Tuesday, 1 July 2025
Hard News Team

"ผอ.สสน.นทพ." ตรวจเยี่ยมชุดควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง

พล.อ.นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) มอบหมายให้ พล.ต.ธนินทร์  พู่ทองคำ ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผอ.สสน.นทพ.) ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและรับทราบปัญหาข้อขัดข้องพร้อมมอบแนวทางในการปฏิบัติให้แก่ชุดควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นกำลังพลที่ นทพ. จัดสนับสนุนศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) กทม. ในการดูแลควบคุมแคมป์คนงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจัดกำลังพลจากสำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สนภ.1 นทพ.), สำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สทพ.นทพ.) และสำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สสน.นทพ.) สนธิกำลังกับตำรวจ เทศกิจ และเจ้าหน้าที่เขตลาดกระบัง เข้าดูแลควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง จำนวน 12 แห่ง เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งเฝ้าระวังรวบรวมข้อมูลสถานการณ์และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำส่งผู้ป่วยติดเชื้อให้เข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ เพื่อปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานในพื้นที่เสี่ยง ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานโดยพลการหรือหลบหนี ตามนโยบายของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสั่งการของ พลเอก เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส./หน.ศปม.) เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของชาติให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วต่อไป

“โฆษกปชป.”เผย “จุรินทร์”ย้ำ ทุกภาคส่วนของพรรค ลุย ช่วย ปชช. สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ เต็มที่ แนะเพิ่มช่องทางสื่อสารโดยมีเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก  พรรคขอเป็นกำลังใจและแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกคน สถานการณ์ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อผ่านพ้นไปให้ได้ ในส่วนของพรรค โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ย้ำกับบุคลากรของพรรคทุกคน ให้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ลำบากให้ได้มากที่สุด ซึ่งตั้งแต่แรกเริ่มที่มีการแพร่ระบาดพรรคได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตลอดมา การตั้งศูนย์ในส่วนกลาง ทั้งทำการประสานให้คำปรึกษา ส่วนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. อดีต ส.ส. ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดทุกเขต ก็จะมีการให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนตลอดมา และจนถึงขณะนี้ได้สื่อสารย้ำให้ประชาชนยังต้องป้องกันตัวเองด้วยวิธีการตามที่กำหนด การสวมหน้ากาก การหมั่นล้างมือ การไม่รวมกลุ่มสังสรรค์กันเป็นจำนวนมาก ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยป้องกันได้ ในทุกพื้นที่บุคลากรของพรรคจะมีทั้งการแจกหน้ากาก การบริการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ การช่วยหาเตียงให้ผู้ป่วยการมอบอาหารให้กลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัว และที่สำคัญให้การสนับสนุนความสะดวกร่วมกันทำงานกับบุคลากรทางการแพทย์ 
       
นายราเมศ กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่าบุคลากรทางการแพทย์ทุ่มเททำงานกันอย่างหนักแทบจะไม่มีเวลาพัก ขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน และเชื่อว่าคนไทยส่งกำลังให้เช่นกัน 
ขณะนี้รัฐต้องเพิ่มช่องทางการสื่อสารที่จำต้องให้มีเจ้าภาพหลักอย่างแท้จริงในการรวบรวมข้อมูลและสื่อสารให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อป้องกันความสับสน การคัดกรองผู้ติดเชื้อย่อมมีความสำคัญ และการคัดแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อให้มีพื้นที่รองรับที่พอเพียงก็สำคัญเช่นกัน ควบคู่ไปกับกระบวนการในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เชื่อว่าหากมีการอธิบายความจริงของการทำงานประชาชนพร้อมจะรับฟังและจะเกิดความเขื่อมั่นในที่สุด 

บริหารโรคระบาดจนมง..ลง ‘ไทยมียอดติดเชื้อรายวันอันดับหนึ่งของโลก’

