Monday, 23 June 2025
Hard News Team

ตร. เตือน ใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ ต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

วันที่ 11 พ.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะที่กระทบต่อสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น ทางสื่อสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบของ ข้อความ รูปภาพ และคลิปวีดิโอ เช่น การล้อเลียนในสภาพร่างกายหรือความพิการของบุคคลอื่น ฐานะทางการเงิน ฐานะทางสังคม ตลอดจนแนวคิดทางการเมืองของบุคคลอื่น อาจทำให้สื่อสังคมออนไลน์กลายเป็นต้นตอของความเกลียดชัง และความขัดแย้งในสังคมนั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน เพื่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น ตามหลักการของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ดังนี้

1.) ทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีภาพโดยปราศจากการแบ่งแยก เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง พื้นเพทางชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน การเกิด หรือความพิการทางร่างกาย
2.) จะต้องไม่แทรกแซงความเป็นส่วนตัว ครอบครัว ที่อยู่อาศัย หรือการสื่อสาร หรือจะถูกลบหลู่เกียรติยศและชื่อเสียงไม่ได้
3.) ในการใช้สิทธิและอิสรภาพ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเพียงเท่าที่มีกำหนดไว้ตามกฎหมายเท่านั้น เพื่อเป็นการเคารพสิทธิและอิสรภาพของผู้อื่น

รร.มัธยมวัดธาตุทองให้นร.ไว้ผมยาวได้ตามเหมาะสม พร้อมตอบกลับจี๊ด หลังเจอชาวเน็ตถามเหมาะสมใคร?

ชื่นชม! รร.มัธยมวัดธาตุทองให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ตามใจ ตามความเหมาะสม เจอถาม “ความเหมาะสมของใคร” ทางรร.ตอบกลับจี๊ด ได้ใจไปเต็ม ๆ

สำหรับประเด็นทรงผมนักเรียนถือเป็นที่ถกเถียงของสังคมมาอย่างยาวนาน บางโรงเรียนอนุญาตให้ไว้ผมยาวได้ ในขณะที่บางโรงเรียนยังคงบังคับเรื่องทรงผม หากไว้ผมยาวเกินกำหนด คุณครูอาจลงโทษด้วยการตัดผมโดยที่นักเรียนไม่ยินยอม ดังที่เป็นดราม่าอยู่หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เร็ว ๆ นี้ โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทองได้เป็นที่ชื่นชมของสังคม หลังออกกฎทรงผมนักเรียนที่แสดงถึงความเข้าใจนักเรียนเป็นอย่างดี

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 เพจโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง ได้เผยกฎระเบียบเรื่องทรงผมของนักเรียน โดยระบุว่า นักเรียนหญิงสามารถไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ ถ้ายาวควรยาวตามความเหมาะสม รวบให้เรียบร้อยและติดโบว์โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง

ลาวเจอวิกฤตพลังงาน ‘น้ำมันหมดประเทศ’ รถต่อคิวยาวเหยียด ชาวบ้านแห่เติมล้นปั๊ม 

ลาววิกฤตหนัก น้ำมันขาดแคลน ค่าเงินกีบอ่อน ไม่มีเงินดอลลาร์ ส่งผลน้ำมันขาดแคลน คนต่อคิวยาวเหยียด ขอซื้อใส่ขวด ขณะที่หลายปั๊มตัดสินใจปิดกิจการ 

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2565 นสพ.เวียงจันทน์ไทม์ รายงานสถานการณ์วิกฤตน้ำมันขาดแคลนใน สปป.ลาว และการปิดปั๊มกิจการ โดยผู้ประกอบการค้าน้ำมันใน สปป.ลาวบอกว่าสาเหตุที่น้ำมันในระเทศขาดแคลน เพราะการนำเข้าน้ำมันลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เงินตราต่างประเทศแข็งค่า (เงินกีบอ่อนค่า) ทำให้ขาดเงินดอลลาร์ เพื่อไปซื้อน้ำมันจากประเทศอื่น ราคาน้ำมันนำเข้าได้รับผลกระทบอย่างสูงจากอัตราแลกเปลี่ยนกีบ/ดอลลาร์ ที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม สปป.ลาว นำเข้าน้ำมันจากไทยเป็นหลัก 

