Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

(4 ธ.ค.67) เวลา 09.30 นาฬิกา ณ ห้องประชุมหาดวาสุกรี ชั้น 4 อาคาร 3 ศาลากลางจังหวัดปัตตานี นายสมบูรณ์ หนูนวล รองประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา คนที่หนึ่ง พร้อมด้วยกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการทางทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม ได้ประชุมร่วมกับนายสนั่น สนธิเมือง รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เพื่อรับฟังผลการดำเนินงานขับเคลื่อนฮูกุมปากัตธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี และธรรมนูญโรงเรียน 9 ดีในห้วงที่ผ่านมา รวมถึงการขยายผลในห้วงถัดไป ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในการขับเคลื่อนฮูกุมปากัต หรือ 'กฎสังคม' ที่ได้รับความเห็นชอบจาก 'เสาหลักชุมชน 4 ฝ่าย' คือ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และผู้นำทางธรรมชาติ เรียกว่า 'ผู้นำ 4 เสาหลัก'ประกอบด้วย ดีที่ 1 การเป็นคนดี ดีที่ 2 มีปัญญา ดีที่ 3 รายได้สมดุล ดีที่ 4 สุขภาพแข็งแรง ดีที่ 5 สิ่งแวดล้อมสมบูรณ์ ดีที่ 6 สังคมอบอุ่น ดีที่ 7 หลุดพ้นอาชญากรรม ดีที่ 8 จัดตั้งกองทุนพึ่งตนเอง และดีที่ 9 กรรมการหมู่บ้านเข้มแข็ง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันการกระทำที่ผิดหลักศาสนา และป้องกันการบิดเบือนคำสอนทางศาสนา เพื่อให้หน่วยงานส่วนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ได้นำไปขยายผลเพื่อใช้กับหมู่บ้านอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ จะนำข้อมูลและข้อคิดเห็นต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อไป

จีนร้องมหาวิทยาลัยผุดวิชาความรัก สอนคนรุ่นใหม่ หวังแก้วิกฤตประชากรหดตัว

(4 ธ.ค. 67) รัฐบาลจีนเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ในประเทศจัดการสอน “วิชาความรัก” (Love education) เพื่อส่งเสริมทัศนคติที่ดีต่อการแต่งงาน ความรัก การมีบุตร และครอบครัว โดยหวังว่าจะช่วยกระตุ้นอัตราการเกิดที่ลดลงของประเทศ

จีนกำลังเผชิญกับการลดลงของอัตราการเกิด ซึ่งทำให้ต้องมีมาตรการต่างๆ เพื่อดึงดูดคู่รักวัยหนุ่มสาวให้มีบุตรมากขึ้น หลังจากที่ในปี 2023 จีนรายงานว่าประชากรลดลงเป็นปีที่สองติดต่อกัน

แม้จีนจะมีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลกที่ 1.4 พันล้านคน แต่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสร้างภาระทางการเงินและกระทบเศรษฐกิจในอนาคต

เรื่องดังกล่าวส่งผลให้เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สภาแห่งรัฐหรือคณะรัฐมนตรีได้รวบรวมข้อมูลจากรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อจัดสรรทรัพยากรเพื่อแก้ไขปัญหาการลดลงของประชากรจีนและเผยแพร่ความเคารพต่อการมีบุตรและการแต่งงาน "ในวัยที่เหมาะสม" แม้ว่านักประชากรศาสตร์จะกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่น่าจะโดนใจชาวจีนรุ่นเยาว์ก็ตาม

จากการสำรวจของไชน่า ป็อปปูเลชั่น นิวส์ พบว่า แม้นักศึกษามหาวิทยาลัยจะเป็นความหวังสำคัญในการเพิ่มอัตราการเกิด แต่พวกเขาเหล่านี้กลับมีมุมมองต่อการแต่งงานและความรักที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยประมาณ 57% ของนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ต้องการมีความรัก เพราะพวกเขารู้สึกไม่สามารถจัดสรรเวลาให้กับการเรียนและความรักได้อย่างลงตัว 

นอกจากนี้ สื่อทางการจีนเสริมว่า เนื่องจากขาด “การศึกษาเรื่องการแต่งงานและความรักที่เป็นระบบและเป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้นักศึกษามีความเข้าใจที่คลุมเครือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางอารมณ์”

