Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

‘เจ้าบ่าว’ เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์!! หลังแต่งงานได้ 3 วัน เผย!! ขอพรไว้ ถ้าเจ้าสาวปลอดภัย จะบวชทันที 1 เดือน

(15 ธ.ค. 67) กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ เมื่อเจ้าสาวรายหนึ่งโพสต์คลิปผ่าน TikTok@tarnkotchanipa เผยเรื่องราวหลังแต่งงานได้ 3 วัน เจ้าบ่าวหนีไปบวช … 

ในคลิปเธอเผยว่า ก่อนหน้านี้หมอตรวจพบก้อนเนื้อที่เต้านมเสี่ยงเป็นมะเร็ง 95% ต้องผ่าตัดด่วน และส่งตรวจชิ้นเนื้อและรอผล 7 วัน ว่าที่เจ้าบ่าวจึงตระเวณไหว้พระขอพร  โดยหากถ้าเธอปลอดภัยจะบวชเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งในที่สุดเธอก็ปลอดภัยไม่ได้เป็นมะเร็ง ซึ่งหลังจากแต่งงานได้ 3 วัน เจ้าบ่าวก็บวชทันทีเป็นเวลา 1 เดือน

หลังโพสต์เผยแพร่มีชาวเน็ตเข้ามาชื่นชมเจ้าบ่าว และแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก อาทิ     

เจ้าบ่าวใจคุณหล่อมากกค่ะ คุณคือลูกผู้ชายตัวจริงค่ะ หาได้ยากนะค่ะคนดีๆแบบนี้

รางวัลที่1ของผู้หญิงคือมีสามีที่รักและซื่อสัตย์ปกป้องดูแลอบอุ่นปลอดภัย  

นอกจากพ่อแม่แล้วก็มีสามีที่ผู้หญิงอยากฝากชีวิตไว้ด้วยอบอุ่นในหัวใจที่สุดค่ะ

ได้ดูคลิปนี้แล้วทำให้หัวใจมันชุ่มชื่นที่สุดเลยครับ..

ยินดีด้วยนะครับ..ยินดีกับทุกๆเรื่องเลย..

ขอให้ชีวิตคู่พบเจอแต่ความสุขไปจนกว่าจะหมดลมหายใจเลย..

‘ดุสิตโพล’ ชี้!! ผลงาน 3 เดือน รัฐบาลแพทองธาร ยังประเมินไม่ได้ เห็นผลชัดเจนสุด ‘แจกเงินหมื่น’ แนะ!! ควรเร่งแก้ปัญหาค่าครองชีพ

(15 ธ.ค. 67) ‘สวนดุสิตโพล’ สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ‘3 เดือนรัฐบาลแพทองธาร’ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,162 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 10-13 ธ.ค. 2567 พบว่า

กลุ่มตัวอย่างมองจุดแข็งของรัฐบาลแพทองธาร คือ การมีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ร้อยละ 49.38 ภาพรวมผลงาน 3 เดือนของรัฐบาลยังประเมินไม่ได้ ร้อยละ 39.85 ต่ำกว่าที่คาดหวัง ร้อยละ 28.14 และยังไม่เชื่อมั่นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ร้อยละ 54.99

โดยมองว่านโยบายที่เห็นผลชัดเจนที่สุดใน 3 เดือนที่ผ่านมา คือ การแจกเงิน 10,000 บาท ร้อยละ 71.44 เรื่องที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไขโดยด่วนยังคงเป็นเรื่องการแก้ปัญหาค่าครองชีพ สร้างงาน เพิ่มรายได้ ร้อยละ 70.84

สุดท้ายสิ่งที่ประชาชนอยากฝากถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศ คือ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ร้อยละ 49.14

ศึกชิงอบจ. เดือด!! ทั่วประเทศ จับตา ‘นายใหญ่’ เดินหน้ารุกฆาต!! ฟื้นคืนพื้นที่อีสาน รักษาฐานที่มั่นภาคเหนือ ตีกิน กลาง ตะวันออก

(15 ธ.ค. 67) “ผมแพ้ผมก็ไม่เสียดาย  แต่ต้องมีการตายเกิดขึ้น  คนที่โกส่งก็ต้องตาย..”

