Monday, 16 June 2025
Hard News Team

“เอ้ สุชัชวีร์” ระดมสมองร่วมชาวบ้านบางขุนเทียน แก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ  เชื่อ! กรุงเทพฯ แก้ได้ ด้วยหลักวิศวกรรม 

“เอ้ สุชัชวีร์” สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วย พร้อมด้วย นายสารัช ม่วงศิริ ผู้สมัคร ส.ก. เขตบางขุนเทียน และนายสากล ม่วงศิริ อดีต ส.ส. 4 สมัย พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันลงพื้นที่บริเวณชายทะเลบางขุนเทียน เพื่อรับฟังปัญหาของเขตบางขุนเทียน ซึ่งกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากน้ำทะเลหนุนสูง และในอนาคตเมื่อปัญหาโลกร้อนหนักขึ้น ก็จะยิ่งทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น ปัจจุบันเขตบางขุนเทียนสูญเสียที่ดินจากการถูกน้ำทะเลกัดเซาะลึกเข้ามากว่า 2 กม. สร้างความเสียหายให้บ้านเรือนและที่ดินทำกินของพี่น้องประชาชน 

“เอ้ สุชัชวีร์” พบว่าปัจจุบันเขื่อนป้องกันน้ำทะเลหนุนของ กทม. มีลักษณะเป็นไม้ไผ่ซึ่งไม่ใช่วัสดุทำเขื่อนป้องกันทะเลได้ เพราะไม่มีความแข็งแรง เมื่อติดตั้งเพียง 1-2 ปี เจอแดดและความชื้นไม่นานก็เสื่อมสภาพ กลายเป็นขยะไหลเข้าไปในวังเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงหอยของชาวบ้าน 

ส่วนการไฟฟ้านครหลวงบริจาคเสาไฟฟ้าที่ไม่ใช้แล้ว มาปักเป็นแนวเขื่อนป้องกันทะเล แม้มีคุณภาพดีกว่าต้นไผ่ แต่ก็ยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาได้ เพราะเสาไฟฟ้าจะเอียงตามสภาพของแรงคลื่นที่กระทบตลอดเวลา ถือเป็นการช่วยเหลือเพียงชั่วคราว รวมทั้งการปลูกป่าโกงกางเพื่อป้องกันการกัดเซาะของน้ำทะเลก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากน้ำทะเลซัดจนต้นโกงกางไม่สามารถหยั่งรากได้

ในต่างประเทศที่ประสบปัญหาน้ำทะเลหนุน อย่างญี่ปุ่น มาเลเซีย หรือยุโรป จะนิยมใช้วิธีถมด้วยหินเทียม จากการหล่อคอนกรีต มีลักษณะสามขา โดยไม่ใช้หินจริงที่ต้องระเบิดจากภูเขา ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งการถมด้วยหินเทียมมีข้อดีคือมีน้ำหนักมาก นอกจากนั้นจะมีช่องให้สัตว์น้ำสามารถเข้าไปวางไข่ได้ ไม่กระทบกับการทำประมงชายฝั่ง อีกทั้งปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการหล่อคอนกรีตที่บริษัทของไทยสามารถทำได้

'ราเมศ' ย้ำ 'ปชป' ไม่คิดฮั้วกับใคร ตัดสินใจตามสถานการณ์ความเหมาะสม

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการเลือกตั้งซ่อมหลายเขตที่เกิดขึ้นว่า

พรรคดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภายใต้กรอบของกฎหมาย ทุกการตัดสินใจเป็นไปตามสถานการณ์และความเหมาะสม การส่งหรือไม่ส่งผู้สมัคร ไม่มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยคำว่าพรรคการเมืองอื่นหรือปัจจัยคำว่าพรรคร่วมรัฐบาล แต่คำนึงถึงสาระสำคัญของความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ คณะกรรมการบริหารพรรคมีดุลยพินิจในการพิจารณาทุกคนและเมื่อตัดสินใจส่งผู้สมัครในเขตเลือกตั้งใดแล้วก็สู้กันอย่างเต็มที่ตามครรลองของระบบประชาธิปไตย 

