Thursday, 15 May 2025
Hard News Team

‘บีโอไอ’ เผยผลสำเร็จโรดโชว์แดนมังกร ผู้ผลิตแบตฯ – อิเล็กทรอนิกส์ เล็งตบเท้าลงทุนไทย

บีโอไอเผยผลสำเร็จการเยือนประเทศจีน นักลงทุนจีนตบเท้าเข้าร่วมงานสัมมนา กว่า 600 ราย สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ไทยชิงจังหวะสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มนักลงทุนจีนที่ต้องการกระจายฐานการผลิตป้อนตลาดโลก พร้อมรุกเจรจาผู้ผลิตแบตเตอรี่ – อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมทั้งบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ โดยบริษัทใหญ่ของจีนเตรียมแผนลงทุนในไทยมูลค่ากว่า 90,000 ล้านบาท

(25 พ.ย. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการเยือน สาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระหว่างวันที่ 19 – 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยการเยือนครั้งนี้ บีโอไอได้ผนึกกำลังกับองค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของจีน (CCPIT), Bank of China และสมาคมส่งเสริม Belt and Road จัดงานสัมมนาใหญ่ 'Thailand – China Investment Forum 2024' ณ โรงแรม Shanghai Marriott Marquis มหานครเซี่ยงไฮ้ เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับการลงทุน ซึ่งมีบริษัทชั้นนำของจีนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่งกว่า 600 ราย นับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แสดงถึงการให้ความสำคัญและความสนใจอย่างมากของนักลงทุนจีนที่มีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจีนที่ต้องการกระจายฐานการผลิตออกสู่ตลาดโลก ในจังหวะเวลาที่ยังมีความกังวลต่อมาตรการกีดกันการค้ารอบใหม่ของสหรัฐอเมริกา

ในงานสัมมนาใหญ่ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงความตั้งใจของรัฐบาลไทยในการเตรียมการเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งด้านพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด น้ำ การเตรียมพร้อมด้านบุคลากร และการอำนวยความสะดวกของภาครัฐ เพื่อให้การลงทุนในประเทศไทยประสบความสำเร็จและก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งโอกาสความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและมหานครเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะด้าน Digital Economy และ Green Economy

ในขณะที่เลขาธิการบีโอไอ ได้นำเสนอสิทธิประโยชน์และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ และโอกาส การลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะใน 5 สาขาสำคัญ ที่จะเป็นฐานอุตสาหกรรมใหม่ของไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งแบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารบริษัทชั้นนำของจีนร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และความสำเร็จของการทำธุรกิจในประเทศไทย ได้แก่ Bank of China, บริษัท Haier ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะรายใหญ่ และบริษัท Westwell Technology ผู้นำด้าน AI และ Digital Green Logistics อีกทั้งบีโอไอยังได้ร่วมมือกับกลุ่มธนาคารไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย และ ไทยพาณิชย์ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม WHA, โรจนะ, 304, TRA, TFD และเอส มาร่วมออกบูธให้ข้อมูล เพื่อสนับสนุนนักลงทุนจีนให้สามารถเข้าถึงที่ดิน สินเชื่อและบริการทางการเงิน และเครือข่ายทางธุรกิจที่จะช่วยเร่งให้เกิดการลงทุนจริงได้อย่างครบวงจร

นอกจากงานสัมมนาแล้ว รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการบีโอไอ ยังได้หารือและเจรจาแผนการลงทุนเป็นรายบริษัทกับนักลงทุนเป้าหมายรายใหญ่ จำนวน 6 บริษัท ใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งกำลังเตรียมแผนการลงทุนในประเทศไทย คาดว่าจะมีมูลค่าเงินลงทุนรวมกันกว่า 90,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 
- อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ต้นน้ำระดับเซลล์ 2 ราย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงที่เป็นหัวใจของการผลิตแบตเตอรี่ ให้ความสนใจลงทุนในไทยเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน และอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด 

- อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง 3 ราย ทั้งการผลิตอุปกรณ์ขั้นสูงที่ใช้ในระบบโทรคมนาคม และ Data Center, การวิจัย ออกแบบและผลิตชิป กลุ่มนี้สนใจลงทุนเพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกรรมขั้นสูงจำนวนมาก รวมถึงช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมและขีดความสามารถในการพัฒนา AI ของไทย

- อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ 1 ราย เป็นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก สำหรับใช้บรรจุอาหารและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบและเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรของไทย 

นอกจากนี้ คณะยังได้หารือกับผู้บริหารสมาคมอุตสาหกรรมพลังงานและแบตเตอรี่จีน เกี่ยวกับการสร้างระบบนิเวศของการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว เช่น ระบบการติดตามแบตเตอรี่ตั้งแต่ต้นทาง (Tracking System) ระบบการซ่อมและรวบรวมแบตเตอรี่ใช้แล้ว การนำกลับมาใช้ใหม่ (Repack / Reuse) เทคโนโลยีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ รวมถึงการออกกฎระเบียบเพื่อกำกับดูแล และการจัดหาพื้นที่สำหรับธุรกิจนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถวางแผนเตรียมรองรับปริมาณแบตเตอรี่ใช้แล้วที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ผลสำเร็จจากการเยือนจีนในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงกระแสความสนใจในการออกไปลงทุนในต่างประเทศของนักธุรกิจจีน ซึ่งบริษัทจำนวนมากมีความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า รวมทั้งมีการตัดสินใจและการเริ่มต้นธุรกิจอย่างรวดเร็ว การนำทีมโรดโชว์โดยท่านรองนายกฯ พิชัย ได้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่ารัฐบาลไทยพร้อมต้อนรับและสนับสนุนการลงทุนที่มีคุณภาพจากจีน รวมทั้งจะช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ขณะนี้ถือว่าเป็นจังหวะสำคัญในการดึงการลงทุนขนาดใหญ่จากบริษัทชั้นนำที่มีเทคโนโลยีในระดับที่สามารถทำให้เกิดการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยครั้งใหญ่ได้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของอีกหลายอุตสาหกรรม” นายนฤตม์ กล่าว

กองทัพเรือจัดพิธีวางพวงมาลาพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 

(25 พ.ย.67) เวลา 09.00 น. ที่บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ถ.สุขุมวิท กม.6 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี กองทัพเรือ พร้อมหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตเวียนมาบรรจบครบรอบปีที่ 99 โดยมี พลเรือเอก พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช
ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ตลอดจนผู้แทนหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และใกล้เคียง เข้าร่วมในพิธี 

พิธีวางพวงมาลาที่พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธ ฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แห่งนี้ กองทัพเรือและทุกภาคส่วนได้ถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงพระราชทานที่ดินทรงสงวนบริเวณอำเภอสัตหีบ ให้แก่ประชาชนคนไทยได้มีที่อยู่อาศัย และกองทัพเรือใช้เป็นที่ตั้งหน่วยทหารเรือในปี พ.ศ.2465 รวมระยะ 99 ปี อันแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาทางด้านการทหารที่มีพระเนตรกว้างไกล และทรงตระหนักถึงความสำคัญของกองทัพเรือที่จำเป็นต้องมีฐานทัพเรือ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ชัยภูมิที่เหมาะสม และเป็นที่มั่นในการป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวทำให้กองทัพเรือมีฐานทัพเรือเพื่อเป็นฐานส่งกำลังบำรุง และที่จอดเรือรบ 

รวมทั้งเป็นที่ตั้งหน่วยงานสำคัญตราบจนทุกวันนี้ กระทั่งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2544 พลเรือโท สุทัศน์ ขยิ่ม ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ในขณะนั้น เห็นว่า เหล่าทหารเรือ ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไปทราบถึงเรื่องราวดังกล่าวน้อยมาก ประกอบกับในพื้นที่อำเภอสัตหีบ ยังไม่มีการประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ จึงได้ร่วมกับข้าราชการ ประชาชน และผู้มีจิตศรัทธาจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ขึ้นไว้ ณ ริมถนนสุขุมวิท หมายเลข 3 หลักกิโลเมตรที่ 6 เส้นทางระยอง - สัตหีบ ต.สัตหีบ  อ.สัตหีบ เพื่อถวายเป็นพระราชสักการะ และแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยให้ได้มีที่อยู่อาศัยประกอบอาชีพ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขร่มเย็น

‘สันติสุข’ ยันไม่มีใบสั่ง ‘TOP News’ ห้ามแตะ MOU44 หลังถูกด้อยค่ากล่าวหา “ท็อปนิวส์ถูกห้ามเล่นข่าว mou44”

