Monday, 16 June 2025
Hard News Team

 “นายกฯ” พอใจ ส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่อง ก.พณ. เร่งส่งออกทุกรูปแบบ รองรับการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องทั่วโลก 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชื่นชมการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ขยายตัวได้ดีมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนพฤศจิกายน มีมูลค่า 23,647.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น  783,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.7% และดุลการค้าเดือนพฤศจิกายน เกินดุล 23,745 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของตัวเลขการส่งออก 11 เดือน มูลค่ารวม 246,243.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 7,731,391 ล้านบาท หรือประมาณ 7.73 ล้านล้านบาท เป็นบวก 11 เดือน 16.4 เปอร์เซ็นต์ โดยหมวดส่งออกสำคัญ 3 หมวด ประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตร หมวดสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม และหมวดอุตสาหกรรม ดังนี้

1.หมวดสินค้าเกษตร เพิ่มขึ้น 14.2 เปอร์เซ็นต์  เป็นบวก 13 เดือนต่อเนื่องติดต่อกัน มูลค่าเดือนพฤศจิกายน 68,462 ล้านบาททุเรียนสด เพิ่มขึ้น 138.9 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวดีมากในตลาดจีนและเกาหลีใต้ มะม่วงสด เพิ่มขึ้น 48.6 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวดีมากในตลาดมาเลเซีย เกาหลีใต้ เมียนมา ญี่ปุ่นและลาว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง บวก 13 เดือนต่อเนื่อง เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 48.6 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวดีมาก ในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้และมาเลเซีย ลำไยสด เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 24.7 เปอร์เซ็นต์ เป็นบวก 6 เดือนต่อเนื่อง ขยายตัวดีในตลาดจีน ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ยางพารา เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นบวก 14 เดือนต่อเนื่อง 

2.หมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ภาพรวมเพิ่มขึ้น 21.2% เดือนพฤศจิกายนขยายตัวเดือนที่ 9 ต่อเนื่อง สินค้าสำคัญเช่น น้ำตาลทราย เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 74 เปอร์เซ็นต์ ผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เพิ่มขึ้น 34.5 เปอร์เซ็นต์ บวกเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และอาหารสัตว์เลี้ยง บวกเป็นเดือนที่ 27 โดยเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 25.9 เปอร์เซ็นต์

3.หมวดสินค้าอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.1 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือนติดต่อกัน ตัวอย่างเช่น สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ปิโตรเลียมเหลว เป็นต้น เพิ่มขึ้น 72.9 เปอร์เซ็นต์ เป็นบวก 10 เดือนต่อเนื่อง เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นบวก  12 เดือนต่อเนื่อง เดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 51.9 เปอร์เซ็นต์ อัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่มขึ้น 24.9 เปอร์เซ็นต์เป็นบวกเดือนที่ 9 ติดต่อกัน แผงวงจรไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 26.7 เปอร์เซ็นต์ บวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ บวก 12 เดือนต่อเนื่อง  เพิ่มขึ้น 19.9 เปอร์เซ็นต์ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้น 13 เดือนต่อเนื่อง เป็น เพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์

พิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Year New Normal 2022)

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้จัดพิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Year New Normal 2022) ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถ.พระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กทม. และการตรวจเยี่ยมมาตรการดูแลคัดกรองประชาชนที่มาใช้บริการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ปฏิบัติหน้าที่ ดูแลนักท่องเที่ยวและประชาชนในห้วงการระบาดของโรคโควิด 19 ทุกสายพันธ์ โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว โดย พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้จัดให้มีการปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Year New Normal 2022) ในการอำนวยความสะดวก ปกป้องคุ้มครอง และรักษาไว้ซึ่งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวและประชาชน ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดซึ่งทุกคนต้องอยู่ในมาตรการการป้องกันไวรัส โควิดทุกสายพันธ์อย่างเข้มแข็ง และในส่วนของการท่องเที่ยวไทยนั้นเน้นการปรับตัวให้เป็นการท่องเที่ยว ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Tourism)

