Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

ความปลอดภัยทางถนน หนุนลดการเจ็บตายบนท้องถนน ตั้งเป้าลดตายในกลุ่ม 'เยาวชน'

ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน แพทย์ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา จัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 16 ภายใต้แนวคิด 'สานพลังเข้มข้น สร้างกลไกเข้มแข็ง เพื่อถนนไทยปลอดภัย : Road Safety Stronger Together' เมื่อวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม อิมแพ็ค

เมืองทองธานี โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวในห้องย่อยที่ 1 ระบบนิเวศความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชน : Road Safety Ecosystem for Youthด้วยว่า “กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น แนวทางรถรับส่งนักเรียนหรือแนวทางการจัดทัศนศึกษาที่ปลอดภัย แต่ปัญหาอยู่ที่การปฏิบัติของบุคลากรทางการศึกษา ที่จะทำอย่างไรให้เป็นการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กนักเรียนเมื่อมีการเดินทาง แต่อย่างไรก็แล้วแต่เรื่องความปลอดภัยทางถนนควรเป็นวาระที่สำคัญที่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ระดับครอบครัว ซึ่งก็คือการที่พ่อแม่มีวินัยจราจรให้บุตรหลานได้เห็นเป็นแบบอย่างและสถานศึกษา มาเน้นย้ำในสิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่ออยู่บนท้องถนน

น่าสนใจว่าประชาชนยังขาดจิตสำนึกเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน หากย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีก่อนประเทศไทยมีความพยายามที่จะบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการห้ามนั่งท้ายกระบะ แต่เกิดเสียงตำหนิรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก ที่ไม่เห็นอกเห็นใจผู้มีรายได้น้อยที่จำเป็นต้องโดยสารท้ายรถกระบะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเรายังคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายก่อนเรื่องความปลอดภัยทางถนน จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายระบบการศึกษาของไทยและกลไกของครอบครัวว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เมื่อมีการเดินทางสัญจรเกิดขึ้น ทั้งนี้สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพหลักในการสร้างเสริมระบบนิเวศที่ปลอดภัย (Ecosystem) ในกลุ่มเด็กและเยาวชน คือการจัดให้มีการกำหนดมาตรการความปลอดภัยทางถนนหรือจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนน รวมถึงจัดให้มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนนในชั้นเรียนนั้น ทาง ศธ. ยินดีรับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและดำเนินการต่อไป”

ด้านนายธนันท์ เมฆประเสริฐวนิช ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้ดำเนินโครงการ 'เด็กเริ่ม ผู้ใหญ่ร่วม' เป็นภารกิจของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนกรุงเทพมหานคร (ศปถ.กทม.) เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 2563 โดยมีเป้าหมายและจุดเน้นคือการสร้างเยาวชนต้นแบบและผู้ริเริ่ม 'รักษ์วินัยจราจร' ที่จะเป็นกำลังสำคัญของกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มพฤติกรรมรักษ์วินัยจราจรจากตนเองส่งต่อไปยังกลุ่มเพื่อน และผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง สมาชิกอื่น ๆ บนท้องถนน รวมถึงโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 437 โรงเรียน ทั้งนี้จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์ว่าหากเราไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้แนวโน้มปี 2564 – 2573 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีเด็กเสียชีวิตเพิ่มอีก 30,204 คน แต่ถ้าเราลงมือเริ่มแก้ไขปัญหานี้ เริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้ามีการลดการตายได้ปีละ 5% ใน 10 ปีจะช่วยชีวิตเด็กและเยาวชนได้ สูงถึง 9,675 คน

