pizza Hut หลังจากที่เธอสังเกตเห็นว่าคนจีนชื่นชอบทุเรียน โดยเฉพาะเมื่อหลายร้านอาหารต่างชาติไม่อนุญาตให้นำทุเรียนเข้ามาในร้าน เธอจึงตัดสินใจนำทุเรียนมาสร้างสรรค์เป็นพิซซ่าหน้าทุเรียนซึ่งกลายเป็นเมนูขายดีอันดับหนึ่งของร้าน Pizza Hut จีน โดยมียอดขายมากกว่า 30 ล้านถาดต่อปี

ภายใต้การบริหารของเธอ KFC และร้านในเครือ Yum China ได้เสนอเมนูใหม่ๆ ให้กับลูกค้าชาวจีนมากกว่า 500 เมนู และปรับรูปแบบการให้บริการให้ทันกับสถานการณ์ รวมถึงในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่ KFC เป็นหนึ่งในร้านแรกๆ ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการแบบ "ไร้การสัมผัส" และยังมีการตั้งกองทุนช่วยเหลือพนักงานในช่วงที่ร้านต้องปิดกิจการ

ชวีชุ่ยหรงกล่าวว่า ทักษะการบริหารที่ประสบความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากตำราเรียน แต่เกิดจากการสละเวลาลงไปสังเกตและเข้าใจลูกค้า รวมถึงการพูดคุยกับผู้จัดการร้านบ่อยๆ เพื่อเข้าใจปัญหาจริงจากหน้างานและสามารถแก้ไขได้ตรงจุด

นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ชวีชุ่ยหรงสามารถนำ KFC และร้านอาหารในเครือ Yum China ก้าวสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ ด้วยการสังเกตและเข้าใจลูกค้าด้วยตาตัวเอง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดผลปฏิบัติการ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” จับแก๊งค์จีนเทาเช่าเบอร์โทร 02-xxxxxxx กว่าหมื่นเลขหมาย โทรหลอกประชาชนมากกว่า 700 ล้านครั้ง และใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง

(18 พ.ย. 67) เวลา 14.30 น. พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร.) แถลงผลการปฏิบัติการ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” 2 ปฏิบัติการ จับแก๊งค์จีนเทาเช่าเบอร์โทร 02-xxxxxxx กว่าหมื่นเลขหมาย โทรหลอกประชาชนมากกว่า 700 ล้านครั้ง และใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง โดยมี พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. , มล.ภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. , ณวิสิฐศักดิ์ เจริญไชย ผู้จัดการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลง ณ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ตามนโยบาย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ โดยข้อที่ 9 ได้กำหนดว่า “รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์  มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ความช่วยเหลือ และเยียวยาเหยื่อได้อย่างทันท่วงที

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) สั่งการให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. นำ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” มาใช้ในการลดความรุนแรงของปัญหาอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเน้นการตัดช่องติดต่อหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ โดยจากการสืบสวนของกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ภายใต้การกำกับของ พล.ต.ต.จิรวัฒน์ พยุงธรรม รอง ผบช.ฯ รรท.ผบช.สอท. โดยมี พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. เป็นหัวหน้าสืบสวนฯ 

ปฏิบัติการที่ 1 : พบความผิดปกติของการใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่มาใช้หลอกประชาชนจำนวนมาก เป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02-xxxxxxxx จึงได้มีการตรวจสอบ พบว่ากลุ่มหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02 ดังกล่าวเป็นหมายเลขที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้โทรหลอกลวงประชาชนให้ร่วมทำกิจกรรมและร่วมลงทุนรูปแบบต่างๆ 