การขาดการศึกษาเกี่ยวกับการแต่งงานและความรักที่เป็นระบบทำให้นักศึกษามีความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ไม่ชัดเจน ดังนั้น มหาวิทยาลัยควรจัดการสอนนักศึกษาชั้นปีแรกเกี่ยวกับสถานการณ์ประชากรและแนวคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับการแต่งงานและการมีบุตร ขณะที่นักศึกษาชั้นปีสูงและนักศึกษาปริญญาโทสามารถเรียนรู้ผ่านการวิเคราะห์กรณีศึกษา การอภิปรายกลุ่มเกี่ยวกับการรักษาความสัมพันธ์ และการสื่อสารระหว่างเพศ

หลักสูตรดังกล่าวจะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจเรื่องการแต่งงานและความรักอย่างถูกต้อง และสามารถจัดการความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น

รัฐบาลจีนมองว่า มหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศทางวัฒนธรรมที่ดีและบวกเกี่ยวกับการแต่งงานและการมีบุตร ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างครอบครัวในวัยที่เหมาะสม

รัฐบาล เร่งเครื่องสร้างฐานอุตฯเซมิคอนดักเตอร์ ตั้งเป้าดึงเงินลงทุน 5 แสนล้านบาท ใน 5 ปี

(4 ธ.ค. 67) รัฐบาลเดินหน้านโยบายสร้างฐานอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เตรียมทัพบุคลากรระดับสูงกว่า 80,000 คน รองรับเป้าหมายการลงทุนกว่า 5 แสนล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า พร้อมตั้งอนุกรรมการวางโรดแมปพัฒนาฐานเซมิคอนดักเตอร์ไทย พร้อมเจาะ 10 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เผยยอดส่งเสริมลงทุนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพิ่มต่อเนื่อง รวมกว่า 1,200 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 8 แสนล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) ซึ่งมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบกรอบการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (National Semiconductor and Advanced Electronics Strategy) และรับทราบแผนยุทธศาสตร์พัฒนาบุคลากรรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทย พร้อมตั้งอนุกรรมการ 2 ชุด กำกับการจัดทำยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนการพัฒนาบุคลากร ตั้งเป้าหมายดึงเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ในระยะ 5 ปี ข้างหน้า (พ.ศ. 2568 – 2572) เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิสก์ขั้นสูงในภูมิภาค

ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยเฉพาะการผลิตชิป (Chip) หรือหน่วยประมวลผล ถือเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโลกที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยมูลค่าตลาดที่คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2030 อันเนื่องมาจากความต้องการใช้งานในกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Data Center, IoT, ยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ซึ่งต้องใช้หน่วยประมวลผลที่ทำจากเซมิคอนดักเตอร์ที่ทันสมัยเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น 

ประเทศไทยถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกมายาวนาน โดยในปี 2566 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มียอดส่งออกสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศ ในจำนวนดังกล่าว มูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ เช่น วงจรรวม (IC) เซมิคอนดักเตอร์ไดโอด และอุปกรณ์ต่างๆ มีมูลค่าสูงถึง 5.1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นฐานการผลิตสำคัญในห่วงโซ่อุปทานกลางน้ำและปลายน้ำของอุตสาหกรรม เช่น การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (OSAT) และการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB)  ดังนั้น การเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมต้นน้ำ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การออกแบบวงจรรวม (IC Design) และการผลิตแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication) จึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงและต่อยอดอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงได้ และการจัดตั้ง "บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ" เพื่อสร้างโรดแมประดับประเทศ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมนี้ในภูมิภาคอาเซียน 

การประชุมครั้งนี้ บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ได้กำหนดแนวทางยุทธศาสตร์เพื่อเร่งสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรและแข่งขันได้ในระดับโลก โดยมีมติสำคัญ 2 เรื่อง ประกอบด้วย

1. การจัดทำยุทธศาสตร์ระดับชาติด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง โดยเห็นชอบให้จัดจ้าง ที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ทั้งในระดับนโยบาย ครอบคลุมตั้งแต่การประเมินศักยภาพของประเทศไทย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุน และในระดับปฏิบัติการ ตั้งแต่การจัดทำแผนดึงดูดนักลงทุนรายสำคัญอย่างน้อย 10 บริษัทชั้นนำระดับโลกให้เข้ามาลงทุนออกแบบและผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทย ตลอดจนการสร้างความร่วมมือกับประเทศผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อร่วมกันพัฒนาห่วงโซ่อุปทานระดับโลกและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ

2. การพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยรับทราบแผนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการผลิตบุคลากรเฉพาะทางและนักวิจัยระดับสูง 84,900 คนภายในปี 2573 ผ่านโครงการ Upskill และ Reskill หลักสูตรการศึกษารูปแบบใหม่ เช่น Sandbox และโปรแกรมฝึกงานนานาชาติ รวมถึงการตั้งศูนย์ฝึกอบรม 6 แห่ง พร้อมแผนสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ เช่น ศูนย์ผลิต Wafer Fabrication และศูนย์วิจัยและพัฒนา เพื่อเสริมความเชื่อมั่นและสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไทย

นอกจากนี้ บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ได้เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด ได้แก่ คณะอนุกรรมการกำกับการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง โดยมีเลขาธิการบีโอไอเป็นประธาน และคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นประธาน  

“เซมิคอนดักเตอร์ ถือเป็นรากฐานสำคัญของเทคโนโลยีแห่งอนาคตในแทบทุกอุตสาหกรรม การสร้างฐานอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จึงเป็นยุทธศาสตร์ในระดับโลกและเป็นโอกาสครั้งใหญ่สำหรับประเทศไทย การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ระดับชาติ ที่ครอบคลุมทั้งการกำหนดทิศทางอุตสาหกรรม การออกแบบมาตรการส่งเสริมการลงทุน การเตรียมพร้อมบุคลากร การสนับสนุนภาควิชาการและการวิจัย รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเซมิคอนดักเตอร์ การที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญโดยรับเป็นประธานบอร์ดด้วยตนเอง จะช่วยเร่งสร้างความร่วมมือที่เป็นเอกภาพระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ทำให้สามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมและมาตรการสนับสนุนได้อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการวิจัยขั้นสูง” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2561 - กันยายน 2567 มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมกว่า 1,213 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 876,328 ล้านบาท โดยในช่วง 2 ปีหลัง มีการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น 

‘สุวรรณภูมิ’ คว้ารางวัล Prix Versailles 2024 ชูความวิจิตรเอกลักษณ์ไทยอวดสายตาชาวโลก

(4 ธ.ค.67) ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) และนายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานยุทธศาสตร์ เข้ารับรางวัล Prix Versailles ประจำปี 2024 หมวดหมู่ สนามบิน สาขาสถาปัตยกรรมดีเด่นด้านรูปลักษณ์อาคาร (Exterior) ณ สำนักงานใหญ่ UNESCO กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ดร.กีรติ กล่าวว่า อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Midfield Satellite 1: SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ได้รับรางวัล Prix Versailles ในฐานะสนามบินสวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 (The World’s most beautiful List 2024) จากคณะกรรมการ The Prix Versailles Selection Committee ร่วมกับ United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization หรือ UNESCO ซึ่งอาคาร SAT-1 ทสภ.ได้ถ่ายทอดความวิจิตรของเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ไทยตั้งแต่ก้าวแรกที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ

ด้วยการนำจุดแข็งทางวัฒนธรรมมาออกแบบการตกแต่งภายในอาคารเป็นแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมและศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้กลมกลืนไปกับโครงสร้างอาคารที่ทันสมัยครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิต โดยรางวัลนี้ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน ไปพร้อมกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวได้สัมผัสวัฒนธรรมไทยผสานการออกแบบอาคารที่ยั่งยืน (Sustainable Design) ใช้วัสดุการก่อสร้างที่ดูแลรักษาได้ง่าย เพื่อช่วยให้ประหยัดพลังงานและเน้นการใช้แสงธรรมชาติตอบสนองนโยบายสนามบินสีเขียว (Green Airport) ทั้งยังเป็นการตอกย้ำด้านการยกระดับงานบริการ (Level of Service) ของ AOT ซึ่งจะผลักดันให้ท่าอากาศยานไทยก้าวเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

ดร.กีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า AOT รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจเป็นอย่างมาก ซึ่งการได้รับรางวัลนี้จะเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของอีกหนึ่งการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้โดยสารจากทั่วโลก และเราจะมุ่งมั่นรักษามาตรฐานความสวยงามและประสิทธิภาพในการให้บริการ เพื่อให้ทุกการเดินทางของผู้โดยสารเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจและจดจำ ซึ่งจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยต่อไป

ปักหมุดไทยทุ่มพันล้าน เปิดโรงงานแห่งแรก ชิงส่วนแบ่งรถบรรทุก ตั้งเป้าเริ่มผลิต 1,800 คันต่อปี

