Sunday, 15 June 2025
Hard News Team

“แรมโบ้” ลั่น “นายกฯ” ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน และประเทศชาติ แม้เจอวิกฤติ รอบด้าน ก็ไม่เคยท้อ ซัด “เพื่อไทย” อย่าใช้โอกาสนำฉายารัฐบาล ที่สื่อตั้งให้มาเป็นประเด็นการเมืองโจมตีนายกฯ และรัฐบาล มั่นใจสื่อไม่อยากให้นำไปเป็นเครื่องมือใครทั้งสิ้น

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีน.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรคเพื่อไทย วิพากษ์วิจารณ์ฉายารัฐบาลสะท้อนภาพการทำงานที่ผ่านมาจริง ว่าการตั้งฉายารัฐบาล ถือเป็นธรรมเนียบปฏิบัติของสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลทุกปีอยู่แล้ว ซึ่งในสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาลยังถูกตัองฉายาเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้การตั้งฉายารัฐบาล ยื้อยุทธ์ ยังมีนัยยะที่ต้องยื้อ เพราะนายกฯเป็นคนที่ทำงานแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองและพัฒนาประเทศมาโดยตลอด แก้ไขปัญหาจนสถานการณ์คลี่คลายลงโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะเดียวกันได้แก้ไขปัญหาที่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยได้ก่อหนี้สร้างปัญหาเอาไว้จากโครงการทุจริตมากมายอีกด้วย 

“สื่อให้ฉายานายกฯ ชำรุดยุทธ์โทรม ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมองว่าบ้านเมืองชำรุดมามากมายนายกฯต้องทำงานอย่างหนักมาโดยตลอดในการแก้ไขปัญหา ไม่เคยคิดถึงเรื่องของตัวเอง คิดถึงแต่ชาติบ้านเมืองและประชาชน  ตนเองขอบคุณสื่อและประชาชนที่เข้าใจการทำงานของนายกฯว่าทุ่มเทตลอด ตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่นี้ ไม่เคยท้อแท้แม้งานหนัก ส่วนเรื่องสุขภาพก็เป็นไปตามวัย แต่ยังแข็งแรงทุกอย่างทั้งร่างกายและจิตใจยังมีความพร้อมที่จะทำงานเพื่อประชาชนต่อไป”

การบริหารราชการแผ่นดินตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ถือได้ว่า เป็นผู้ที่รับบทหนักที่สุดแห่ง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาโควิด-19 การกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริหารราชการ หรือแม้แต่เรื่องทางการเมือง ถูกโจมตีรอบด้าน นายกฯก็นิ่งอดทน มีสติไม่เคยคิดตอบโต้ เพื่อให้เกิดการเสียบรรยากาศ มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างอดทนไม่เคยย่อท้อ

นายเสกสกล ระบุว่า ต้องขอขอบคุณบรรดาพี่น้องสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ได้ตั้งฉายาให้กับ นายกรัฐมนตรี  ซึ่งบรรดาสื่อคงทราบดีว่า ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาล และ นายกฯ นั้นเจอกับสถานการณ์ที่ไม่ปกตินัก ตั้งแต่เรื่องของปัญหาการเมืองในประเทศไทย ที่มีกลุ่มการเมืองต้องการเอาชนะกันทางการเมือง จนลืมประชาชน ลืมประเทศ เล่นการเมือง จนทำให้ประเทศชาติเสียหาย จนกระทั่งมาเจอกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่ง ทุกประเทศทั่วโลกก็เจอกันหมดและรุนแรงเหมือนกันทั้งโลก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องนำพารัฐบาล ภายใต้สถานการณ์ ที่ยากลำบากยิ่ง แต่ตัวนายก ก็ไม่เคยหยุดที่จะคิด ทำ เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชน และประเทศชาติ จนตอนนี้วิกฤติดังกล่าวนั้นค่อย ๆ คลี่คลาย ทำให้ประเทศได้รับการยกย่องให้ เป็นอันดับ 5 ของโลก ที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพ  