จากการตรวจสอบทำให้ทราบว่าชุดหมายเลข 02 ดังกล่าวนั้น ได้จัดสรรให้แก่ผู้ให้บริการเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โดยมีนิติบุคคลจำนวน 3 บริษัทได้ขอจดทะเบียนเลขหมายดังกล่าว เพื่อประกอบธุรกิจอุปกรณ์ตู้สาขาแบบ SIP Server ด้วยระบบ SIP Trunk Solution โดยรูปแบบวิธีการทำงานของระบบ SIP Trunk Solution นั้น เป็นเทคโนโลยีเพื่อให้บริการรูปแบบโครงข่ายโทรศัพท์ประจำที่ที่ใช้งานผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถบริหารจัดใช้งานเลขหมายผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านสถานที่ และข้อจำกัดในการวางระบบโครงข่ายสายสัญญาณต่างๆ โดยจะเป็นหมายเลขที่ขึ้นต้นด้วย 02-xxxxxxx ทั้งหมด

จากการสืบสวนทำให้ทราบว่ามีนิติบุคคลจำนวน 3 ราย ได้ขอจดทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02 ดังกล่าว รวมจำนวน 11,201 เลขหมาย จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัททั้ง 3 แห่ง ทำให้ทราบข้อมูล ดังนี้

1. บริษัท หรวนหยุน อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด จดทะเบียนจำนวน 3,000 เลขหมาย พบสถิติการใช้งาน (call attempt) รวม 256,219,676 ครั้ง มีกรรมการบริษัทจำนวน 3 ราย เป็นชาวจีน (ผู้ถือหุ้นใหญ่) จำนวน 1 ราย และเป็นชาวไทยอีกจำนวน 2 ราย 

2. บริษัท ยูน เตี้ยน เค่อ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด จดทะเบียนจำนวน 6,000 เลขหมาย พบสถิติการใช้งาน (call attempt) รวม 345,339,574 ครั้ง มีกรรมการบริษัทจำนวน 3 ราย เป็นชาวจีน จำนวน 2 ราย และเป็นชาวไทยจำนวน 1 ราย 

3. บริษัท พรีมา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน จดทะเบียนจำนวน 2,201 เลข พบสถิติการใช้งาน (call attempt) รวม 128,626,642 ครั้ง มีกรรมการบริษัทจำนวน 3  ราย ซึ่งเป็นชาวจีนทั้งหมด 

จากการตรวจสอบย้อนหลังพบว่า ทั้ง 3 บริษัท ได้ใช้เบอร์ 02 โทรไปหาเหยื่อแล้วจำนวน 730,185,892 ครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ ได้ตรวจสอบการเดินทางของกรรมการบริษัทชาวจีนทั้ง 3 แห่ง กับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ปรากฏว่าไม่พบการเดินทางเข้าออกประเทศไทย มีเพียงชาวจีน 1 ราย ที่ได้ออกนอกประเทศไทยไปตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2566 และไม่ได้กลับเข้ามาประเทศไทยอีกเลย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งขบวนการ จนศาลอนุมัติหมายจับทั้งหมดจำนวน 24 ราย เป็นต่างชาติจำนวน 9 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ทำหน้าที่กรรมการบริษัทและเป็นผู้จัดการค่าใช้จ่ายของบริษัท ได้แก่ ชาวจีน จำนวน 3 ราย ชาวสิงคโปร์ จำนวน 1 ราย ชาวมาเลเซีย จำนวน 1 ราย ชาวเมียนมา จำนวน 1 ราย และชาวลาว จำนวน 3 ราย และออกหมายจับคนไทย จำนวน 15 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ทำหน้าที่เป็นกรรมการบริษัท, ผู้จัดการค่าใช้จ่าย และบัญชีม้า

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการได้แล้วจำนวน 10 ราย เป็นคนไทยจำนวน 9 ราย และสัญชาติเมียนมาจำนวน 1 ราย โดยดำเนินคดีฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ , ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีการและมีมุ่งหมายเพื่อการมิชอบด้วยกฎหมาย (สมคบกันเป็น อั้งยี่ หรือ ซ่องโจร) , สมคบกันกระทำความผิดฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และความผิดฐานบัญชีม้า โดยขณะนี้ได้ประสานตำรวจสากล (Interpol) ในการออกหมายแดงเพื่อจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการชาวต่างชาติที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ กลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายที่ประเทศไทยต่อไป