(2 ธ.ค. 67) “โฟตอน” ค่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์รายใหญ่ของจีน ได้ร่วมมือกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดโรงงานผลิตรถบรรทุก “โฟตอน ซีพี มอเตอร์” (FOTON CP Motor) แห่งแรกในประเทศไทย ณ อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท โรงงานนี้จะเป็นฐานการผลิตรถบรรทุกรุ่นพวงมาลัยขวา โดยมีแผนผลิต 1,800 คันต่อปี สำหรับตลาดในประเทศ 80% และส่งออก 20% คาดว่าภายใน 3 ปีจะสามารถผลิตได้ไม่น้อยกว่า 7,200 คัน

การเปิดโรงงานในครั้งนี้ตอกย้ำการเติบโตของตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทย และเปิดโอกาสสำหรับการขยายตลาดไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยในปีนี้ยอดขายของ “ซีพี โฟตอน” เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นายชาง รุ่ย (Mr. Chang Rui) ประธานโฟตอน มอเตอร์ กรุ๊ป กล่าวว่า การเปิดโรงงานในไทยเป็นการขยายความร่วมมือระหว่างโฟตอนและเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยโรงงานนี้จะผลิตทั้งรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปและยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) เพื่อรองรับความต้องการของตลาดไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายนพดล เจียรวนนท์ รองประธานกรรมการ กลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรม (จีน) เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวเสริมว่า การจัดตั้งโรงงาน “โฟตอน ซีพี มอเตอร์” จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์และโลจิสติกส์ของไทยให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค พร้อมกับการขยายฐานการผลิตและความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำในอุตสาหกรรม เช่น Foton Cummins และ Yuchai

นายชัชชัย นาคประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี โฟตอน เซลส์ จำกัด กล่าวถึงการตั้งโรงงานในไทยว่าเป็นการตอกย้ำความมั่นคงในตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทย โดยยอดจำหน่ายรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) ของบริษัทเติบโต 260% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การเปิดโรงงาน “โฟตอน ซีพี มอเตอร์” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์และโลจิสติกส์ของไทยสู่อนาคต โดยเฉพาะในด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตลาดโลจิสติกส์ในเอเชียแปซิฟิกและขยายฐานการผลิตไปยังตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

การตั้งโรงงานในประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของ “โฟตอน มอเตอร์ กรุ๊ป” ในการขยายธุรกิจทั่วโลก โดยในปี 2023 โฟตอนสามารถส่งออกรถยนต์ได้ 131,000 คัน และตั้งเป้าหมายส่งออก 150,000 คันในปี 2024 รวมถึงมุ่งหวังเพิ่มจำนวนการผลิตให้ถึง 300,000 คันในปี 2030

การร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย-จีน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในด้านพลังงานใหม่และโลจิสติกส์แห่งอนาคตอย่างยั่งยืน

คว้ารางวัลอันดับ 3 โอลิมปิกหุ่นยนต์โลกที่ตุรเคีย WORLD ROBOT OLYMPIAD International Final 2024

(4 ธ.ค. 67) การแข่งขัน WORLD ROBOT OLYMPIAD International Final 2024 (WRO) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่  28-30 พฤศจิกายน ที่เมืองอิซเมียร์ สาธารณรัฐตุรเคีย โดยการแข่งขันครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจาก  87 ประเทศ รวม 562 ทีม โดยทีมเยาวชนจากประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 16 ทีม คว้ารางวัลสำคัญมาครอง 3 รางวัลได้แก่ รางวัลชนะเลิศอันดับ 3 ประเภท Robomission รุ่น Elementary ทีม Skyfall จาก Smart Robot Club สมาชิกในทีมประกอบด้วย เด็กชายเคลตัน วินเตอร์ ซัสแมน จูเนียร์, เด็กชายณัฐธีร์ ปัญจะ และเด็กหญิงกีรติกรณ์ ตั้งสกุลประเสริฐ  

รางวัล Team Spirit ประเภท Future Innovators รุ่น Elementary ทีม 3 Chicken จาก Robocod Center สมาชิกในทีมประกอบด้วย เด็กชายภวัต เที่ยงธรรม, เด็กชายวรินทร ไผ่เฉลิม และเด็กชายภัทระ โศภิษฐ์ประภา  