ในขณะที่วิกฤติที่ถูกซ้ำเติม ตามมาก็คือวิกฤติเศรษฐกิจ ตั้งแต่ภาคครัวเรือนไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเรื่องนี้นายกฯ ก็ตระหนักดี จึงได้มีโครงการต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบต่างก็ได้ รับการช่วยเหลือ เยียวยา ดูแลอย่างทั่วถึง จนทำให้ ต่างประเทศจัดให้ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุนที่สุด (1st in Bloomberg’s Emerging) ในปี 2564 โดย Bloomberg Study  สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้ชัดว่ารัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ นั้นคิดทำ เพื่อประชาชน และประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง 

นายเสกสกล กล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาโควิด-19 และ เศรษฐกิจแล้ว สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาเช่นกันคือสถานการณ์ การเมืองในประเทศไทย ที่มีกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กระทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศเกิดปัญหา  สอดรับ สอดคล้องกับการเมืองในสภา ของฝ่ายค้าน ที่ไม่เคยเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาให้กับประชาชน แต่มุ่ง โจมตี ทำลายรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจากสถานต่าง ๆ ตลอดปี 2564

‘อลงกรณ์’ เปิดมุมมองเศรษฐกิจใหม่ หนุนผนึก ‘ลาว’ ผุดระเบียงเศรษฐกิจ ‘อีสาน’

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก โดยระบุข้อความว่า ก้าวใหม่ประเทศไทย (ตอนที่ 1) ‘อนาคตลาว อนาคตไทย’

เรากำลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ‘เชื่อมไทย เชื่อมลาว เชื่อมโลก’ และการวางหมุดหมายใหม่ที่เรียกว่า ‘อีสาน เกตเวย์’ และ ‘ระเบียงเศรษฐกิจอีสาน’ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยกระทรวงเกษตรและกระทรวงพาณิชย์ที่พรรคประชาธิปัตย์ดูแล

ยุทธศาสตร์นี้เป็นคานงัดที่จะเปลี่ยนอนาคตของอีสานและประเทศของเรา

ผมจึงขอเล่าเรื่องสปป.ลาว บ้านพี่เมืองน้องของไทยที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเป็นคำตอบว่าทำไมไทยกับลาวต้องผูกอนาคตไว้ด้วยกัน

ล่าสุด ลาวเพิ่งเปิดเส้นทางรถไฟลาว-จีนเมื่อ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 5 ปี โดยอยู่ระหว่างการทดสอบรถไฟโดยสารและรถขนส่งสินค้าจากหลายมณฑลของจีนมาเวียงจันทน์และคาดว่าจะมีขบวนรถไฟจากยุโรปด้วย

หลังจากผ่านการทดสอบและระบบตรวจตราผ่านแดนเสร็จเรียบร้อย เส้นทางรถไฟสายนี้จะเปิดบริการได้อย่างสมบูรณ์ภายในครึ่งแรกของปีหน้า

ทำให้หนองคายกลายเป็นเกตเวย์ที่มีศักยภาพใหม่ของประเทศเชื่อมไทยเชื่อมลาวเชื่อมจีนเชื่อมเอเชียกลางเชื่อมยุโรป

ความจริง ลาวกำลังพัฒนาระบบโลจิสติกส์และเขตเศรษฐกิจพิเศษหลายโครงการตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดโดยทุกโครงการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ เช่น จีน ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซียและเกาหลี เป็นต้น 

ลาวต้องการเปลี่ยนข้อจำกัดเดิมจากประเทศไม่มีทางออกทะเลอยู่ในมุมอับ (Land Locked) เป็นประเทศแห่งความเชื่อมโยง (Land of Connectivity)

อีกโครงการที่สำคัญมากสำหรับอนาคตลาวและรวมถึงอนาคตของประเทศไทยคือ โครงการท่าเรือน้ำลึกหวุงอ๋าง

ลาวเร่งพัฒนาเส้นทางเชื่อมเวียงจันทน์ แขวงบอลิคำไซกับแขวงคำม่วน (ตรงข้ามจังหวัดนครพนม) ไปยังจังหวัดฮาติงห์ของเวียดนาม