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินคดีในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กลุ่มคนร้ายต่างชาติร่วมกับคนไทย ใช้กลไกการจดทะเบียนบริษัทมาเช่าโทรศัพท์หมาย 02-xxxxxxx เพื่อทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นโทรศัพท์พื้นฐานทั่วไปในประเทศไทย แต่แท้จริงแล้วโทรมาจากต่างประเทศตามชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะนี้ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” มุ่งเน้นการตัดช่องทางสื่อสารของคนร้ายของประชาชน ทำให้คดีอาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ปฏิบัติการที่ 2 : จับกุมแก๊งจีนเทา ใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง 

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า จาก “มาตรการระเบิดสะพานโจร” ทำให้ตรวจสอบพบความผิดปกติของการส่ง SMS ผ่านเครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) โดยเกิดจากการร่วมปฏิบัติการของ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ AIS สืบสวนพบว่ามีคนร้ายขับรถที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณ SMS ปลอม ข้อความ “คะแนน 9,268 ของคุณใกล้หมดอายุแล้ว! รีบ แลกของขวัญเลย” บริเวณย่านถนนสุขุมวิทที่มีคนพลุกพล่าน ต่อมาพบคนร้ายเป็นชายสัญชาติจีน ทราบชื่อภายหลังคือ นายหยาง มู่ยี่ อายุ 35 ปี ตรวจสอบภายในรถพบเครื่องจำลองสถานีฐานกำลังทำงานอยู่ และมีการเชื่อมต่อกับเครื่องจ่ายไฟเคลื่อนที่ Power Station กำลังไฟ 8,000 W จำนวน 1 ตู้ , เราเตอร์ไวไฟ จำนวน 1 ตัว และโทรศัพท์มือถืออีกจำนวน 4 เครื่อง จากการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส พบว่าเป็นเครื่องส่งข้อความ (SMS) ซึ่งเป็น ในลักษณะของการจำลองเสา (false base station) เพื่อส่งสัญญาณปลอมของเครือข่าย AIS โดยอุปกรณ์นี้เป็นเครื่องวิทยุโทรคมนาคม ที่มีลักษณะการดัดแปลงการส่งสัญญาณในคลื่นความถี่ต่างๆ และจากการตรวจสอบก็ไม่พบการได้รับอนุญาตจาก กสทช.แต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อตรวจสอบแอปพลิเคชันที่ผู้ต้องหาใช้ส่งข้อความผ่านเครื่อง false base Station พบว่า ภายในเวลา 3 วัน (11-13 พฤศจิกายน 2567) มีการส่งข้อความไปแล้วเกือบ 1 ล้านครั้ง

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้ง 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ “ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้า ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต” , “ตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต” และ “ใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคม” ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.1 ดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปถึงตัวผู้จ้างวาน และเครือข่ายของขบวนการนี้เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติการจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นการปิดโอกาสของคนร้ายในการติดต่อประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญกรรมทางเทคโนโลยี ยังคงร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นต่อไป

ศปชก.สตม. รวบเจ้าของบริษัทรับแลกเงินดิจิทัลเถื่อน เชื่อมโยงคดีอุ้มคนจีน

(18 พ.ย. 67) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย  ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ช่วยราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หน.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้ ศปชก.สตม. รวบเจ้าของบริษัทรับแลกเงินดิจิทัลเถื่อน เชื่อมโยงคดีอุ้มคนจีน
ศปชก.สตม. จับกุมผู้ต้องหา ร่วมกันประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 2 คน ดังนี้

