Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

ผบ.ตร.สั่งเด็ดขาดให้ รรท.ผบช.น.เร่งคดีตำรวจจราจรกลาง 7 นาย รุมทำร้ายร่างกาย หากพบความผิดฐานใด ดำเนินการทุกข้อหา พร้อมดำเนินการทางวินัยทุกมิติ ย้ำพร้อมให้ความเป็นธรรม ทำตรงไปตรงมา รับเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สั่งขันน็อตการตั้งด่านทั่วประเทศตามระเบียบ

(6 ธ.ค.67) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึง กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) 7 นาย รุมทำร้ายร่างกายขณะตั้งด่าน ว่า เรื่องนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รับทราบรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

ในทางคดีได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สยาม บุญสม รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รรท.ผบช.น.) และ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.ลงมาดูคดีด้วยตนเอง รวบรวมหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด กล้องติดตัว (bodycam) พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้งพยานอื่นๆ ทุกมิติ เพื่อไขข้อเท็จจริง ดำเนินการตามกฎหมาย เอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ  

สำหรับคดีมีความคืบหน้า มีการเรียกตำรวจทั้ง 7 นายมาแจ้งข้อกล่าวหาในเบื้องต้น รวมทั้งจะมีการพิจารณาความผิดในข้อหาอื่นด้วย หากพบพยานหลักฐานหรือข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนทางวินัยได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้แล้ว 
     
นอกจากนี้ โฆษก ตร. กล่าวว่า ผบ.ตร.เสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหาย และครอบครัว ยืนยันว่าคดีนี้จะทำตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วยเหลือกัน หากพบเป็นความผิดอาญาและวินัยในส่วนใดจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด รวมถึงมาตรการทางปกครองกับผู้บังคับบัญชาด้วย  ซึ่งได้กำชับเรื่องนี้กับทาง บช.น. ไปแล้ว ให้เร่งรัดดำเนินการให้ชัดเจน พร้อมกำชับการตั้งด่านของตำรวจทั่วประเทศ ให้ผู้บังคับบัญชาไปกำชับการปฏิบัติตามระเบียบและหลักยุทธวิธี ทำตามกรอบกฎหมาย ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

รู้จัก...กองทัพสหรัฐว้า (The United Wa State Army) กลุ่มชาติพันธุ์แห่งเมียนมาที่หาญกล้ารุกล้ำดินแดนไทย

(6 ธ.ค.67) ข่าวสำคัญเรื่องหนึ่งที่พี่น้องประชาชนคนไทยต้องติดตามอย่างใกล้ชิดก็คือ ไทยต้องการให้สหรัฐว้า (กลุ่มว้าแดง) ถอนค่ายทหารของกองทัพสหรัฐว้า (The United Wa State Army : UWSA) 9 แห่งที่รุกล้ำดินแดนไทยออกไป แต่ทว่ากลุ่มว้าแดงกลับไม่ตอบสนองและเรียกร้องให้มีการเจรจาทวิภาคี เรื่องนี้กลายเป็นความท้าทายในภูมิภาค ประเด็นเรื่องปัญหายาเสพติดและปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ภายในประเทศเมียนมา ‘สหรัฐว้า’ เป็นเขตปกครองตนเองในเมียนมาอย่างเป็นทางการได้รับการประกาศโดยรัฐกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2010 ซึ่งรัฐบาลเมียนมาประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มชาติพันธุ์ว้าภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘เขตพิเศษว้า’ ดินแดนดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐว้าอย่างเป็นอิสระโดยพฤตินัย เคยถูกควบคุมโดยตรงโดยกองทัพพม่าจนกระทั่งโอนไปยังสหรัฐว้าในเดือนมกราคม 2024

นานมาแล้วที่ชาติพันธุ์ว้ากระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ภูเขาในดินแดนพม่า (เมียนมาปัจจุบัน) โดยไม่มีการปกครองแบบรวมเป็นหนึ่ง ในช่วงราชวงศ์ชิงพื้นที่ดังกล่าวถูกแยกออกจากการควบคุมทางทหารของชนเผ่าไตภายใต้การปกครองของอังกฤษในพม่า ซึ่งไม่ได้ปกครองรัฐว้า และพรมแดนพม่ากับจีนก็ไม่มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1940 ในช่วงสงครามกลางเมืองในจีน กองกำลังที่เหลือของกองทัพสาธารณรัฐจีน (พรรคก๊กมินตั๋ง) ได้ล่าถอยเข้ามายังดินแดนพม่า เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ายึดครองประเทศจีน กองกำลังของกองพลที่ 8 กองทัพที่ 237 กองพลที่ 93 และกองทัพที่ 26 ได้ยึดพื้นที่ในพม่าเป็นเวลาสองทศวรรษเพื่อเตรียมการโต้กลับพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ภายใต้แรงกดดันจากสหประชาชาติการโจมตีถูกยกเลิก และกองกำลังดังกล่าวเคลื่อนย้ายมายังทางภาคเหนือของประเทศไทย และต่อมาถูกส่งไปไต้หวัน อย่างไรก็ตามกองกำลังบางส่วนตัดสินใจที่จะอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำสาละวินต่อ กลายเป็นกลุ่มกองโจรชนเผ่าเข้าควบคุมพื้นที่โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า