ด้านนายรวิศุทธ์ คณิตกุลเศรษฐ์ รองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. มีบทเรียนสำคัญที่ดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดระยอง โดยเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ได้จัดให้มีการลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ 5 สถาบันอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง ซึ่งดำเนินงาน 5 มาตรการอย่างเข้มงวด ได้แก่ 1. ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย 2.ประกาศนโยบายสถานศึกษาปลอดภัย 3.พัฒนาองค์ความรู้ด้านการขับขี่และทักษะการขับขี่ 4.ส่งเสริมการทำใบอนุญาตขับขี่ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก 5.สนับสนุนการปรับปรุงสภาพแวดล้อมส่งผลทำให้จำนวนของการบาดเจ็บลดลง และสามารถลดผู้เสียชีวิตให้เป็นศูนย์ได้ภายในปี 2565 ความสำเร็จดังกล่าว ยท. และ สสส. จึงได้สานต่อความสำเร็จในครั้งนี้เพื่อเป้าหมายการใช้หมวกนิรภัยให้ได้ 100% ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา รวมไปถึงสร้างนิสัยความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะการดื่มไม่ขับ เคารพกฎจราจร โดยในปี 2567 ได้ขยายความร่วมมือไปยังจังหวัดขอนแก่นและเมืองพัทยาจังหวัดชลบุรี และนำ 5 มาตรการดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อหนุนเสริมความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกอนุกรรมการด้านเด็กและเยาวชน ในศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดชลบุรี”

'สมศักดิ์' สั่งการ สธ. รับ4 ลูกเรือประมงไทยกลับคืนสู่มาตุภูมิ จัดทีมแพทย์ พยาบาลพร้อมอุปกรณ์พร้อมตรวจสุขภาพทันทีเมื่อถูกส่งตัวมาถึงฝั่งไทย

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้แสดงความยินดีต่อครอบครัวและประชาชนชาวไทยที่ลูกเรือประมงไทย 4 คน ได้รับการปล่อยตัวจากทางการประเทศเมียนม่าแล้วเมื่อเย็นวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมานับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายนที่เรือประมงไทยถูกเมียนม่าจับกุมทั้งลูกเรือ และยึดเรือประมงไปด้วยนั้น รัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดยรองนายกรัฐมนตรี รัฐมตรีและผู้รับผิดชอบในหน่วยงานทั้งส่วนกลางและระดับพื้นที่ที่เกิดเหตุได้พยายามติดต่อประสานงานกับทางฝั่งเมียนม่าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เมียนม่าปล่อยตัวลูกเรือประมงไทยโดยเร็วที่สุด ในส่วนของนายสมศักดิ์และทรวงสาธารณสุขนั้นมีความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพอนามัยของลูกเรือประมงว่ามีโรคภัยอะไรหรือไม่ 

“หลังจากกระทรวงสาธารณสุขได้รับการประสานงาน ให้จัดแพทย์และพยาบาลเพื่อเตรียมพร้อมในการตรวจสุขภาพของคนไทยทั้ง 4 คนเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย  กระทรวง สธ.ก็ดำเนินการโดยมีความพร้อมทั้งบุคลากรและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขอให้ความมั่นใจว่าในการตรวจสุขภาพทั้งทางกายและสุขภาพจิต สธ.จะทำอย่างเต็มที่ รัฐบาลต้องดูแลและปกป้องคุ้มครองอย่างดีที่สุด”

โฆษกกระทรวงสธ. ฝ่ายการเมืองกล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อคืนวันที่ 5 ธันวาคม ลูกเรือประมงทั้ง 4 คนได้พักรอที่เกาะสอง จังหวัดระนอง มีการส่งมอบข้ามมายังจังหวัดระนองในวันที่ 6 ธันวาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม ได้เตรียมพาหนะพร้อมแล้ว ทั้งกรณีที่จำเป็นต้องเดินทางไปรับที่เกาะสอง หรือรอรับที่ท่าเรือระนอง โดยยึดถือหลักความปลอดภัยของคนไทยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมการจัดแพทย์และพยาบาลไว้พร้อมในการตรวจสุขภาพของคนไทยทั้ง 4 คนเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย และทีมสุขภาพจิตของ รพ.ระนอง ได้ทราบข้อมูลพื้นฐานของทั้ง 4 ครอบครัว และได้เตรียมพร้อมให้การประเมินและดูแลทั้ง 4 ครอบครัวแล้ว

เปิดวาร์ป ‘โบว์ พัชรีย์’ พี่เลี้ยง ‘คุณหนูเอวา’ ดีกรีไม่ธรรมดา!! ‘สวย-เก่ง-ใจกล้า-มีทักษะ’