ป.ป.ช. เปิดเซฟ 3 อดีต ผบ.เหล่าทัพ “บิ๊กแอร์บูล” อู้ฟู่ 108 ล้าน ไร้หนี้สิน ภรรยารวยที่ดิน ด้าน “บิ๊กอุ้ย-บิ๊กณัฐ” รวยเท่ากัน 29 ล้าน  

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของอดีตผู้บัญชาการเหล่าทัพ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย 1.พล.อ.อ.แอร์บูล  สุทธิวรรณ กรณีพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ และสมาชิกวุฒิสภา 2. พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน กรณีพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือและสมาชิกวุฒิสภา 3.พล.อ.ณัฐ  อินทรเจริญ กรณีพ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมและสมาชิกวุฒิสภา

 โดย พล.อ.อ.แอร์บูล แจ้งว่า ตนเอง และนางพรรณระพี สุทธิวรรณ คู่สมรส มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 108,960,960 บาท ไม่มีหนี้สิน โดยเป็นทรัพย์สินของ พล.อ.อ.แอร์บูล 20,590,105 บาท เป็นของนางพรรณระพี 88,370,854 บาท ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 16,647,858 บาท เงินลงทุนของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 10,579,568 บาท ที่ดินในชื่อของนางพรรณระพี 34,732,500 บาท โดยเป็นที่ดินในเขตพญาไท กทม. อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างในชื่อของนางพรรณระพี 29,700,000 บาท ส่วนรายการทรัพย์สินอื่นของทั้งคู่ แจ้งว่า มี 88 รายการ มูลค่ารวมกัน 10,472,200 บาท โดยมีทรัพย์สินที่น่าสนใจ อาทิ ทองคำแท่ง น้ำหนัก 40 บาท สร้อยคอทองคำ แหวนทองประดับเพชร แหวนทองฝังเพชร พระเลี่ยมทอง เครื่องประดับสตรี

 ผู้ยื่นยังแจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 2,072,000 บาท แบ่งเป็นเงินเดือน 1,400,000 บาท เบี้ยประชุม 672,000 บาท และมีรายจ่ายต่อปี 980,000 บาท ส่วนคู่สมรส แจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 2,018,200 บาท โดยเป็นเงินเดือนและเบี้ยประชุม และมีรายจ่ายต่อปี 960,000 บาท โดยเป็นค่าอุปโภคบริโภค ประกันชีวิต อุปการะมารดา ท่องเที่ยว บริจาค

 ด้าน พล.ร.อ.ชาติชาย แจ้งว่า ตนเอง และนางจุฬารัตน์ ศรีวรขาน คู่สมรส มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 29,270,306 บาท มีหนี้สิน 2,661,557 บาท โดยเป็นหนี้สินของ พล.ร.อ.ชาติชาย ซึ่งเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น โดยทรัพย์สินแบ่งเป็นของ พล.ร.อ.ชาติชาย 25,398,206 บาท เป็นของนางจุฬารัตน์ 3,872,099 บาท ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 3,592,045 บาท ที่ดินของ พล.ร.อ.ชาติชาย 9,894,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างของ พล.ร.อ.ชาติชาย 3,840,000 บาท เงินลงทุนของ พล.ร.อ.ชาติชาย 2,165,670 บาท ส่วนรายการทรัพย์สินอื่นของคู่ แจ้งว่า มี 11 รายการ มูลค่ารวมกัน 5,758,500 บาท โดยมีรายการที่น่าสนใจ อาทิ นาฬิกา ROLEX 2 เรือน สร้อยคอทองคำ พระเลี่ยมทอง สร้อยคอมือ เข็มขัดนาค แหวน 

 ผู้ยื่นยังแจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 2,148,000 บาท แบ่งเป็นเงินเดือน 970,000 บาท เงินประจำตำแหน่ง เงินค่าตอบแทน 500,000 บาท เบี้ยประชุม เบี้ยเลี้ยงเดินทาง 650,000 บาท เงินปันผลสหกรณ์ 28,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ยื่นและคู่สมรสแจ้งว่า มีรายจ่ายต่อปีรวมกัน 1,751,600 บาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าผ่อนบ้าน ค่าเล่าเรียนบุตร 

‘อานนท์ นำภา’ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง ‘ทูตเยอรมัน’ ชี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม-ใช้คุกเป็นเครื่องมือปิดปาก!