นางสาวเกศปรียา แก้วแสนเมือง รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ชี้ ในที่สุดเวลาก็เปิดเผยความจริงและความสามารถ ของรัฐบาลเผด็จการทหารซ่อนรูปในเสื้อคลุมประชาธิปไตยปาหี่ ที่ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อความต้องการอยู่ในอำนาจตลอดกาลของตนเอง โดยไม่ได้พิจารณาความสามารถตนเองในการบริหารจัดการเพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ก่อนหน้านี้ไม่มีสถานการณ์โรคระบาด รัฐบาลทหารก็ใช้การโฆษณาชวนเชื่อว่า ตนเองมีความสามารถ ถึงขั้นออกมาโวช่วงแรกๆ ที่แย่งชิงอำนาจมาจากประชาชนว่า บริหารประเทศไม่เห็นยาก แต่ประชาชนฐานรากของประเทศรับรู้มานานมากกว่า 4 ปี แล้ว ว่า ถ้าให้รัฐบาลทหารอยู่ต่อไปพวกเค้าจะอดตาย แต่ในช่วงนั้นพวกชนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือนยังไม่ได้รับผลกระทบ เสียงบ่นของกลุ่มฐานรากยังดังไม่พอ 

พอสถานการณ์โรคระบาด โควิด 19 ปรากฏขึ้น เมื่อปลายปี 2562 ทั้งประเทศตาสว่างเริ่มเห็นความสามารถ และวิธีคิดที่มองออกจากตนเอง ประเมินว่าตนเองเหนือกว่าประชาชนของรัฐบาล ความผิดพลาดจากการบริหารงานไม่เคยพิจารณาตนเอง โยนความผิดให้ประชาชนและคนอื่น บริหารสถานการณ์โรคระบาดโดยเอาผลประโยชน์ส่วนตนเองเป็นที่ตั้ง

เริ่มจากล็อกดาวน์ประเทศเป็นเวลายาวนาน เพื่อหลีกเลี่ยงม๊อบขับไล่รัฐบาล รักษาอำนาจตนเองเป็นหลัก แต่ไม่คำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจของประชาชนทั้งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ สร้างคนจนเพิ่มขึ้นสูงสุดในอาเซียนต่อมาบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาด วัคซีนขาดแคลน โดยนำภาษีของประชาชนทั้งประเทศหลายหมื่นล้านไปซื้อของราคาสูงคุณภาพต่ำ มาฉีดให้ประชาชน ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนไทยต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน อย่าง สัตว์เลี้ยง ไก่ เป็ด หมา แมว ที่เจ้าของสัตว์มีสิทธิ์เลือกวัคซีนให้สัตว์ของตนเอง แต่ประชาชนไทยไม่มีเสรีภาพในการเลือกวัคซีน ต้องทนเป็นหนูทดลองวัคซีนให้รัฐบาลที่ไม่สามารถตัดสินใจจัดหาวัคซีนที่ประสิทธิภาพป้องกันโรคและคุณภาพอันดับต้นๆ ให้ประชาชนได้ ข้อผิดพลาดครั้งนี้เป็นความผิดที่ร้ายแรงและอำมหิตมาก เพราะเป็นการฆ่าคนไทยทางอ้อม 

ข้อผิดพลาดจากการบริหารจัดการอีกประการ คือ เมื่อกรุงเทพมหานครมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากจนสถานพยาบาลรับไม่ไหว รัฐบาลก็ตัดสินบริหาร แบบนำโครงการแพร่เชื้อเพื่อชาติ มาบริหารสถานการณ์โรคระบาด โดยปิดล็อคกรุงเทพมหานคร ปิดกิจการที่มีผู้ติดเชื้อสูงอย่างก่อสร้างเพื่อให้แรงงานเดินทางกลับบ้าน จะได้ไปเผยแพร่เชื้อที่จังหวัดที่แรงงานเดินทางกลับไป อีกกรณีที่ทำให้สถานการณ์โรคระบาดรุนแรงขึ้นของโครงการแพร่เชื้อเพื่อชาติ คือ วัคซีนขาดแคลนทำให้ไม่สามารถส่งวัคซีนไปต่างจังหวัดที่จะมีแรงงานสุ่มเสี่ยงติดเชื้อเดินทางกลับไปได้ 

ความผิดพลาดในการบริหารจัดการโรคระบาดของรัฐบาลที่เห็นแก่อำนาจตนเองนี้ ส่งผลให้ไทยมียอดผู้ติดเชื้อรายวันเป็นอันดับหนึ่งของโลกในวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 ต้องปรบมือรัวๆ ให้กับวิธีการบริหารยอดแย่ของรัฐบาลนี้ 