1. Mr.Long (นามสมมติ) อายุ 27 ปี สัญชาติจีน ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5462/2567 ลงวันที่ 12 พ.ย.2567 สถานที่จับกุม บริษัทรับแลกเงินดิจิทัล ย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ
2. นางสาวปริศนา (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5463/2567 ลงวันที่ 12 พ.ย.2567 สถานที่จับกุม บ้านพักในพื้นที่ อ.ภูหลวง จว.เลย นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ดำเนินคดีตามกฎหมาย จากกรณีเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2567 ได้เกิดเหตุมีคนร้าย 5 คน พร้อมอาวุธปืนสั้นและปืนยาว บุกเข้าไปในสำนักงานบริษัทแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ พื้นที่ สน.สุทธิสาร และข่มขู่นักธุรกิจจีน โดยเข้าค้นและยึดเงินจำนวน 3,200,000 บาท ไป จากนั้นจับตัวนักธุรกิจจีนทั้ง 2 คน เพื่อเรียกค่าไถ่ จนสุดท้ายได้เงินไปจำนวนกว่า 12 ล้านบาท ก่อนจะนำผู้เสียหายไปปล่อยไว้บนถนนย่านเกษตร-นวมินทร์  นั้น จนท.ศปชก.สตม. ได้สืบสวนขยายผลในคดีดังกล่าวพบว่าก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีไปได้ไปแลกเงินสกุลดิจิทัล  ที่บริษัทรับแลกเงินสกุลดิจิทัลเถื่อนย่านห้วยขวาง จากการสืบสวนทราบว่าบริษัทรับแลกเงินสกุลดิจิทัลดังกล่าวเปิดให้รับแลกเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมี Mr.Long และนางสาวปริศนา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท จึงได้   ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เพื่อดำเนินคดีกับทั้งสองคน ต่อมาศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับทั้ง 2 คน ในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต” จึงได้ทำการสืบสวนติดตามจับกุม จากการสืบสวนทราบว่า Mr.Long พักอยู่ที่บริษัทรับแลกเงินดิจิทัล ย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ ส่วนนางสาวปริศนา พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักในพื้นที่ อ.ภูหลวง จว.เลย จึงไปจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ให้เสียงภาษาไทยโดย 'พันธมิตร' ทีมพากย์ที่คนไทยคุ้นหู ประกาศลาวงการ

(18 พ.ย. 67) ปริภัณฑ์ 'โต๊ะ' วัชรานนท์ เจ้าของเสียงพากย์นักแสดงชื่อดังอย่าง เฉินหลง, โจวชิงฉือ และ หลิวเต๋อหัว ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ History ของยูทูบช่อง Songtopia เล่าถึงเส้นทางการพากย์ของตนเอง ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 32 ปีที่แล้วในภาพยนตร์เรื่อง "สายไม่ลับคังคังโป๊ย" ที่นำแสดงโดย โจวชิงฉือ

โต๊ะ ปริภัณฑ์ เผยในรายการว่า ในปีหน้า สงกรานต์จะครบรอบ 33 ปีของการพากย์ในเรื่องแรกอย่าง "สายไม่ลับคังคังโป๊ย" และเขาตั้งใจจะขอปิดฉากอาชีพพากย์เสียงหลังจากนั้น หรืออาจจะเป็นก่อนสงกรานต์ โดยให้เหตุผลว่า เขาทำงานพากย์มานานเกินกว่า 33 ปี และพากย์ภาพยนตร์ไปแล้วกว่า 3,000 เรื่อง ครบทุกแนวแล้ว

"ผมเริ่มพากย์ปี 2536 ตอนสงกรานต์ เรื่อง 'สายไม่ลับคังคังโป๊ย' และปีหน้าสงกรานต์ผมจะครบ 33 ปี...จบ พันธมิตรจบแน่นอน ผมพอแล้ว" โต๊ะกล่าว พร้อมเผยว่าในระยะหลังได้ปรึกษาผู้ใหญ่หลายคนที่ให้คำแนะนำให้ทำต่อไป แต่ในครั้งนี้เขาตัดสินใจปรึกษาตัวเองเพียงคนเดียว เพราะอายุ 60 กว่าปีแล้ว จึงอยากจะใช้ชีวิตอย่างสบายใจบ้าง และอาจรับงานพากย์บางเรื่องที่คิดว่าสนุกๆ แต่สำหรับการทำงานกับทีมพันธมิตรนั้น เขาตัดสินใจที่จะปิดฉากการทำงานร่วมกันแล้ว

"ตอนนี้กำลังรอจังหวะสักเรื่องหนึ่งที่มีตัวละครเยอะๆ เพื่อที่จะให้พวกน้องๆ ในทีมพันธมิตรมารียูเนียน และทำให้มันเป็นไปได้มากที่สุด อยากให้ทุกคนที่มีตัวให้พากย์มาร่วมกัน ถือเป็นการปิดฉากอย่างสวยงาม"