บางถ้อยคำของเทปลับที่สะพัดจากสื่อโซเชี่ยลและสื่อหลัก  หลังการสังหารโหด ‘สจ.โต้ง’ นายชัยเมศร์  สิทธิสนิทพงศ์  ในบ้าน ‘โกทร’ สุนทร   วิลาวัลย์  นายกอบจ.ปราจันบุรี เมื่อ ค่ำวันที่ 11 ธ.ค. 2567

การตายของสจ.โต้งโยงใยให้มองเห็นได้ว่า เกมการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่กำลังจะระเบิดศึกเดือดพลั่ก..และการเมืองใหญ่หรือการเมืองระดับชาติกำลังจะประดาบทำสงครามกันครั้งใหญ่..

กรณีปราจีนบุรี..แต่เดิมมีร่องรอยชัดเจนว่า  ‘สจ.จอย’ ณภาพัช  อัญชาสาณิชมน   รองประธานสภาอบจ.ปราจีนบุรี   ภรรยาสจ.โต้ง จะได้ลงสมัครนายกอบจ.หลังจากโกทรประกาศวางมือ...แม้กระทั่งทักษิณ  ชินวัตร   ก็เปิดปากยอมรับกับนักข่าวเมื่อ 13 ธ.ค.ว่าพรรคเพื่อไทยมีการติดต่อสจ.จอยจริง  แต่เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้คงจะเปลี่ยนใจแล้ว..

มีการตั้งคำถามกึ่งเป็นคำตอบว่า...สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแผนเปลี่ยนใจให้สจ.จอยเปลี่ยนเสื้อจากภูมิใจไทยไปเป็นเพื่อไทย บวกกับบ้านเล็กบ้านน้อยที่กดดันไม่ให้ ‘โก’ หนุนคนของสจ.โต้งหรือไม่...จึงเกิดฉากสังหารเกิดขึ้น..!!??

เรื่องคดีปล่อยให้ตำรวจยุค..บิ๊กต่าย ผบ.ตร.,บิ๊กอ้อ ผช.ผบ.ตร.ที่กำลังขึ้นหม้อ  ชาวประชาให้ความเชื่อถือพิสูจน์ฝีมือกันต่อไป...แต่การล้างบางมาเฟียที่ประกาศโดย ‘นายกทับซ้อน’ นั้น  ต้องจับตาดูว่าเป็นแค่ราคาคุยหาเสียงล่วงหน้า  หรือว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ..

กลับมาโฟกัสที่การเลือกตั้งนายกอบจ./ส.อบจ.กว่า 40 จังหวัดในวันที่ 1 ก.พ.2568  ที่มีแนวโน้มว่าจะดุเดือดเลือดพล่าน...เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมุ่งจะปักธงชัยชนะเพื่อรักษาคะแนนนิยม,รักษาบ้านใหญ่ เพื่อผลสุดท้ายนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งระดับชาติในครั้งหน้าซึ่ง โอกาสเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปี2568-2570

ขีดเส้นใต้สิบเส้น...การที่ทักษิณพูดถึงกรณีปราจีนบุรี และการปรากฎการณ์กรณีอุดรธานี,อุบลราชธานี...บวกกับโปรแกรมที่”นายใหญ่”จะไปช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยและคนในร่มธงเพื่อไทยช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า   ถูกออกแบบ-วางแผนไว้เป็นอย่างดี..

สอดประสานกับการเดินเกม..งานใต้ดินที่ ‘นายใหญ่’ ต้องใช้บริการจาก ‘ผู้กอง’ ผู้กว้างขวางที่เพิ่งเผด็จศึกแนวรบบ้านในป่ามาสดๆ ร้อนๆ..

อันที่จริงเกมของ ‘นายใหญ่’  ก็ไม่น่าจะอ่านยาก  1) ตรึงจังหวัดสำคัญ ฟื้นคืนพื้นที่อีสานฐานที่มั่นใหญ่ไห้ได้สส.เขตที่อีสานรอบหน้าอย่างน้อยสุด 100 เสียงขึ้นไป  2)ฟื้นภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ นายกอบจ.ก๊อง-พิชัย  เลิศพงศ์อดิศร  อาจจะไม่สวมเสื้อเพื่อไทยแต่ต้องรักษาแชมป์ไว้ให้ได้เพื่อเอาสส.เพื่อไทยสมัยหน้ากลับมาให้ได้จากที่เหลืออยู่ 2 คน ให้กลับมาเป็นอย่างน้อย 8 หรือยกจังหวัด10คน..