นอกจากไร้ความสามารถในการบริหารแล้ว เวลาที่ประเทศไทยเสียไปกว่า 7 ปี ความสูญเสียทางเศรษฐกิจและการเสียโอกาสของประเทศ ทำให้ประชาชนเห็นความจริงว่า รัฐบาลนี้ดูแคลนประชาชน มองว่าประชาชนผู้จ่ายภาษีเงินเดือนให้พวกรัฐบาล คือ คนละระดับกับพวกรัฐบาล กฏหมายทุกอย่างที่บังคับใช้กับประชาชนรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีไม่ปฏิบัติตาม เช่น กรณีคณะรัฐมนตรีไปภูเก็ตทั้งคณะไม่มีใครใส่หน้ากากอนามัยที่มีกฏหมายบังคับให้ประชาชนทุกคนสวมใส่ แต่คณะรัฐมนตรีหัวเราะร่วนโดยไม่มีหน้ากากอนามัย หรือว่ากำลังหัวเราะเยาะประชาชนที่กำลังร้องไห้ด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัส จากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์โรคระบาดที่ไม่มีที่รับรักษา

โฆษกรัฐบาล แจงยิบ ขยายห้องไอซียู-เพิ่มเตียง-รพ.สนาม หลัง นายกฯสั่ง แก้ปัญหาเตียงขาด ยืนยัน รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้อย่างเต็มที่

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของรัฐบาลในการบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ทั้งกลุ่มผู้ป่วยโควิดสีแดง และสีเหลืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ซึ่งมีความห่วงใยต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ดำเนินการจัดเตรียมเตียงไว้สำหรับรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 อย่างเต็มที่

นายอนุชา กล่าวว่า โดยในส่วนของโรงพยาบาลบุษราคัม กระทรวงสาธารณสุข ได้หารือกับผู้บริหารเมืองทองธานีเพื่อต่อสัญญาใช้สถานที่สำหรับทำโรงพยาบาลบุษราคัมต่อไปอีกจนถึงสิ้นเดือน ต.ค. 64 นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อรับผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล รวมถึงผู้ป่วยจากจังหวัดใกล้เคียง และแบ่งเบาภาระ และบรรเทาปัญหาการขาดแคลนเตียงในพื้นที่ กทม. ทำให้โรงพยาบาลบุษราคัมขยายเตียงเพิ่มได้อีก 1,500-2,000 เตียง รวมมีเตียงรองรับผู้ป่วยอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง (สีเหลือง) ได้ประมาณ 3,700-4,000 เตียง โดยมีการบูรณาการความร่วมมือกับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ ในการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาช่วยดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงใน กทม.

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังได้รับรายงานถึงความร่วมมือจากกระทรวงกลาโหม โดยได้หารือและพิจารณาร่วมกันในแต่ละส่วนของกองทัพ ถึงขีดความสามารถทางการแพทย์ทหารในการร่วมระดมปรับเกลี่ยบุคลากรทางการแพทย์ทหาร เสริมโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เร่งขยายห้องผู้ป่วยไอซียูในโรงพยาบาลทหารต่างๆในพื้นที่ กทม. และขยายขีดความสามารถ พื้นที่ มทบ.11 สนับสนุนอาคารและสถานที่จัดทำโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม โดยร่วมกับโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ดูแลผู้ป่วยสีแดงและเหลือง จำนวน 178 เตียง และร่วมกับโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ดูแลผู้ป่วยสีเขียว เพิ่มเติมอีก 176 เตียง นอกจากนี้ โรงพยาบาล 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลวชิรพยาบาล จะเปิดเตียงสีแดงเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้า ซึ่งได้มีการขอสนับสนุนกำลังบุคลากรทางด้านสาธารณสุขในส่วนของแพทย์เฉพาะทาง แพทย์จบใหม่ และพยาบาล มาช่วยดูแลผู้ป่วยโควิด-19 อีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมสถานพยาบาลเพื่อรองรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ตามอาการต่าง ๆ และมีการดูแลอย่างเป็นระบบ โดยสถานะสถานพยาบาล (ณ 30 มิ.ย.64) สถานการณ์เตียงของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จาก 9 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต กระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลเอกชน มีเตียงทั้งหมด รวมจำนวน 31,505 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 26,069 เตียง และรองรับได้เพิ่มเติมจำนวน 5,436 เตียง ทั้งนี้ จำแนกตามระดับเตียง ได้แก่ เตียงระดับ 3 (สีแดง) จำนวน 1,317 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 1,203 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม 114 เตียง เตียงระดับ 2 (สีเหลือง) จำนวน 12,782 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 11,090 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม 1,692 เตียง และเตียงระดับ 1 (สีเขียว) จำนวน 17,404 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 13,776 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม 3,628 เตียง 