(25 พ.ย. 67) นายสันติสุข มะโรงศรี ผู้ประกาศข่าว TOP News โพสต์ข้อความระบุว่า Top News เราเป็นสื่อที่ทำหน้าที่อย่างเจียมตัว ไม่เคยโอ้อวดว่ามีอุดมการณ์เหนือใครนะครับ เราจริงใจกับคนดูของเรา 

แปลกใจที่ถูกกล่าวหาว่า “ท็อปนิวส์ถูกห้ามเล่นข่าว mou44”

จากนั้น มีคนบางกลุ่มไปขยายความ เหยียบย่ำท็อปนิวส์ และเยินยอช่องอื่น จึงต้องขอชี้แจงสั้น ๆ เท่านี้นะครับ

ความจริง ใครดูท็อปนิวส์ จะเห็นด้วยตาตัวเองว่าเรานำเสนอข่าว mou 44 โดยตลอด 

คุณคำนูณโพสต์ คุณปานเทพโพสต์ คุณสมชายโพสต์ หมอวรงค์เคลื่อนไหว บทความเปลว สีเงิน ฯลฯ เราก็นำมารายงานสม่ำเสมอ (หลายอันออกซ้ำมากกว่าหนึ่งรายการด้วย) 

ถูกใจหรือไม่ถูกใจใครอีกเรื่องหนึ่ง ผมยืนยันว่าเรานำเสนออย่างมีเหตุผล โดยไม่มีใครมาสั่งห้ามเลยครับ นี่คือความจริงที่มีหนึ่งเดียวครับ  

ด้วยความเคารพ 
ปล.ในภาพนี่แค่ไถๆ ไวๆ แค่บางส่วน บางรายการเท่านั้น ความเป็นธรรมต้องมี

'ลูกสาวดูเตร์เต' รองประธานาธิบดี ลั่นกลางวงประชุม ขู่สังหาร 'ประธานาธิบดีมาร์กอส' หากเธอถูกปลิดชีพ

(25 พ.ย.67) สองตระกูลการเมืองฟิลิปปินส์เดือดดาลเมื่อ ซารา ดูเตอร์เต บุตรสาวของอดีตผู้นำ โรดริโก ดูเตอร์เต กล่าวในการแถลงผ่านระบบออนไลน์ว่า เธอได้เตรียมการไว้แล้วสำหรับการลอบสังหารมาร์กอสจูเนียร์, ลิซา ภรรยาของเขา และ มาร์ติน โรมวลเดซ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของมาร์กอส หากว่าตัวเธอถูกสังหาร

"ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของฉัน เพราะฉันได้พูดคุยกับใครบางคนไว้แล้ว ฉันบอกเขาว่า หากฉันถูกฆ่า ก็ให้ไปฆ่า BBM, ลิซา อราเนตา และมาร์ติน โรมวลเดซ” เธอกล่าว โดยใช้ชื่อย่อของประธานาธิบดีที่รู้จักกันในชื่อ บองบอง หรือ BBM นอกจากนี้เธอยังกล่าวว่า “ฉันบอกเขาว่า อย่าหยุดจนกว่าคุณจะฆ่าพวกเขาได้ และเขาก็ได้ตอบตกลง”

นอกจากนั้น ในระหว่างการแถลงทางออนไลน์ รองปธน.ดูเตอร์เตยังได้วิจารณ์ประธานาธิบดีมาร์กอสจูเนียร์และย้ำคำพูดก่อนหน้านี้ที่ว่า นายมาร์กอสไม่รู้วิธีการเป็นประธานาธิบดี

เรื่องดังกล่าวส่งผลให้ ทำเนียบประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ กล่าวถึงคำพูดของรองประธานาธิบดีว่า “ภัยคุกคามที่ชัดเจน” ต่อชีวิตของปธน.มาร์กอส ซึ่งสมควรต้องถูกดำเนินการอย่างเร่งด่วนและเหมาะสม ท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสองตระกูลการเมืองที่ทรงอิทธิพล

“ภัยคุกคามต่อชีวิตของประธานาธิบดีจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภัยดังกล่าวถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในลักษณะที่ชัดเจนและแน่นอน” ขณะเดียวกัน เลขาธิการบริหารได้ส่งเรื่องนี้ไปยังหน่วยบัญชาการรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดีแล้ว