สืบ ตม.รวบ 18 จีน พร้อมคนนำพาชาวไทย ยึดมือถือ 35 เครื่อง ซิมการ์ด 92 เบอร์

(18 พ.ย. 67) กก.2 บก.สส.สตม. จับกุมนายอดิศักดิ์ (นามสมมติ) อายุ 43 ปี สัญชาติไทย โดยกล่าวหาว่า รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือ ด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม และจับกุมนายยีซุย (นามสมมติ) อายุ 21 ปี สัญชาติจีน พร้อมกับพวกรวม 18 คน โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม รีสอร์ตแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี
พฤติการณ์จับกุม เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการลักลอบขนคนต่างด้าว เข้าเมืองผิดกฎหมายมาพักไว้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี จึงได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวติดตามเฝ้าสังเกตการณ์ จนทราบจุดซ่อนตัวอยู่ที่รีสอร์ตใน ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นจึงได้เข้าตรวจสอบ พบชายชาวจีนซึ่งลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จำนวน 18 คน กระจายพักอาศัย 4 ห้อง และพบคนไทยทราบชื่อว่า นายอดิศักดิ์ จากการตรวจค้นภายในห้องพักพบโทรศัพท์มือถือจำนวน 35 เครื่อง ซิมการ์ดโทรศัพท์เมียนมา ซิมการ์ดระหว่างประเทศ รวม 92 หมายเลข จากการสอบถามชาวจีนทั้ง 18 คน ให้การว่าเดินทาง มาจากประเทศจีนเพื่อมาทำงานคอลเซ็นเตอร์ โดยเคยทำที่ประเทศลาว กัมพูชา และเมียนมา มาก่อน ในครั้งนี้ลักลอบเข้าประเทศไทยเพื่อจะเดินทางไปยังชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก และไปทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมา โดยได้ขึ้นรถที่บริเวณใกล้ชายหาด อ.หัวหิน มีนายอดิศักดิ์เป็นผู้ให้การช่วยเหลือในการจัดหารถ ขับรถนำทางมาที่รีสอร์ต เช่าห้องพักที่รีสอร์ต จัดหาอาหารให้ ส่วนโทรศัพท์และซิมการ์ดที่เจ้าหน้าที่ยึดได้นั้น จะนำไปใช้เปิดบัญชีโซเชียลมีเดีย เพื่อการหลอกลวงผู้เสียหาย ส่วนนายอดิศักดิ์ให้การว่าได้รับการว่าจ้างจากนายหน้าทางภาคใต้ ให้นำ คนจีนทั้ง 18 คน ไปส่งยังชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก โดยเป็นผู้นำทาง ติดต่อรถรับส่ง จัดหาอาหาร ได้รับเงินค่าจ้าง 12,000 บาทต่อคน เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมทั้ง 19 คน ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว และยึดของกลางไว้ตรวจสอบและสืบสวนขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘พีระพันธุ์ - เอกนัฏ - อรรถวิชช์’ ประสานมือช่วยเกษตรกร ดันร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมันรับมือเลิกชดเชยไบโอดีเซล

(18 พ.ย. 67) ‘พีระพันธุ์’ ตั้ง ‘อรรถวิชช์’ นั่งประธานคณะกรรมการยกร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน เร่งช่วยเหลือเกษตรกรและกลุ่มผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน ให้ได้รับค่าตอบแทนและผลประโยชน์ที่เป็นธรรม พร้อมรับมือกองทุนน้ำมันฯ เลิกชดเชยไบโอดีเซลอีก 2 ปีข้างหน้า คาด 5-6 เดือนเห็นรูปร่าง

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันไบโอดีเซลที่จะปรับตัวสูงขึ้น หลังสิ้นสุดการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปี พ.ศ. 2569  พร้อมหาแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่จะได้รับผลกระทบในอีก 2 ปีข้างหน้า