นายอนุชา กล่าวว่า ส่วนโรงพยาบาลสนาม (ณ 30 มิ.ย. 2564) ได้แก่ (1)  การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ปัจจุบันมีทั้งหมด 53 แห่ง พร้อมรับจำนวน 11,104 เตียง ขยายได้เป็น 12,822 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 3,840 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 7,264 เตียง  (2) สถานะการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของกระทรวงกลาโหม สนับสนุนอาคารสถานที่ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ จำนวน 31 แห่ง พร้อมใช้งาน จำนวน 4,770 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 1,394 เตียง และรองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 3,376 เตียง (3) สถานะการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของ กทม. ปัจจุบันมีทั้งหมด 10 แห่ง พร้อมรับ จำนวน  2,502 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 2,101 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 401 เตียง รวมสถานะการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามจาก 3 หน่วยงานดังกล่าว ปัจจุบันมีทั้งหมด 94 แห่ง พร้อมรับ จำนวน 18,376 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 7,335  เตียง และรองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 11,041เตียง 

นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับโรงพยาบาลสนามแบบโรงแรม (Hospitel) รวมทั้งสิ้น จำนวน 77 แห่ง เปิดให้บริการแล้วจำนวน 59 แห่ง พร้อมใช้งาน จำนวน  14,559 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 13,061 เตียง และรองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 1,498 เตียง ขณะเดียวกันก็มีการบริหารจัดการเตียงสำหรับผู้ป่วยต่างด้าวในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยฮอสพิเทลปัจจุบันมีจำนวน 10 แห่ง พร้อมใช้งาน 2,755 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 2,252 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 503  เตียง โรงพยาบาลสนาม จำนวน 9  แห่ง พร้อมใช้งาน 4,542 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 3,589 เตียง และรองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 953 เตียง

“เด็กพลังธรรมใหม่” ซัด “เอ๋ ปารีณา” หัดเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยไม่ได้ก็พูดให้น้อย เย้ย บางคนน่าเวทนากว่า ร้องไห้เพราะไม่ได้ตำแหน่งสมใจ แนะ เอาเวลาไปสู้คดีให้พ้นคุกจะดีกว่า 

นายณัฐดนัย ชนิตร์วัฒน์ รองเลขาธิการพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึง นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดสาธารณสุขว่ารู้สึกไม่เห็นด้วยกับการใช้น้ำตานั้น ว่า น.ส.ปารีณา ต้องเข้าใจและหัดเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอยู่ในภาคพื้นสนามและต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19 ทุกนาที การที่ นพ.ธงชัย มีน้ำเสียงเหมือนร้องไห้ นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ทำงานอย่างหนัก จนสุดกลั้น ถึงขั้นต้องระบายความอึดอัดใจออกมา ฉะนั้นบรรดานักการเมืองที่ทำงานตากแอร์อยู่บนหอคอย เมื่อท่านช่วยไม่ได้ ก็ขอร้องให้พูดน้อยลงหน่อยก็จะเท่ากับช่วยบุคลากรทางการแพทย์ได้แล้ว

“น.ส.ปารีณากล่าวหารองปลัดสธ.ว่าใช้น้ำตาแบบไม่มีสติ ใช้แต่อารมณ์ แต่ผมคิดว่ายังดีกว่าคนที่ร้องไห้เพราะผิดหวังจากตำแหน่งประธานอนุกรรมาธิการงบประมาณ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง ประชาชนเขาจะเวทนาเอาเปล่าๆ ผมขอฝากให้ น.ส.ปารีณา เอาเวลาไปต่อสู้คดีของตัวเองที่ไม่รู้จะติดคุกเมื่อไหร่ ดีกว่ามานั่งจับผิดคนที่เขาทำงานอย่างตั้งใจเพื่อประเทศชาติและประชาชน” นายณัฐดนัย กล่าว