วิวาทะดังกล่าวสะท้อนความขัดแย้งที่ดำเนินมายาวนานระหว่างตระกูลมาร์กอส และตระกูลดูเตร์เต แม้ทั้งสองจะร่วมรัฐบาลเดียวกัน ประเด็นขัดแย้งเริ่มมาจากการที่ในเดือนมิถุนายน เมื่อดูเตอร์เตลาออกจากตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีของมาร์กอส ขณะเดียวกัน พันธมิตรของมาร์กอสในรัฐสภาได้ตรวจสอบการทำงานของรองประธานาธิบดีในประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณของสำนักงานอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งด้านลูกสาวดูเตร์เตกล่าวว่า พันธมิตรของมาร์กอสพยายามสร้างคดีเพื่อถอดถอนเธอออกจากตำแหน่งรองประธานาธิบดี

‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์‘ ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมสถานที่จัดงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)” เฉลิมพระเกียรติฯ

เมื่อวันที่ (20 พ.ย.67) ณ ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ กรรมการบริหารมูลนิธิ อาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ในฐานะ ประธานคณะกรรมการดำเนินการจัดงาน "เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)" เฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งมีกำหนดการจัดงานระหว่างวันที่ 5-10 ธันวาคม 2567นี้ 

เข้าตรวจสถานที่การจัดงานฯ 

- บริเวณสเฟียร์ฮอลล์ ชั้น 5 สำหรับพิธีรับเข็มฯ 
- บริเวณเอ็มกลาสและเอ็มยาร์ด สำหรับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 
- พร้อมร่วมประชุมกับประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ อาทิ ฝ่ายร้านค้า, ฝ่ายการแพทย์, ฝ่ายรักษาความปลอดภัย, ฝ่ายประชาสัมพันธ์, ฝ่ายพิธีการ และฝ่ายสถานที่  เป็นต้น 

ทั้งนี้ทุกฝ่ายรายงานการทำงานให้ประธานทราบ และทุกฝ่ายพร้อมรับปฏิบัติในส่วนที่รับผิดชอบ

ส่องคลังแสงปราการป้องมอสโก เทคโนโลยียุคโซเวียต ระบบป้องกันขีปนาวุธที่ปูตินสั่งเตรียมพร้อมสูงสุด

(25 พ.ย.67) ดูเหมือนสถานการณ์ความรุนแรงในยูเครนจะคุกรุ่นมากขึ้น จากการที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทิ้งทวนคำสั่งก่อนหมดวาระการดำรงตำแหน่งด้วยการมอบขีปนาวุธแบบ ATACMS  ซึ่งเป็นสุดยอดขีปนาวุธโจมตีพิสัยกลางให้แก่ยูเครน 

ส่งผลให้ล่าสุดประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ออกคำสั่งใช้ขีปนาวุธ Oreshnik ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นขีปนาวุธเหนือเสียง เดินทางเร็วกว่าเสียง 10 เท่า พิสัยการยิง 5,000 กิโลเมตร ซึ่งสามารถโจมตียุโรปได้ทั้งหมด และรวมไปถึงบางส่วนของฝั่งตะวันตกของสหรัฐ โดยเป้าหมายแรกที่ปูตินสั่งให้ขีปนาวุธ Oreshnik คือเมือง Dnepropetrovsk ของยูเครนซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของ สถานประกอบการด้านการป้องกันยูเครน

คำสั่งโจมตีดังกล่าวของผู้นำมอสโก ทำให้กระทรวงกลาโหมรัสเซียต้องออกมาเปิดเผยถึงความพร้อมในการรับมือโจมตีระรอกใหม่ หากว่ายูเครนใช้อาวุธที่นาโต้มอบให้ โจมตีแผ่นดินรัสเซียด้วยการออกมาเปิดเผยระบบป้องกันขีปนาวุธที่รัสเซียเตรียมพร้อมรับมือ

พล.ท. Aytech Bizhev อดีตรองผู้บัญชาการระบบป้องกันภัยทางอากาศร่วมของ CIS กองทัพอากาศรัสเซีย กล่าวกับสำนักข่าว Sputnik โดยให้ความเห็นเกี่ยวกับวิธีการที่มอสโกว์มีไว้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากขีปนาวุธของนาโต้ว่า รัสเซียมีระบบป้องกันขีปนาวุธหลายรูปแบบที่เตรียมพร้อมรับมือ อาทิ 