และ3) สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเคลียร์พื้นที่ภาคกลาง(รวมภาคตะวันออก)...ถึงนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ และเครือข่ายเดินเงียบ  โดยเฉพาะแนวรบด้านตะวันออก ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี และตราด..เรียบร้อยหมดแล้ว..เหลือแต่ปราจีนบุรีและนครนายก  ที่ปิดจ๊อบยังไม่จบ..โดยเฉพาะที่ปราจีนบุรี  ต้องรอดูเจ้าของพื้นที่สีน้ำเงินว่าจะออกอาวุธอย่างไร แบบไหน..คงไม่ปล่อยให้สูญเสียพื้นที่อาณาเขตทางการเมืองของตัวเองไปได้ง่ายๆ

รวมความแล้วเกมที่ดูเหมือนจะไม่ยากนักสำหรับคนระดับทักษิณ  แต่เมื่อส่องกล้องมองในรายละเอียด   เกมชิงนายกอบจ.40กว่าจังหวัดต้นปีหน้าก็ใช่ว่าจะเป็นรายการเคี้ยวหมู..อุปสรรคใหญ่ที่เป็นก้างขวางคออยู่ในขณะนี้ก็คือ...พรรคประชาชนที่ปักธงส่งผู้สมัครแบบหวังผลอย่างน้อย 12 จังหวัด, พรรคภูมิใจไทย ที่ ‘ครูใหญ่’เนวิน   ชิดชอบ  ยังกบไพ่เงียบ..เปิดออกมาเมื่อไหร่ไม่ใครต่อใครก็อาจเป็นลม..เหมือนตอนเลือกตั้งสว.สภาน้ำเงิน ก็ได้..

ยิ่งนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ ออกตัวแรงในทุกๆ ด้านแม้กระทั้งกรณีกึ่งขับไล่ ด้อยค่าพรรคร่วม..ก็ใช่ว่าจะเป็นผลบวกในทุกๆเรื่องเสมอไป!!

สาวสั่งข้าวซอย ผงะ!! เจอ ‘หมูดิบ’ แม่ค้าแก้ปัญหา ด้วยการเติมน้ำร้อนให้

(15 ธ.ค. 67) กลายเป็นโพสต์ไวรัลวิจารณ์สนั่น เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชี คุกกี้ซ์ โพสต์แชร์ประสบการณ์ทานอาหารที่จำไม่รู้ลืม ลงใน กลุ่มพวกเราคือผู้บริโภค

แนบภาพอาหารขึ้นชื่อทางภาคเหนืออย่าง ข้าวซอย ทว่าอาหารจานดังกล่าวในภาพ กลับเห็นหมูสีชมพูสดชันเจน ลักษณะคือ หมูยังมีเนื้อบางส่วนที่ไม่สุก หรือ สุกไม่ทั่วกันทั้งชิ้น

โดยเธอเขียนข้อความเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระบุว่า ‘ข้าวซอยหมู ณ ร้านข้าวซอยแห่งหนึ่งในลำปาง’

‘จะกินอะไรก็ดูกันดี ๆ ก่อนกินนะคะ นี่แจ้งทางร้านไปแล้ว ปรากฎเขาเทน้ำมาเพิ่ม น้ำปริ่มขอบเลย คงกะเพิ่มความร้อนให้มันสุก แต่มันก็ยังแดงค่ะ ทำไมไม่เอาไปลวกใหม่สุก ๆ มาให้นะ งง’

ทั้งนี้ การทานหมูดิบมีอันตรายต่อร่างกาย อาจเสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หูดับได้ อาการอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ทำให้โซเชียลต่างเข้ามาคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์จวกร้านกันสนั่น ทั้งความประมาทในการประกอบอาหาร และวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกสุขอนามัย พร้อมเรียกร้องให้ทางร้านออกมาชี้แจง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้มีมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสม

มีความคิดเห็นส่วนหนึ่งจากโลกโซเชียล ยกตัวอย่างเช่น 

เป็นเราจ่ายตังแล้วเดินออกเลย หมูไม่สุกแบบนี่เสี่ยงเป็นไข้หูดับ

ข้าวซอยสูตรไหน สีแบบนี้ แล้วข้าวซอยหมูก็ไม่เคยเจอนะ เจอแต่ไก่กับเนื้อ ร้านทำไมมักง่ายแบบนี้