(5 ธ.ค. 67) ขึ้นแท่นเซเลปสาวสี่ขาประจำปี 2024 สำหรับ ‘น้องเอวา’ เจ้าของฉายา ‘คุณหนูเอวาสุดแกลม’ เสือโคร่งสีทอง-เสือโคร่งสตรอว์เบอร์รี แห่ง เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี (Chiang Mai Night Safari) ที่ใครเห็นก็อดใจไม่ไหว ตกหลุมรักในหน้าตาสุดแบ๊ว อยากไปเจอตัวเป็น ๆ

แต่นอกจากที่หลายคนจะโดน ‘น้องเอวา’ ตกแล้ว งานนี้เหล่าแฟน ๆ ก็โดนพี่เลี้ยงหญิงแกร่ง ‘คุณโบว์’ พี่เลี้ยงประจำตัวคุณหนูเอวาที่โด่งดังจากคลิปจกพุงน้องเอวาตกด้วยอีกคน ด้วยความใจกล้า แถมเก่ง มีทักษะ เพราะต้องอยู่ร่วมโซนแสดงกับสัตว์นักล่าอย่างเสือโคร่ง ทำให้ใครหลายคนอยากทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น

ประวัติส่วนตัว ‘โบว์ พัชรีย์’

นางสาวพัชรีย์ พิพัฒน์วงศ์ชัย (โบว์)

อายุ 25 ปี

จบการศึกษามาจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่

ทำงานตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝึกและแสดงสัตว์ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี

ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง น้องเอวา เสือโคร่งลูกคุณหนูนานกว่า 3 ปี โดยดูแลตั้งแต่เกิด

‘กลุ่มเต้นแอโรบิก’ เปิดเพลงสุดมัน!! เสียงดังรบกวน ลั่น!! สนามกีฬากลาง คือ ‘พื้นที่ส่วนรวม’ ควรเกรงใจ

(5 ธ.ค. 67) สายรักสุขภาพ คนชอบออกกำลังกาย อาจจะคุ้นชินกับบรรยากาศการ ‘เต้นแอโรบิก’ ในสนามกีฬาสาธารณะ ซึ่งก็จะมีการเปิดเพลงประกอบจังหวะ ทำให้สามารถเต้นได้อย่างพร้อมเพรียงและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

ทว่า ล่าสุดก็กลายเป็นประเด็นถกสนั่นในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้บัญชี X : @Mr_Whathapened ออกมาแชร์คลิปจากผู้ร้องเรียนรายหนึ่ง โวยกลุ่มคนกำลังเต้นแอโรบิก พร้อมข้อความเขียนในคลิปว่า 

สนามกีฬากลางไม่ใช่สนามกีฬาส่วนตัว ใช่ว่าทุกคนจะอยากฟังเสียงเพลงแอโรบิก ซึ่งพวกคุณเปิดดังมาก ไม่มีความเกรงใจคนที่เขามาใช้สนามกีฬาเลย

โดย บัญชี X : @Mr_Whathapened ก็ได้เขียนแคปชันชวนชาวเน็ตมาถกเถียงเสนอความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว ระบุว่า 

ประเด็นนี้น่าถกว่า สนามกีฬากลางที่มีการเต้นแอโรบิกแล้วใช้เครื่องเสียงซึ่งดังมาก จนไปรบกวนการเล่นกีฬาชนิดอื่น ๆ เหมาะสมหรือไม่ หรือคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ

ฝั่งเต้นแอโรบิกก็บอกว่า แค่ชั่วโมงเดียวเองจะอะไรนักหนา ไม่ได้เต้นทั้งวัน หรือ ไปบอกให้เบาเสียงก็ได้ แต่คนถ่ายคลิปบอกกูเคยเดินไปบอกแล้ว สรุปคือเปิดดังกว่าเดิม 

งานนี้ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันสนั่น โดยเสียงแตกออกเป็นสองฝ่าย มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยว่าพื้นที่ส่วนกลางควรลดเสียงและเกรงใจผู้ใช้สนามรายอื่น กับฝ่ายที่มองว่า เป็นเรื่องปกติ และการเต้นแอโรบิกก็ใช้เวลาไม่นาน ควรแบ่งปัน

ความคิดเห็นนั้นมีหลากหลาย อาทิเช่น

คนไทยจำนวนมากติดเสียงดังเกินความจำเป็นอะ ตามงานวัด งานโอท็อป กาชาด หมอลำ ฯลฯ จะเจอเปิดเพลงดังเยอะมาก แบบไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น แล้วก็อ้างสารพัดว่าปีละครั้ง หรือ แค่แป๊ปเดียว ประเด็นคือการทำให้คนอื่นเดือดร้อน แค่แป๊ปเดียวก็ไม่ควรทำป่ะ เปิดเสียงเบาลงแล้วจะเต้นไม่ได้เหรอ?

