Wednesday, 2 July 2025
Hard News Team

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับบทความ 'การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน' ของ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า...

บทความของ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ที่เขียนไว้สองปีแล้ว แต่ก็ดูน่าจะเป็นจริงขึ้นมาเรื่อย ๆ

การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน

30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

(1) ช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้...ใครก็ไม่รู้? ได้ไปเอาคำพูดของนักเขียน นักปรัชญาชาวอิตาลีรายหนึ่ง ชื่อว่า อุมแบร์โต เอโค (Umberto Eco) ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อซัก 3 ปีที่แล้ว มาเผยแพร่เอาไว้ในช่องทางการสื่อสารที่เรียก ๆ กันว่า ไลน์ อะไรประมาณนั้น และแม้ว่า อันตัวข้าพเจ้าเอง จะไม่รู้เรื่อง รู้ราว ไม่เคยได้สัมผัสกับช่องทางการสื่อสารประเภทนี้ แต่เมื่อน้อง ๆ เขางัดมาโชว์ให้เห็น ก็ต้องยอมรับว่า...ออกจะเป็นคำพูดที่น่าคิด สะกิดใจ มิใช่น้อย...

(2) คือว่ากันตามสำนวนภาษาปะกิต...ที่ว่าเอาไว้ว่า Social media gives legions of idiots the right to speak when they once only spoke at a bar after a glass of wine, without harming the community. Then they were quickly silenced, but now they have the same right to speak as a Nobel Prize winner. It’s the invasion of the idiots. ก็คงประมาณว่า...แต่ก่อนนั้นพวกคนประเภทปัญญาอ่อน ได้แต่พูดอะไรโง่ ๆ ในบาร์หลังจากที่เมาไวน์กันไปพอสมควร แล้วเป็นอันต้องหุบปาก โดยไม่ได้ก่อให้เกิดพิษภัยร้ายแรงอะไรมากมายต่อผู้คน แต่หลัง ๆ นี้...ก็ด้วยสิ่งที่เรียกว่า โซเชียลมีเดีย นั่นเอง ที่ทำให้บรรดาคนเหล่านี้มีสิทธิ์จะพูดอะไรต่อมิอะไรได้เท่ากับผู้ที่มีชื่อ มีเสียง ระดับนักคิด นักปราชญ์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ไพรซ์ เอาเลยก็ว่าได้ และนี่ก็คงแทบไม่ต่างไปจาก การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อนทั้งหลาย...

(3) โดยคำพูดที่ว่านี้...ถูก-ไม่ถูก เข้าท่า-ไม่เข้าท่า อันนั้นคงต้องไปพิจารณากันเอาเอง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ออกจะเป็นเรื่อง จริง ไม่ใช่อิงนิยายโดยเด็ดขาด สำหรับยุคนี้ สมัยนี้ เพราะอะไรที่มันเคยถูกพูด ๆ อยู่ในแวดวงผู้คนแค่ไม่กี่คน หรือในหมู่ผู้คนที่ระดับวาสนาใกล้เคียงกันและกัน ไม่ว่าจะเป็น มธุรสวาจา หรือ มทุเรศวาจา ประเภทขึ้นมึง-ขึ้นกู แจกกล้วย และแจกผลไม้รวม ทั้งหลาย ที่ถ้าหากฟังกันในหมู่เพื่อนฝูง หรือในหมู่คนปัญญาอ่อนด้วยกัน ก็ไม่ถึงกับเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าชัง มากมาย ถ้าเข้าหูซ้ายแล้วไม่ทะลุออกไปทางหูขวา ก็แกะออกได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

(4) แต่ก็ด้วยสิ่งที่เรียกว่า โซเชียล มีเดีย นั่นเอง...ที่มันมีส่วนช่วยให้ กล้วย ธรรมดา ๆ กระจอก ๆ ของบรรดาพวกปัญญาอ่อนในแต่ละราย กลายสภาพเป็น อภิมหากล้วย ใหญ่โต มโหฬาร ขมึงทึง ยิ่งกว่าศิวลึงค์พระอิศวรเอาเลยก็ไม่แน่ คือสามารถด่าทอ กล่าวหา โจมตี ตอบโต้เล่นงานใครต่อใคร ในระดับไม่ใช่แค่คำพูดหลังบาร์ หลังแก้วเหล้า หลังจากไม่เหลือสติสัมปชัญญะอยู่ภายในสมอง ในร่างกาย แต่เพียงเท่านั้น แต่สามารถแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ระดับผู้คนนับเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ หรืออาจเป็นล้าน ๆ ต้องคอยแงะ คอยแกะ คอยเตรียมน้ำเอาไว้ล้างหู ชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เอาเลยก็ว่าได้...