ขณะเดียวกัน บริษัทนำเข้าน้ำมัน 13 บริษัท เหลือเพียง 4 บริษัทที่นำเข้าน้ำมันเท่านั้น จึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน

ด้วยสาเหตุทั้งหมด ทำให้ สปป.ลาว ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมัน ตามสถานีบริการน้ำมันส่วนใหญ่ในต่างแขวงไม่มีน้ำมันจำหน่าย เวลามีรถบรรทุกน้ำมันนำเข้ามาจะเกิดภาพประชาชนจำนวนมากต่อคิวยาวเหยียดหน้าปั๊ม รอซื้อน้ำมัน ซึ่งมีทั้งรถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ส่วนตัว

บางคนเตรียม "ขวดลิตร ขวดน้ำดื่มมาซื้อเพื่อกักตุน" ซึ่งราคาต่อขวดอยู่ที่ 60,000 กีบ (อัตราแลกเปลี่ยน 420 กีบ เท่ากับ 1 บาท) หรือราว 143 บาทต่อขวด ขณะที่บางปั๊มถึงกับต้องแจกบัตรคิว 

‘ชัยวุฒิ’ แจงปิด ‘ลาซาด้า’ ต้องรอศาลพิจารณา เปรย!! ต่างชาติหากินในไทยต้องเข้าใจสังคมไทย

‘ชัยวุฒิ’ แจงปิด ‘ลาซาด้า’ ต้องรอศาลพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรม ประสาน ตร.เร่งรวบรวมพยานหลักฐาน ระบุต่างชาติทำธุรกิจในไทยต้องเคารพสิทธิ์-จิตใจคนไทยด้วย

(11 พ.ค.65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่โรงเซนทรา บาย เซ็นทารา เเกรนด์ เเจ้งวัฒนะ เกี่ยวกับกรณีการปิดเว็บไซต์ของลาซาด้าว่า ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายทางกระทรวงดีอีเอส ก็รวบรวมพยานหลักฐานทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งจะส่งเรื่องไปให้ศาลเร็วๆ นี้ ซึ่งเราก็พบว่ามีความผิดก็มีทั้งผู้ทำ ผู้จ้าง ผู้รับจ้าง คนแสดง คนที่ไปโพสต์ ไปแชร์ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ ก็ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานส่งไปให้ศาลพิจารณาว่าจะตัดสินว่าใครผิดบ้างก็จะลงโทษอย่างไรก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย

“ตามกฎหมาย เรายังปิดลาซาด้าไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมซึ่งดำเนินการไปตามขั้นตอน และอยู่ที่การพิจารณาของศาล ซึ่งขณะนี้กระทรวงดีอี และเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน” นายชัยวุฒิ กล่าว

ส่อง ‘นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป’ โชว์กึ๋นฝ่าวิกฤตโควิด ดัน BLUESKY ชูแกร่งโฆษณา ไม่แพ้ใคร

พลิกเกมธุรกิจสไตล์ ‘นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป’ ย้ำเก่งที่สุดคือ ธุรกิจโฆษณา ดัน BLUESKY เชี่ยวชาญงานโฆษณาแบบ Activation และ Local Media ที่ไม่เหมือนใคร

นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป (Newspective Group) ปรับแผนดัน BLUESKY แม่เหล็กใหม่ในการโฆษณา ลุย Activation และ Local Media ยึดสื่อในตลาดสด-ค้าส่งท้องถิ่นทั่วประเทศ พร้อมรุกเปิดตลาดสื่อภาคใต้ 3 จังหวัดชายแดนทำเลทองแห่งใหม่ หลัง 2 ปีโควิด พ่นพิษ จนธุรกิจอีเวนต์ซึม