งานหยาบมาก

ข้าวซอยหมูหูดับ

หูจะดับเอานะคะ คืนเขาเถอะค่ะ

โหยอันตรายมาก!!! หมูนะไม่ใช่เนื้อจะเน้นสดๆมันไม่ใช่555

เราคนลำปางกินข้าวซอยมาก็หลายร้านแต่ไม่เคยเห็นแบบนี้เลยค่ะ

รัฐบาล เผย!! มูลค่าความเสียหาย ภัยออนไลน์จากมิจฉาชีพ มี.ค.65 - พ.ย.67 รวม 7.7 หมื่นล้านบาท เตือน ปชช. อย่าหลงกล

(15 ธ.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยถึงยอดแจ้งความออนไลน์สะสม ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.  2565 - 30 พ.ย. 2567 ผ่าน thaipoliceonline มีจำนวน 739,494 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวม 77,360 ล้านบาท เฉลี่ยความเสียหายวันละ 77 ล้านบาท ผลการอายัดบัญชี จำนวน 560,412 บัญชี ยอดอายัดได้ จำนวน 8,627 ล้านบาท

นายคารม กล่าวต่อว่าทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่  1 - 30  พ.ย. 2567 พบผลการแจ้งความออนไลน์ รวม 31,353 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวม 2,540 ล้านบาท เฉลี่ยวันละ 85 ล้านบาท ผลการอายัดบัญชี จำนวน 16,229 บัญชี ยอดขออายัด จำนวน 1,864 ล้านบาท ยอดอายัดได้ จำนวน 383 ล้านบาท

ประเภทคดีออนไลน์ที่มีการแจ้งความมากที่สุด 5 อันดับแรก ดังนี้
1. หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) มูลค่าความเสียหาย 146  ล้านบาท
2. หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 526  ล้านบาท
3. ข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 444 ล้านบาท  
4. หลอกให้กู้เงิน มูลค่าความเสียหาย 99ล้านบาท
5. หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น มูลค่าความเสียหาย 221  ล้านบาท 

“จากรายงานข้อมูลดังข้างต้น ยังมีประชาชนหลงกลตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ขอประชาชนระมัดระวังอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่เชิญชวน ชักชวนโดยวิธีการต่างๆ หากถูกหลอก สามารถแจ้งที่เบอร์ 1441 หรือ 081-866-3000” นายคารม กล่าวทิ้งท้าย

‘นิด้าโพล’ เผย!! ‘คนกรุง’ ค้านมาตรการใหม่ เก็บค่าธรรมเนียมรถติด เชื่อไม่สำเร็จ แต่หนุน!! ค่าธรรมเนียมเก็บขยะ ตามพฤติกรรมแยกขยะ

(15 ธ.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้า สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘สองมาตรการใหม่ คน กทม. จะเอาไง’  สำรวจระหว่างวันที่ 27-29 พ.ย.  2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร  จำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของคนกรุงเทพมหานคร หากมีการใช้มาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการเก็บขยะและค่าธรรมเนียมรถติดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นิด้าโพลเมื่อถามความคิดเห็นของคนกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับ

ค่าธรรมเนียมการเก็บขยะในอัตราที่แตกต่างกัน ตามพฤติกรรมการคัดแยกขยะ พบว่า  
• 50.31% ระบุว่า เห็นด้วยมาก
• 23.66% ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย
• 15.73% ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย

การรับรู้ของคนกรุงเทพมหานครต่อการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคัดแยกขยะพร้อมส่งภาพประกอบการคัดแยกขยะ เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมการเก็บขยะต่อเดือนในอัตรา 20 บาท พบว่า  
• 80.76 %ระบุว่า ไม่ทราบเลย
• 13.21% ระบุว่า พอทราบอยู่บ้าง
• 6.03% ระบุว่า ทราบดี

การให้ความร่วมมือของคนกรุงเทพมหานครในการเข้าร่วมโครงการคัดแยกขยะ พบว่า
• 44.81% ระบุว่า ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ
• 28.93% ระบุว่า ค่อนข้างให้ความร่วมมือ  
• 15.65% ระบุว่า ไม่ให้ความร่วมมือเลย  
• 9.69% ระบุว่า ให้ความร่วมมือมาก

การจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดเฉพาะรถเก๋ง เพื่อแก้ปัญหาการจราจรและเพื่ออุดหนุนกองทุนซื้อคืนรถไฟฟ้า พบว่า  
• 49.92% ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
• 18.24% ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย  
• 17.10% ระบุว่า เห็นด้วยมาก
• 13.98% ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย 