(5) การที่เทคโนโลยีอันสุดแสนจะก้าวหน้า ทันสมัย อย่าง โซเชียลมีเดีย มันได้เปิดพื้นที่ สร้างพื้นที่ ให้กับคนโง่ คนปัญญาอ่อน คนหยาบ ๆ คาย ๆ อย่างชนิดกว้างขวางใหญ่โตไม่น้อยไปกว่านักคิด นักปราชญ์ ผู้ที่มีสติปัญญา มีความสามารถระดับรางวัลโนเบล ไพรซ์ อย่างที่นาย อุมแบร์โต เอโค แกได้อุปมา-อุปมัยเอาไว้ทำนองนี้ มันก็เลยน่าจะส่งผลให้เกิดฉากสถานการณ์ในแบบที่แกเรียก ๆ เอาไว้ว่า การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน อุบัติขึ้นมาในสังคมต่าง ๆ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ และถือเป็นฉากสถานการณ์ที่ออกจะท้าทาย ต่อบรรดาผู้ที่คิดดี ใฝ่ดี หรือผู้ที่ต้องการให้สังคมเป็นไปในทางที่ดีทั้งหลาย ว่าจะหาทางรับมือกับ กองทัพคนปัญญาอ่อน เหล่านี้อย่างไรดี มันถึงจะเหมาะสม สอดคล้อง กับ ข้อเท็จจริงทางสังคม...

(6) คือจะไปปิดกั้น ปิดช่อง ปิดทาง ปิดประตู ปิดหน้าต่างในแต่ละบาน ๆ นั้น...คงแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าในทาง เทคโนโลยี หรือแม้แต่ในทาง กฎหมาย ก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากปล่อยเลยตามเลย ปล่อยให้วันแมน-วันโหวต ถือว่าเสียงทุกเสียงย่อมต้องมีความเสมอภาค มีสิทธิ์แสดงออกอย่างเท่าเทียมกันทั้งสิ้น ไม่ว่าระหว่างเปล่งเสียงมันจะออกอาการอ้วกแตก เมาแล้ว เมาเล่า แทบไม่เหลือสติสัมปชัญญะ ไม่เหลือสาระประโยชน์ใด ๆ อยู่ในคำพูด ในเสียงแต่ละเสียงเอาเลยแม้แต่น้อย ตามหลักเสรีภาพหรือหลักประชาธิปไตยใด ๆ ก็แล้วแต่ อันนี้...มันก็ออกจะยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่า อยู่พอสมควร เพราะการคุยกับคนบ้า การว่ากับคนเมานั้น ไม่เพียงแต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใด ๆ เผลอ ๆ อาจก่อให้เกิดโทษหนักบ้าง เบาบ้าง ไปตามสภาพ...

(7) มันก็เลยดูเหมือนจะมีอยู่แค่วิธีเดียวเท่านั้น...อย่างที่บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ท่านเคยออกมาชี้แนะ ชี้นำเอาไว้ ว่าจะต้องหาทางทำให้ผู้คนในสังคม มีความเจริญทางสติปัญญา ทางศีลธรรม คุณธรรม ให้มาก ๆ เข้าไว้ อันอาจพอช่วยให้ เสรีภาพ ที่เปิดกว้างอย่างแทบปราศจากขอบเขต ถูกนำใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์กับสังคมนั้น ๆ ได้จริง ๆ และอาจจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร คงต้องเก็บไปคิดกันเอาเองก็แล้วกัน ที่ทำให้สิ่งที่เรียก ๆ กันว่า ประชาธิปไตยนั้น ยังไง ๆ ...คงต้องหาทางทำให้มันมีความผนึกแนบแน่นไปกับศีลธรรม คุณธรรม ให้มาก ๆ เข้าไว้ แม้แต่จะต้อง ควบคุม หรือกำกับ ก็อาจถือเป็นความจำเป็นอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

ทรรศนะ ชัชรินทร์-ไชยวัฒน์

การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน

 

 

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10218733401917425&id=1570777112

https://www.thaipost.net/main/detail/39767


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เครือข่ายปชช.ปกป้องประเทศ ร้องผู้ตรวจฯ สอบรัฐบริหารวัคซีนโควิดไม่มีประสิทธิภาพ อัดจัดซื้อแต่ซิโนแวค คุณภาพต่ำราคาแพง เจตนาเลี้ยงไข้ จี้เร่งอนุญาตเอกชนนำเข้า ไฟเซอร์ - โมเดอร์น่า แบบไม่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม        

ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ นำโดย พญ.กมลพรรณ ชีวะพันธ์ศรี และนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายวัทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจฯขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข ผอ.องค์การเภสัชกรรม ผอ.องค์การอาหารและยา คณะกรรมการบริหารวัคซีน รมว.มหาดไทย กรณีบริหารจัดการวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพ  

พญ.กมลพรรณ กล่าวว่า หลายหน่วยงานในต่างประเทศ รวมทั้งแพทย์ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ต่างก็ออกมาระบุว่า เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพต่ำ ราคาแพง แต่รัฐบาลก็ยังกลับสั่งนำเข้ามาใช้กับประชาชนจำนวนมาก ขณะเดียวกันโรงพยาบาล เอกชนซึ่งต้องการนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ โมเดอร์น่า หน่วยงานของรัฐทั้งองค์การเภสัชกรรม องค์การอาหารและยา กลับดำเนินการอนุญาตล่าช้า ซ้ำยังเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งส่งผลเสียทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพล่าช้า และถูกโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 47 กำหนดว่าบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมาตรา 55 ระบุว่ารัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง ดังนั้นรัฐควรจะสนับสนุนให้เอกชนนำเข้าวัคซีนโดยไม่จัดเก็บภาษี หรือนำเข้าเองมาฉีดให้กับประชาชน 