ในช่วงทศวรรษ 1960 พรรคคอมมิวนิสต์พม่าสูญเสียฐานปฏิบัติการในพม่าตอนกลาง และด้วยความช่วยเหลือของคอมมิวนิสต์จีน จึงได้ขยายพื้นที่ในเขตชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีเยาวชนปัญญาชนจำนวนมากจากจีนเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์พม่า และกองกำลังเหล่านี้ยังรับเอาสมาชิกกองโจรในพื้นที่เข้าร่วมอีกเป็นจำนวนมาก พรรคคอมมิวนิสต์พม่าได้เข้าควบคุมเมืองปางคาม ซึ่งต่อมากลายเป็นฐานปฏิบัติการหลัก ตอนปลายทศวรรษ 1980 ชนกลุ่มน้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าถูกแยกทางการเมืองจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (อันเป็นที่มาของชื่อ ‘กลุ่มว้าแดง’) เมื่อวันที่ 17 เมษายน 1989 กองกำลังติดอาวุธของเป่าโหยวเซียง (Bao Youxiang) ประกาศแยกตัวจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่าและก่อตั้งพรรคสหชาติพันธุ์เมียนมา ซึ่งต่อมากลายเป็น ‘พรรคสหรัฐว้า’ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1989 กองทัพสหรัฐว้าได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงกับสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบของรัฐซึ่งเข้ามาแทนที่ระบอบทหารของเนวิน หลังจากการลุกฮือ8888 หลังจากการหยุดยิง รัฐบาลเมียนมาเริ่มเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า "เขตพิเศษรัฐฉานที่ 2 (เขตว้า) 

ภายหลังการรัฐประหารในเมียนมาในปี 2021 สหรัฐว้าเริ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาโดยตรงมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากกลยุทธ์ 'การป้องกันล่วงหน้า' ไปเป็นการสนับสนุนกองกำลังต่อต้านรัฐบาลที่มีขนาดเล็กกว่าในด้านการทหาร ซึ่งควรจะใช้เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพเมียนมาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายอิทธิพลทางการเมืองและการทหารของพวกเขาไปยังเมียนมาตอนกลาง เมื่อการสู้รบในรัฐฉานทางตอนเหนือทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายน 2023 สหรัฐว้าได้แสดงจุดยืนเป็นกลางโดยเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2023 กองทัพสหรัฐว้าได้ระบุอีกครั้งว่าพวกเขาจะตอบโต้ต่อการดำเนินการทางทหารใด ๆ ที่มีต่อสหรัฐว้า

กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) มี 'กองกำลัง' จำนวน 5 กองพลที่ประจำการตามแนวชายแดนไทย-พม่า ได้แก่ กองพลที่ 778 กองพลที่ 772 กองพลที่ 775 กองพลที่ 248 กองพลที่ 518 และประจำการตามชายแดนจีน-พม่าอีกสามหน่วยได้แก่ กองพลที่ 318 กองพลที่ 418 และ กองพลที่ 468 โดยกองทัพสหรัฐว้ามีกำลังพลประจำการ 30,000 นาย (แหล่งข่าวบางแหล่งระบุว่าอาจมีมากถึง 80,000 นาย) พร้อมกำลังเสริมอีก 10,000 นาย โดยเงินเดือนของทหารอยู่ที่ 60 หยวน (300 บาท) เท่านั้น ตามรายงานของ Jane's Intelligence Review เมื่อเดือนเมษายน 2008 จีนเป็นแหล่งสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์หลักให้กองทัพสหรัฐว้าแทนที่แหล่งอาวุธตลาดมืดดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทยและกัมพูชา การส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังกองทัพสหรัฐว้าจากจีนจะดำเนินการตามนโยบายระดับสูงสุดในกรุงปักกิ่ง