การประสบความสำเร็จในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดในกรุงเทพมหานครตามแนวคิดของกระทรวงคมนาคม พบว่า  
• 55.50% ระบุว่า ไม่ประสบความสำเร็จเลย
• 28.47% ระบุว่า ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
• 12.29% ระบุว่า ค่อนข้างประสบความสำเร็จ  
• 2.44% ระบุว่า ประสบความสำเร็จมาก

‘ซูเปอร์โพล’ เผยผลสำรวจ!! ความพึงพอใจปชช. ผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ‘เอกนัฏ’ ได้คะแนนสูงสุด ทำอุตสาหกรรมขยายตัว แก้ปัญหากากสารพิษจากโรงงาน

(15 ธ.ค. 67) สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ประเมินผลงานกระทรวงสังคมและเศรษฐกิจ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 1,156ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 10 – 14 ธันวาคม พ.ศ.2567ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงรัฐมนตรีประจำกระทรวงด้านสังคมที่ประชาชนพึงพอใจ 3 อันดับแรก พบว่า กระทรวงมหาดไทยโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้คะแนนสูงสุดอันดับหนึ่ง เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน ได้ 7.52 คะแนน โดยมีผลงานด้านการจัดระเบียบสังคม ทลายแหล่งมั่วสุมตามสถานบันเทิง การแก้ไขปัญหายาเสพติด การเยียวยาปัญหาน้ำท่วม ภัยพิบัติ การพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยว เศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง เศรษฐกิจสินค้าโอทอป (OTOP) และการพัฒนาท้องถิ่น สาธารณูปโภค น้ำ ไฟฟ้า ถนนหนทาง ที่ดินทำกิน สิ่งแวดล้อม พื้นที่สีเขียว ชีวิตความเป็นอยู่ทั่วไปของประชาชน การพัฒนาชุมชนและเมือง เป็นต้น 

รองลงมาอันดับที่ 2 คือ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ 7.41คะแนน โดยมีผลงานด้าน สิทธิประโยชน์ประกันสังคม การสนับสนุนให้ประชาชนมีงานทำ เพิ่มโอกาสการจ้างงานสำหรับประชาชน มีรายได้ มีความปลอดภัยในการทำงาน สวัสดิการสำหรับแรงงาน การดูแลผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การฝึกอบรมในด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับแรงงาน เป็นต้น

อันดับที่ 3 ได้แก่ นาย วราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ 7.22 คะแนน โดยมีผลงานด้านการดูแลผู้สูงอายุในหลายด้านเช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การส่งเสริมสุขภาพ การพัฒนาดูแลผู้สูงอายุศูนย์พักฟื้นและกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้สูงอายุ การให้ความรู้เพิ่มทักษะการเข้าถึงสิทธิและบริการต่าง ๆ การปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชน การส่งเสริมรับรองสิทธิเด็ก การเยียวยาดูแลผู้ยากไร้ผู้ประสบภัยในชุมชนที่ขาดแคลน การพัฒนาที่อยู่อาศัย การแก้ปัญหาชุมชนแออัด เป็นต้น

เมื่อสอบถามถึงกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ที่ประชาชนพึงพอใจ3 อันดับแรก ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้คะแนนสูงสุดอันดับ 1 เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน ได้ 7.35 คะแนน โดยมีผลงานการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาการนิคมอุตสาหกรรม ทำคนไทยมีอาชีพในนิคมพื้นที่ต่าง ๆ อุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานทดแทนเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมสีเขียว การแก้ปัญหากากสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ พัฒนาอาชีพคนไทยในนิคมอุตสาหกรรม การสนับสนุนธุรกิจ SME และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมส่งออกสินค้าไทย เป็นต้น

อันดับที่ 2 ได้แก่ กระทรวงการคลัง โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ 7.24 คะแนน โดยมีผลงานโดดเด่นได้แก่ การแจกเงินดิจิทัลให้ประชาชนกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริการของธนาคารออมสิน การส่งเสริมการลงทุน การกระจายรายได้ การยกเลิกการขึ้นภาษี การจัดการเงินทุนและสินทรัพย์ของรัฐ การบริการของธนาคารกรุงไทยกระตุ้นเศรษฐกิจกระจายรายได้ให้ประชาชนผ่านแอปพลิเคชันการเงินต่าง ๆ และการใช้เทคโนโลยีการเงินของกระทรวงการคลัง เป็นต้น