“วันนี้มีคนติดเชื้อวันละ 5,000 คน เสียชีวิตวันหลายสิบคน แต่กลับใช้เงินกู้ 2 ครั้งกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เยียวยาประชาชนคนละเล็กน้อยไม่พอใช้ โดยไม่คิดจะทุ่มงบประมาณไม่เกินแสนล้านจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาให้กับประชาชน วัคซีนไฟเซอร์ ราคา 300-500 บาท จำนวน 60 ล้านโดส 2 เข็มใช้เงินแค่หลักหมื่นล้านบาท ก็สามารถฉีดให้กับประชาชนได้ครอบคลุมทั้งประเทศ แต่รัฐบาลกลับไม่ดำเนินการเจตนาเหมือนต้องการเลี้ยงไข้และต้องการจัดหาวัคซีนเพียงซิโนแวคเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่สามารถบริหารจัดการให้สามารถป้องกันโรคได้ การกระทำของรัฐบาลและหน่วยงานทั้งหมด จึงเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้า ทำงานล่าเช้า และถ่วงเวลา” พญ.กมลพรรณ กล่าว 

“ภูมิใจไทย” ยันพร้อมร่วมประชุม ตามคำสั่ง “ประธานสภา” ด้าน “ณัฏฐ์ชนน” เผยกลัวติดโควิด เพราะไทม์ไลน์จะสร้างปัญหาจังหวัด-บุคคลใกล้ชิด ย้ำต้องระวังตนเองให้มาก

ที่รัฐสภา นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า พรรคภูมิใจไทยยืดตามประกาศของสภาว่านายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งให้ประชุมหรือไม่หรือมีมาตรการอย่างอื่นอย่างใด ซึ่งถ้าในอนาคตมีการขออนุญาตงบเงินกู้หรือประกาศสงครามที่ให้อำนาจรัฐสภา หากทุกคนใช้สิทธิความเป็นส่วนตัวไม่มาประชุมก็ไม่ได้ ฉะนั้นอยากให้เพื่อนสมาชิกรัฐสภาทุกคนฟังการประกาศของนายชวนเป็นหลัก ซึ่งพรรคภูมิใจไทยทั้ง 61 คนพร้อมเข้าร่วมประชุมรัฐสภาตามที่นายชวนออกหนังสือเชิญ แต่ในกรณีกฎหมายแต่ละฉบับนั้น ในการแสดงตนก็มีเหตุผลของพรรคในเรื่องข้อกฎหมาย จึงอยากให้เข้าใจด้วยว่าเราไม่เจตนาจะให้สภาล่ม 

เมื่อถามว่าคิดว่าจะมีเหตุการณ์การประชุมสภาล่มอีกหรือไม่ หากนายชวนยังเดินหน้าประชุมต่อ นายณัฏฐ์ชนน กล่าวว่า ตนคิดว่าสมาชิกสภาผู้ทนราษฎรเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด ถามว่าพวกตนเป็นส.ส.กลัวหรือไม่ ต้องตอบว่ากลัว เพราะหากพวกตนติดโควิด-19 ไทม์ไลน์ต่าง ๆ จะสร้างปัญหาให้กับจังหวัดหรือบุคคลใกล้ชิด ฉะนั้นวันนี้พวกตนก็ต้องระวังตนเองให้มาก นอกจากนี้ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) หรืออนุกมธ.ฯ ต่าง ๆ ก็เป็นหน้าที่ของประธานรัฐสภาที่จะดูแลเรื่องนี้

เครือข่ายแรงงาน-สนท. บุกทำเนียบ วางโลงศพ ตู่-ป้อม-ป๊อก-หนู-เฮ้ง ประชดรัฐ จี้จ่ายเยียวยา 5 พันบาท นาน 3 เดือน

ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน นำโดย นางสาวสุธิลา ลืนคำ ผู้จัดการโครงการ สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ได้กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยนำโลงศพ ซึ่งมีการติดรูปภาพพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งติดภาพโลโก้พรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ล้อมสายสิญจน์ วางดอกไม้จันทน์ และอาหารสุนัข จากนั้นได้มีการทำพิธีกรรมสวดมนต์ จุดธูปเทียน ก่อนที่จะเริ่มปราศรัยอย่างดุเดือด ชี้ให้เห็นถึงความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงาน และตัวแทนกลุ่มได้ประกาศข้อเรียกร้อง ดังนี้

1.) ขอให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาฉีดให้กับประชาชนทุกคนเพื่อป้องกันโควิด-19 ภายในเดือนตุลาคมนี้โดยให้รัฐบาล มอบหมายให้สำนักงานประกัน (สปส.) และบริษัทเอกชนสามารถสั่งซื้อวัคซีนได้โดยตรง

2.) กรณีที่พนักงานหยุดงานเพราะถูกกักตัวหรือเจ็บป่วยจากติดเชื้อโควิด-19 จึงต้องไปรักษาตัว ขอให้รัฐบาลจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวน และไม่ถือเป็นวันลาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 