รายงานของ Jane's ในปี 2001 ระบุว่า กองทัพสหรัฐว้าได้จัดหาขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ (SAM) HN-5 N จากจีนอันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างฐานทัพใกล้ชายแดนไทย ซึ่งมีรายงานว่าที่ตั้งทางทหาร 40-50 แห่งที่ประจำการขีปนาวุธดังกล่าว ในเดือนพฤศจิกายน 2014 Jane’s รายงานเพิ่มเติมว่า กองทัพสหรัฐว้าได้จัดหาขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ FN-6 เพื่อมาแทนที่ HN-5N ที่ใช้งานอยู่ ซึ่งกองทัพสหรัฐว้าได้ปฏิเสธในทันที นอกจากนี้สหรัฐว้ายังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ผลิตอาวุธจีนและกลุ่มกบฏอื่น ๆ ในเมียนมา ในปี 2012 การสนับสนุนจากจีนเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นการจัดหายานเกราะจู่โจมแบบ PTL-02 6 × 6 ที่พบเห็นในเมือง Pangkham

29 เมษายน 2013 Jane's รายงานว่า จีนได้ส่งมอบเฮลิคอปเตอร์แบบ Mil Mi-17 ซึ่งติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ TY-90 ให้กับกองทัพสหรัฐว้า แต่ถูกปฏิเสธจาก แหล่งข่าวทางทหารของจีน ไทย กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ของเมียนมา และกองทัพสหรัฐว้าเอง ในปี 2015 Jane's รายงานว่า ทหารของกองทัพสหรัฐว้าถูกถ่ายภาพขณะฝึกการใช้กับปืนใหญ่ Type 96 ขนาด 122 มม. และ ATGM HJ-8 ของจีน รายงานของ Jane’s ในเดือนธันวาคม 2008 ระบุว่า กองทัพสหรัฐว้าได้เริ่มมาผลิตอาวุธเองเพื่อเสริมรายได้จากการค้าอาวุธและยาเสพติด และเริ่มสายการผลิตอาวุธปืนแบบ AK- 47 สหรัฐว้ามีนโยบายการเกณฑ์ทหารโดยกำหนดให้ผู้ชายอย่างน้อย 1 คนในแต่ละครัวเรือนต้องประจำการในกองทัพสหรัฐว้าหรือหน่วยงานของสหรัฐว้า 

ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2002 กองทัพสหรัฐว้าเคยปะทะกับกองทัพไทย และประสบความสูญเสียค่อนข้างหนักอันเนื่องมาจากอาวุธหนักจากฝ่ายไทย จนเป็นที่มาของคำกล่าวของทหารว้าที่ว่า “ทหารว้าไม่กลัวทหารไทยเลย ถ้ารบกันแบบเห็นตัว แต่ที่กลัวที่สุดคือ ปืนใหญ่ของไทย เพราะมาแบบไม่เห็นตัว” ปัญหาความมั่นคงจากสหรัฐว้าที่ไทยเผชิญอยู่ตลอดมาก็คือ การค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของสหรัฐว้า และมีความลักลอบลำเลียงเข้าไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมา และไทยได้พยายามปราบปรามภายในเขตแดนของประเทศตลอดมา ตอนที่ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก และทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยมีสถานการณ์ในลักษณะนี้แล้วครั้งหนึ่ง โดย พล.อ.สุรยุทธ์ เตรียมการส่งกำลังทหารม้าไปปฏิบัติการร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 แต่นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้นกลับบอกว่า กองทัพไทยทำเกินไป (กองทัพไทย Over-react) ทั้งที่ตอนนั้นมีกองกำลังว้าแดงอยู่ในสมการความขัดแย้งด้วย จึงไม่มีปฏิบัติการทางทหารในกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น และทำให้สหรัฐว้าแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน สำหรับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐว้าและไทยครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 อันเนื่องมาจากที่ตั้งของค่ายทหารของสหรัฐว้า 9 รุกล้ำดินแดนไทย และกองทัพไทยได้มีการกำหนดเส้นตายเอาไว้ว่าภายในวันที่ 18 ธันวาคม UWSA ต้องมีการรื้อถอนค่ายทหารออกและเคลื่อนกำลังออกจากดินแดนไทยให้หมด ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่ เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia ขยายการลงทุนในเวียดนาม

(6 ธ.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ถึงกรณีที่ เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia ขยายการลงทุนในเวียดนาม โดยระบุว่า ตื่นเถิดชาวไทย!! เสร็จจากภารกิจในไทยแลนด์ เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia ไปทำอะไรในเวียดนาม (เอิ่ม ไม่ใช่แค่ไปร่วมงานสัมมนาขายฝัน) แต่