(27 ธ.ค. 64) เฟซบุ๊ก ‘อานนท์ นำภา’ โพสต์ข้อความระบุเป็น ‘จดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชทูตประจำประเทศเยอรมนี ฉบับที่1’ กล่าวถึง ชีวิตในเรือนจำของนักโทษการเมือง ระบุขอบคุณสถานทูตเยอรมันที่เฝ้าติดตามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย พร้อมชี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม คุกกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปาก โดยระบุว่า..

“จดหมายเปิดผนึก ถึงท่านเอกอัครราชทูตประจำประเทศเยอรมนี ฉบับที่1

กลางดึกคืนหนึ่งปลายปี ลมหนาวพัดเอื่อยๆผ่านลูกกรงเข้ามาทางห้องขังแดน 4 เพื่อนผู้ต้องขังหลายคนหลับไปแล้ว จะมีก็แต่เพนกวินที่นอนอ่านหนังสือเรียนของเขาอยู่ ส่วนหนังสือเตรียมสอบทนายของไผ่ ถูกเอามาพันผ้าห่มใช้แทนหมอนหลังจากเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ศาลไม่ให้เขาประกันตัวออกไปสอบตั๋วทนาย ซึ่งได้สอบกันไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา 

ชีวิตในเรือนจำของพวกเรานักโทษทางการเมือง ยังคงดำเนินต่อไป หลังจากมันดำเนินมาสักระยะหนึ่งตั้งแต่การลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมเมื่อกลางปีที่แล้ว คุกจึงกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปาก ไม่ให้เรียกร้องหรือใฝ่ฝันถึงสังคมที่ดีงามอย่างที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม กระผมต้องขอขอบคุณทางสถานทูตเยอรมันที่ยังเฝ้าติดตามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยตลอดมา สัปดาห์ที่แล้วที่ผมขึ้นศาล ผมได้พบกับเจ้าหน้าที่ทูตของท่านและได้รับกำลังใจ รวมถึงความห่วงใยอย่างดียิ่ง นอกจากนี้ยังทราบว่าหลายประเทศในยุโรปยังคงติดตามสถานการณ์ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างใกล้ชิด

ในประเทศที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพ การจองจำนักศึกษา ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยก็จะมีให้เห็นอยู่เช่นนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองของไทย แทบไม่เคยมีการเปิดพื้นที่ให้การพูดคุย ผู้มีอำนาจจากอดีตถึงปัจจุบัน ก็ยังคงใช้ความรุนแรง ทั้งที่เป็นอาวุธและในนามของกฎหมาย ทำร้ายและทำลายพวกเราอย่างไร้มนุษยธรรม 

กระผมทราบว่าในประเทศของท่านได้ผ่านช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อันเป็นบทเรียน ทำให้ประเทศของท่านเข้มแข็ง เรียนรู้ ต่อสู้กับผู้ปกครองที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนเปลี่ยนผ่านมาสู่การเป็นประเทศที่เป็นเสาหลักด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสง่างาม ทั้งยังให้ความสำคัญต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่บัญญัติไว้ในมาตราแรกของรัฐธรรมนูญแห่งเยอรมนี ซึ่งแตกต่างกับประเทศของกระผมที่แม้มีรัฐธรรมนูญ ให้สิทธิ เสรีภาพแต่ก็หาใช้ได้จริงไม่ เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองถูกทำลายลงด้วยอาวุธปืน น้ำผสมสารพิษและกระบวนการทางศาล