S-300V ซึ่งถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1988 เป็นการอัปเกรดระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศระยะไกล S-300 ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1978 มีระยะยิงต่อเป้าหมายขีปนาวุธ 30-40 กิโลเมตร S-400 ขีปนาวุธที่พัฒนาในช่วง1980-1990 เปิดตัวในปี 2007 สามารถตรวจจับเป้าหมายขีปนาวุธได้ไกลถึง 200 กิโลเมตร และทำลายได้ในระยะ 60 กิโลเมตร

S-500 ระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศรุ่นล่าสุดของรัสเซีย เริ่มใช้งานในปี 2021 สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ไกลถึง 600 กิโลเมตร และทำลายได้ในระยะ 200 กิโลเมตร นอกจากนั้นยังมี A-135 Amur และ A-235 Nudol ระบบสกัดกั้นขีปนาวุธแบบฐานยิง ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับภัยคุกคามจากขีปนาวุธความเร็วสูงและอวกาศ ใช้งานตั้งแต่ปี 1995 และ 2019 ตามลำดับ มีระยะตรวจจับสูงสุด 6,000 กิโลเมตรด้วยเรดาร์ Don-2N และระยะยิงประมาณ 350-900 กิโลเมตร

อีกหนึ่งระบบคือ Tor ระบบขีปนาวุธระยะสั้น เริ่มใช้งานในปี 1986 ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ขีปนาวุธร่อน และโดรน รวมถึงขีปนาวุธระยะสั้น ระยะตรวจจับและติดตาม 25 กิโลเมตร ระยะยิงสูงสุด 16 กิโลเมตร

และสุดท้าย Buk ระบบขีปนาวุธระยะกลาง พัฒนาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถูกนำมาใช้ในกองทัพตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 สามารถโจมตีขีปนาวุธยุทธวิธี ขีปนาวุธร่อน และขีปนาวุธต่อต้านเรือในระยะ 3-20 กิโลเมตร และที่ระดับความสูงสูงสุด 16 กิโลเมตร

Bizhev กล่าวว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียล้ำหน้ากว่าวิธีการโจมตีที่มันถูกออกแบบมาป้องกันอยู่ประมาณ 5-10 ปี ขาเล่าถึงยุคปลายทศวรรษ 1980 ที่สหภาพโซเวียตเริ่มพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธเป็นครั้งแรก ในขณะที่ NATO กำลังติดตั้งอาวุธขีปนาวุธยุคใหม่ที่มีความแม่นยำสูง ในยุคนั้น ภารกิจหลักของระบบป้องกันขีปนาวุธของโซเวียต (และรัสเซียหลังปี 1991) คือการป้องกันมอสโกและภูมิภาคอุตสาหกรรมตอนกลาง

‘ปฐม อินทโรดม’ โพสต์เตือน ‘อย่าลาออกจากงานช่วงนี้’ ชี้!! สถานการณ์สร้างอาชีพใหม่ไม่ง่าย ต่างจากเมื่อ 5-6 ปีก่อน

(25 พ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก Pathom Indarodom' โดย คุณปฐม อินทโรดม ได้โพสต์ถึงน้อง ๆ หลายคนมาปรึกษาเรื่องการออกจาก 'Comfort Zone' ในเวลานี้ ซึ่งผมมักจะให้ทบทวนว่างานปัจจุบันนั้นยัง Comfort จริงไหม ถ้าจริงผมไม่อยากให้ใครลาออกจากงานในช่วงนี้เลย เพราะสถานการณ์ตอนนี้มันต่างจาก 5-6 ปีที่แล้วที่มีกระแสให้ออกจากงานประจำไปแสวงหาโอกาสใหม่ที่มีอนาคตดีกว่า

แต่ในวันนี้เศรษฐกิจมันเปราะบางกว่าเดิมมาก หากงานที่ทำอยู่ยังมั่นคงดี เพื่อนร่วมงานดี เจ้านายพอใช้ ผมอยากให้อดทนไปก่อน เพราะโอกาสที่ลาออกไปทั้งที่ยังมีพื้นฐานไม่แน่นพอแล้วจะประสบความสำเร็จจากงานไม่ประจำนั้นยากกว่าเดิมมาก 

งานขายที่เคยเป็นเรื่องง่าย ตอนนี้เราจะเห็นห้างที่เคยคึกคักซบเซาลงมาก ยิ่งขายออนไลน์ยิ่งยากเพราะเข้าถึงลูกค้าได้ยากกว่าเดิมและพึ่งพามาร์เก็ตเพลสที่เคยใช้ไม่ได้อีกต่อไปเพราะค่าใช้จ่ายสูงขึ้นมาก จะหาของจากจีนมาทำตลาดยิ่งยากขึ้นไปอีกหลายเท่าเพราะเจ้าของสินค้าเข้ามาทำตลาดเอง