(1) ไปลงทุน ตั้งศูนย์ R&D ในเวียดนาม เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพและอนาคต AI ในเวียดนาม !!  จึงตัดสินใจเลือกเวียดนามเป็นที่ตั้งศูนย์ R&D ของ Nvidia แห่งแรกในอาเซียน
(2) ไปเข้าซื้อ VinBrain สตาร์ทอัปด้าน AI ของเวียดนาม (บริษัทในเครือ VinGroup) 
(3) ไปจับมือ กับ Viettel บิ๊กเทเลคอมของเวียดนาม เพื่อจัดตั้งศูนย์ Cyberspace
(4) ไปร่วมมือ กับ FPT บริษัทไอทีใหญ่สุดในเวียดนาม เพื่อพัฒนาระบบ smart Cloud
ฯลฯ

ขณะเดียวกัน เจนเซน หวงยังได้ควง นายกฯเวียดนาม ไป enjoy eating street food นั่งยอง ๆ ทานอาหารริมทางกลางกรุงฮานอย มีทั้งตีนไก่ หมูทอดหมัก เต้าหู้กับต้นหอม และจิบเบียร์ ชนแก้วแบบติดดิน เพื่อฉลองความร่วมมือ ในข้อตกลงเพื่อจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในเวียดนาม 

ดร.อักษรศรี สรุปว่า เหตุผลชัด ๆ จาก Nvidia ทำไมเลือกเวียดนาม เพราะเวียดนามมีทั้ง strong talent pool of STEM engineers มีวิศวะ มี startup และมีนักศึกษาในสถาบันศึกษาที่เอาจริงด้าน AI !!

แผ่นดินไหว 7.0 ใกล้แคลิฟอร์เนีย ไร้เตือนสึนามิ แต่ยังประเมินความเสียหายไม่ได้

เมื่อเวลา 10.44 น.ของวันที่ (5 ธ.ค. 67) ตามเวลาท้องถิ่นของรัฐแคลิฟอร์เนีย ตรงกับเวลา 01.44 น ของวันที่ 6 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นในไทย เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7.0 นอกชายฝั่งตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีการประกาศเตือนภัยสึนามิชั่วคราว ก่อนจะยกเลิกในเวลาต่อมา  

รายงานจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ระบุว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเวลา 10.44 น. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ หรือ 01.44 น. ตามเวลาในไทย จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองเฟิร์นเดลไปทางตะวันตกราว 63 กิโลเมตร และลึกลงไปใต้พื้นดินประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ประชากรเบาบาง  

ศูนย์เตือนภัยสึนามิแห่งชาติออกคำเตือนครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ตั้งแต่เมืองดูนส์ ซิตี รัฐออริกอน ไปจนถึงนครซานฟรานซิสโกและซานโฮเซ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ระยะทางรวมกว่า 643 กิโลเมตร คำเตือนดังกล่าวถูกยกเลิกหลังผ่านไป 90 นาที  

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ประชาชนราว 19,000 คนไม่มีไฟฟ้าใช้ชั่วคราว แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม แรงสั่นสะเทือนส่งผลกระทบต่ออาคารหลายแห่ง รวมถึงห้องปลูกกัญชาที่ได้รับอนุญาตของบริษัท Humboldt Flower Company ซึ่งมีภาพความเสียหายปรากฏตามรายงานข่าว  

ในเขตซาคราเมนโต มีคลิปวิดีโอจากโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นสระว่ายน้ำในบ้านหลังหนึ่งที่น้ำกระเพื่อมอย่างรุนแรงจนกระเซ็นออกมานอกสระ เบื้องต้นหน่วยงานรัฐบาลในท้องถิ่นยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้

แม้จะไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังคงตอกย้ำความเสี่ยงของภัยธรรมชาติในพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ

UNESCO ขึ้นทะเบียน มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

(6 ธ.ค.67) ซินหัวรายงานว่า องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'เทศกาลตรุษจีน' เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นการยกย่องถึงความสำคัญของพิธีกรรมและองค์ประกอบทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับวิถีชีวิตของชาวจีน

รายงานระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ สมัยที่ 19 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-7 ธันวาคม ณ ประเทศปารากวัย ได้มีมติรับรองเทศกาลตรุษจีนเข้าสู่รายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ โดยยูเนสโกเน้นย้ำถึงความหลากหลายของกิจกรรมทางสังคมในเทศกาลนี้ อาทิ การกราบไหว้ขอพร การรวมตัวของสมาชิกในครอบครัว และงานเฉลิมฉลองในชุมชน  