รางวัลชนะเลิศอันดับ 6 ประเภท Future Engineers ทีม KMIDS Thermodynamically Favorable จากโรงเรียน KMIDS สมาชิกประกอบด้วย นายชญานนท์ นินยวี  และนายณัฐพนธ์ อิทธิสถิตกุลชัย  

สำหรับการแข่งขัน WRO เป็นการแข่งขันสำหรับเยาวชนอายุระหว่าง 8-19 ปี การแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์โลกใช้หุ่นยนต์ที่ผลิตโดย LEGO Education จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2004 ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นการแข่งขันด้านการเขียนโค้ดและการสร้างหุ่นยนต์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างการทำงานแบบทีมเวิร์กแล้ว ทักษะเหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในอนาคตด้วย ความสำเร็จจากการแข่งขันครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเยาวชนไทยมีศักยภาพและความพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นบุคลากรสำคัญของประเทศต่อไป

‘พลังงาน’ จับมือ ‘ซัสโก้’ ลดราคาดีเซลลิตรละ 1 บาท 1 เดือน ร่วมฉลองวันพ่อแห่งชาติ - ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน

เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แถลงถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงาน และ กลุ่มบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) ในการลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 1.00 บาท เป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2568 ณ สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันของ ซัสโก้ และ ไซโนเปค ทั้ง 158 แห่ง ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคใต้ เนื่องในโอกาสวันมหามงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันพ่อแห่งชาติ ทั้งนี้เพื่อสนองพระราชปณิธานในการสร้างประโยชน์และความสุขแก่พสกนิกรชาวไทย และเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชน

นายพีระพันธุ์ ระบุว่า กระทรวงพลังงานมีความมุ่งมั่นและดำเนินนโยบายทุกด้านในการลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะด้านพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันและก๊าซ หรือพลังงานอื่น ๆ เพื่อสร้างความอยู่ดีมีสุขให้ประชาชนถ้วนหน้า อย่างไรก็ตาม แม้ราคาก๊าซและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะขึ้นอยู่กับตลาดโลกซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของกระทรวงพลังงาน แต่ที่ผ่านมา ทางกระทรวงก็ไม่นิ่งนอนใจ และพยายามหาหนทางเพื่อลดภาระด้านพลังงานให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลด้านพลังงานอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง

“กระทรวงพลังงานขอขอบคุณกลุ่มบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) และ คุณมงคล สิมะโรจน์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทฯ เป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของพี่น้องประชาชนชาวไทยในอีกทางหนึ่ง” 

ด้าน นายมงคล สิมะโรจน์ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท ซัสโก้ฯ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช และเป็นผู้ริเริ่มจัดงาน 5 ธันวามหาราช เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการร่วมมือกับกระทรวงพลังงานครั้งนี้ว่า  กลุ่มบริษัท ซัสโก้ ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจค้าน้ำมันมีความตั้งใจที่จะปรับลดราคาน้ำมันดีเซล เพื่อสนองพระราชปณิธานในการสร้างประโยชน์และความสุขแก่พสกนิกรชาวไทย และช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ภายใต้การบริหารของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่มีนโยบายของทางกระทรวงพลังงานที่ต้องการช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกร อุตสาหกรรม และการขนส่ง รวมถึงประชาชนทั่วไปให้ได้เติมน้ำมันราคาถูก

จีนเปิดหมวดการศึกษาพิเศษ ให้นักเรียนพิการเข้าตำราบนโลกดิจิทัล

(4 ธ.ค. 67) ซินหัวรายงานว่า แพลตฟอร์มการศึกษาอัจฉริยะระดับชาติสำหรับการเรียนการสอนระดับประถมและมัธยมของจีนเปิดหมวดการศึกษาพิเศษเมื่อวันอังคาร (3 ธ.ค.) ซึ่งตรงกับวันคนพิการสากล

กระทรวงศึกษาธิการของจีนระบุว่าหมวดการศึกษาพิเศษเป็นแหล่งทรัพยากรดิจิทัลสำหรับโรงเรียน ครู นักเรียน และผู้ปกครอง มีเป้าหมายสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทางดิจิทัลที่มีคุณภาพสูง ครอบคลุม และเหมาะสมกับนักเรียนพิการ