กล่าวโดยเฉพาะ ภายหลังการลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเรา รัฐได้ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม จับกุมคนที่แสดงความเห็นโดยสุจริตจำนวนมาก ยัดข้อหาที่ไม่เป็นธรรม จนกระทั่งในขณะที่เขียนจดหมายถึงท่านอยู่นี้ กระผมกับเพื่อนๆก็ยังถูกขัง เพียงเพราะออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตย บางคนถูกฟ้องเพียงเพราะใส่เสื้อคร็อปท็อป แม้กระทั่งนักศึกษาที่เดินทางไปยื่นหนังสือที่สถานทูตของท่านก็ยังถูกฟ้องและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำหญิงแห่งหนึ่ง

ชะตากรรมของพวกเรา มิได้เกินความคาดหมาย เมื่อคำนึงถึงความโหดร้ายของชนชั้นปกครองในอดีต เพียงแต่อาจจะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้างก็ตรงที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เห็นถึงความจริงใจที่พวกเราออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้น การพูดอย่างตรงไปตรงมาของพวกเรา ยังถูกมองเป็นความรุนแรง ขณะที่การใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมโดยรัฐถูกมองเป็นเรื่องปกติ 

ขณะเดียวกัน ศาลที่เคยให้ความยุติธรรมในอรรถคดีทุกเรื่อง พอมาถึงการบังคับใช้มาตรา 112 กลับเป็นข้อยกเว้นแห่งความยุติธรรม เป็นเสมือนหลุมดำที่บรรดาตุลาการมิอาจมีเรี่ยวแรงฝ่าข้ามไปได้

ลมหนาวอีกระลอกของคืนนี้พัดมาแล้ว เสียงกรนของเพื่อนๆยังคงขับกล่อมห้องขังอยู่ กระผมต้องจบจดหมายฉบับแรกเพียงเท่านี้และหากไม่เป็นการรบกวนท่านจนเกินไป กระผมหวังว่าท่านจะได้โปรดตอบจดหมายหรือเขียนมาบอกเล่าเรื่องราวของโลกภายนอกให้กระผมและเพื่อนๆฟังในเรือนจำ

ในโอกาสปีใหม่ที่ใกล้จะถึง กระผมขอส่งความสุข ความปรารถนาดีมายังท่านและฝากไปถึงพี่น้องชาวเยอรมันทุกคน หวังว่าท่านจะได้รับจดหมาย ตลอดจนพรปีใหม่นี้ 
พบกันใหม่ในฉบับหน้า

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
อานนท์ นำภา
แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 
27 ธ.ค. 2021

ทบ. ร่วมหน่วยงานมั่นคง ควบคุมพื้นที่ ดูแลปชช. ชายแดนตาก พร้อมช่วยเหลือผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม พร้อมสั่งเข้มปีใหม่มาตรการป้องกันโควิดทั้งในหน่วยทหารและบ้านพัก

ที่กองบัญชาการกองทัพบก(บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า  พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประชุมสรุปสถานการณ์ประจำวันด้วยระบบออนไลน์ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ได้รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน จ.ตาก ซึ่งปัจจุบันมีการสู้รบในเขตประเทศเพื่อนบ้านระหว่างทหารเมียนมากับชนกลุ่มน้อยอยู่เป็นระยะ  หน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งระดับพื้นที่และระดับนโยบาย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายปกครอง อาสาสมัครกู้ภัย ผู้นำชุมชน ได้ร่วมกันติดตามสถานการณ์ในทุกด้าน

รวมทั้งการส่งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ลาดตระเวนและเฝ้าตรวจตลอดแนวชายแดนที่ติดกับพื้นที่สู้รบ และพร้อมจะใช้กลไกที่มีอยู่ดูแลอธิปไตยตามหลักสากล  ควบคู่กับการใช้กระบวนการแจ้งเตือนโดยทันทีเมื่อตรวจพบสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชน เช่น เมื่อมีกระสุนข้ามมาตกยังฝั่งไทย ฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงไปยังรัฐบาลเมียนมา ผ่านช่องทางคณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) ให้ระมัดระวังเรื่องการใช้อาวุธ และปฏิบัติการทางอากาศ ซึ่งที่ผ่านมาการคลี่คลายผลกระทบดังกล่าวได้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย 