ซึ่งถือว่าจะเป็นการท่องเที่ยววิถีใหม่ยุคหลังโควิดที่จะทำให้การท่องเที่ยวของไทยนั้นยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล และในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบนโยบายให้ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ดำเนินงานการบูรณาการและทำงานเชิงรุกร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันเหตุร้าย สร้างความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว  โดยตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลรักษา ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน ควบคู่กับการดูแลสุขภาพของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทุกสายพันธ์ เป็นสำคัญ

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย” มอบทุนการศึกษาทุกระดับปีสุดท้าย และทุนการศึกษาต่อเนื่องทุกระดับชั้น ประจำปี 2564

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ  เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีมอบเงินทุนต่อเนื่องในทุกระดับชั้น และทุนทุกระดับปีสุดท้ายแก่เยาวชนที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในระดับชั้นมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา รวม 119 สถาบัน จำนวน 836 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,675,000 บาท (สิบเอ็ดล้านหกแสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาทถ้วน)  เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มูลนิธิฯ ได้จัดให้มีมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสภายในพื้นที่อย่างเข้มข้น รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการมอบทุนฯ โดยประสานผู้แทนจากสถาบันการศึกษาแต่ละแห่ง เป็นตัวแทนรับมอบทุนการศึกษา ระหว่างวันที่ 27-29 ธันวาคม 64 ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ


การมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชน นักเรียน นิสิต และนักศึกษา ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งในด้านงานสังคมสงเคราะห์ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวและช่วยเหลือเยาวชนของชาติไม่ให้ขาดโอกาสทางการศึกษา ต้องละทิ้งหรือยุติการศึกษา เพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้มีโอกาสศึกษาจนจบหลักสูตรในแต่ละระดับชั้น ช่วยสร้างอนาคตให้เยาวชนตามที่มุ่งหวัง เป็นคนดี มีความรู้ เป็นทรัพยากรมีคุณภาพของสังคมและประเทศชาติ โดยเมื่อเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้มอบทุนการศึกษาระดับชั้นประถมแก่เยาวชนที่ประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ประจำปี 2564 จำนวน 1,500 ทุน รวมทั้งยังได้มอบทุนการศึกษาในส่วนภูมิภาค ซึ่งในปีพ.ศ. 2564 นี้  ได้มอบให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษาในภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดตรัง สงขลา นครศรีธรรมราช  สุราษฎร์ธานี พัทลุง และ กระบี่ รวมทั้งสิ้น 6 จังหวัด จำนวน 53 สถาบัน 265 ทุน 
รวมงบประมาณการมอบทุนการศึกษา ประจำปี 2564 เป็นเงินทั้งสิ้น 16,930,000 บาท (สิบหกล้านเก้าแสนสามหมื่นบาทถ้วน) 

สำรวจความสนใจคนไทย ผ่าน FB และ IG จากรายงาน ‘ที่สุดของปี 2564’ ของ Meta

ในขณะที่ผู้คนต่างตั้งตารอปี 2565 ที่กำลังจะมาถึง Meta ได้เผยรายงาน “ที่สุดของปี 2564” (2021 Year in Review) เพื่อแบ่งปันเรื่องราว เหตุการณ์ และช่วงเวลาที่ส่งผลต่อคนไทย และทำให้ปีที่ผ่านมานี้สร้างการเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้น และยังมีความหมายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เรื่องราวต่าง ๆ ครอบคลุมการพูดคุยและโพสต์บน Facebook และ Instagram ทั้งจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปจนถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวปี 2563 และแม้แต่การทำสวนและอาหาร

Meta กล่าวไว้ว่า “ทุก ๆ ปี รายงานที่สุดของปีสะท้อนแนวคิดที่กำหนดด้วยคำสำคัญยอดนิยมของปีนั้น ๆ สำหรับปี 2564 ได้แก่ โควิด สุขภาพ กีฬา และหลากหลายหัวข้อไลฟ์สไตล์ที่โดนใจคนไทยทั้งใน Facebook และ Instagram”