ผู้สอนและผู้ปกครองสามารถเข้าถึงกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ เอกสารนโยบาย และแผนการพัฒนาฉบับล่าสุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาพิเศษ และครูในการศึกษาพิเศษสามารถขอรับสื่อดิจิทัลที่ครอบคลุมหลักสูตรฝึกอบรมระดับชาติ รวมถึงกรณีศึกษาและกลยุทธ์การสอนจากทั่วประเทศ

แพลตฟอร์มนี้ยังนำเสนอตำราฉบับอิเล็กทรอนิกส์และทรัพยากรวิดีโอใหม่ล่าสุดสำหรับการศึกษาพิเศษ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับงานและกิจกรรมที่ส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนการสอน

กระทรวงฯ เผยว่าการเปิดหมวดการศึกษาพิเศษเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้ายุทธศาสตร์การศึกษาดิจิทัลระดับชาติและอุดช่องโหว่ทางดิจิทัลของนักเรียนพิการของจีน โดยแผนริเริ่มนี้มุ่งรับรองว่านักเรียนทุกคนมีโอกาสเติบโต มีส่วนส่งเสริมสังคม และทำฝันเป็นจริง ไม่ว่าเผชิญความท้าทายใดๆ

อนึ่ง จีนมีนักเรียนพิการราว 9.12 แสนคนในปี 2023

สอท. ร่วมกับ กสทช. จับคอลเซ็นเตอร์จีนเทาตลอบฝังตัวเช่ารีสอร์ทหรูเชียงใหม่ ตั้งฐานหลอกลวงเหยื่อ

วันนี้ (4 ธ.ค. 67) เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล  รักษาการ เลขาธิการ กสทช., พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ  รักษาราชการแทน ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. และ เจ้าหน้าที่ กสทช. ร่วมแถลงผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวลอบตั้งฐานคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทย หลังตำรวจร่วมมือกับ กสทช. ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตในหลายพื้นที่ ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ย้ายฐานเข้ามายังประเทศไทยเพื่อใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงและเสถียรกว่าฝั่งประเทศเพื่อนบ้านโทรหลอกลวงเหยื่อคนไทย การจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนหาข่าว กระทั่งพบรีสอร์ทแห่งนี้ ตั้งอยู่ใน อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งได้ปิดการให้บริการไปในช่วงสถานการณ์โควิด 19 แต่กลับมีการให้เช่ารีสอร์ททั้งรีสอร์ท  โดยไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าพัก และมีคนต่างชาติเข้าออกสถานที่ดังกล่าวอย่างผิดสังเกต ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษ พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก อาจมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้ขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้น ผลจากการตรวจค้นสามารถจับกุมผู้กระทำผิด พร้อมด้วยของกลางเป็นจำนวนมาก

พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า ในห้วงหลายเดือนที่ผ่าน กสทช. ได้ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขันจับกุม ซิม เสาสัญญาณ, สถานีโทรคมนาคม และสายเคเบิลข้ามแดนผิดกฎหมาย ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์บางส่วนจำเป็นต้องย้ายเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย การจับกุมนี้ครั้ง ถือเป็นทำงานร่วมกันกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ควบคู่กับการปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้ถือ เป็นความผิดฐานรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุโทรคมนาคม อันเป็นความผิด ตาม ม.26 แห่ง พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม พ.ศ.2498 ซึ่งต้องระวางโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

พล.ต.ท.ไตรรงค์ฯ กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายปราบปรามแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชติ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. 4 ซึ่งดูแลพื้นที่ภาคเหนือ ได้สืบสวนการกระผิดในพื้นที่ จนกระทั่งพบรีสอร์ทเป้าหมายใน ต.บ้านปง อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งเคยปิดให้บริการช่วงโควิด ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าพัก แต่มีชาวต่างชาติเข้าออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งผิดปกติ ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษของ กสทช. พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชา และขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่เข้าทำการตรวจค้น โดยพบว่า ผู้ต้องหาชาวจีนแอบลักลอบใช้อินเทอร์เน็ตของร้านกาแฟข้างๆ ปิดบังการใช้สัญญาณของคอลเซ็นเตอร์ เชื่อมโยงกับแก็งค์ที่อยู่ที่ประเทศกัมพูชา โดยพบคนต่างชาติ สัญชาติจีน 9 คน ตรวจยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตได้เป็นจำนวนมาก จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดี โดยจะได้ขยายผลถึงผู้บงการเพื่อปราบปรามให้สิ้นซากต่อไป