โครงการนี้สำคัญมากๆ เป็นช่องทางสู่โลกกว้างแห่งโอกาสที่สั้นที่สุด

เหนืออื่นใดคือ เป็นท่าเรือน้ำลึกในแผ่นดินเวียดนามที่เสมือนลาวเป็นเจ้าของ

บริษัทรัฐวิสาหกิจพัฒนาท่าเรือหวุงอ๋าง ลาว-เวียดนาม (ลาวถือหุ้น 60% เวียดนาม 40%) ตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2573 ท่าเรือน้ำลึกหวุงอ๋างจะสามารถให้บริการแก่เรือสินค้าที่มีน้ำหนักบรรทุกตั้งแต่ 5,000 ตัน ถึง 100,000 ตัน เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ตั้งแต่ขนาดบรรทุก 50,000 ตู้ ถึง 1,200,000 ตู้ และเรือบรรทุกสินค้าเทกอง ตั้งแต่ขนาดบรรทุก 3 ล้านตัน ถึง 20 ล้านตัน 

ทั้งนี้จะเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2566 หรือภายใน 2 ปีข้างหน้า

นครพนมจะเป็นเกตเวย์ใหม่ออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกโดยใช้บริการท่าเรือน้ำลึกหวุงอ๋างด้วยระยะทางไม่ถึง 300 กิโลเมตร 

ท่าเรือดังกล่าวเมื่อพัฒนาเต็มรูปแบบจะสามารถขนส่งสินค้าจากไทย ลาวและเวียดนามไปอเมริกา แคนาดา ลาตินอเมริกา จีน ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน รัสเซียและยุโรปเหนือ โดยไม่ต้องผ่านสิงคโปร์

ลาวไม่ได้พัฒนาระบบคมนาคมเท่านั้นแต่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษควบคู่ไปด้วย เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในแขวงบ่อแก้วทางภาคเหนือใกล้กับฝั่งเชียงรายของเรา หรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษมหานทีสีทันดรในแขวงจำปาศักดิ์ตรงข้ามจังหวัดอุบลราชธานีขนาดของวงเงินลงทุน เขตเศรษฐกิจใหม่สีทันดรตั้งเป้าใช้เงินลงทุน 9,000 ล้านดอลลาร์ และใช้พื้นที่ 6 หมื่นไร่มากกว่าโครงการทางรถไฟลาว-จีน ที่ลงทุน 6,800 ล้านดอลลาร์ ใช้พื้นที่ 19,112 ไร่

ยังไม่รวมเขตเศรษฐกิจพิเศษ-ลาว-เวียดนาม-กัมพูชา และเขตเศรษฐกิจพิเศษเวียงจันทน์ 

เจ็บๆ คันๆ ฟังแล้วจี๊ด!! ‘ยื้อยุทธ์’ คือ ฉายารัฐบาล ปี 64 

สื่อมวลชน ประจำทำเนียบรัฐบาล ตั้ง ‘ฉายารัฐบาล’ ปี 64 ‘ยื้อยุทธ์’ ด้าน นายกฯ ‘ชำรุดยุทธ์โทรม’ ประวิตร ‘รองช้ำ’ อนุทิน ‘ว้ากซีน’ จุรินทร์ ‘นายกฯ บางโพล’ วาทะแห่งปี ‘นะจ๊ะ’

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 64 ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายารัฐบาล และ รัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา ในการสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2564 ร่วมกันดังนี้ 

ฉายารัฐบาล : ‘ยื้อยุทธ์’ 
ภาพของรัฐบาล ที่ยื้อแย่งกันเองทั้งในส่วนของอำนาจ และ ตำแหน่ง โดยไม่สนใจประชาชน และการเดินหน้าประเทศ ถูกมองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม และมองการดำรงอยู่ของพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล จะเป็นประโยชน์มากกว่า จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อยื้อให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไป ไม่ว่าจะมีการชุมนุมขับไล่ไสส่งอย่างไร ใครไม่อยู่ แต่พล.อ.ประยุทธ์อยู่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา : ‘ชำรุดยุทธ์โทรม’
การบริหารราชการแผ่นดินตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ถือได้ว่า เป็นผู้ที่รับบทหนักที่สุดแห่งปี ถูกมองว่าล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาโควิด-19 การกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริหารราชการ หรือแม้แต่เรื่องทางการเมือง ถูกโจมตีรอบด้าน แม้พล.อ.ประยุทธ์ จะยังอยู่ในตำแหน่งได้ แต่ก็ทรุดโทรม เสื่อมสภาพไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ  