โควิดและสุขภาพ: คำว่า ‘วัคซีน’, ‘อาการ’ และ ‘การตรวจ’ เป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดในแนวคิดนี้ ขณะที่ประเทศไทยกำลังต่อสู้กับการระบาดของเวฟ 2 และ 3 ของโควิด-19 ที่ตามกันมาอย่างต่อเนื่อง และผู้คนก็ได้หันมาใช้ Facebook และ Instagram เพื่อขอความช่วยเหลือและเชื่อมต่อกัน และทำให้เกิดการค้นหาคำว่า ‘วัคซีน’ และหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน เนื่องจากคนไทยรู้จักที่จะอยู่อย่างปลอดภัยและมองหาการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองจากไวรัส

เรื่องจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับสยามที่ต่างชาติพยายามหยิบยกมาถก 

ไม่นานมานี้ Post Today ได้รวบรวมการพูดคุยของชาวเน็ตต่างชาติ ที่ได้ตั้งกระทู้พูดคุยกันบนเว็บไซต์ Quora ในหัวข้อ ‘อะไรคือเรื่องจริงที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับประเทศไทย’ (What are the most interesting facts about Thailand?) ซึ่งมีผู้แสดงความคิดเห็นราว 56 รายการ แต่มีการคัดเรื่องที่น่าสนใจมาไว้ดังนี้...

>> ผู้ใช้ชื่อ Unmesh Kulkarni กล่าวว่าเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเขาคือร้านสะดวกซื้อในไทยมักมีหมาข้างถนนนอนตากแอร์อยู่หน้าประตู

>> Ava Bhatt หญิงชาวรัสเซีย อดีตที่ปรึกษาสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส ตื่นเต้นกับการใช้พุทธศักราชของไทย โดยกล่าวว่า "มันเหมือนกับว่าเรามีไทม์ไลน์ที่ต่างกัน อย่างตอนนี้เรามาถึงค.ศ. 2019 แต่ที่ไทย 2562 แล้ว ก็บอกได้เลยว่าเราไปท่องอนาคต"

“คนไทยไม่รีบไปไหนเลย” Ava Bhatt กล่าวว่าจากประสบการณ์ของเขา เขาพบว่าคนไทยชอบที่จะนอนเล่นและทำตัวสบายๆ นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยชอบทานอาหารนอกบ้านมากกว่าทำกับข้าวเองที่บ้าน และการนั่งบนขั้นบันไดหรือทางเท้าเป็นเรื่องปกติ

อีกสิ่งหนึ่งที่เธอพบคือการใช้ถนนหนทางในประเทศไทยนั้นลำบากมาก ประการแรกคือหลายคนไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร และเธอไม่คุ้นชินกับการจราจรซ้ายมือ แท็กซี่ก็มีราคาแพง สิ่งที่เธอทำได้คือการเช่ารถจักรยานในราคา 600 รูเบิลรัสเซีย

>> Vishwas Virani จากอินเดียกล่าวว่าเรื่องที่ได้เรียนรู้จากการมากรุงเทพมหานครคือการถอดเสื้อขับรถเป็นเรื่องผิดกฎหมาย รวมถึงการออกจากบ้านโดยไม่สวมกางเกงในด้วย ซึ่งมีหลายคอมเมนต์ที่พูดถึงประเด็นนี้เช่นกัน

เขายังทิ้งท้ายแบบติดตลกว่าหากเขาเกิดที่ประเทศไทยคงต้องใช้เวลาครึ่งชีวิตในคุก

>> ผู้ใช้ชื่อ Alexander Dow กล่าวว่าเรื่องจริงที่น่าสนใจคือผัดไทยเป็นอาหารไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วมันไม่ใช่อาหารยอดนิยมขนาดนั้น

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่ากรุงเทพมหานครกำลังได้รับอิทธิพลจากนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติมากขึ้นอย่างมาก สังเกตได้จากร้านอาหารเกาหลี ญี่ปุ่น ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเคยเห็นร้านอาหารเกาหลีเหนือ ที่เสิร์ฟอาหารต้นตำรับเกาหลีเหนือจริงๆ ด้วย