เอาแค่ให้คนที่เต้นได้ยินก็พอ ไม่ต้องสาระแนเผื่อแผ่ชาวบ้าน บีทดนตรีมันไม่ได้ชิวค่ะ มันหนวกหู แล้วมันอยู่ติดบ้านคนด้วยมั้ยล่ะ ถ้าติดด้วยนี่ควรโดนด่าเลย ไม่มีมารยาท

หลังบ้านเป็นอนามัยเมื่อก่อนมีกลุ่มแม่บ้านมาซ้อมรำทุกเย็นเปิดเพลงดังมากกกก จนเด็กที่กำลังจะอ่านหนังสือสอบอ่านไม่ได้เลยพี่เราเลยไปแจ้งเทศบาล เค้าก็เปิดเบาลงนะ คือสมัยนี้คนไทยก็ได้เรียนหนังสือกันแล้วก็น่าจะคุยกันได้นะ (ถ้ามีจิตสำนึกบ้าง)

ส่วนมากที่เจอ เสียงดังจริงค่ะ แต่ก็คิดว่าเขาเต้นไม่นานหรอก แต่เราแค่คนผ่านมาไง เราไม่ใช่คนใช้ชีวิตตรงนั้น ไม่ได้มาฟังทุกวันๆ ก็น่าเห็นใจคนที่บ้านอยู่แถวนั้นนะคะ ถ้าเบาได้ก็ช่วยเบาลงหน่อยน่าจะดี

เปิดเสียงในระดับที่ร้านคาเฟ่เขาเปิดกันก็พอแล้วมั้ย มากไปก็เป็นมลพิษทางเสียง
เปิดปกติ มันก็เต้นได้ ไม่เข้าใจจะเปิดดังๆทำไม เบียดเบียนคนอื่น เอาจริงๆ ไม่ควรเปิดเสียงรบกวนคนอื่นในที่สาธารณะเลย คนอื่นเค้าไม่ได้อยากฟังด้วย กทม. มาทำไรหน่อย

ไม่ได้รู้สึกว่าดังอะไรเลย สนามกีฬาก็ฟีลประมาณนี้อยู่แล้ว แล้วที่ว่ารบกวนกีฬาชนิดอื่น คืออะไร หมากรุก? เตะบอลก็ต้องมีเสียงเฮ ตะกร้อลอดห่วงก็ต้องมีเสียงเอ้วๆ แม้แต่อาม่ารำไทเก็กเช้าก็ยังเปิดเพลงจีน

ไม่ต้องเปิดเผื่อคนอื่นก็ได้ หนวกหู!!

งานนี้ก็คงต้องรอดูว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการเคลื่อนไหวเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันหรือไม่ 

‘จีซู BLACKPINK’ คว้าตำแหน่ง!! ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน

(5 ธ.ค. 67) Nubia Magazine นิตยสารชื่อดังสัญชาติอังกฤษ ได้เผยผลการจัดอันดับ 10 ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ประจำปี 2024 และแน่นอนว่าอันดับ 1 ก็ยังคงเป็น จีซู หรือ คิมจีซู (Kim Jisoo) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK วัย 29 ปี

การสำรวจดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 5 เดือน และสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา มีหญิงคนดังกว่า 40 คน จากทั่วโลก ถูกเสนอชื่อเข้าชิง โดยมีผู้เข้าร่วมโหวตกว่า 900,000 คน จาก 126 ประเทศ อาทิ เม็กซิโก จีน เปรู โคลอมเบีย อียิปต์ อาร์เจนตินา บราซิล แอลจีเรีย ไทย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สเปน และ เกาหลีใต้