3.) ให้รัฐบาลจัดให้มีการตรวจคัดกรองเชิงรุกในสถานประกอบการให้กับลูกจ้างทุกคน

4.) ให้รัฐบาล เยียวยาประชาชนและแรงงานข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19 เงินคนละ 5,000 บาทถ้วนหน้า เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคมถึงกันยายน หรือจนกว่าประชาชนจะได้รับวัคซีนเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร

5.) ขอให้รัฐบาลจัดรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลประชาชนอย่างมีคุณภาพ

6.) ขอให้นายกรัฐมนตรีลาออกเนื่องจากบริหารงานล้มเหลว

7.) พร้อมสนับสนุนกลุ่มราษฏรยืนยันไม่ลดเพดานขอเรียกร้อง 3 ข้อ

จากนั้นตัวแทนของกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ได้ประกาศที่จะนำโลงศพดังกล่าว ที่ผ่านการทำพิธีในวันนี้ไปทำกิจกรรมด้วยการเผาในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ บริเวณหน้ากระทรวงสาธารณสุข 

“บิ๊กตู่” พอใจ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch ให้ Rating ไทยที่ BBB+ อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ สะท้อนภาพความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลก และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากข้อมูลจาก Fitch Ratings (Fitch) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่สะท้อนความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ที่ได้รายงานไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมาโดยยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) สะท้อนภาพความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลก และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ การจัดอันดับของ Fitch Rating มีตัวชี้วัดจากภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ซึ่งสะท้อนภาพความแข็งแกร่งของการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลัง ซึ่งแม้ว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจากการกู้เงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่ยังคงมีความเข้มแข็ง และส่งผลต่อการจัดอันดับความเชื่อถือของประเทศไทย โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง เพียงพอสำหรับใช้จ่ายถึง 10.8 เดือน ขณะที่กลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Peers) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 9.3 เดือน นอกจากนี้ คาดว่าในปี 2564 ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยจะยังคงเกินดุลที่ร้อยละ 0.5 ต่อ GDP และจะเกินดุลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนั้น Fitch ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลไทยสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่เข้มแข็ง ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ เดือนเมษายน 2564 มีอายุเฉลี่ย (Average Time to Maturity: ATM) ค่อนข้างยาว คือ 9.5 ปี และมีสัดส่วนหนี้สาธารณะสกุลเงินบาทมากกว่าร้อยละ 98 ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (BBB peers) เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โปรตุเกส ฮังการี บัลกาเรีย รัสเซีย และคาซัคสถาน เป็นต้น ที่มีค่ากลางของหนี้สกุลท้องถิ่นอยู่ที่ร้อยละ 68.8 นอกจากนั้น สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ต่อ GDP ของประเทศไทย  

ในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 52.7 ต่อ GDP จากการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และการมีกฎหมายการกู้เงินเพิ่มเติม ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าค่ากลางของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันที่ร้อยละ 59.4 
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 Fitch เชื่อมั่นว่า น่าจะเริ่มฟื้นตัวเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าและการเร่งรัดการเบิกจ่ายโครงการลงทุนของภาครัฐ อีกทั้ง คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 เนื่องจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายนอกประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์การระบาดคลี่คลาย เศรษฐกิจฟื้นตัวและรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจะทำให้รัฐบาลจัดทำงบประมาณขาดดุลลดลง 

“รัฐบาลพึงพอใจกับการจัดอันดับ และเสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว และพยายามเร่งการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างกว้างขวางให้ครอบคลุม รวมถึงการเปิดจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดนำร่อง (Phuket Sandbox) ไปแล้ว เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลาง ตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และจะเริ่มเปิดพื้นที่อื่น ๆ ที่มีความพร้อมต่อไป เช่น เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า ในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ตามนโยบายเปิดประเทศภายใน 120 วันของนายกรัฐมนตรี” นายอนุชา กล่าว

‘บิ๊กป้อม’ ติดตาม ช่วยเหลือคนยากไร้ ประชุม คกก. "สมัชชาคนจน" สั่งทุกหน่วยงานเร่งแก้ไข ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว มอบ ร.อ.ธรรมนัส ลงพื้นที่ รับข้อเรียกร้องเพิ่มเติม รัฐบาลพร้อมช่วยคนจน ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ และคณะทำงานภายใต้คำสั่ง คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ซึ่งมีความคืบหน้าในภาพรวม พร้อมกำชับหน่วยงานที่รับผิดชอบ รวมถึง ผวจ.ทุกพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัด การแก้ไขปัญหาที่เป็นธรรม รวดเร็ว และรายงานให้คณะกรรมการฯ ทราบทุกเดือน

จากนั้น ที่ประชุมได้เห็นชอบ ข้อเสนอของสมัชชาคนจน พร้อมรับข้อเรียกร้องอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อลดผลกระทบ และบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ อทิ การขอใช้ประโยชน์ที่ดินทำกิน ,การของดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ และการขอรับค่าทดแทน กรณีต้องออกจากพื้นที่ เป็นต้น 