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรปอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ นอกจากนี้ไทยยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ขับรถพวงมาลัยขวา

>> Tarun Madan กล่าวว่าเขาไม่เคยพบประเทศไหนที่มีที่นั่งสำหรับพระสงฆ์บนรถสาธารณะอย่างเช่นรถไฟฟ้าเหมือนกับประเทศไทย

>> Andy Cruise ชาวต่างชาติซึ่งอาศัยในประเทศไทยกล่าวว่าคนไทยจะต้องถอดรองเท้าเมื่อเข้าบ้านแม้ว่าพื้นบ้านจะสกปรกกว่ารองเท้าก็ตาม โดยกล่าวว่าเขาที่มาจากวัฒนธรรมที่ต่างกันอาจรู้สึกไม่สุภาพนิดหน่อยที่เจ้าของบ้านบอกให้แขกถอดรองเท้า แต่บ้านของคุณรกมาก

สธ. เผยผู้ติด 'โอมิครอน' อาการน้อยถึงไม่มี ส่วน 90% ของเชื้ออยู่หลอดลมมากกว่าลงปอด

ที่กระทรวงสาธารณสุข สธ. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงฉากทัศน์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย และอัปเดตสถานการณ์เชื้อโอมิครอน ว่า... 

ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. - 18 ธ.ค. 64 เป็นต้นมา สะสม 514 รายที่เป็นต้นเชื้อ กระจายใน 14 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่มาจากระบบเข้าประเทศทั้ง 3 ระบบ ได้แก่ ระบบไม่กักตัว (Test and go), ระบบแซนด์บอกซ์ (Sand box) และระบบกักตัว (Quarantine) แล้วเราตรวจจับได้หลังจากนั้นคนเหล่านี้จะกลับไปพื้นที่ต่างๆ ส่วนใหญ่อยู่ในการควบคุม แต่บางส่วนเล็ดลอดออกไป พบเป็นการสัมผัสใกล้ชิดผู้เดินทางจากต่างประเทศประมาณ 20% เช่น ไปเยี่ยมญาติ ก็อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ จึงต้องระมัดระวังให้มาก

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับอาการโอมิครอน ของผู้ติดเชื้อมีดังนี้... 

>> อาการน้อยจนถึงไม่มีอาการ 90% 
>> มีอาการเล็กน้อย 10% 
>> อาการมาก 3-4% 

ขณะที่ โอมิครอนพบที่หลอดลมมากกว่าลงปอด 

ดังนั้นอาการที่พบได้มากคือ ‘ไอ’ แต่หากลงปอดก็จะมีความรุนแรงเช่นเดียวกับเดลตา 

ส่วนการศึกษาจากผู้ติดเชื้อโอมิครอน 41 รายที่เราทำการรักษาอยู่ พบว่า อาการไอ 54%, เจ็บคอ 37%, ไข้ 29%, ปวดกล้ามเนื้อ 15%, มีน้ำมูก 12%, ปวดศีรษะ 10% หายใจลำบาก 5% และไม่ได้กลิ่น 2%

ทั้งนี้เราพบอาการไม่ได้กลิ่นน้อย พบเพียง 1 ราย โดยเราให้ยาที่มีอยู่คือ ฟาวิพิราเวียร์ จำนวน 5 วันตามมาตรฐาน เราจึงพบว่า หากให้ยาตั้งแต่ต้น อาการจะดีขึ้นภายใน 24-72 ชั่วโมง อาการฟื้นกลับมาเป็นปกติได้

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มีเสนอฉากทัศน์พยากรณ์ในกรณีที่มีการแพร่ระบาดของโอมิครอนใน 3 รูปแบบ…

เที่ยวบินปีใหม่ลดฮวบ 17% หลังคนหวั่น 'โอมิครอน'

นายทินกร ชูวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ด้านปฏิบัติการ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เปิดเผยว่า บวท. ประเมินตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.64-3 ม.ค.65 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนเดินทางเป็นจำนวนมาก จะมีเที่ยวบินรวม 9,440 เที่ยวบิน หรือ 944 เที่ยวบินต่อวัน อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณเที่ยวบินลดลง 17% ซึ่งมีเที่ยวบินรวม 11,443 เที่ยวบิน 