จีซู ได้รับคะแนนโหวตล้นหลามกว่า 300,000 โหวต จาก 106 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแฟน ๆ ชาวเม็กซิโก โคลอมเบีย และเปรู และความสวยที่แสนประจักษ์ของ ‘จีซู’ ส่งผลให้เธอคว้าอันดับที่ 1 มาครองได้นานถึง 3 สมัยติดต่อกันแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจในเหตุผล เพราะเธอทั้งสวยทั้งน่ารักมาตั้งแต่ก่อนเดบิวต์เสียอีก

นอกจากอันดับหนึ่งอย่าง จีซู แล้ว ก็ยังมีไอดอล K-Pop คนอื่น ๆ ที่ติดอันดับเช่นกัน ได้แก่ ‘โจว จื่อวี’ จากวง TWICE เจ้าของอันดับที่ 2 และ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ สมาชิกวงแบล็คพิงค์ อันดับที่ 3

อย่างไรก็ดี ทางนิตยสาร Nubia Magazine ได้ติดต่อไปยัง YG Entertainment ต้นสังกัดของจีซู เพื่อมอบประกาศนียบัตรให้กับเธออย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติครั้งสำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่าจีซูสามารถคว้าตำแหน่ง งผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก’ ได้ต่อเนื่องถึง 3 ปีซ้อน

‘พรรครวมไทยสร้างชาติ - รร.สตรีวัดระฆัง - 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ร่วมมือ!! นำเยาวชน เรียนรู้ ประชาธิปไตย เข้าใจรากฐานของ ‘รัฐธรรมนูญ’

เมื่อวานนี้ (4 ธ.ค. 67) พรรครวมไทยสร้างชาติ จัดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการและเผยแพร่ความรู้ ‘เบื้องแรกประชาธิปไตย: พัฒนาการปกครอง การปฏิรูปสยาม สภาพสังคมและเศรษฐกิจ เตรียมพร้อมสู่การมีรัฐธรรมนูญด้วยพระมหากรุณาธิคุณจากรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7’ โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ มอบหมายให้นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ คณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวสวัตติ์ กลิ่นขจร เลขานุการผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ
ดำเนินการโครงการในครั้งนี้

เป้าหมายในการจัดโครงการ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้สร้างความรู้และความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้ โดยมีนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 150 คน ซึ่งมีกิจกรรมดังต่อไปนี้

การรับชมภาพยนตร์ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ สร้างแง่คิดให้คนรุ่นหลังได้อย่างน่าสนใจ ร่วมกับนายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ฯ 

ร่วมรับฟังบรรยายพร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งนำเสนอประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านการปกครองของไทยจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ประชาธิปไตย พร้อมทั้งได้เรียนรู้ถึงบทบาทสำคัญของพระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 ในการวางรากฐานสู่รัฐธรรมนูญไทย 

และเข้าเยี่ยมชมรัฐสภาไทย องค์กรสำคัญตามรัฐธรรมนูญไทย ได้สัมผัสบรรยากาศการทำงาน และได้ฟังบรรยายถึงบทบาทของรัฐสภา ที่มีผลต่อการปกครองบ้านเมืองและการบริหารประเทศในหลายด้าน

‘อุ๊งอิ๊ง’ โพสต์!! ภาพครอบครัวอบอุ่น ผ่านไอจี มอบพวงมาลัยให้ ‘ทักษิณ’ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ

(5 ธ.ค. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านไอจีชื่อว่า ‘ingshin21’ พร้อมภาพประกอบ ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศครอบครัวอบอุ่นและชื่นมื่น มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายพานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์พี่สาว นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีน.ส.พินทองทา นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีน.ส.แพทองธาร และหลาน ๆ นำพวงมาลัยมอบให้นายทักษิณ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 โดยมีข้อความระบุว่า …

Happy Father's Day @ home ขอให้พ่อมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ รักพ่อที่สุดในโลกค่ะ