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับคณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน กษ.,ทส.,มท.,กค.และทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบ จะต้องเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหา ของสมัชชาคนจน ให้ครอบคลุมทุกมิติและให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว พร้อมรับข้อเสนอเพิ่มเติม เพื่อพิจารณา และหาแนวทางช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ของพี่น้องประชาชน ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำ มุ่งให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างยั่งยืน ตามเจตนารมณ์ "ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"

พล.อ.ประวิตร  ยังได้ มอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กษ./ประธานอนุกรรมการประสานงานเร่งรัดฯ ลงพื้นที่จริง เพื่อติดตาม การแก้ไขปัญหาร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติ ซึ่งจะทำให้สมัชชาคนจนได้รับการช่วยเหลือตรงตามความต้องการ ภายใต้กรอบ กม.ที่เป็นธรรม อย่างรวดเร็ว อีกด้วย

‘แรมโบ้’ กระชากหน้ากาก ‘หมอบุญ’ ซัด เป็นนายทุนในคราบหมอ จ้องหากินกับวัคซีน

5 กรกฎาคม นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ชี้แจงตอบโต้กรณีข่าว นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลแคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกมากล่าวหาโจมตีการจัดหาวัคซีนของรัฐบาล ว่าล่าช้า ไม่ยอมดำเนินการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ โมเดอร์น่า โดยยกย่องว่าเป็นวัคซีนที่ดีที่สุด อ้างว่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาใช้นั้นเป็นเกรดซี และอ้างว่าประเทศเพื่อนบ้านเราได้รับไฟเซอร์กันหมดแล้ว

นายเสกสกล ระบุว่า คนในวิชาชีพหมอ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ยกมือไหว้ได้ เคารพได้ เพราะรักษาชีวิตผู้คน ยกเว้นหมอบางจำพวกที่แท้จริงเป็นนายทุน เป็นนักแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่อยู่ในคราบหมอ

น่าเสียใจที่หมอบุญ ซึ่งเป็นนักธุรกิจหลายประเภท ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโรงพยาบาลเอกชน ได้ออกมาให้ข้อมูลที่บิดเบือน เจตนาจะทำให้คนเข้าใจผิดในการทำงานของภาครัฐ และการจัดหาวัคซีน ซึ่งก็ดูแลโดยทีมหมอที่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ในยามนี้

ในความเป็นจริง หากดูไทม์ไลน์แล้ว ภาครัฐไม่ได้ล่าช้าเลย

25 ก.พ. 64 ก่อนการระบาดใหญ่ องค์การเภสัชฯ ติดต่อตรงไปแสดงความจำนงค์ ไปยัง บ.โมเดอร์นา ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อสั่งจองวัคซีนกว่า 5 ล้านโดส พร้อมสอบถามความเป็นไปได้ว่า จะได้ทัน มิ.ย. 64 หรือไม่

28 ก.พ. 64 องค์การเภสัชฯ ได้รับคำตอบกลับมา ว่าซัพพลายมีจำกัดเนื่องจากมีความต้องการสูงมาก ทำให้สามารถส่งได้เร็วสุด คือ ไตรมาสแรกของปีหน้า (มกราคม - มีนาคม 2565)

1 เม.ย. 64 องค์การเภสัชฯ สอบถามเพิ่มเติมว่า Moderna ได้ตั้งบริษัทใดเป็น Authorized dealer เนื่องจากมีผู้แสดงตัวว่า สามารถนำวัคซีนเข้าให้ไทยได้มากกว่า 2 ตัวแทน

2 เม.ย. 64 บ.โมเดอร์นา ได้แจ้งว่า อยู่ระหว่างการเจรจากับ ‘บริษัทซิลลิค’ (Zuellig Pharma LTD.) แต่เพียงผู้เดียว และหวังว่า จะสรุปสัญญากับ ซิลลิค ให้เร็วที่สุด

15 พ.ค. 64 บริษัท ซิลลิค ฟาร์มา ได้ออกแถลงการณ์ว่า ‘การจัดซื้อวัคซีนของโมเดอร์นา ต้องจัดซื้อผ่านตัวแทนภาครัฐเท่านั้น ในที่นี้ คือ องค์การเภสัชกรรม’ เนื่องจากเป็นข้อกำหนดของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนฯ เพื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลเอกชน จัดส่งความต้องการวัคซีนจริง พร้อม ‘วางเงิน’ เพื่อให้องค์กรเภสัช สั่งวัคซีนจากบริษัท ซิลลิค ตัวแทนจัดหน่ายวัคซีน Moderna ในประเทศไทย

2 ก.ค. 64 องค์การเภสัชฯ ได้รับเอกสารจากฝั่งของซิลลิค เพื่อแนบไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา

ย้ำ เพิ่งได้รับเอกสารวันที่ 2 ก.ค. หลังจากวันที่ นพ.บุญออกมาพูด ไม่ใช่ว่าภาครัฐเพิ่งทำ หลังนพ.บุญโจมตี แต่ภาครัฐดำเนินการมาโดยตลอด เจรจามาโดยตลอดเพื่อขอให้ได้วัคซีนมาเร็วที่สุด แต่ฝ่ายเอกชนเพิ่งส่งเอกสารมาภายหลังเช่นเดียวกับวัคซีนไฟเซอร์ ลงนามใบจองไปแล้ว 20 ล้านโดส เร่งให้ได้ของเร็วที่สุดแล้ว คือ ไตรมาส 4 ปีนี้ ร่างสัญญาจะเข้า ครม.