ทั้งนี้จากการที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเที่ยวบินในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 23% มีเที่ยวบินรวม 30,457 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบินภายในประเทศ 20,002 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 7,287 เที่ยวบิน นอกนั้นเป็นเที่ยวบินผ่านน่านฟ้า (Overfly) และอื่นๆ

'ออมสิน' ดันโครงการช่วยคนตกงานจากพิษโควิด-19 จัดเงินทุน-พื้นที่ค้าขายอ

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ธนาคารออมสิน ขยายผลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ตกงานหรือขาดรายได้ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นช่วงของการฟื้นฟูและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยธนาคารได้จัดทำโครงการออมสิน สร้างงาน สร้างอาชีพ ตั้งเป้าหมายสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ที่เดือดร้อนจำนวนมาก ได้มีการปรับตัวและมองเห็นโอกาสใหม่ในการประกอบอาชีพ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สามารถใช้ความรู้ใหม่และทักษะทางอาชีพที่ได้รับการถ่ายทอด เป็นทางเลือกและช่องทางต่อยอดในการประกอบอาชีพมากขึ้น 

ทั้งนี้ธนาคารได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 18 แห่ง สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) มหาวิทยาลัยในโครงการยุวพัฒน์รักถิ่น 64 แห่ง กว่า 900 ชุมชน และเครือข่าย เชฟชื่อดังระดับมิชลินสตาร์ และเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์มากมาย ในการช่วยกันฝึกอบรมและสร้างทักษะอาชีพแก่ประชาชนรวมกว่า 100 หลักสูตร ซึ่งการอบรมอาชีพที่ได้รับจะช่วยให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการได้มีความรู้ติดตัว สามารถใช้ประกอบอาชีพได้จริงต่อไป ให้เงินทุน ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการให้เงินทุนผ่านมาตรการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดย ครม. มีมติอนุมัติวงเงินชดเชยความเสียหายจาก NPL 30% ของวงเงินสินเชื่อโครงการ เพื่อสนับสนุนผลักดันความสำเร็จของการมอบความช่วยเหลือในระยะแรกของโครงการ ซึ่งในอนาคตจะมีมาตรการสินเชื่ออื่น ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

“มนุษย์ควัน” เผย วุฒิสภาฟิลิปปินส์ผ่านกฎหมายคุมบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย

เฟซบุ๊กเพจ “มนุษย์ควัน” เผยวุฒิสภาฟิลิปปินส์ผ่านร่างกฎหมายยาสูบไร้ควัน  ตั้งเป้าควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์แบบให้ความร้อน เพื่อไม่ให้เด็กเข้าถึงได้ ขณะที่เปิดทางให้สิงห์นักสูบผู้ใหญ่ 17 ล้านคนมีโอกาสได้ใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่อันตรายน้อยกว่า ชี้รัฐสภาไทยและรัฐบาลควรดูเป็นตัวอย่าง

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “มนุษย์ควัน” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 30,000 คนที่รณงรงค์เรียกร้องสิทธิในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ไร้ควัน เผยความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการออกกฎหมายผลิตภัณฑ์นิโคตินแบบไม่เผาไหม้ หรือ Vaporized Nicotine Product bill ในประเทศฟิลิปปินส์ว่า “วุฒิสภาฟิลิปปินส์เพิ่งผ่านร่างกฎหมายนี้เป็นที่เรียบร้อยมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากที่ก่อนหน้านี้สภาผู้แทนราษฎรของฟิลิปปินส์ก็มีมติเห็นชอบในร่างกฎหมายนี้มาแล้ว ซึ่งสภาฯฟิลิปปินส์เชื่อว่าจะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ในประเทศได้ และยังจะช่วยให้คนสูบบุหรี่กว่า 17 ล้านคนในฟิลิปปินส์มีโอกาสเปลี่ยนไปไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่”