อันดับที่ 3 ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้ 7.01 คะแนน โดยมีผลงานด้านการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีค้าขายออนไลน์ การซื้อสินค้า การบริการเทคโนโลยีดิจิทัล อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การบริการของรัฐบาลดิจิทัล การสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Ai ในภาคธุรกิจ การแก้ปัญหามิจฉาชีพออนไลน์ แก๊งคอลเซนเตอร์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น

‘พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์’ อดีตบิ๊กศรภ. โพสต์ข้อความเรื่อง ‘เกาะกูด’ ชี้!! เป็นของคนไทย ทักษิณต้องหาทางถอย ไม่ให้เสียหน้า ไม่ให้ฮุนเซนเสียใจ

(15 ธ.ค. 67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง ‘เกาะกูด สงครามที่ทักษิณ ไม่มีหนทางชนะได้’ ระบุว่า …

ประเด็นเรื่องเกาะกูดเป็นของไทยหรือไม่ นั้น ได้ข้อยุติจากคุณทักษิณเมื่อวานนั้น  ว่ารัฐบาลไทยก็เห็นด้วย ว่าเป็นของคนไทย แต่จะเห็นด้วยอย่างเดียวไม่พอ รัฐบาลไทย ยังต้องทำอีก 2 เรื่อง คือ

1.รัฐบาลไทยต้องไปพูดเรื่องอาณาเขตทางทะเลของเกาะกูด กับ กัมพูชาให้ชัดเจน ว่าของไทยอยู่ตรงไหน ของกัมพูชาอยู่ตรงไหนบ้าง

2.การพูดถึงเรื่องอาณาเขตทางทะเลให้เป็นผลสำเร็จ ทั้ง 2 ประเทศ ต้องใช้ กฎหมายฉบับเดียวกัน และต้องเป็นกฎหมายที่ถูกต้อง ทั้งประชาชน และสากลโลกยอมรับ อีกด้วย

ดังนั้นไม่ว่าฝั่งรัฐบาล จะออกมาพูดว่าเกาะกูดเป็นของไทย สักกี่ครั้ง ก็ยังไม่พอ ถ้าไม่พูดคุยด้วยกฎหมายอาณาเขตทางทะเลฉบับเดียวกันเสียก่อน

แต่ถ้าจะไปเจรจา ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายที่แตกต่างกัน โดยทางไทยยึดตามสหประชาชาติ ส่วนกัมพูชา ใช้กฎหมายที่นึกคิดเอาเอง  ดังเช่นในปัจจุบันนี้แล้ว  เมื่อเริ่มการเจรจาขึ้น กัมพูชาก็จะเกิดสิทธิ์เพิ่มขึ้นมาเองทันที โดยกัมพูชาสามารถอ้างว่า ไทยยอมรับเขตแดนทางทะเลที่กัมพูชา กำหนดขึ้นมาเอง โดยที่รัฐบาลไทยไม่ทักท้วงอะไรเลย ซึ่งจะทำให้อาณาเขตทางทะเลที่นึกขึ้นมาเองของกัมพูชา เริ่มจะถูกต้อง ขึ้นมาทันที

เรื่องนี้ในที่สุด คุณทักษิณก็รู้ดี ว่าเป็นสงครามที่ไม่มีทางชนะ เพราะคนไทยไม่ยอม ‘ถอย’ แน่นอน ดังนั้นคุณทักษิณ จะต้องเป็นฝ่ายหาทาง ‘ถอย’ ในรูปแบบไหนเท่านั้น  เพื่อ (1) ไม่ให้ตัวเองเสียหน้าต่อคนไทย และ (2) ไม่ให้ฮุนเซนเสียใจด้วย  เรื่องหลังนี่สำคัญมาก ครับ

‘ดร.เสรี’ ฟาดใส่!! กระบวนการยุติธรรม ของประเทศ จัดการคนทำผิดกฎหมายไม่ได้ ไม่เป็นที่พึ่งให้ปชช.

(15 ธ.ค. 67) ดร. เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊ก ว่าเวลานี้การที่มีคนทำผิดกฎหมาย ไม่ให้ค่ารัฐธรรมนูญ บดขยี้กระบวนการยุติธรรมจนป่นปี้ แล้วไม่มีความผิดใดๆ เอาโทษไม่ได้ เป็นเพราะอะไร

เพราะเราไม่มีกฎหมายจะจัดการกับเขา?