นายณัฐดนัย กล่าวต่อว่า การเสียน้ำตาของรองปลัดสธ.ครั้งนี้ ฝ่ายบริหารควรต้องหันกลับมาใส่ใจ และตระหนักถึงวิกฤตโควิดที่บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนต้องเหนื่อยและตรากตรำสู้อยู่ ต้องหัดยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นและรีบแก้ไข มิใช่พูดไปส่งเดชว่ายังเอาอยู่ ทั้งๆ ที่แต่ละวันมีทั้งหมอและพยาบาลสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่ไร้คนเหลียวแล วันนี้ด่านหน้าที่สู้กับวิกฤตของประเทศคือพวกเขา ไม่ใช่นักการเมือง ฉะนั้นหยุดใส่ร้ายว่าบุคลากรทางการแพทย์ออกมาเพื่อสร้างดราม่า เพราะพวกเขาทุกคนไม่มีความจำเป็นต้องออกมาสร้างภาพเหมือนบรรดานักการเมืองที่หิวแสง

ศปฉ.ปชป. ทำงานเชิงรุก เร่งประสาน รพ.รอบนอกเพิ่มเติมทั้งรัฐและเอกชน หลังมีตอบรับแล้ว 2 แห่ง ช่วยรับเคสสีเขียวผู้ป่วยโควิด-19 

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้รับผิดชอบประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อ ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 (ศปฉ.ปชป.) เปิดเผยว่าจากสถานการณ์วิกฤตเรื่องเตียงผู้ป่วยโควิด-19 ในรอบสัปดาห์นี้ที่ตัวเลขพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับจำนวนเตียงที่จะรองรับ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้มีผู้ป่วยรอเตียงตกค้างอยู่ที่บ้านจำนวนมาก ทั้งสีเขียวและสีเหลือง บางรายเข้าข่ายสีแดงที่ต้องเร่งหาเตียงให้อย่างรวดเร็ว

จากสถานการณ์ “วิกฤตเตียงผู้ป่วยโควิด” ในปัจจุบัน ตนเองและทีมจิตอาสาของพรคฯ ได้ประสานไปยังโรงพยาบาลที่อยู่โดยรอบกรุงเทพมหานครเพื่อช่วยระบายผู้ป่วย โดยเฉพาะเคสสีเขียวที่ยังเคลื่อนย้ายและเดินทางได้สะดวก ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริหารโรงพยาบาลของรัฐแล้วแห่งหนึ่งคือโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มมีการส่งตัวผู้ป่วยไปเข้ารับการักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้วมากกว่า 10 ราย และจะทยอยส่งเพิ่มเติมอีกในกรณีที่โรงพยาบาลยังมีเตียงว่างและสามารถรับผู้ป่วยได้ รวมถึงโรงพยาบาลเอกชนในย่านสมุทรปราการที่พร้อมรองรับผู้ป่วยเคสสีเขียวรักษาตัวใน Hospitel รวมทั้งเคสสีเหลืองที่จะนำไปแอดมิทในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลสนามของทหารเรือที่อยู่ระหว่างการประสานงานเพิ่มเติม เพื่อช่วยรองรับผู้ป่วยอีกด้วย

นางดรุณวรรณ กล่าวด้วยว่าทีมจิตอาสาของพรรคฯ ทำงานจริงจัง ต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่เปิดศูนย์มา มีระบบในการประสานงานที่ดี มีทีมที่หลากหลาย ทั้งแพทย์ พยาบาล วิศวกร อดีต ส.ส. ส.ก.อดีตผู้สมัครของพรรค และทีมยุวประชาธิปัตย์ ทำให้ทำงานได้รวดเร็ว เข้าใจปัญหา ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนที่ร้องขอความช่วยเหลือมา รวมถึงโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ร่วมงานด้วย ที่สำคัญคือไม่ทิ้งผู้ป่วยและคอยติดตามประสานงานอย่างใกล้ชิด

ด้าน นพ.ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า ยินดีรับผู้ป่วยทุกรายที่ส่งต่อมา ที่เป็นเคสสีเขียวตามศักยภาพของโรงพยาบาลที่รับได้ ส่วนตัวแล้วอยากช่วยเหลือประเทศชาติในยามวิกฤต โดยไม่เลือกผู้ป่วยว่าจะมาจากพื้นที่ไหนก็ตาม ทั้งนี้โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย เป็นโรงพยาบาลสมาร์ท ฮอสปิทัล (Smart Hospital) ที่คว้ารางวัลเป็นเลิศระดับประเทศในปี 2563 ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั่วประเทศมีเพียง 5 หน่วยงานที่ผ่านการประเมินระดับเป็นเลิศ
“เรายินดีช่วยรับเคสให้ทุกรายถ้ายังมีเตียงและมีบุคลากรรองรับ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาแบ่งแยกว่าใครอยู่ที่ไหน จังหวัดอะไร ที่ไหนเตียงว่างก็ต้องช่วยกันรับผู้ป่วย เพราะทุกคนคือคนไทยด้วยกันทั้งนั้น.. ผมไม่มีสิทธิปฏิเสธคนไข้ เพราะผมเป็นหมอและเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน” นพ.ประวัติ กล่าว