ยูเนสโกระบุว่า ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อทั้งในรูปแบบไม่เป็นทางการผ่านครอบครัว และในรูปแบบทางการผ่านระบบการศึกษา นอกจากนี้ ทักษะงานฝีมือและศิลปะที่เกี่ยวข้องยังถูกส่งต่อผ่านการฝึกฝน ส่งเสริมคุณค่าของความสมานฉันท์ในครอบครัว สังคม และสันติภาพ  

คณะกรรมการฯ ชี้ว่า เทศกาลตรุษจีนเป็นตัวอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ พร้อมทั้งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่าง ๆ เช่น ความมั่นคงทางอาหาร การศึกษา และการเพิ่มความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม  

เหราเฉวียน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน กล่าวว่า เทศกาลตรุษจีนเป็นวันสำคัญที่สะท้อนถึงความหวังในชีวิตที่ดีขึ้นของชาวจีน เชื่อมโยงกับคุณค่าของความกลมกลืนในครอบครัวและสังคม รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ  

การขึ้นทะเบียนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยส่งเสริมคุณค่าของสันติภาพและความสามัคคีในระดับสากล แต่ยังเป็นการตอกย้ำบทบาทสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการพัฒนาที่ยั่งยืนของมนุษยชาติ  

ปัจจุบัน จีนมีรายการมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโกแล้วจำนวน 44 รายการ

4 แนวทาง 'ขึ้น VAT ปรับโครงสร้างภาษี' ข้อเสนอจาก ‘สมชัย จิตสุชน’

‘สมชัย จิตสุชน’ จาก TDRI เสนอ 4 แนวทางปรับภาษี ปรับ VAT ขึ้นทีละขั้น ลดสิทธิประโยชน์ BOI เก็บภาษีทรัพย์สิน และปรับลดค่าลดหย่อนภาษีเพื่อความเป็นธรรมต่อรายได้ทุกกลุ่ม 

จากกรณีที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุก่อนหน้านี้ว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี โดยหนึ่งในนั้นคือการพิจารณาขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% หลังจากกระทรวงการคลังพบว่าของไทยยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 15-25% เพื่อเพิ่มรายได้เข้ากองกลาง นำไปช่วยเหลือกลุ่มรายได้น้อยผ่านมาตรการด้านสาธารณสุข การศึกษา และที่อยู่อาศัย

ล่าสุดเมื่อวันที่ (6 ธ.ค. 67) ดร. สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Somchai Jitsuchon ถึงข้อเสนอปรับรายละเอียดมาตรการภาษีจำนวน 4 ข้อว่า 

1. ภาษี VAT ควรขึ้น แต่ค่อยเป็นค่อยไป เช่นขึ้น 1% ก่อนแล้วหาจังหวะในอนาคตขึ้นทีละ 1% แต่ไม่ประกาศล่วงหน้า เพราะอาจทำให้เกิดการคาดการณ์เงินเฟ้อ (inflation expectation) ได้ แล้วไปจบที่ 10% ภายใน 5 ปี

2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ควรเป็น flat rate อย่างที่เสนอ แม้จะมีข้อดีบางข้อ เช่นคำนวณง่าย ทำให้คนอยากทำงานมีรายได้สูง ๆ โดยไม่ต้องกลัวอัตราภาษีสูงตามไปด้วย แต่ข้อเสียมากกว่าคือไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ
2.1 ควรพิจารณาปรับลดพวกค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ให้ประโยชน์กับคนรายได้สูง 
2.2 ถ้าจะใช้ flat rate ควรใช้กับเงินได้จากดอกเบี้ยและปันผลที่ปัจจุบันแยกคำนวณมากกว่า 

3. ภาษีเงินนิติบุคคล ถ้าจะลดเหลือ 15% ก็ควรยกเลิกสิทธิประโยชน์ BOI ไปด้วย จะได้แฟร์และดึงดูดการลงทุนอย่างทั่วถึงแทนที่จะเป็นบางอุตสาหกรรมที่ก็ไม่รู้ว่าให้ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยเท่าไรกันแน่ ใช้มาตรการอื่นดึงดูดแทนดีกว่า เช่นพัฒนาทักษะแรงงานไทย ปรับเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ป้องกันการเรียกใต้โต๊ะของ ขรก. สารพัดสี