ถ้าหมอบุญ ใจบุญต่อประเทศชาติและคนไทยจริง ทำไมไม่เร่งให้ผู้ผลิตวัคซีนทั้งโมเดอร์น่า ทั้งไฟเซอร์ รีบดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ รวมทั้งขอขึ้นทะเบียน อย. เพิ่งมาขอขึ้นทะเบียนภายหลัง ซึ่งทางการไทยก็ดำเนินการให้อย่างรวดเร็วที่สุด

ถ้าหมอบุญใจบุญจริง เมื่อองค์การเภสัชฯ ประกาศจะขายวัคซีนโมเดอร์นา ให้โรงพยาบาลเอกชน ราคา โดสละ 1,100 บาท (ราคารวมรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าขนส่ง ค่าประกันภัยรายบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) โรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ควรจะนำไปขายต่อในราคาที่มีส่วนต่างมากเกินไป

อย่างโรงพยาบาลเอกชนของหมอบุญ ก็แจ้งว่าจะคิดบริการรวมค่าฉีดวัคซีน 1,700 บาท ต่อโดส ประกาศรับชำระค่าวัคซีนทางเลือกก่อนแล้วด้วย มีส่วนต่างราคาที่รับมาจากองค์การเภสัชกรรมถึงโดสละ 600 บาท จำนวน 5 ล้านโดส ก็คือส่วนต่าง 3,000 ล้านบาท

ยิ่งพฤติกรรมของหมอบุญที่ออกมากล่าวหา กดดันให้รัฐต้องรีบเซ็นสัญญา ทั้ง ๆ ที่ ภาครัฐก็ต้องเจรจาเพื่อให้เสียเปรียบน้อยที่สุด แต่หมอบุญกลับมีผลประโยชน์ทับซ้อนเช่นนี้ ยิ่งทำให้เห็นธาตุแท้แห่งพฤติกรรมว่า ต้องการทำเพื่อคนไทยจริง ๆ หรือเพื่อหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจจากการค้าวัคซีน

สมแล้วที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ออกมาเตือนว่า โรงพยาบาลเอกชน และผู้ซื้อ ต้องตกลงเงื่อนไขต่าง ๆ กันให้ได้ก่อน เพราะการซื้อวัคซีนดังกล่าว รัฐบาล หรือ องค์การเภสัชจะต้องไม่รับความเสี่ยงใด ๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงเรื่องการเงิน เช่น หากรัฐบาลจ่ายเงินให้ก่อน แล้วเอกชนเปลี่ยนใจไม่เอา ซื้อมาแล้วก็จะส่งผลกระทบกับรัฐบาล กรณี นพ.บุญ วนาสิน จะมาโทษกระทรวงสาธารณสุข หรือรัฐบาลไม่ได้เลย หากอยากซื้อเพื่อเอากำไร ก็ต้องไปเจรจากับบริษัทผู้ผลิตให้เรียบร้อย แล้วก็ค่อยมาแจ้งองค์การเภสัช เพื่อจะเร่งดำเนินการให้ แต่ก็อย่ามามือเปล่า

คราวที่แล้ว หมอบุญออกมาโจมตีองค์การเภสัชฯ แล้วในที่สุดลูกหลานต้องออกมาทำหนังสือขออภัย ครั้งนี้เอาอีกแล้วหรือ

บรรดาคุณหมอที่ไปช่วยงานภาครัฐจัดการวัคซีน ล้วนเป็นนักวิชาการเก่งกล้าด้วยใจบริสุทธิ์ แต่กับนายทุนธุรกิจโรงพยาบาล (ในคราบหมอ) ที่เห็นช่องทางหารายได้เพิ่ม เที่ยวไปสัญญากับประชาชนแล้วมากดดันภาครัฐว่าเป็นจระเข้ขวางคลอง เช่น การอ้างว่ารู้จักคนใหญ่คนโตบริษัทฯ วัคซีนต่างชาติ ถ้าจริงดังว่า ทำไมไม่ติดต่อจัดหามาให้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตนจึงอยากเตือนหมอบุญ ว่าพฤติกรรมตอนนี้ทำให้หน้ากากหลุดไปเยอะแล้ว คนเห็นธาตุแท้ล่อนจ้อนแล้ว อย่าให้เด็กรุ่นหลังต้องไปขุดคุ้ยพฤติกรรมเกี่ยวกับธรณีสงฆ์อัลไพน์ขึ้นมาเรียนรู้กันเลยว่าใครเป็นนักบุญ ใครเป็นคนบาป ร่วมด้วยช่วยแนะนำให้แปลงธรณีสงฆ์จนมาเป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์และหมู่บ้านจัดสรรในความดูแลของตนเอง

ยิ่งในวงการการเมืองตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเขารู้กันดีว่า หมอที่เป็นนักล็อบบี้ยิสต์เครือข่ายใกล้ชิดนายทักษิณ วิ่งเข้าหาผลประโยชน์เพื่อธุรกิจตัวเองจนร่ำรวยมหาศาลเป็นหมอในคราบนักบุญใจบาปเป็นหมอคนไหน และเป็นหมอที่ชี้นิ้วสั่งนักการเมืองบางกลุ่มได้เพราะมีผลตอบแทนล่อจูงใจ นักการเมืองรุ่นเก่า ๆ ทุกคนรู้จักหมอคนนั้นเป็นอย่างดี