ด้านนางดรุณวรรณ กล่าวเสริมว่า ขอบคุณทีมแพทย์พยาบาลทุกคนที่เสียสละทำงานอย่างหนัก ช่วยรับผู้ป่วยแม้จะต้องเหนื่อยมากขึ้นก็ตาม รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและทีมจิตอาสาที่ได้ทำงานร่วมกันมาตลอด 
“พวกเรายืนยันจะทำงานกันอย่างเต็มที่ภายใต้กลไกที่มี อาจจะเร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่จะตั้งใจทำเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤตได้โดยเร็ว” นางดรุณวรรณ กล่าว

รวมน้ำใจคนไทย!! 'คนละไม้_คนละมือ'​ ช่วยเหลือคนพิการ คนยากไร้ คนด้อยโอกาส และบุคลากรการแพทย์ 'สู้ภัยโควิด19'

รวมน้ำใจคนไทย!! 'คนละไม้_คนละมือ'​ ช่วยเหลือคนพิการ คนยากไร้ คนด้อยโอกาส และบุคลากรการแพทย์ 'สู้ภัยโควิด19'

นางสาวภัสวรินทร์ กิตติโชคกุลพัทธ์​ นายกสมาคมส่งเสริมและพัฒนาคนพิการไทย 'คุณเมตตา มะตัน'​ (พี่ยะห์)  จิตอาสา นำน้ำสมุนไพรจำนวน 150 ขวด 'คุณยุภาพร เตสระน้อย'​ นำข้าวกล่อง จำนวน 100 กล่อง เพื่อนำไปมอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของ โรงพยาบาลแหลมฉบัง และ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เพื่อเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ถึงแม้จะเจอสถานการเลวร้ายแต่เราคนไทยไม่ทิ้งกัน 

ต่อจากนั้นลงพื้นที่ หมู่ 8 อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี นำรถเข็น Wheelchair ขนาดใหญ่พร้อมด้วยข้าวสารอาหารแห้ง ไปมอบให้คนพิการยากไร้ โดยได้ให้การแนะนำเรื่อง สิทธิสวัสดิการของคนพิการในด้านต่างๆ เพื่อนำไปพัฒนาและต่อยอด ในการดำรงชีวิตได้อย่างเข้มแข็งสืบไป

#เราไม่ทิ้งกัน
#คนละไม้_คนละมือ

'เฉลิมชัย'​ เร่งปั้น 'โลว์คอสต์แอร์คาร์โก้สินค้าเกษตร'​ ผนึก 'ภาครัฐ-เอกชน'​ ช่วยเกษตรกรขยายตลาดส่งออกทั่วโลก

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมเรื่องการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าทางอากาศ​ (Air cargo system) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำหน้าที่ประธานการประชุมและได้สั่งการให้เร่งดำเนินการพัฒนาระบบการขนส่งทางอากาศ​ (Air Cargo System) สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร​ ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างและระบบ​ 3​ ส่วนสำคัญได้แก่ คาร์โก้เทอร์มินัล (Cargo Terminal), สายการบินคาร์โก้​ (Air Cargo Fleet) และศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร-อาหารแบบครบวงจรในคาร์โก้เทอร์มินัล

โดยร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ดำเนินการที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองและท่าอากาศยานภูมิภาคที่มีความพร้อมเช่นเชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ ภูเก็ต เป็นต้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเป็นการบริหารโอกาสของประเทศไทยภายใต้วิกฤติโควิด19

ทั้งนี้สถาบันอาหารประเมินว่าในปี 2564 การส่งออกสินค้าอาหารของไทยจะมีมูลค่า 1.08-1.10 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2-12.2% เทียบกับปีที่ผ่านแม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์โควิด 19 สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทย

สำหรับศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร-อาหาร ณ คาร์โกเทอร์มินัลซึ่งทำหน้าที่ให้บริการตรวจสอบรับรองสินค้าเกษตรและอาหารทั้งสินค้าพืช ประมง และปศุสัตว์ตามมาตรฐานสากลจะต้องบริการด่วน​ (Express Service) แบบวันสต็อปเซอร์วิสใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายของภาคเอกชนทั้งนำเข้าและส่งออกเพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นฮับการผลิตและขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารของอาเซียน

นายอลงกรณ์กล่าวว่า ดร.เฉลิมชัยได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าได้หารือเบื้องต้นกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับโครงการแอร์คาร์โก้สินค้าเกษตร และมอบที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรเร่งประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนต่อไปโดยเร็ว 

“นอกจากนี้ผู้ประกอบการบินได้นำเสนอสถานการณ์ของธุรกิจการบินและแนวทางการพัฒนาสายการบินขนส่งสินค้าทางอากาศในลักษณะโลคอสต์แอร์คาร์โก้โดยมุ่งเป้าหมายตลาดจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ตะวันออกกลาง ยุโรปและอเมริกาด้วยอัตราค่าบริการถูกกว่าอัตราค่าขนส่งในปัจจุบันและเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐมนตรีเกษตรฯ​ โดยพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เนื่องจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารต้องการความสะดวกรวดเร็วส่งถึงลูกค้าปลายทางทั่วโลกด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับสากลซึ่งการขนส่งทางอากาศคือคำตอบ”

'ผบช.สตม.' นำทัพลงพื้นที่ตรวจเข้มชายแดน 3 จังหวัดชายแดนใต้ วางแผนสกัดคนหลบหนีเข้าเมือง ห่วงโควิดระบาด

4 กรกฎาคม 2564 ที่ จ.นราธิวาส พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.), พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ศุภชาติ เวชพร ผกก.ตม.จว.นราธิวาส, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.​ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ลงพื้นที่ตรวจแนวชายแดนใน อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ซึ่งมีช่องทางส่วนใหญ่เป็นช่องทางธรรมชาติที่คนต่างด้าวและชาวไทยใช้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ทหาร และฝ่ายปกครองในพื้นที่ ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากชายแดนประเทศมาเลเซีย

พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้เป็นไปตามข้อสั่งการของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เน้นย้ำกำชับให้กวดขันเกี่ยวกับการหลบหนีเข้าเมือง โดยก่อนหน้านี้บริเวณ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นช่องทางที่คนไทยที่ทำงานในประเทศมาเลเซียลักลอบหนีกลับเข้าประเทศ โดยไม่ผ่านช่องทางปกติ เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะเพื่อนบ้านเรามีสถิติติดเชื้อค่อนข้างสูง

จากการประชุมและตรวจสอบ​ ร่วมกับ พล.ต.ต.พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี และ พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ ผบก.ภ.จว.ยะลา ทราบว่าสถานการณ์การลักลอบเข้าเมืองลดน้อยลงเพราะตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะด้านพรหมแดนเปิดให้คนไทยข้ามแดนได้สามวันต่อสัปดาห์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คณะของ พล.ต.ท.สมพงษ์ ได้ลงพื้นที่ตรวจชายแดนช่องทางธรรมชาติ อ.เบตง จ.ยะลา และ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส และด่านผ่านแดนจุดต่างๆที่เชื่อมกับประเทศมาเลเซีย โดยมีการกำชับให้แต่ละพื้นที่เฝ้าระวังการหลบหนีเข้าแดนโดยผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด โดยกำชับให้ตำรวจ ตม. ปฏิบัติตามนโยบายปฏิบัติราชการ รวม 5 มาตรการ คือ...

1.ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อสกัดกั้นการระบาดในพื้นที่เป้าหมายและสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายกลุ่มเสี่ยง บังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มเสี่ยงต่อการแพร่โรค ต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่

2.การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายให้เพิ่มความเข้มข้นในการสกัดกั้นและปราบปรามจับกุมคนต่างด้าว ขยายผลอย่างต่อเนื่อง

3.กำชับให้เพิ่มความเข้มในการใช้กฎหมาย กรณีคนต่างด้าวสัญชาติจีน ให้ตรวจสอบก่อนและหลังอนุญาตว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่

4.การกักตัวคนต่างด้าวให้ดำเนินการตามมาตรการเมื่อรับตัวผู้ต้องกักต้องมีการคัดกรอง

และ 5.สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดสายพันธ์ใหม่ ให้มีมาตรการมนการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ในส่วนของเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

ด้าน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รองบช.สตม./โฆษก สตม., พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1/รองโฆษก สตม. ร่วมกันเปิดเผยว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ทั้งนี้ สตม. ขอเรียนให้ทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่​www.immigration.go.th