ทั้งนี้ จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนว่า หากพบเห็นสถานที่แห่งใด มีความผิดปกติ เช่นเคยร้างไป แต่กลับมีคนเข้าออกอย่างผิดปกติ หรือมีการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า หรือขอใช้อินเทอร์เน็ตมากผิดปกติ  สามารถแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โทร.191 หรือ กสทช. 1200 ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าตรวจสอบ ป้องกันมิให้คนร้ายเข้ามาตั้งฐานหลอกลวงคนไทยต่อไป

'ผู้ช่วยฯสิรภพ' ลงพื้นที่ ช่วยน้ำท่วมใต้ ออกมาตรการฟื้นฟูซ่อมบ้านเรือนระบบไฟฟ้า พร้อมมอบถุงยังชีพในพื้นที่ จ.ปัตตานี

(4 ธ.ค.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบนายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ในการนี้ นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายพิเชษฐ์  ทองพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน  พร้อมด้วย นายศักดินาถ  สนธิศักดิ์โยธิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมลงพื้นที่ โดยมี หัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปัตตานี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ โดย นายสิรภพ  และคณะ ได้ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ จำนวน 4 จุด ประกอบด้วย จุดที่ 1 โรงเรียนบ้านบาโงมูลง หมู่ที่ 6 ตำบลเตราะบอน อำเภอสายบุรี มอบถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด จุดที่ 2. ศูนย์พักพิงโรงเรียนบ้านหัวคลอง หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านนอก อำเภอปะนาเระ มอบถุงยังชีพ จำนวน 200 ชุด จุดที่ 3. ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะเปาะ อำเภอหนองจิก มอบถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด และ จุดที่ 4 หมู่ที่ 4 ตำบลดอนรัก อำเภอหนองจิก มอบถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด รวมจำนวน ทั้งสิ้น 500 ชุด  

นายสิรภพ กล่าวว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ ผมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ได้ลงพื้นที่นำถุงยังชีพมาช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่นครศรีธรรมราช ตรัง สงขลา พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยได้ปักหลักอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 4 - 7 ธันวาคมนี้ ในส่วนของมาตรการการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ของกระทรวงแรงงานนั้น ประกอบด้วย การลดอัตราเงินสมทบและขยายระยะเวลาการส่งเงินสมทบแก่ลูกจ้างผู้ประกันตนลูกจ้างผู้ประกันตนที่สถานประกอบการถูกน้ำท่วมทำให้ต้องหยุดงานไม่สามารถไปทำงานได้สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย การขึ้นทะเบียนประกันการว่างงาน ผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน กรณีที่อยู่อาศัยของลูกจ้างได้รับผลกระทบเป็นเหตุให้ไปทำงานไม่ได้หรือเข้าทำงานสาย ขอความร่วมมือนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลา รวมถึงฟื้นฟูในพื้นที่หลังน้ำลด ซึ่งขณะนี้บางพื้นที่เริ่มคลี่คลายลงแล้ว กระทรวงแรงงานก็จะจัดทีมช่างจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงงาน เข้าไปซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ทำงาน บ้านเรือน รถจักรยานยนต์ เครื่องยนต์เล็กทางการเกษตร รวมถึงขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อนำโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยการจ้างงานภายหลังน้ำลด เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

“กระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยพี่น้องภาคใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยหลังจากนี้ในช่วงน้ำเริ่มลดลง เราจะนำรูปแบบ “เชียงรายโมเดล” เข้าไปช่วยเหลือ เพื่อให้กลับมาทำงานประกอบอาชีพได้ตามปกติ หรือติดต่อสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 ” นายสิรภพ กล่าว

ทั้งนี้ จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ในห้วงวันที่ 27 พฤศจิกายน ถึงปัจจุบัน มีพื้นที่ประสบสถานการณ์อุทกภัย จำนวน 12 อำเภอ ได้รับความเสียหาย 147,002  ครัวเรือน จำนวนประชาชน 428,223 คน และมีผู้เสียชีวิต จำนวน 7 ราย  มีข้าราชการ/เจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปัตตานี  ได้รับความเสียหาย  81 คน บัณฑิตแรงงาน 64 คน และอาสาสมัครแรงงาน  64 คน ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ได้มอบเงินเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องครอบครัวแรงงาน และเครือข่ายด้านแรงงานในจังหวัดปัตตานีแล้ว จำนวน 21 ราย เป็นเงิน 52,500 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top