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ : ‘รองช้ำ’ 
ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พี่ใหญ่ในตระกูล 3 ป. อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีประสบกับเรื่องช้ำๆ เจ็บซ้ำๆ มาโดยตลอด หลายสถานการณ์ต้องตกเป็นรอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องการเมือง โดยเฉพาะปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่เกิดความแตกแยกอย่างหนัก สะเทือนถึงพี่น้องอีก 2 ป. สั่นคลอน ‘3 ป. Forever’ ซ้ายก็น้องรัก ขวาก็ลูกน้องที่รัก หักใจเลือกใครไม่ได้ สุดท้ายต้องยอมแบกความเจ็บช้ำไว้คนเดียว 

อนุทิน ชาญวีรกูล : ‘ว้ากซีน’
ล้อมาจากคำว่า ‘วัคซีน’ ภาพที่ผู้คนชกต่อยยื้อแย่งวัคซีน บุคลากรทางการแพทย์ ดาหน้าออกมาเรียกร้องวัคซีนชนิด mRNA ผู้คนว้าก โวย เหวี่ยง ตำหนิการจัดหาและให้บริการวัคซีน ที่ถูกเลื่อนไม่มีกำหนด เพราะวัคซีนไม่มาตามนัด ไม่ว่านายอนุทิน จะชี้แจงอย่างไร กระแสตอบรับโดยเฉพาะใน Social Media ไม่มีคำว่ารักษาน้ำใจ หรือ เห็นถึงความพยายามในการแก้ปัญหาภาวะวิกฤต จนนายอนุทิน ต้องออกโต้ตอบอย่างดุเดือด ผ่านสื่อและโซเชียลทุกครั้งที่มีโอกาส

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ : ‘นายกฯ บางโพล’
แม้ปีนี้ยังไม่เข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง แต่หัวหน้าพรรคการเมืองหลายพรรค แสดงความพร้อมประกาศตัวเป็นนายกรัฐมนตรี หนึ่งในนั้น คือนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีผลสำรวจความคิดเห็น หรือ โพล บางสำนักเท่านั้น ที่ต้องการให้นายจุรินทร์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เปรียบได้กับการเป็นนายกรัฐมนตรีแค่บางโพล ไม่ใช่ทุกโพล

สุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ : ‘มหาเฉื่อย 4D’ (อ่านว่าโฟร์ดี)
ตลอดการดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ยังแสดงฝีมือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่เด่นชัด เช่น ปัญหาราคาน้ำมันแพง จนสมาคมรถบรรทุกออกมาประท้วงและหยุดวิ่งประชาชนกลายเป็นประชาชน เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แม้จะผุดโปรเจกต์ต่างๆ ก็ถูกมองเป็นนโยบายขายฝัน ด้วยเอกลักษณ์ เดินถือแก้วกาแฟชิลๆ มอบนโยบายเหมือนบรรยายธรรม โดยเฉพาะนโยบาย 4D ท่องจนเป็นคาถาติดปาก จึงได้รับฉายานี้ไป

สุชาติ ชมกลิ่น : ‘สุชาติ ชมเก่ง’
เกือบทุกครั้งในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เมื่อพูดถึงนโยบายของรัฐบาล หรือ งานในความรับผิดชอบ นายสุชาติมักจะขึ้นต้นประโยค ด้วยการชื่นชมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคของตนเองจะถูกยกยอปอปั้นอยู่เสมอ แถมยังติดสอยห้อยตามการลงพื้นที่ต่างๆ อีกทั้งยังเป็นรัฐมนตรีหนึ่งเดียว ที่ขันอาสาออกหน้ารับคำท้า ขึ้นชกมวยคาดเชือกกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แทนนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาท้าว่า ใครแพ้ลาออก และ หากไม่รับคำท้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย

‘ธรรมนัส’ ปัดเป็นไส้ศึก ร่วมก๊วนปาร์ตี้ พท. อัดสื่อบิดเบือน ชี้แค่พูดคุยกับ ‘หมอชลน่าน’

‘ธรรมนัส’ ขอบคุณสื่อมวลชนประจำรัฐสภา เชิญร่วมรับประทานอาหารในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปัดเป็นไส้ศึกร่วมก๊วนปาร์ตี้ ‘พรรคเพื่อไทย’ ตามที่สื่อบางสำนักบิดเบือน

วันที่ 27 ธ.ค. 64 ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.เขต 1 และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมาตนเองขอขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ที่เชิญตนเองไปร่วมรับประทานอาหารเนื่องในโอกาสวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งถือเป็นงานสังสรรค์ปีใหม่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนและนักการเมืองตามปกติ อย่างไรก็ตาม ได้มีสื่อบางสำนักนำคลิปภาพบรรยากาศระหว่างงานดังกล่าวที่ตนเองได้พูดคุยอยู่กับนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งนำคณะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาร่วมรับประทานอาหารเช่นเดียวกันไปวิพากษ์วิจารณ์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง โดยมีการโปรยหัวข่าวว่า แฟนคลับ พปชร.จวกยับ ‘ธรรมนัส’ โผล่ปาร์ตี้ร่วมก๊วน ‘พรรคเพื่อไทย’ ซึ่งตนเองถือว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง

โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" สั่งคุมเข้มระบบขนส่ง การจราจร และมาตรการป้องกันโควิด-19   ตั้งแต่วันนี้  เตรียมรองรับการเดินทางของพี่น้องประชาชนในสัปดาห์สุดท้ายของปืนี้  

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงการเดินทางของพี่น้องประชาชนในสัปดาห์สุดท้ายของปืนี้  ซึ่งคาดจะมีการเดินทางข้ามจังหวัด/พื้นที่จำนวนมาก จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขประสานกระทรวงคมนาคม บริษัทขนส่งทางบก  (บขส.) เตรียมมาตรการรองรับประชาชนที่จะมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ

โดยกระทรวงสาธารณสุขแนะนำว่า กรณีรถโดยสารที่ต้องใช้เวลาเดินทางเกิน 4 ชั่วโมงขึ้นไป ควรมีการตรวจ ATK ผู้โดยสารก่อนขึ้นรถทุกคน ส่วนผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ขณะใช้บริการทั้งที่สถานีขนส่งและบนรถโดยสารตลอดการเดินทาง  สำหรับพนักงานขับรถและพนักงานบริการจะต้องมีการตรวจ ATK  ก่อนปฏิบัติงาน ตามมาตรการเฝ้าระวังโควิด-19 นอกจากนี้  ยังมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเตรียมรองรับการเดินทางตั้งแต่ 29 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2565 รวมระยะเวลา 7 วัน ติดตามการใช้เส้นทางจราจรทางถนน ให้มีความคล่องตัว ไม่ติดขัดด้วย

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีหวังว่า ปีนี้จะสามารถลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ และลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้มากที่สุด ควบคู่กับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ด้วย
ทั้งนี้  บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)  คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มประมาณ 30% จากในช่วงปีใหม่ 64 โดยคาดว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 นี้  เที่ยวไประหว่างวันที่ 28 – 30 ธันวาคม 2564 จะมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละ 60,000 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม,รถตู้) เฉลี่ยวันละ 4,700 เที่ยว ส่วนเที่ยวกลับระหว่างวันที่ 2 – 3 มกราคม 2565 คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยวันละ 50,000 คน ใช้รถโดยสารประมาณ 4,500 เที่ยว  ซึ่ง บขส. พร้อมให้บริการด้วยรถโดยสารที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA Plus และจัดการเดินรถตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดด้วย

 

UN ออกโรงประณาม - เรียกร้องรัฐบาลสืบสวน กรณีทหารพม่าฆ่า - เผาชาวบ้านในรัฐกะยา 35 ราย

เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติรายหนึ่งระบุเมื่อวันอาทิตย์ (26 ธ.ค.) ว่า เขาสยดสยองต่อรายงานข่าวที่น่าเชื่อถือ กรณีมีพลเรือนอย่างน้อย 35 รายถูกสังหารและเผาร่างจนไหม้เกรียมในพม่า และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการสืบสวน

เจ้าหน้าที่ 2 คนของกลุ่มไม่แสวงหากำไร เซฟ เดอะ ชิลเดรน (Save the Children) ยังคงสูญหาย หลังรถยนต์ของพวกเขาเป็นหนึ่งในหลายๆ คันที่ถูกโจมตีและจุดไฟเผาในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่รัฐกะยา

องค์กรเฝ้าระวังกลุ่มหนึ่งและสื่อมวลชนท้องถิ่นกล่าวโทษเหตุโจมตีดังกล่าวไปที่คณะรัฐประหาร

มาร์ติน กริฟฟิธส์ รองเลขาธิการใหญ่ด้านกิจการมนุษยธรรมของสหประชาชาติ ระบุในถ้อยแถลงว่า "ผมขอประณามเหตุการณ์ร้ายแรงนี้และทุกการโจมตีที่มีต่อพลเรือนทั่วประเทศ" พร้อมเรียกร้อง "ขอให้มีการสืบสวนอย่างละเอียดและโปร่งใส"

พม่าตกอยู่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงมาตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในเดือนกุมภาพันธ์ และจนถึงตอนนี้มีประชาชนเสียชีวิตจากการถูกปราบปรามโดยกองกำลังด้านความมั่นคงไปแล้วมากกว่า 1,300 ราย

กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People's Defence Forces) ผุดขึ้นทั่วประเทศเพื่อต่อสู้กับคณะรัฐประหาร ดึงทหารเข้าสู่ทางตันแห่งการปะทะและตอบโต้นองเลือด

เมื่อวันเสาร์ (25 ธ.ค.) ภาพถ่ายที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ อ้างว่าเป็นภาพของรถบรรทุกถูกเผา 2 คันและรถยนต์อีกคันบนทางหลวงสายหนึ่งในเมืองพรูโซ ในรัฐกะยา และพบเห็นศพดำเป็นตอตะโกหลายศพอยู่ภายใน

สมาชิกของกองกำลังพิทักษ์ประชาชนในท้องถิ่น เปิดเผยว่านักรบของพวกเขาพบยานพาหนะเหล่านี้ในตอนเช้าวันเสาร์ (25 ธ.ค.) หลังได้ยินข่าวว่าทหารได้เรียกตรวจยานพาหนะหลายคันในพรูโซ หลังเกิดการปะทะกับนักรบของกลุ่มในบริเวณใกล้เคียงในวันศุกร์ (24 ธ.ค.)

"ตอนที่เราไปตรวจสอบพื้นที่ในตอนเช้าวันนี้ เราพบร่างผู้เสียชีวิตในสภาพไหม้เกรียมอยู่ในรถบรรทุก 2 คัน เราพบศพผู้เสียชีวิต 27 ศพ" สมาชิกรายนี้บอกกับเอเอฟพีในตอนเช้าวันเสาร์ (25 ธ.ค.) โดยไม่ประสงค์เอ่ยนาม

'พาณิชย์' ปลื้ม ผัก-ผลไม้ไทยครองตลาดจีน มันสำปะหลังแชมป์ผัก-ทุเรียนแชมป์ผลไม้

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยผักและผลไม้ไทย ครองส่วนแบ่งตลาดในจีนเป็นอันดับหนึ่ง มีสัดส่วนสูงถึง 45% ส่วนยอดส่งออก 11 เดือนปี 64 มีมูลค่า 6,013.03 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 81% เกินดุลการค้า 5,180.99 ล้านเหรียญสหรัฐ ระบุ “มันสำปะหลัง” นำโด่งส่งออกผัก “ทุเรียน” อันดับหนึ่งส่งออกผลไม้