'ผู้ช่วยฯ รอย' ต่อยอดนโยบาย ผบ.ตร. จัดโครงการ นัดหมาย พงส.แจ้งความผ่าน ออนใลน์ ล่วงหน้า 11 สถานีนำร่อง เริ่มใช้แล้ววันนี้

'ผู้ช่วยฯ​ รอย'​ ต่อยอด นโยบาย ผบ.ตร. จัดโครงการ นัดหมาย พงส.แจ้งความผ่าน ออนใลน์ ล่วงหน้า  11 สถานีนำร่อง เริ่มใช้แล้ววันนี้ 

เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2564 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.,และ รักษาราชการแทน ผบช.ภ.2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการแพร่ระบาดของโรค โควิด 19  เพื่อต้องช่วยหยุดการแพร่กระจายโรคติดต่อร้ายแรง และลดความแออัดบนโรงพักในการใช้บริการที่สถานีตำรวจในพื้นที่ บช.ภ.2 รวมถึง จากแนวนโยบายและเจตนารมณ์ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข 
ผบ.ตร.ที่ต้องการบริการให้ประชาชนให้ได้รับความสะดวก ในการแจ้งความ จึงได้จัดทำโครงการ นัดหมาย พนักงานสอบสวนล่วงหน้า ทาง Online ในบางคดีความผิด ขึ้น เช่น คดียักยอกทรัพย์ ,คดีฉ้อโกง,คดีหมิ่นประมาท, คดี พ.ร.บ.เช็คฯ ซึ่งไม่ได้เป็นคดีเร่งด่วน #เมื่อนัดหมายวันเวลาแล้วค่อยมาพบ พนักงานสอบสวน เพื่อความสะดวกของประชาชน

ด้าน พล.ต.ต.สุรจิต ชินวรรน์ รอง ผบช.ภ.2 กล่าวว่า โครงการดังกล่าว ชื่อโครงการนัดหมาย พนักงานสอบสวนล่วงหน้า ผ่านระบบออนไลน์”เพื่อความสะดวกรวดเร็วกับพี่น้องประชาชน  นั้น เป็นวิสัยทัศน์แล้วก็นโยบายของ รรท.ผบช.ภ.2 โดยตำรวจภูธรภาค 2 ได้ใช้สถานีตำรวจ สภ.เมือง ทุก ภ.จว.และ เทศบาลเมืองพัทยา รวมเป็น 11 สภ.

ประกอบด้วย สภ.เมืองชลบุรี​สภ.พัทยา,​สภ.บางละมุง,​ สภ.แสนสุข สภ.เมืองปราจีนบุรี,​ สภ.เมืองระยอง,​ สภ.เมืองนครนายก,​ สภ.เมืองจันทบุรี,​ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา,​ สภ.เมืองตราด,​ สภ.เมืองสระแก้ว ในเวลา 10.00 น.ถึง 19.00.น. ในวันเวลาราชการใน 4 ข้อหาหลัก ก็คือคดียักยอก คดีฉ้อโกง คดีหมิ่นประมาทและคดี พ.ร.บ.เช็คฯ ต้องขอขอบคุณ ผบ.ตร.ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญเร่งรัดโครงการต่างๆเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมสามารถบริการพี่น้องประชาชนให้พึงพอใจสูงสุด 

สำหรับขั้นตอนนั้น ให้โหลดแอปพลิเคชัน หรือ สแกนคิวอาร์โค้ด ตามที่แจ้งให้ทราบ แล้วลงทะเบียน โดยกรอกข้อความรายละเอียด แล้วนัดหมาย กับพนักงานสอบสวน และมีการผ่านการตอบนัดหมาย จะมีการยืนยันระหัส โอทีพี​ (OTP) ถือว่าแล้วเสร็จการนัดหมาย สะดวก ปลอดภัย ลดความหนาแน่น โดยโครงการดังกล่าวนี้สามารถ ใช้บริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้ง 11 สถานี ซึ่งฝากว่าหากพบปัญหาหรือมีข้อเสนอแนะ ตำรวจภูธรภาค 2 น้อมรับและยินดีนำไปปรับปรุงระบบให้รองรับการบริการประชาชนให้ดีขึ้นต่อไป พร้อมทั้ง บช.ภ.2 ยังได้จัดทำคลิป แนะนำให้พี่น้องประชาชาชน เพื่อรณรงค์การใช้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวนี้ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top