บางครั้งแรงผลักดันที่เราได้อาจทำให้เราฮึกเหิมโดยเฉพาะแนวคิดว่างานไม่ประจำนั้นทำเงินมากกว่าทำให้เราอยากกระโจนหาโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งมันไม่ได้มี Blue Ocean เหมือนเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว งานมั่นคงดีอยู่แล้วอย่าลาออก ผมบอกได้แค่นี้…

ทำความรู้จัก Oreshnik มิสไซล์เร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ ปูตินตอบโต้ส่งทะลวงยูเครน 5,500 กม.

(25 พ.ย.67) หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อนุมัติให้ยูเครนใช้อาวุธจรวดนำวิถี ATACMS โจมตีเป้าหมายในรัสเซีย ล่าสุด รัสเซียได้ตอบโต้ทันทีด้วยการอนุมัติการใช้ขีปนาวุธนำวิถีความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ 'Oreshnik' ซึ่งมีพิสัยยิงไกลถึง 5,000 กิโลเมตร โดยประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ยืนยันว่าขีปนาวุธดังกล่าวไม่ได้ติดหัวรบนิวเคลียร์  

พาเวล อัคเซนอฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารจาก BBC เปิดเผยว่า ขีปนาวุธ Oreshnik ยังไม่มีข้อมูลในสารบบของนาโต้ โดคาดว่าเป็นอาวุธรุ่นใหม่ที่รัสเซียพัฒนาสำเร็จ ขีปนาวุธนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนระหว่างการบินผ่านเปลวไฟจากเครื่องยนต์ ซึ่งตรวจจับได้ด้วยดาวเทียมและเครื่องบินลาดตระเวน  

จากคำกล่าวของปูติน เขาระบุว่า "หัวรบที่มีความเร็วเหนือเสียงที่ไม่ใช่แบบนิวเคลียร์" และหัวรบของมัน "โจมตีเป้าหมายด้วยความเร็ว 10 มัค ซึ่งอยู่ระหว่าง 2.5-3 กม./วินาที"

ขณะที่ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านทหารระบุว่า ขีปนาวุธนี้ติดตั้งหัวรบที่โจมตีด้วยความเร็วสูงถึง 10 มัค หรือ 2.5-3 กม./วินาที ซึ่งทำให้ยากต่อการสกัดกั้น อีกทั้งยังสามารถบรรทุกหัวรบแบบหลายหัวเพื่อโจมตีเป้าหมายได้พร้อมกัน ครอบคลุมพื้นที่ในยุโรปเกือบทั้งหมดและบางส่วนของฝั่งตะวันตกของสหรัฐ  

บีบีซียังเผยว่า มีความเป็นไปได้มากว่า Oreshnik ที่ปูตินกล่าวถึงนั้น ได้รับการพัฒนาโดยสถาบันเทคโนโลยีความร้อนแห่งกรุงมอสโก (MIT) หรือไม่ก็ ศูนย์ขีปนาวุธเมเคเยฟ  เนื่องจากศูนย์ทั้งสามแห่งนี้มีศักยภาพในการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยกลาง-ไกล

สำหรับศูนย์ขีปนาวุธเมเคเยฟ  จะมุ่งเน้นไปที่ขีปนาวุธเชื้อเพลิงเหลวซึ่งยิงจากไซโล มีน้ำหนักมากและมีพิสัยการยิงที่ไกลมาก ตัวอย่างเช่น พิสัยของขีปนาวุธซาร์มัตอ้างว่าสามารถไปได้ไกลถึง 18,000 กม. ส่วน

ขณะที่ศูนย์สถาบันเทคโนโลยีความร้อนแห่งกรุงมอสโก ความเชี่ยวชาญในการสร้างขีปนาวุธขนาดเล็กพร้อมเครื่องยนต์เชื้อเพลิงแข็งที่ปล่อยจากฐานยิงเคลื่อนที่ โดยเฉพาะขีปนาวุธเหล่านี้มีน้ำหนักเบากว่า มีหัวรบที่เล็กกว่า และมีพิสัยการบินได้ที่สั้นกว่า ตัวอย่างเช่น ขีปนาวุธยาร์ส (Yars) มีพิสัยการบินได้ 12,000 กม.

การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในสงครามยูเครน-รัสเซีย ขณะที่ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าพัฒนาอาวุธล้ำสมัยเพื่อตอบโต้กันในสมรภูมิระหว่างประเทศ

‘พีระพันธุ์’ เตรียมชง กม.ตั้ง SPR เข้าสภาต้นปี 68 เร่งร่าง กม.ช่วยชาวสวนปาล์ม - ชี้ Gas Pool ช่วยคุมค่าไฟฟ้า

‘พีระพันธุ์’ เผยความคืบหน้านโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ทั้งในส่วนของการเตรียมเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ (SPR) เพื่อประชาชนหลุดพ้นกับดักราคาที่ต้องขึ้นลงตามตลาดโลก พร้อมเตรียมร่างกฎหมายปาล์มน้ำมันและอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มให้มีทางออก สร้างมูลค่าเพิ่มโดยยกโมเดลกฎหมายอ้อยและน้ำตาลเป็นต้นแบบ ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่จะได้รับผลกระทบในอีก 2 ปีข้างหน้า ภายหลังกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเลิกชดเชย

วันนี้ (25 พ.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้านโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ว่า ประเด็นหลักด้านพลังงานที่เกี่ยวข้องกับประชาชนคือเรื่อง ไฟฟ้า น้ำมัน และก๊าซ ซึ่งที่ผ่านมาบางเรื่องอยู่นอกเหนือการควบคุมของกระทรวงพลังงาน  บางเรื่องก็อยู่ในอำนาจที่จะบริหารจัดการได้ จึงพยายามแก้ปัญหาให้รัฐบาลมีอำนาจเข้ามาดูแลช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุด

ในส่วนของก๊าซนั้นได้แก้ไขการกำหนดราคาก๊าซใน Gas Pool ไปเมื่อต้นปีนี้ ทำให้สามารถควบคุมค่าไฟฟ้าได้ระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องน้ำมันปัญหาหลักมีสองส่วน ส่วนแรกคือราคาเนื้อน้ำมันที่ขึ้นลงตามตลาดโลกอยู่นอกเหนือการควบคุมเช่นเดียวกับราคาก๊าซที่นำมาผลิตไฟฟ้า ส่วนที่สองคือการจัดเก็บภาษี ส่วนแรกอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงานที่กำลังคิดหาทางแก้ไข ส่วนที่สองอยู่ในอำนาจของกระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงพลังงานพยายามขอความร่วมมือตลอดมา เพื่อลดราคาพลังงานให้ประชาชน ซึ่งยังเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข

อย่างไรก็ตามรัฐบาล อยู่ระหว่างการเตรียมนำร่างกฎหมายเข้าสภาเพื่อให้กระทรวงพลังงานมีอำนาจในการบริหารจัดการราคาพลังงานในหลายๆ มิติ ซึ่งที่ผ่านมา ที่สามารถดำเนินการได้สำเร็จแล้วคือ การให้ผู้ค้าน้ำมันต้องเปิดเผยต้นทุนราคาน้ำมันนำเข้าที่แท้จริง ส่วนร่างกฎหมายน้ำมัน SPR หรือ Strategic Petroleum Reserve ระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ อยู่ระหว่างการเตรียมนำเข้ารัฐสภาในต้นปี 2568 ซึ่งหากดำเนินการสำเร็จ ก็จะทำให้กระทรวงพลังงานสามารถบริหารจัดการด้านน้ำมันได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ระบบ SPR จะเป็นแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันแบบที่สากลใช้กันในกลุ่ม IEA หรือองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) โดยใช้การบริหารกลไกราคาน้ำมันโดยใช้ปริมาณน้ำมันในสต็อก ซึ่งไม่ได้ใช้เงินในการอุดหนุนเหมือนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของเราที่ทำอยู่ในปัจจุบัน โดยจะทำให้ไทยมีระบบสำรองน้ำมันเป็นของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาคเอกชนอย่างเดียว