27 ธ.ค. 64 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามสถิติการค้าสินค้าผักและผลไม้ไทยของไทยในตลาดจีน พบว่า ในช่วง 10 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ต.ค.) จีนมีการนำเข้าผักและผลไม้จากไทยสูงเป็นอันดับหนึ่ง โดยไทยครองส่วนแบ่งตลาดผักและผลไม้สูงถึง 45% ของการนำเข้าทั้งหมดของจีน ส่วนชิลีเป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่ง 14.01% และเวียดนามอันดับ 3 มีส่วนแบ่ง 6.45% แคนาดา อันดับ 4 มีส่วนแบ่ง 4.14% และนิวซีแลนด์อันดับ 5 มีส่วนแบ่ง 3.75%

ทั้งนี้ ส่วนแบ่งตลาดผักและผลไม้ของไทยในจีนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับสถิติการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น โดยตัวเลขล่าสุด 11 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-พ.ย.) ทำได้มูลค่า 6,013.03 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 81% และนำเข้าจากจีน มูลค่า 832.04 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.2% เกินดุลการค้า 5,180.99 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 105%

โดยในการส่งออกไปจีน เป็นการส่งออกผัก มูลค่า 1,199.70 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 96% โดยมันสำปะหลังส่งออกอันดับหนึ่ง มูลค่า 1,145.80 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 90% รองลงมา คือ พริกสดและแช่เย็น มูลค่า 36.03 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 157,369% และถั่วเขียวและถั่วทองแห้ง มูลค่า 6.53 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 131% และผลไม้ มูลค่า 4,813.32 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 78% โดยทุเรียนสด ส่งออกอันดับหนึ่ง มูลค่า 3,054.22 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 105% รองลงมา คือ มังคุดสด มูลค่า 506.00 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 39% และลำไยสด มูลค่า 472.63 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 64% ส่วนการนำเข้าจากจีน มีสินค้าผัก เช่น เห็ดแห้ง แคร์รอตสด แช่เย็น กะหล่ำปลีสด แช่เย็น และผลไม้เมืองหนาว เช่น แอปเปิล องุ่นสด ลูกแพร์ และส้ม เป็นต้น

'รมว.สุชาติ' ห่วงใยลูกจ้างเหตุเพลิงไหม้โรงงานบีบอัดกระดาษ  สั่ง 5 เสือแรงงานดูแลสิทธิประโยชน์อย่างเท่าเทียม 

กระทรวงแรงงานห่วงใยลูกจ้างโรงงานบีบอัดกระดาษ จังหวัดชลบุรี ส่งพนักงานตรวจความปลอดภัย พนักงานตรวจแรงงานลงพื้นที่ พร้อมกำชับ 5 เสือแรงงานช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ทั้งด้านคุ้มครองแรงงานและประกันสังคม แม้จะเป็นแรงงานต่างด้าวก็ตาม 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ ภายในบริษัท ไทย พีส พัลพ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 550 หมู่ที่ 3 ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่โรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงงานบีบอัดกระดาษ พบกลุ่มควันลอยพวยพุ่งออกมา ก่อนที่จะลุกลามไปติดก้อนกระดาษที่วางทับถมกันเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ระดมกำลังรถดับเพลิงจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ กว่า 10 คัน ฉีดน้ำสกัดเพลิงตามจุดจนสามารถควบคุมเพลิงได้ แต่จะใช้เวลาประมาณ 2 วัน ในการทำให้ดับสนิท โดยรถดับเพลิงต้องสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาดับเพลิง

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบคนงานชาวกัมพูชา กว่า 40 คน กำลังช่วยกันขนของและช่วยเหลือเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ จากแรงระเบิดของหม้อแปลง จำนวน 4 คน ออกมาจากโรงงาน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจำนวน 3 คน รวมมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 7 คน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และโรงพยาบาลแหลมฉบัง  กระทรวงแรงงานได้มอบให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานส่งพนักงานตรวจความปลอดภัยและพนักงานตรวจแรงงานลงพื้นที่ ได้สอบถามคนงานให้ข้อมูลว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองและภรรยาได้ทำงานอยู่ภายในโรงงาน ปรากฏว่าได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นจากหม้อแปลงไฟฟ้า หลังจากนั้นภรรยาตนเองที่ถูกแรงระเบิดได้วิ่งมาหาตนเอง ก่อนที่จะพากันวิ่งหนีตายออกมา ส่วนแรงระเบิดนั้น ก็ทำให้เพลิงลุกลามไปติดกองกระดาษที่วางทับถมกันอยู่ จนเกิดเหตุดังกล่าว  