4. สำคัญคืออย่าลืมเก็บภาษีบนฐานทรัพย์สิน เช่น capital gain, windfall tax ด้วยนะจ๊ะ (กินยาไรไปถึงลืมได้อ่ะ)

"ข้อเสนอเรื่องภาษีของ รมต. คลัง ในภาพรวมนั้นจำเป็นเพราะรายได้ภาษีไทยต่ำไปมาก แต่ในรายละเอียดต้องปรับอีกเยอะ ที่สำคัญเหมือนท่านจะลืมแหล่งรายได้ภาษีที่สำคัญและควรจัดเก็บเพิ่มขึ้นอย่างมากคือภาษีจากฐานทรัพย์สิน ไม่ทราบทำไมถึง 'ลืม' ได้นะครับ"

'ด.ต.เสน่ห์' ตร.ไทยเข็นนทท.เมาแอ๋ส่งที่พัก เผยเข้าใจหัวอกพ่อแม่ห่วงลูกหลาน

(6 ธ.ค. 67) ตำรวจไทยกลายเป็นที่ชื่นชมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังคลิปวิดีโอหนึ่งเผยให้เห็นการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวสาว 2 รายที่เมาหนักจนหมดสติบนเกาะพีพี โดยเว็บไซต์ข่าวในออสเตรเลียรายงานเหตุการณ์นี้เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา

ในคลิปวิดีโอเผยภาพ ด.ต.เสน่ห์ เจือละออง เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ สภ.เกาะพีพี ช่วยนักท่องเที่ยวหญิงอายุ 19 ปีจากออสเตรเลีย และ 23 ปีจากเยอรมนีที่หมดสติหลังจากดื่มหนักตลอดทั้งคืน เพื่อนนักท่องเที่ยวพยายามปลุกแต่ไม่สำเร็จ ด.ต.เสน่ห์จึงยืมรถเข็นจากร้านค้าในพื้นที่นำพวกเธอขึ้นรถและเข็นกลับไปยังที่พักอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงโฮสเทล เพื่อน ๆ ของนักท่องเที่ยวร่วมมือกับ ด.ต.เสน่ห์ช่วยพาพวกเธอไปยังห้องพักอย่างปลอดภัย

ด.ต.เสน่ห์ เป็นคุณพ่อของลูกสาว 3 คน เปิดเผยว่าเขาเข้าใจหัวอกผู้ปกครองและต้องการปกป้องนักท่องเที่ยวจากอันตราย "ผมคิดว่าเราเหมือนเป็นผู้ปกครองที่พาพวกเขากลับบ้าน ทั้งสองคนเมามากจนพูดไม่ได้และยืนไม่ไหว ในสถานการณ์แบบนี้พวกเขาอาจเกิดอุบัติเหตุอย่างตกบันไดหรือทะเลได้ ผมจึงอยากมั่นใจว่าพวกเขาจะเข้านอนอย่างปลอดภัย"

ด.ต.เสน่ห์ย้ำว่า การช่วยนักท่องเที่ยวที่เมาหนักเป็นหน้าที่หนึ่งของตำรวจบนเกาะพีพี และเขาได้ทำแบบนี้มานานกว่า 2 ปีแล้ว โดยถือปฏิบัติตามโครงการ 'You drink, I drive เมาไม่ขับ กลับกับตำรวจ' ซึ่งช่วยดูแลนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เมาจนไม่สามารถกลับที่พักเองได้

"เราไม่อยากลงโทษหรือตำหนิ แต่เลือกที่จะช่วยเหลือและปกป้องพวกเขาแทน เพราะเข้าใจว่าทุกคนมาเที่ยวที่เกาะพีพีเพื่อความสนุกสนาน"

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของตำรวจไทยในสายตาชาวต่างชาติอีกด้วย

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมจิตอาสา 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง ร. 9 วันชาติ วันพ่อแห่งชาติ และวันดินโลก 5 ธันวาคม 2567

(6 ธ.ค.67) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 นำกำลังพลจิตอาสาทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค1) กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กองพันซ่อมบำรุง กรมสนับสนุน กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 21 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เทศบาลตำบลบางเสร่ เทศบาลตำบลเกล็ดแก้ว คณะครู และนักเรียนโรงเรียนเกล็ดแก้ว จัดกิจกรรมจิตอาสา 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' ณ โรงเรียนเกล็ดแก้ว ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