‘เจนเซ่น หวง’ ซีอีโอ NVIDIA ย้ำ!! Sovereign AI สำคัญกับคนไทย

(5 ธ.ค. 67) เจนเซ่น หวง ให้มุมมองเกี่ยวกับโอกาสของไทยในยุค AI ว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของวงการเทคโนโลยีที่ทุกประเทศมีโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่เหมือนกับยุคซอฟต์แวร์หรือสมาร์ทโฟนที่ถูกครองตลาดโดยประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นการพัฒนา Sovereign AI จึงเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการก้าวสู่ยุค AI อย่างมีศักยภาพและความเป็นตัวของตัวเอง

อุตสาหกรรมโลกกำลังจะถูกรีเซตใหม่ ครั้งนี้ไม่เหมือนกับซอฟต์แวร์ที่สหรัฐอเมริกาครองตลาดมานานกว่า 40 ปี ไม่เหมือนอินเทอร์เน็ตหรือสมาร์ทโฟน นี่คือแพลตฟอร์มใหม่เอี่ยม ทุกคนกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่จุดเดียวกัน

วธ.เผย ยูเนสโก ประกาศรับรอง ‘เคบายา’ มรดกวัฒนธรรมร่วม 5 ประเทศ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 (The nineteenth session of the Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage: IGC-ICH) ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา ประมาณ 11.40 น. (เวลาท้องถิ่น) สาธารณรัฐปารากวัย หรือตรงกับวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 20.40 น. (เวลาประเทศไทย) ยูเนสโก มีมติรับรองให้ Kebaya : knowledge, skills, tradition and practices หรือ เคบายา : ความรู้ ทักษะ ประเพณี และการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการเสนอร่วม 5 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity: RL) ประจำปี 2567 อีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ “เคบายา” เครื่องแต่งกายอันสง่างามของทางใต้ ได้รับการขึ้นทะเบียนในปีเดียวกันต่อจาก “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นรายการมรดกวัฒนธรรมฯ ลำดับที่ 6 ของประเทศไทย ต่อจากรายการ โขน นวดไทย โนรา สงกรานต์ และต้มยำกุ้ง

รมว.วธ. กล่าวว่า ในการเสนอ เคบายา รายการมรดกวัฒนธรรมร่วม 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน เกิดจากแนวคิดนำโดยประเทศมาเลเซีย ได้มีการประสานงานเมื่อต้นปี พ.ศ. 2565 กับประเทศบรูไน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำเอกสารขอขึ้นทะเบียน โดยได้รับความยินยอมจากชุมชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งชุมชนผู้ปฏิบัติและผู้แทนจากประเทศผู้เสนอรายการทั้ง 5 ประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ณ พอร์ตดิกสัน รัฐเนกรีเซมบีลัน ประเทศมาเลเซีย โดยได้แลกเปลี่ยนและเสนอมาตรการส่งเสริมและรักษา จัดทำและสนับสนุนข้อมูลตามเอกสารแบบฟอร์มขอขึ้นทะเบียน หลังจากนั้น ได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ณ กรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย และการประชุมออนไลน์ โดยประเทศสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ เพื่อร่วมกันจัดทำเอกสารขอขึ้นทะเบียนให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนยื่นเสนอต่อยูเนสโกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 เพื่อเข้าวาระการพิจารณาปี 2567

รมว.วธ. กล่าวอีกว่า เคบายา เป็นเสื้อผ่าหน้า มีลักษณะเด่นคือการประดับด้วยงานปักและลูกไม้ที่ประณีตและสวมด้วยตัวยึด สามารถสวมใส่คู่กับโสร่งหรือผ้าท่อนล่างที่เข้าชุดกัน เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวัน ในโอกาสทั่วไป รวมถึงในโอกาสที่เป็นทางการและงานเทศกาลต่าง ๆ ความรู้ ทักษะ ประเพณีและการปฏิบัติเกี่ยวกับเคบายา มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงทุกวัย ทุกพื้นที่ และทุกศาสนาจากชุมชนต่าง ๆ ในหลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศบรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และภาคใต้ของประเทศไทย เคบายา จึงสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และประเพณีที่มีร่วมกันของภูมิภาค ตลอดจนความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีส่วนสนับสนุนในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น การศึกษาที่มีคุณภาพ ความเสมอภาคทางเพศ การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม รวมทั้งสันติภาพและความสมานฉันท์ในสังคม เคบายา ยังเป็นรายการที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมและชุมชนที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ส่งเสริมความเคารพซึ่งกันและกัน และมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่าง ๆ 