ทั้งนี้ได้สั่งการให้ 5 เสือแรงงานเข้าให้ความช่วยเหลือในเรื่องของการประสานดูแลรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ สิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ทั้งด้านคุ้มครองแรงงานและประกันสังคม รวมทั้งกรมการจัดหางานเข้าไปตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว จัดหางานให้ถูกต้องและเสริมทักษะการทำงานให้แก่ลูกจ้างต่อไป 

“นายกฯ” ปลื้ม ยินดีช้างศึกไทย ทะลุชิงแชมป์ฟุตบอลอาเซียน AFF Suzuki Cup 2020 ชวนคนไทยร่วมเชียร์นัดชิง  29ธ.ค.-1ม.ค.65

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีกับนักฟุตบอลทีมชาติไทย และชื่นชมการแข่งขัน แม้จะเสมอทีมชาติเวียดนาม ประตู 0-0ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน AFF Suzuki Cup 2020 ที่ประเทศสิงคโปร์ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 นับเป็นความสำเร็จหลังจากชนะทีมชาติเวียดนามในรอบรองชนะเลิศ นัดแรก ด้วยประตู 2-0 เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2564 เอาชนะแชมป์เก่าอย่างเวียดนามด้วยคะแนนรวมสองนัด 2 – 0 

“บิ๊กตู่" สั่งคุมเข้มระบบขนส่ง การจราจร และมาตรการป้องกันโควิด-19   ตั้งแต่วันนี้  เตรียมรองรับการเดินทางของพี่น้องประชาชนในสัปดาห์สุดท้ายของปืนี้  

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นห่วงการเดินทางของประชาชนในสัปดาห์สุดท้ายของปืนี้  ซึ่งคาดจะมีการเดินทางข้ามจังหวัด พื้นที่จำนวนมาก จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขประสานกระทรวงคมนาคม บริษัทขนส่งทางบก  (บขส.) เตรียมมาตรการรองรับประชาชนที่จะมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ โดยกระทรวงสาธารณสุขแนะนำว่า กรณีรถโดยสารที่ต้องใช้เวลาเดินทางเกิน 4 ชั่วโมงขึ้นไป ควรมีการตรวจ ATK ผู้โดยสารก่อนขึ้นรถทุกคน ส่วนผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ขณะใช้บริการทั้งที่สถานีขนส่งและบนรถโดยสารตลอดการเดินทาง  สำหรับพนักงานขับรถและพนักงานบริการจะต้องมีการตรวจ ATK  ก่อนปฏิบัติงาน ตามมาตรการเฝ้าระวังโควิด-19 นอกจากนี้  ยังมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเตรียมรองรับการเดินทางตั้งแต่ 29 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2565 รวมระยะเวลา 7 วัน ติดตามการใช้เส้นทางจราจรทางถนน ให้มีความคล่องตัว ไม่ติดขัดด้วย

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีหวังว่า ปีนี้จะสามารถลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ และลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้มากที่สุด ควบคู่กับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ด้วย

ทั้งนี้  บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)  คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มประมาณ 30% จากในช่วงปีใหม่ 64 โดยคาดว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 นี้ เที่ยวไประหว่างวันที่ 28 – 30 ธันวาคม 2564 จะมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละ 60,000 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม,รถตู้) เฉลี่ยวันละ 4,700 เที่ยว ส่วนเที่ยวกลับระหว่างวันที่ 2 – 3 มกราคม 2565 คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยวันละ 50,000 คน ใช้รถโดยสารประมาณ 4,500 เที่ยว  ซึ่ง บขส. พร้อมให้บริการด้วยรถโดยสารที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA Plus และจัดการเดินรถตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดด้วย

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top