เพราะกฎหมายเราอ่อน มีช่องโหว่ให้เขารอดได้?

หรือผู้รักษากฎหมายนิ่งเฉยด้วยเหตุผลบางประการ กลัว? เกรงใจ? เป็นหนี้บุญคุณ? ได้รับผลประโยชน์?

ท่านที่มีอำนาจในการใช้กฎหมาย ท่านไม่คิดจะทำหน้าที่ของพวกท่านบ้างเลยหรือ ใจคอท่านจะยอมเห็นประเทศพินาศต่อหน้าต่อตาหรือ

ประชาชนเจ็บช้ำแค่ไหนแล้ว ประเทศชาติย่ำแย่เสื่อมทรุดแค่ไหน พวกท่านไม่เห็นเลยหรือ ทำไมจึงเฉยอยู่ได้

ยังมีองค์กร หรือกระบวนการอันใดที่ประชาชนพอจะพึ่งได้ในการรักษาประเทศให้ดำรงคงมั่นอย่างยั่งยืนอีกบ้าง

หรือท่านมองไม่เห็นการกระทำที่ชั่วร้าย ทำลายประเทศ ท่านไม่รู้ หรือท่านแกล้งไม่รู้ เพราะท่านกลัวว่าท่านจะเดือดร้อน

มีหน้าที่ แต่ไม่ทำหน้าที่ ก็ออกไปดีกว่าไหมคะ

‘แพทองธาร’ ได้รับการจัดอันดับจาก ‘นิตยสาร Forbes’ ติดอันดับ 29 ‘สตรีทรงอิทธิพล’ จาก 100 คนทั่วโลก

(15 ธ.ค. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับการจัดอันดับจาก นิตยสาร Forbes ติดอันดับ 29 ‘สตรีทรงอิทธิพล’ จาก 100 คนทั่วโลก โดยได้อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ของประเทศไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ต่อมาสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่ง ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ในเดือนสิงหาคม 2567

จากนั้นเธอสาบานตนเข้ารับตำแหน่งก่อนวันเกิดอายุครบ 38 ปีเพียงไม่นาน ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย แพทองธารเป็นบุตรสาวคนเล็กของทักษิณ ชินวัตร ที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2544 ถึง 2549 ส่วนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาของเธอดำรงตำแหน่งดังกล่าวระหว่างปี 2554 ถึง 2559

ด้าน นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลการจัดอันดับ Top 100 The World’s Most Powerful Women ประจำปี 2024 ของนิตยสาร Forbes ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินที่ทรงอิทธิพล มีชื่อเสียงระดับโลก ปรากฎชื่อ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ติดอันดับที่ 29 จากสตรีทรงอิทธิพล 100 คนทั่วโลก และถือเป็นสตรีที่ทรงอิทธิพลอันดับ 3 ของเอเชีย ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่นานาประเทศเล็งเห็นถึงศักยภาพผู้นำหญิงของไทยที่มีความโดดเด่นในเวทีโลก 

นางสาวแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดยนับแต่ก้าวแรกที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ได้แสดงภาวะผู้นำในการรับมือกับภาวะวิกฤตภายในประเทศหลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะการจัดการปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด เหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสนักเรียน ที่ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ รวมถึงเดินหน้าผลักดันนโยบายต่าง ๆ ต่อเนื่องจากรัฐบาล อดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งจากการแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาล รอบ 90 วันที่ผ่านมา มีหลายนโยบายที่ทำสำเร็จไปแล้ว และจะมีการดำเนินการต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น พักหนี้เกษตรกร 3 ปี การกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยฟรีวีซ่า โครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจ กฎหมายสมรสเท่าเทียม โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่  การแก้ปัญหาไร้สัญชาติให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงยังมี นโยบายที่ให้ความสำคัญกับสตรี เช่น การฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดฟรีสำหรับผู้หญิงทุกคน เป็นต้น นางสาวจิราพร กล่าว

นางสาวจิราพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมานางสาวแพทองธารยังเคยถูกจัดอันดับ 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต (Time 100 Next) ของนิตยสารไทม์ (Time) สหรัฐอเมริกา ในประเภทผู้นำ (Leaders) ร่วมกับผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลก รวมถึงยังได้รับความนิยมอันดับ 1 ในฐานะนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดของ ‘สวนดุสิตโพล’ แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำหญิงยุคใหม่ที่ได้รับความสนใจจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top