ถึงอย่างไร หากแม้นสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นหมอ โดยเป็นนายทุนนักธุรกิจเต็มตัวแล้ว ก็อย่าได้ถึงขนาดเสียหมาไปกับการบิดเบือนข้อมูลการจัดหาวัคซีนเพื่อโจมตี ดิสเครดิตคนทำงานให้เสียกำลังใจเลย จิตแห่งความดีเพื่อประเทศชาติประชาชน ก็ขอให้มีมโนธรรมสูงกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวบ้างสักนิดจะได้ไหม อย่าถึงขั้นตัองหน้ามืดตามัว มองแต่ผลประโยชน์ส่วนต่างจากวัคซีน โดยไม่ห่วงประเทศชาติ ไม่สนใจว่าผลกระทบจากคำพูดและการกระทำของตัวเองเลย ที่จะส่งผลเสียหายให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อนายกฯ และบุคลากรที่ตั้งใจทำงาน เพียงเพื่อหวังให้ประชาชนออกมารุมกระหน่ำซ้ำเติม ตำหนิโจมตีด่าทอนายกฯ และรัฐบาลอย่างหนัก

พฤติกรรมการกระทำของหมอบุญเช่นนี้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง การเป็นหมอของหมอบุญอย่านึกถึงแต่ผลประโยชน์ธุรกิจตัวเองมากเกินไป ประเดี๋ยวจะเสียหมอเป็นเสียหมามากกว่า


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ด่วน! สั่งถอนกำลังจนท.ดับเพลิงออกจาก ‘โรงงานย่านกิ่งแก้ว’ หลังเพลิงโหมใกล้ถังน้ำมันแล้ว

สืบเนื่องจากกรณี วันนี้ 5 ก.ค. 64 ได้เกิดเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตโฟม และเม็ดพลาสติก ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยระหว่างเพลิงไหม้มีเสียงระเบิดดังขึ้น เหตุเกิดเมื่อเวลา 03.30 น. ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น 

ทั้งนี้ช่วงเวลา 12.45 น. มีรายงานว่า มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ #โรงงานกิ่งแก้วไฟไหม้ ถอนกำลังออกเวลานี้ เนื่องจากไฟกำลังเข้าใกล้ถังน้ำมันแล้ว 

 

ที่มา : https://www.naewna.com/local/585199


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เลขาธิการแพทยสภา ชี้ สงครามนี้ เราจะสูญเสีย บุคลากรการแพทย์ อีกไม่ได้แล้ว หนุนให้วัคซีนไฟเซอร์ เข็ม 3 เผย หลายโรงพยาบาล วิกฤตจนต้องปิดหน่วยบริการ ด้านชาวโซเชียลออกโรงหนุน

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen ระบุว่า ขอสนับสนุนให้วัคซีนเข็ม 3 กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า

ตามที่มีการประชุมเรื่องการพิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์ ที่จะได้รับ 1.5 ล้านโดส ในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้ ในกลุ่มบุคคลใดบ้าง #โดยมีผู้เสนอให้บุคลากรทางการแพทย์ด้านหน้า ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มไปแล้วควรได้รับเพิ่ม ในการประชุมคณะกรรมการด้านวิชาการวัคซีน กรมควบคุมโรค ที่ผ่านมานั้น

ด้วยบุคลากรทางการแพทย์ ในด่านหน้าเสมือนเป็นทหารอาสาสู้ศึก Covid-19 ที่ต้องเสียสละตนเอง โดยมีโอกาสได้รับเชื้อจากผู้ป่วยตลอดเวลา ย่อมถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่สุด กว่ากลุ่มใด ๆ

ในการออกรบจำเป็นต้องได้รับ "เกราะป้องกันที่ดีที่สุด" เพื่อให้เขาสามารถ "อยู่รอด" ปฏิบัติงานคุ้มครองผู้ป่วยได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เชื้อระบาดอย่างรุนแรงวิกฤต จนจำนวนบุคลากร ไม่เพียงพอ อยู่แล้ว

การติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ คนหนึ่งไม่เพียงทำให้เขาหยุดงาน แต่กลายเป็นภาระของผู้ร่วมงานที่ต้องปฏิบัติงานแทน ขึ้นเวรแทน ทำงานมากขึ้น

ในขณะที่หลายแห่งเพิ่มเตียงในตึกคนไข้ เพิ่มหน้าที่ไปดูแลโรงพยาบาลสนาม และเพิ่มไปออกหน่วยฉีดวัคซีน ตามที่ทุกท่านทราบดี ซึ่งทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยเต็มกำลังและล้ามากแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ในหลายโรงพยาบาล วิกฤตจนต้องปิดหน่วยบริการ ปิด opd ปิดตึกผู้ป่วย ปิดห้องผ่าตัด ปิดห้องฉุกเฉิน กระทบต่อผู้ป่วยโดยตรง ทั้งที่ป่วยเป็น covid และไม่ใช่ covid ไม่สามารถเข้ารักษาพยาบาลได้ ส่วนหนึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างน่าเสียดาย