รมว.วธ. ยังเปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ พิจารณาของยูเนสโก ในครั้งนี้ ยังได้แสดงการชมเชยรัฐภาคีในการจัดเตรียมเอกสารและวิดีโอนำเสนอมาอย่างดี ถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการเสนอรายการมรดกร่วม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการสร้างสันติภาพและความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างชุมชน กลุ่มคน และปัจเจกบุคคลจากแต่ละรัฐภาคี การขึ้นทะเบียนมรดกร่วมนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากความภาคภูมิใจแล้ว ยังนำมาซึ่งความสามัคคี ความรับผิดชอบร่วมกัน และความมุ่งมั่นในการร่วมมือที่จะส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค 

และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จทางประวัติศาสตร์นี้ ประเทศผู้เสนอรายการทั้ง 5 ประเทศ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมคู่ขนาน ได้แก่ นิทรรศการและการแสดงแฟชั่นชุด เคบายา ในช่วงระหว่างการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลฯ ครั้งที่ 19 นี้ ณ นครอซุนซิออน สาธารณัฐปารากวัย ซึ่งจะช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับมรดกร่วมและความเกี่ยวข้องกับสังคมร่วมสมัยให้กับประชาชนทั่วไป ยังเป็นโอกาสให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่าง ๆ และร่วมกันพยายามส่งเสริม รักษาและสืบทอด เคบายา ให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป 

รมว.กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงวัฒนธรรม มีแผนในการส่งเสริมและต่อยอดมรดกวัฒนธรรม หลังจากยูเนสโก ขึ้นทะเบียน ต้มยำกุ้ง - เคบายา แล้ว ด้วยการขับเคลื่อน Soft power ด้านอาหาร และ ด้านแฟชั่น ตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม จะนำเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร เกม รายการโทรทัศน์ รวมถึงสื่อออนไลน์ ให้สอดแทรกเนื้อหา ต้มยำกุ้ง เพื่อสร้างกระแสความนิยมในวงกว้าง และบูรณาการกับภาคธุรกิจ-การท่องเที่ยว ในการนำ ต้มยำกุ้ง เป็นเมนูหลัก เมนูอาหารต้องชิม เมื่อมาเที่ยวเมืองไทย บรรจุลงในโปรแกรมการท่องเที่ยว และเป็นเมนูอาหารที่ต้องระบุไว้ในรายการอาหารขึ้นโต๊ะผู้นำ รวมทั้งผู้เข้าร่วมในการประชุมที่จัดในประเทศไทย หรือที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเชิญชวนให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและการบริการ เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขายเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง รวมถึงยอดขายวัตถุดิบต่างๆ  และยังเป็นการสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าและสาระของเมนูต้มยำกุ้งไปสู่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติอีกด้วย และในส่วน ภาคชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนโดยมุ้งเน้นบูรการร่วมกับหอการค้า สมาคม ชุมชน เครือข่ายในพื้นที่ ที่มีวัฒนธรรมการแต่งกายเคบายา ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขาย ด้วยการเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติสวมใส่ ชุดเคบายา พร้อมถ่ายรูปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างสีสันไปพร้อม ๆ กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ของชุมชนอีกด้วย