กิจกรรมนี้ จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกใน พระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ ทรงปกครองประชาราษฏร์ด้วยหลักทศพิธราชธรรม ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อขจัดความทุกข์ยากแก่พสกนิกร ก่อให้เกิดคุณอเนกอนันต์แก่ ประเทศชาติ และกิจกรรมนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ความรักสามัคคี ระหว่าง กองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ โดยกิจกรรม ประกอบด้วย การปรับปรุงภูมิทัศน์ การตัดหญ้า กวาดใบไม้ เก็บขยะ และปลูกพืชผักผลไม้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง               

นอกจากนี้ ยังมีการจัดเลี้ยงไอศกรีมให้กับเด็กๆ ชั้นอนุบาลของโรงเรียนเกล็ดแก้ว สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับเด็กนักเรียนและผู้เข้าร่วมกิจกรรม

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ลงพื้นที่ภาคใต้ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม-ช่วยเหลือประชาชน ย้ำทุกหน่วยงานเร่งคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็วที่สุด เผย ‘นายกรัฐมนตรี’ ห่วงใยผู้ได้รับผลกระทบ 

(6 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย , ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) , พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) , นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่อุทกภัยภาคใต้ ณ จังหวัดยะลา  โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และแผนการแก้ไขปัญหาพร้อมกล่าวมอบนโยบาย ณ อาคารศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอเมืองยะลา ก่อนเดินทางต่อไปยังอาคารศรีนิบง ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา อำเภอเมืองยะลา เพื่อพบปะประชาชนและมอบถุงยังชีพให้ผู้แทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เกิดอุทกภัยขึ้นในหลายแห่งของพื้นที่ภาคใต้ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำจะเคลื่อนผ่านอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้มีความเสี่ยงฝนตกหนักและฝนตกหนักมากบางแห่ง รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อคลี่คลายโดยเร็วที่สุด 

นายประเสริฐ กล่าวว่า วันนี้ได้เน้นย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระดมสรรพกำลังเพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมอบจังหวัด ศอ.บต. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย และจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ ให้พร้อมต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น และมอบ สทนช. ประสานกรมชลประทาน จังหวัด ปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย เพื่อแก้ไขสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมกันนี้ สทนช. จังหวัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ต้องประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2567 และป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนบางลาง และการจัดการน้ำในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง และเมื่อมีผลกระทบกับประชาชน ต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด

“นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำกับ สทนช. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมประชาสัมพันธ์ และจังหวัด ประชาสัมพันธ์สถานการณ์อุทกภัยและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ พร้อมมอบหมายศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ ประสานและบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อสถานการณ์น้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก และจะดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเพื่อทุกครัวเรือนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช 7 อำเภอ จังหวัดพัทลุง 5 อำเภอ จังหวัดสงขลา 4 อำเภอ จังหวัดปัตตานี 4 อำเภอ จังหวัดนราธิวาส 3 อำเภอ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชน โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ปริมาณฝนจะลดลง รวมทั้งได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ในช่วงหลังจากนี้ตามที่รองนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. คาดการณ์ว่าจะกลับมามีฝนตกหนักถึงหนักมากอีกครั้งในช่วงวันที่ 13 – 16 ธ.ค. 67 บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จากนั้นแนวโน้มฝนจะลดลงตามลำดับ สำหรับเขื่อนบางลางจะยังคงอัตราการระบายน้ำที่ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน ซึ่งจะต้องมีการติดตามประเมินสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนการระบายให้เหมาะสม โดยจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับระดับน้ำทะเลด้วย 

โดยขณะนี้การระบายน้ำของเขื่อนบางลางยังไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำบริเวณหน้าเขื่อนปัตตานี โดยเขื่อนปัตตานีได้มีการหน่วงน้ำไว้ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 67 ส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนลดลงตามลำดับ โดยเฉพะเขตตัวเมืองปัตตานี จ.ปัตตานี ระดับน้ำลดลงต่ำกว่าตลิ่งแล้ว และในการบริหารจัดการน้ำ ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยของเขื่อนทุกแห่ง ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ส่วนหน้าจะบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์ประกอบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่และระดมสรรพกำลังเพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์อุทกภัย รวมทั้งฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด

‘นอท สลากพลัส’ ฮุบ EE นั่งประธานบอร์ดเอง พร้อมเพิ่มทุนขาย PP ทิ้งกัญชงกัญชาปรับสู่ธุรกิจ Tech

(6 ธ.ค.67) บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี (EE) เปิดเผยว่า นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือนอท สลากพลัส ได้ทำการซื้อขายหุ้นของบริษัทผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2567 จำนวน 1,607,000,000 หุ้น คิดเป็น 57.81% ของทุนชำระแล้วของบริษัท ซึ่งส่งผลให้นายพันธ์ธวัช กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท

จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัทในครั้งนี้ การที่นายพันธ์ธวัช ถือหุ้นในบริษัทเกินกว่า 25% ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดและสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทนั้น มีผลทำให้นายพันธ์ธวัช มีหน้าที่ในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของกิจการ (Mandatory TenderOffer) โดยราคาทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของกิจการจะเท่ากับ 0.14 บาทต่อหุ้น

ดังนั้น บริษัทจะดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย รวมถึงการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้ความเห็นแก่ผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของนายพันธ์ธวัช ในครั้งนี้

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 9/2567 เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.67 อนุมัติแต่งตั้งนายพันธ์ธวัช ให้ดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการ และกรรมการใหม่แทนตำแหน่งกรรมการที่ว่างอยู่ พร้อมอนุมัติการเปลี่ยนชื่อของบริษัทจากเดิม 'บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน)' และชื่อภาษาอังกฤษ 'Eternal Energy Public Company Limited' เปลี่ยนเป็น 'บริษัท เทคลีด เอ็นพีเอ็น จำกัด (มหาชน)' และชื่อภาษา อังกฤษ 'TECHLEAD NPN PUBLIC COMPANY LIMITED'

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,720,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,970,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 7,690,000,000 บาท โดยการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลใน วงจำกัด (Private Placement : PP) จำนวน 2,720,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท หรือคิดเป็น 49.12% ของทุนชำระ แล้วของบริษัทภายหลังการเพิ่มทุนชำระแล้ว ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 516,800,000 บาท เพื่อ เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด

รายชื่อบุคคลในวงจำกัด จำนวนหุ้นที่ได้รับ มูลค่าหุ้นที่ได้รับ สัดส่วนการถือหุ้นภายหลังการเข้าทำการจัดสรร (หุ้น) การจัดสรร(บาท) รายการ (ร้อยละ)

1.นายคีรีภัทร์ ศุภสินประภาพงศ์ 1,038,142,857 หุ้น 197,247,143 บาท  คิดเป็น 18.88%
2.นายไพบูลย์ ทรงเพ็ชรมงคล 541,181,818 หุ้น 102,824,545 บาท คิดเป็น 9.84%
3.นายวิชิต จิรัฐิติเจริญ 407,071,429 หุ้น 77,343,571 บาท คิดเป็น 7.40%
4.นายจักรวิตร ภัทรจินดา 383,603,896 หุ้น 72,884,740 บาท คิดเป็น 6.97%
5.น ส.สุกัญญา ทิพย์มณี 350,000,000 หุ้น 66,500,000 บาท คิดเป็น 6.36%
รวม 2,720,000,000 หุ้น 516,800,000 บาท คิดเป็น 49.45%

บริษัทได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจจากที่บริษัทมีรายได้จากธุรกิจกัญชงและกัญชา แต่เนื่องจากธุรกิจนี้มีอัตราความเสี่ยงสูงจากการ เปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ และยังมีวงจรเงินสดที่ช้า จึงมีแนวทางในการขยายการลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพในการเติบโต โดย สามารถสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอให้บริษัท และสร้างความแข็งแกร่งให้ฐานะการเงินของบริษัท อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และเพิ่มโอกาสให้กับบริษัทในอนาคต ตลอดจนเป็นการเพิ่มศักยภาพและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงิน

โดยบริษัทอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) ซึ่งรวมถึง (1) ธุรกิจสื่อ เทคโนโลยี (Technology Media) (2) ธุรกิจให้บริการชำระเงิน (Payment Gateway Solution) และ/หรือ (3) ธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Marketplace Platform)

เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจ Tech เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตจากการสร้างรายได้และความสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นที่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ และเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ซึ่งได้แก่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันผู้คนใช้ชีวิตและใช้เวลากับอุปกรณ์สื่อสารกันมากขึ้น ทำให้สื่อออนไลน์และแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศไทยและเศรษฐกิจโลก

โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและผู้ขายหรือภาคธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ต บริษัทจึงมีความสนใจในการเข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทอย่างสม่ำเสมอ มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่ น้อยกว่า 12% และมีศักยภาพการเติบโตในอนาคต (Potential Upside) จากธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินทุนที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามรายการ Private Placement ไปใช้เพื่อลงทุนในธุรกิจ Tech ประมาณ 467-517 ล้านบาท ภายในปี 2568 และใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทไม่เกิน 50 ล้านบาทภายในปี 2568


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top