โดยผู้บัญชาการทหารบก ได้ย้ำให้ทุกหน่วยดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล และ กระทรวงกลาโหม  ในการติดตามสถานการณ์และการปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศของกองกำลังป้องกันชายแดน เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้กองกำลังนเรศวรเข้าดูแลราษฎรไทยที่บ้านเรือนได้รับความเสียหาย จากกระสุนที่พลัดตกเข้ามาในฝั่งไทย ช่วยซ่อมแซมให้คืนสภาพโดยเร็ว รวมถึงการปรับภูมิทัศน์ ที่พักอาศัยของประชาชนชายแดนให้มีความปลอดภัยจากสถานการณ์  

ทั้งนี้ การสร้างความมั่นใจและดูแลความปลอดภัยให้กับราษฎรไทยเป็นเรื่องที่กองกำลังป้องกันชายแดนและหน่วยงานด้านความมั่นคงให้ความสำคัญสูงสุด  สำหรับการช่วยเหลือผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาให้ยึดตามหลักมนุษยธรรมภายใต้ขีดความสามารถของหน่วยงาน และเมื่อเหตุการณ์สงบลงให้ช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งกลับข้ามแดนด้วยความสมัครใจ  ซึ่งส่วนใหญ่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศทันทีอยู่แล้วเมื่อการสู้รบในแต่ละห้วงยุติลง 

“อนุชา” เผย ทุกวัดจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีได้ แต่ต้องยึดมาตรการสาธารณสุข เผยปีนี้ประชาชนร่วมสวดมนต์ออนไลน์ได้ 

ก่อนประชุม ครม.นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)กล่าวถึงการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ว่า อยากจะให้ทุกวัดได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เมื่อถามว่า ในส่วนของวัดในพื้นที่ กทม. ยังสามารถจัดได้หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ในพื้นที่ กทม. สามารถจัดได้ตามปกติเป็นบางวัด ซึ่งมีทั้งมาทำกิจกรรมที่วัดและผ่านระบบออนไลน์ 

"สาธิต" ชี้ หลังปีใหม่ เลี่ยงเชื้อโอมิครอนยาก เชื่อ "เวิร์คฟรอมโฮม" ลดแพร่กระจายได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเตรียมแผนรับมือเทศกาลปีใหม่ ว่า คิดว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหว คงจะนำข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขมาหารือในที่ประชุมครม.วันนี้ โดยทางสธ.ได้จำลองฉากทัศน์และปัจจัยต่างๆที่จะเกิดขึ้น พร้อมขอความร่วมมือประชาชนที่จะปฏิบัติตามมาตรการเพื่อให้สถานการณ์เป็นไปตามฉากทัศน์ที่จำลองไว้ แม้เชื้อโอมิครอนจะมีอาการไม่รุนแรง เราก็พยายามไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่น เพราะหากติดเชื้อจะเข้าสู่กระบวนการกักตัว จึงอาจกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนในภาพรวมอยู่ดี หากช่วยกันทำให้ยอดติดเชื้อและผู้เสียชีวิตน้อยที่สุด ก็จะสามารถเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นเพื่อเปิดประเทศต่อได้

เมื่อถามว่าทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมมาตรการเวิร์คฟรอมโฮมไว้หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า ทาง สธ.ได้เสนอมาตรการเวิร์คฟอร์มโฮม โดยหลังวันที่ 4 มกราคม 2565 จะนำมาตรการมาประเมินอีกครั้ง ทั้งนี้ ช่วงเทศกาลปีใหม่คงหลีกเลี่ยงเชื้อโอมิครอนยากขึ้น และหากมีการรวมตัวและระบาดครั้งใหม่ การเวิร์คฟอรมโฮมจะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อได้ จึงต้องเฝ้าระวังไว้ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้เลย โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ อยากให้ทำงานที่บ้านให้มากที่สุด และหากเอกชนทำตามจะเป็นประโยชน์มาก 