ในสภาวะปัจจุบันที่ผู้ป่วยจำนวนมากยังรอการรักษาพยาบาล รอเตียงที่บ้าน จนภาครัฐต้องขยายโรงพยาบาลสนาม และเตียงใน รพ.เพิ่มเติม ไม่หยุดหย่อน ซึ่งต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น

ในสงครามครั้งนี้ เราจะสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์อีกไม่ได้แล้ว ขอให้ผู้เกี่ยวข้องโปรดพิจารณาเพิ่มเกราะอย่างดี ให้กับนักรบเสื้อขาว โดยสนับสนุนให้จัดวัคซีนไฟเซอร์ ตามที่ประชุมส่วนหนึ่งให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เพื่อให้เขาไปดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ด้วยครับ โปรดอย่าค้านเลยครับ

และขอเพิ่มวัคซีนคุณภาพสูง ที่จะปกป้องพวกเขาทุกคน จากเชื้อที่กลายพันธุ์ ที่จะระบาดในระยะต่อไป โดยเฉพาะกลุ่ม mRNA ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มเติมอย่างด่วนด้วยครับ

เพราะบุคลากรทุกคนคือกำลังสำคัญในการ ต่อสู้กับ Covid-19 ครั้งนี้ หากไม่มีกำลังพวกเขา ชีวิตของประชาชนจะเข้าสู่ความเสี่ยงอันตรายอย่างหนัก ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตจากสงครามโควิด ที่มีการสูญเสียชีวิตทุกวัน

ขณะเดียวกัน ในโลกโซเซียล มีการรณรงค์แฮชแท็ก #ฉีดPfizerให้บุคลากรการแพทย์ ตั้งแต่เมื่อค่ำคืนของวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งตอนเช้า แท็กนี้ก็ยังคงติดอยู่ในเทรนด์ทวิตเตอร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดก็ต้องการให้รัฐช่วยดูแลบุคลากรที่ทำงานหนักในด่านหน้า รวมถึงมีการให้มีการนำเข้าวัคซีนด่วน


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พท.จี้รัฐฉีดไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ทันที  ซัด “ประยุทธ์” หยุดรวบอำนาจแก้โควิด 

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงท่าทีของพรรคต่อสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทวีคูณเข้าขั้นวิกฤต สิ่งที่ ศบค.ต้องทำทันที ได้แก่

1.) บุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมดต้องได้รับวัคซีน mRNA ก่อน วัคซีนไฟเซอร์ที่ระบุว่าจะเข้ามาในไทย 1.5 ล้านโดส มีจำนวนเพียงพอที่จะจัดสรรให้แพทย์พยาบาล ซึ่งเป็นด่านหน้าตรวจรักษา พวกเขาต้องมีเกราะที่แข็งแรงในการป้องกันตนเอง และจะช่วยรักษาระบบสาธารณสุขไม่ให้พังทลายลง

2.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะ ผอ.ศบค.ต้องหยุดรวบอำนาจ กลับมาใช้กลไกปกติในการบริหารสถานการณ์วิกฤต โดยส่วนกลางมีหน้าที่เสนอนโยบายเท่านั้น เพื่อให้ในแต่ละพื้นที่ซึ่งมีความเข้าใจสถานการณ์การระบาดแตกต่างกัน ได้บริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว

3.) นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงบางคน รวมถึงนักวิชาการผู้ใหญ่ที่คอยปกป้องรัฐ ต้องกลับมาทำหน้าที่ดูแลประชาชน ไม่ใช่แค่เอาใจผู้บังคับบัญชา ทางพรรคเพื่อไทยจะใช้วิธีการทางกฎหมายในการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการระบาด พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการบริหารราชการที่ผิดพลาดดำเนินการทางกฎหมาย 

น.ส.อรุณี กล่าวอีกว่า

4.) รัฐต้องร่วมมือกับภาคเอกชนรับมือวิกฤตการระบาดในด้านต่าง ๆ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพ เช่น การลำเลียงผู้ป่วย การลำเลียงอาหารให้กับแคมป์คนงาน หรือสถานประกอบการที่ถูกสั่งปิด อาจใช้บริการเดลิเวรีของภาคเอกชนเข้ามาร่วมด้วย

5.) เปิดเสรีในการนำชุดตรวจ Self rapid test มาใช้ในการตรวจหาเชื้อในเบื้องต้นให้กับประชาชน จัดเตรียมหน้ากากอนามัยให้มีความพร้อม และวัคซีนคือเครื่องมือที่สำคัญในขณะนี้

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยปละละเลย จงใจให้เกิดกระบวนการที่ล่าช้าในการแก้ไขสถานการณ์การระบาดของโรค ผู้ป่วยรอเตียงอยู่ที่บ้านจนเสียชีวิตเหมือนใบไม้ร่วง นักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงกลัวตัวเองเสียหน้า มากกว่ากลัวประชาชนเสียชีวิต หยุดทำให้สถานการณ์แย่ลงไปมากกว่านี้ ชีวิตประชาชนทุกคนมีค่าไม่น้อยไปกว่าพวกท่าน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top