ในโอกาสที่น่ายินดีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงขอเชิญพี่น้องประชาชนร่วมกิจกรรม งานฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ระหว่างที่ 6-8 ธันวาคม 2567 ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็มควอเทียร์ ระหว่าง 10.00-21.00 น. *โดยในวันที่ 6 ธันวาคม เวลา 18.00 น. จะมีพิธีเปิดงานโดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเปิดงานอย่างเป็นทางการ ภายในงานวันที่ 6 ธ.ค. 67 พบกับ การสาธิตการทำต้มยำกุ้งพร้อมให้ชิมฟรี โดยเชฟตุ๊กตา (ครัวบ้านยี่สาร) เชฟกระทะเหล็ก ส่วนวันที่ 7-8 ธ.ค. ปรุงต้มยำกุ้งโดยเชฟเมย์ พัทรนันท์ ธงทอง เชฟกระทะเหล็ก พร้อมให้ชิมต้มยำกุ้งฟรี รวมถึงการแสดงแฟชั่นโชว์ชุดเคบายา นำโดยนางสาวไทยและรองนางสาวไทย และร่วมชมนิทรรศการ “ต้มยำกุ้ง” และนิทรรศการ/สาธิตการปักชุด-เครื่องประดับ “เคบายา” และอาหารเปอรานากัน จากจังหวัดภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรังและสตูล อิ่มอร่อยกับอาหารที่ขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติแล้ว 20 รายการ และยังได้เพลิดเพลินกับการแสดงดนตรี การแสดงทางวัฒนธรรมให้รับชมตลอดงาน โดยติดตามรายละเอียดได้ที่ www.culture.go.th และเฟสบุ๊คกรมส่งเสริมวัฒนธรรม

‘ดร.สุวินัย’ มอง!! รัฐบาลต้องรีด VAT จาก 7% เป็น 15% เพื่อนำรายได้ มาปรนเปรอให้!! ‘นโยบายประชานิยม’

(5 ธ.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT โดยมีใจความว่า ...

ทำไมต้องเก็บภาษี VAT เป็น 15%?

เพราะคนประเทศนี้มีแนวคิดที่ประหลาดพิกลมากยังไงเล่า หรือกล่าวแรง ๆ ได้ว่าเป็นแนวคิดของพวก ‘ขี้ขอ เอาแต่ได้ และขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมอย่างรุนแรง’ แนวคิดของคนพวกนี้แถอย่างข้าง ๆ คู ๆ ว่า

"เพราะพวกกูมีรายได้น้อยอยู่แล้วทำไมต้องจ่ายภาษีเงินได้อีก"

คนพวกนี้ใช้ตรรกะวิบัติประเภทที่ว่า "กูจะจ่ายภาษีไปทำไม? จ่ายภาษีแล้วกูได้อะไรกลับมา? มีอะไรที่กูจับต้องได้บ้าง?"

นี่คือคนไทยหลายสิบล้านคนที่ไม่ยอมเข้าระบบ ไม่ยอมยื่น ภงด.

แต่ก็เป็นคนไทยกลุ่มนี้แหละที่ใช้ 30 บาทรักษาทุกโรค ได้รับเงินหมื่น ฯลฯ คือใช้สวัสดิการและสาธารณูปโภคของประเทศอยู่ทุกวัน โดยหลอกตัวเองอย่างจริงจังว่า พวกกูไม่น่าจะต้องจ่ายภาษี

ประเทศนี้ประหลาดมากจนต้องเรียกว่า AMAZING THAILAND เพราะมีคนไทย 4 ล้านคนจ่ายภาษีเงินได้เพื่อเลี้ยงคนอีกหลายสิบล้านคนที่เชื่อว่าตัวเองไม่ควรต้องจ่ายภาษีเงินได้ แต่เชื่อว่าตัวเองควรจะได้รับสวัสดิการมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ประเทศนี้ประหลาดจริง ๆ เพราะยอดภาษีที่เก็บได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มากกว่ายอดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากว่าเท่าตัว แถมยังมากกว่าภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยซ้ำ จนเป็นยอดเก็บภาษีสูงสุดของประเทศนี้

ดังนั้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 15% จึงหมายถึงรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวของรัฐ 

นี่หมายถึง ‘การรีดภาษีทางอ้อม’ จากคนไทยหลายสิบล้านคนที่หลอกตัวเองว่าไม่ควรต้องจ่ายภาษีเงินได้นั่นเอง

เพื่อที่รัฐบาลจะได้เอาภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บเพิ่มได้กว่าเท่าตัวนี้ มา ‘ปรนเปรอ’ คนพวกนี้ด้วยนโยบายประชานิยมต่อไปชั่วกาลนาน

‘รัฐบาล’ รีบ!! รีดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 15% เลยครับ รีบทำเลย รีบทำทันที และอย่าลืมช่วยลดภาษีเงินได้ให้คนเสียภาษี 4 ล้านคน รวมทั้งช่วยลดภาษีเงินได้นิติบุคคลตามที่รับปากด้วยนะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top