สำหรับการแก้ปัญหาราคาน้ำมันไบโอดีเซล หรือ B100 ที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมในการแก้ปัญหาหลังสิ้นสุดการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปี พ.ศ. 2569 พร้อมหาแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่จะได้รับผลกระทบในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยจะนำรูปแบบการแก้ปัญหาเรื่องอ้อย กับน้ำตาลทราย ตาม พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย ปี 2527 มาปรับใช้ ซึ่งได้หารือกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้ง ปลัดกระทรวงพลังงาน และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อยกร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมันให้กับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน โดยมี นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เป็นประธานคณะกรรมการ และ คาดว่าภายใน 5-6 เดือน หลังจากนี้จะเริ่มเห็นรูปร่างของโครงการชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ในอดีตน้ำมันปาล์มดิบถูกนํามาใช้ประโยชน์ในช่วงที่น้ำมันดีเซลมีราคาแพงโดยนํามาผสมกับดีเซล ทําให้มีปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นและราคาถูกลงเรียกว่า น้ำมันไบโอดีเซล หรือ บี100 แต่ว่าปัจจุบันราคาน้ำมันปาล์มดิบ อยู่ที่ 41-42 บาท/ลิตร ซึ่งแพงกว่าเนื้อน้ำมันดีเซลที่นํามาผสมเกือบเท่าตัว จึงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทําให้ราคาน้ำมันในประเทศแพงขึ้น และต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยเพื่อให้ราคาดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ซึ่งเหลือเวลาให้ชดเชยได้อีกเพียง 2 ปีเท่านั้น ขณะเดียวกัน ด้านเกษตรกรผู้ผลิตปาล์มน้ำมันก็เริ่มมีปัญหาส่วนแบ่งราคากับโรงสกัด และผลประโยชน์จากราคาน้ำมันปาล์มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ไปไม่ถึงเกษตรกรอย่างที่ควรจะได้รับ ทั้งนี้ จากผลผลิตน้ำมันปาล์มทั้งหมดในประเทศ 1 ใน 3 นำมาผสมกับน้ำมันดีเซลเพื่อใช้ภายในประเทศ ส่วนอีก 2 ใน 3 นำไปผลิตน้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยมีการส่งออกในส่วนนี้ประมาณ 20%

“หวังว่าร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมันฉบับนี้ จะเป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่สร้างความเป็นธรรม มีการจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างผู้ที่นำผลปาล์มน้ำมันไปผลิตเป็นน้ำมัน และดูแลเกษตรกรผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน ให้ได้ค่าตอบแทนผลผลิตที่เป็นธรรมและถูกต้อง ทำให้เกษตรกรได้ประโยชน์อย่างเต็มที่  เมื่อกองทุนน้ำมันต้องหยุดชดเชยการผสมน้ำมันปาล์มในเนื้อน้ำมัน รวมทั้งสายการผลิตที่จะนำผลปาล์มน้ำมันไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ดีกว่าในปัจจุบัน” นายพีระพันธุ์กล่าว

ไมค์ ไทสัน อดีตนักมวยชื่อดังระดับโลก กล่าวถึงการมอบมรดกให้ลูก ๆ

วอชิงตัน – ไมค์ ไทสัน นักมวยชื่อดังระดับโลก ได้กลายเป็นที่สนใจของสาธารณชนหลังเปิดเผยว่าเขาไม่มีแผนที่จะยกทรัพย์สินของเขาให้ลูก ๆ รายงานจาก VNExpress เมื่อวานนี้ 

ไทสัน วัย 58 ปี ทำรายได้ประมาณ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 715 ล้านบาท) แม้ว่าจะแพ้ในการชกกับเจค พอล เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา 

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของไทสันก่อนการชกครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 357 ล้านบาท) ซึ่งจัดขึ้นที่สนามกีฬา AT&T 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีแผนที่จะมอบมรดกใด ๆ ให้ลูก ๆ ของเขา 

จงอธิษฐานให้มากขึ้นและทำงานให้หนักขึ้น เป็นคนทำงานที่ขยันที่สุดและเชื่อมั่นในตัวเอง 

“ผมไม่สามารถช่วยลูก ๆ ได้ด้วยการให้เงินพวกเขา ผมจะทำร้ายพวกเขาหากทำเช่นนั้น 

“พวกเขาต้องเรียนรู้การเผชิญกับความลำบาก หากพวกเขาไม่มีเป้าหมายในชีวิตและไม่เคยเจอความยากลำบาก พวกเขาจะยอมแพ้ได้ง่าย” เขากล่าวเสริม 

ถึงชกแพ้แต่เขายังชนะใจใครต่อใครอยู่เสมอ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top