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนในฐานะที่มีส่วนกำกับดูแลกระทรวงอุตสาหกรรม ได้หารือกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้ง ปลัดกระทรวงพลังงาน และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา  และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อยกร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมันให้กับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน  โดยมอบหมายให้ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าว และคาดว่าภายใน 5-6 เดือนหลังจากนี้จะเริ่มเห็นรูปร่างของโครงการชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นายพีระพันธุ์กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปาล์มน้ำมันถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญกับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์มเป็นอย่างมาก และในอดีตน้ำมันปาล์มยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ในช่วงที่น้ำมันเบนซินมีราคาแพง โดยนำมาผสมกับน้ำมันเบนซิน ทำให้มีปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นและราคาถูกลง เรียกว่า น้ำมันไบโอดีเซล หรือ B 100   เนื่องจากน้ำมันปาล์มในช่วงเวลานั้นมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินหลายเท่า 

แต่ปัจจุบัน  ราคาน้ำมันปาล์มตกอยู่ที่ประมาณ 41-42 บาทต่อลิตร ซึ่งแพงกว่าเนื้อน้ำมันเบนซินที่นำมาผสมเกือบเท่าตัว จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศไทยแพงขึ้น และต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยให้ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร  ซึ่งเหลือเวลาให้ชดเชยได้อีกเพียง 2 ปีเท่านั้น ขณะเดียวกัน ด้านเกษตรกรผู้ผลิตปาล์มน้ำมันก็เริ่มมีปัญหาส่วนแบ่งราคากับโรงสกัด  และผลประโยชน์จากราคาน้ำมันปาล์มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ไปไม่ถึงเกษตรกรอย่างที่ควรจะได้รับ  

ทั้งนี้ จากผลผลิตน้ำมันปาล์มทั้งหมดในประเทศ  1 ใน 3 นำมาผสมกับน้ำมันดีเซลเพื่อใช้ภายในประเทศ ส่วนอีก 2 ใน 3  นำไปผลิตน้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์อื่นๆ  โดยมีการส่งออกในส่วนนี้ประมาณ 20% 

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เพื่อดูแลเกษตรกรผู้ผลิตปาล์มน้ำมันให้ได้ค่าตอบแทนผลผลิตที่เป็นธรรมและถูกต้อง จึงต้องร่างกฎหมายออกมาฉบับหนึ่ง ชื่อว่า กฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน ซึ่งจะมีรูปแบบเหมือนกฎหมายอ้อยและน้ำตาล เพื่อเป็นการรองรับในอีก 2 ปีข้างหน้า เมื่อกองทุนน้ำมันต้องหยุดชดเชยการผสมน้ำมันปาล์มในเนื้อน้ำมัน และต้องเร่งทำให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน รวมทั้งสายการผลิตที่จะนำผลปาล์มน้ำมันไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ดีกว่าในปัจจุบัน 

“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่สร้างความเป็นธรรม มีการจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างผู้ที่นำผลปาล์มน้ำมันไปผลิตเป็นน้ำมัน และทำให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ และจะมีการศึกษาพัฒนาต่อยอดการนำผลผลิตไปทำให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายพีระพันธุ์กล่าว

ก่อนหน้านี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเคยออกกฎหมายที่เรียกว่า ‘พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาล’ เพื่อวางระบบให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยได้รับผลประโยชน์จากการนำอ้อยไปผลิตเป็นน้ำตาล โดยมีการวางระบบจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างกันเพื่อทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น และจะเป็นต้นแบบในการร่างกฎหมายเพื่อดูแลปัญหาของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นปัญหาที่คล้ายคลึงกันต่อไป

โรงเรียนสหรัฐฯ ห้ามนักเรียนใส่ ทำเด็กเสียสมาธิ-ดีไซน์อันตราย

(18 พ.ย. 67) บลูมเบิร์กรายงานว่า มีโรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ ที่ประกาศห้ามนักเรียนใส่รองเท้าแตะแบรนด์ Crocs เนื่องจากมองว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยและรบกวนสมาธิของนักเรียน

รายงานระบุว่า Crocs Inc. ปัจจุบันมีมูลค่าถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้นจากการดีไซน์ที่ตอบโจทย์วัยรุ่นและความสบายในการสวมใส่ ซึ่งทำให้เป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมจากเด็กและวัยรุ่นอเมริกันในการใส่ไปโรงเรียน แต่กลับกลายเป็นปัญหาที่ทำให้หลายโรงเรียนในสหรัฐฯ เริ่มห้ามการสวมใส่รองเท้าแบรนด์นี้

Oswaldo Luciano พยาบาลโรงเรียนในนิวยอร์ก กล่าวว่าในโรงเรียนที่เธอทำงาน พบปัญหานักเรียนบาดเจ็บที่เท้า โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่ใส่รองเท้า Crocs ไปเรียน เธอกล่าวว่า "เมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครพูดถึงอาการบาดเจ็บที่เท้า สิ่งแรกที่ทุกคนจะพูดคือ 'ฉันพนันได้เลยว่าพวกเขาใส่รองเท้า Crocs อยู่'"

โรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ อย่างน้อย 12 รัฐ ได้ห้ามนักเรียนสวมรองเท้า Crocs โดยอ้างว่านักเรียนบางคนอาจสะดุดล้มขณะสวมรองเท้าแตะที่ไม่มีสายรัดนิรภัยหลังส้น ขณะที่บางโรงเรียนระบุว่ารองเท้านี้ทำให้เกิดอุบัติเหตุและเสียสมาธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากดีไซน์ที่โดดเด่นและสิ่งตกแต่งที่ติดมากับรองเท้า ซึ่งทำให้เด็กๆ สนใจสิ่งเหล่านั้นมากกว่าการเรียน

“นักเรียนทุกคนต้องสวมรองเท้าหัวปิดเพื่อความปลอดภัย (ห้ามสวมรองเท้า Crocs)” นโยบายเครื่องแบบของโรงเรียนประถม Lake City ในแอตแลนตาระบุ ขณะที่โรงเรียนมัธยม LaBelle ในเมือง LaBelle รัฐฟลอริดา ระบุว่า "ต้องสวมรองเท้าที่ปลอดภัยตลอดเวลา" และ "ไม่อนุญาตให้สวมรองเท้า Crocs"

Siobhan Joshua ช่างเทคนิคเภสัชกรรมในเมือง Yonkers รัฐนิวยอร์ก กล่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้ เธอซื้อรองเท้าผ้าใบแบบสวมให้ลูกสาววัย 10 ขวบเพื่อทดแทนรองเท้า Crocs ที่โรงเรียน หลังจากที่โรงเรียนห้ามสวมรองเท้าแบบส้นเตี้ยในช่วงพักกลางวันด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ลูกสาวของเธอเคยได้รับบาดเจ็บจากรองเท้า Crocs ที่ติดบันไดเลื่อนจนทำให้พลัดตก และต้องเย็บแผลที่หน้าแข้งถึง 8 เข็ม แต่ลูกสาวยังคงชอบรองเท้า Crocs และสวมมันนอกโรงเรียน

แอนน์ เมห์ลแมน ประธานแบรนด์ Crocs และรองประธานบริหาร กล่าวว่า บริษัทไม่ทราบข้อมูลที่บ่งชี้ว่ามีการห้ามเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน Crocs ซึ่งมีกำหนดรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 พบว่า ยอดขายประจำปีเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา จากความนิยมของรองเท้าที่ใส่สบายและมีสีสันสดใส

ด้าน นีล ซอนเดอร์ส กรรมการผู้จัดการฝ่ายค้าปลีกของ GlobalData กล่าวว่า การซื้อรองเท้าสำหรับใช้ในช่วงเปิดเทอมถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ ถึงแม้ว่าซอนเดอร์สจะบอกว่า ยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งชี้ว่าการห้ามรองเท้า Crocs จะส่งผลกระทบต่อยอดขาย

Crocs กล่าวว่า ข้อจำกัดที่โรงเรียนกำหนดนั้น "น่าสับสน" และยังคงยืนยันว่า แม้จะมีบางโรงเรียนห้าม แต่รองเท้าเหล่านี้ก็ยังคงเป็น "รองเท้าสำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top