ร่างกฎหมายผลิตภัณฑ์นิโคตินแบบไม่เผาไหม้ มีสาระสำคัญเพื่อควบคุมการนําเข้า ผลิต ขาย การบรรจุ การจัดจําหน่าย การใช้และการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (HTPs) ตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อป้องกันประชาชนจากอันตรายของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน
 
“ปัจจุบัน ฟิลิปปินส์ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ใช้ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อนแต่ก็มีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศ เลยจำเป็นต้องมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับ 79 ประเทศทั่วโลก เช่น อังกฤษ สหภาพยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา คือการมีมาตรการควบคุมที่เฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เลย แต่ประเทศไทยกลับเลือกที่จะแบนบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน โดยไม่ดูความต้องการของผู้สูบบุหรี่ที่มองหาผลิตภัณฑ์ทดแทนการสูบบุหรี่ที่อันตรายน้อยกว่า ดังนั้นการแบนจึงไม่ได้ผล เพราะก็ยังมีคนแอบซื้อ แอบใช้ จำนวนมาก ซึ่งอาจรวมถึงเด็กๆ และเยาวชนด้วย มีการขายกันเกลื่อนในโลกออนไลน์ แถมรัฐเก็บภาษีสรรพสามิต หรือภาษีศุลกากรก็ไม่ได้เลย”

 

อดีตนักเรียนเกาหลีใต้ เผยคุ้ม!! พัฒนา ‘คลองช่องนนทรี’ คล้าย ‘คลองชองกเยชอน’ จากคลองดำ สู่พิกัดแห่งความเป็นหน้าเป็นตา 

นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ ในฐานะมุมมองหนึ่งของอดีตนักเรียนเกาหลีใต้ ว่า...

นับจากมีประเด็นคลองช่องนนทรี ก็มีคนชอบถามผมที่เคยเรียนเกาหลีว่า โครงการนี้ เมื่อเทียบกับ คลอง ชองกเยชอน (청계천) แล้วคิดว่าอย่างไร

ผมก็ตอบไปตามความจริงว่า แม้สมัยที่เรียนอยู่เกาหลี ผมจะชอบขี่เสือหมอบ ร่อนถ่ายรูปไปตามที่ต่างๆ แถวๆ นั้น แต่ไม่เคยสังเกตสนใจไอ้คลองโบราณอายุหลายร้อยปีนี้เลย

เพราะคลองที่โดนตึกรามบ้านช่องและถนนหนทาง สร้างขึ้นมากดทับ มากมาย จนน้ำเน่าเสียไปทั้งคลองนั้น
มันเป็นผลจากการขยายเมืองอย่างรวดเร็ว ของยุคเกาหลีก้าวกระโดด จนเป็นรอยด่างกลางเมืองที่ซ่อนตัวเงียบๆ ไม่มีใครอยากเห็นหรือให้ความสนใจ

ช่วงที่กรุงโซลต้องการจะพัฒนาคลองชองกเยชอน ที่มีความยาวเกือบๆ 6 กิโลเมตร ให้สะอาด ซึ่งใช้งบประมาณมหาศาล (ประมาณหมื่นล้านบาท) และต้องเวนคืนบ้านเรือนหลายแห่ง ก็โดนกระหน่ำต่อต้านมากมาย

แต่พอสร้างเสร็จก็กลายเป็นแหล่งรวมความสนใจ กลายเป็นหน้าเป็นตา และจุดท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจของกรุงโซล

ถามผมว่าผมชอบหน้าตาของคลองชองกเยชอนในสมัยนี้ไหม ก็ตอบได้ว่าไม่ค่อยชอบหรอก เพราะผมไม่ใช่คนที่ชอบสิ่งปลูกสร้างที่อลังการไม่เป็นธรรมชาติ

แต่ถ้าถามว่าดีมีประโยชน์ไหมนั้น ก็ต้องบอกว่าเมื่อเทียบกับคลองน้ำดำๆ รายล้อมไปด้วยแหล่งเสื่อมโทรมอย่างสมัยก่อนแล้ว ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาปรับปรุงได้คุ้มค่าแม้จะใช้เงินลงทุนมากมายก็ตาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top