เมื่อถามย้ำว่าหลังปีใหม่ให้หน่วยงานราชการเวิร์คฟรอมโฮมใช่หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า เป็นมาตรการที่ประกาศไปแล้วว่าขอความร่วมมือให้เวิร์คฟรอมโฮมมากที่สุดทั้งราชการและเอกชน และตัวอย่างที่ผ่านมาการรวมตัว เช่น การทานข้าวด้วยกันก็ทำให้เกิดแพร่ระบาดได้ ดังนั้น เราต้องป้องกันให้ดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้กำหนดระยะเวลา เวิร์คฟรอมโฮม หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า หลังปีใหม่ไม่เกิน 2 อาทิตย์เราก็จะทราบตัวเลขการติดเชื้อและพบฉากทัศน์ที่เกิดขึ้น แต่หากร่วมช่วยปฏิบัติตามมาตรการดี และตัวเลขไม่ก้าวกระโดดจะทำให้มาตรการต่างๆเบาลง

“สุวัจน์” บอกฉายานักการเมืองเป็นสีสัน  “คนสำคัญ” เท่านั้นถึงจะได้

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงการตั้งฉายานักการเมืองของสื่อมวลชน ว่า เป็นสีสันทางการเมืองของทุกปี และเป็นสีสันของระบอบประชาธิปไตยก่อนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ไม่ต้องไปซีเรียส โดยบุคคลที่ได้รับการตั้งฉายาถือว่าเป็นคนสำคัญ จึงได้รับการนึกถึงจากสื่อมวลชน

“สมัยผมก็เคยได้รับฉายาหอกข้างแคร่ กับสุวัจน์ 24 ชม. เพราะ ผมประชุมตลอดแล้วก็ แถลงการทำงานทันที ทำให้สื่อสะท้อนตรงนี้ออกมา” นายสุวัจน์ กล่าว

“อนุทิน” มองบวก “ฉายา ว้ากซีน” ดี ทำติดหูคนจะได้ฉีดวัคซีนเยอะ เผย หลังปีใหม่ แนะหน่วยงานเวิร์กฟรอมโฮม 7วัน -สลับคนมาทำงาน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)กรณีที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายา “ว้ากซีน”ว่า “ก็ดี จะได้เป็นคำติดหู คนจะได้มาฉีดวัคซีนกันเยอะๆ”

‘ซัมซุง’ เผย 'ไทย' ฐานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ‘ใหญ่สุดในโลก’ ชี้!! 32 ปี ลงทุนร่วม​ 5​ แสนล้านดอลฯ

“ไทยซัมซุง” ฉลอง 32 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจในไทย ชูฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่สุดในโลก หลังลงทุนแล้วกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ นายจุนฮวา ลี ประธาน บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ไทยซัมซุงฯ ถือเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำลังผลิตสูงสุดใน 28 ประเทศทั่วโลก และมีจำนวนประเภทสินค้า (SKU) มากที่สุด แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เตาอบ และเครื่องล้างจาน

โดยมีกำลังการผลิตรวมสูงถึง 10 ล้านยูนิตต่อปี คิดเป็นสัดส่วนสินค้าส่งออกถึง 90% เรียกได้ว่ากว่าครึ่งหนึ่งของเครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุงในครัวเรือนทั่วโลกถูกผลิตและส่งออกจากโรงงานแห่งนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มเตาอบและเครื่องล้างจานที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกเพียงรายเดียวในโลก

“ซัมซุงดำเนินธุรกิจเคียงคู่ประเทศไทยมาแล้วกว่า 32 ปี นับเป็นบริษัทสาขาที่ดำเนินกิจการนอกประเทศเกาหลีใต้ยาวนานที่สุด ซึ่งการที่เราสามารถพัฒนาและเติบโตอย่างมั่นคงดังเช่นทุกวันนี้ เกิดขึ้นจากแรงสนับสนุนอย่างดีของคนไทย

ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (โรงงานศรีราชา) มีมูลค่าการลงทุนในประเทศไทยรวมแล้วกว่าห้าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างยาวนาน มีการสร้างโอกาสการจ้างงาน สร้างรายได้หมุนเวียนที่สู่ 4,000 ครอบครัว รวมถึงพนักงานจากบริษัทคู่ค้าอีกกว่า 50,000 คนทั่วประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top