ธุรกิจอีเวนต์ และโฆษณา ถือเป็นอีกหนึ่งในตลาดที่มีความคึกคักและเติบโตสูง ก่อนช่วงที่โควิด-19 จะระบาดหนักเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งส่งผลให้ทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง 

นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป อีกหนึ่งผู้เล่นในตลาดดังกล่าว ตกอยู่ในภาวะยากลำบากจากมาตรการล็อกดาวน์ ปิดสถานที่ งดจัดกิจกรรม ขณะที่แบรนด์ต่างๆ พับเก็บแคมเปญการตลาดและชะลอการใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ

นาย ณัฐภูมิ รัฐชยากร กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท นิวสเปคทีฟ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน นิวสเปคทีฟ มี 9 บริษัท ในมือ แต่สิ่งที่ นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป เชี่ยวชาญมากที่สุดคือ ธุรกิจโฆษณา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 บริษัทย่อย คือ Brand Square เน้นการสร้าง Branding, Strategy คิดสร้างอัตลักษณ์ให้กับตราสินค้า, NEWAGE ธุรกิจ Event Management & Digital Production House และ BLUESKY ดูแลการโฆษณาแบบ Activation และ Local Media

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาธุรกิจโฆษณาต้องใช้คำว่าเละเทะ เป็นช่วงที่ยากลำบากของทั้งวงการ โดยธุรกิจของเราที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ NEWAGE ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดงานเลี้ยง แต่เมื่อตลาด Event ถูกล็อก งานเล็กงานใหญ่ไม่สามารถจัดได้ เราก็ต้องปรับตัวไปเป็น Digital Production House หรือหันมาทำคลิปวิดีโอ และ Live Streaming เสิร์ฟ Event ออนไลน์แก่ลูกค้าแทน

“อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของธุรกิจอีเวนต์ในปีนี้ น่าจะขยับตัวเติบโตขึ้นได้มากขึ้น แต่จะมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับภาพรวมของประเทศต่างๆ ภาพถึงรวมของเศรษฐกิจโลกกว่า จะเปิดหน้าหรือล่าถอยแค่ไหน ซึ่งหากไม่มีเหตุอันใดสะดุด คาดว่าปลายปีธุรกิจอีเวนต์จะกลับมาคึกคักแน่นอน”

ความน่าสนใจของ นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป ที่ถือเป็นกรณีศึกษาของธุรกิจรายย่อยที่ ไม่ปล่อยให้ธุรกิจล้มครืนไปตามคลื่น Crisis คือ แม้ว่าธุรกิจอีเวนต์จะอยู่ในช่วงขาลง แต่ นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป พยายามพัฒนายูนิตธุรกิจอื่นๆ ที่มี โดยเลือกความเป็นไปได้ที่สอดรับกับกระแสธารของตลาด เพื่อดันสวนขึ้นมา จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นสัดส่วนรายได้หลักกว่า 80% ของกรุ๊ป ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

BLUESKY เป็นหนึ่งธุรกิจในเครือ ที่ถูกยกขึ้นมาเติมเต็มในช่วงที่ตลาด Event หดหาย โดย BLUESKY ดำเนินธุรกิจด้านการโฆษณาแบบ Activation และ Local Media มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ทำงานแบบ Local Partnership หรือพัฒนาสื่อให้ตอบโจทย์กับเอเจนซี่โฆษณา นักการตลาด และเจ้าของสินค้าต่างๆ

“ข้อได้เปรียบของ BLUESKY โดยเฉพาะในด้าน Local Media นั้น มาจากการพัฒนาสื่อท้องถิ่น ให้เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของพื้นที่ และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในเวลาเดียวกันมาอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าได้คลุกคลีทั้งแบรนด์ใหญ่และคนท้องถิ่นมาตลอด ทำให้เราเข้าใจแบรนด์ หรือสินค้าแบบไหนควรสื่อสารอะไรกับคนในจังหวัดนั้นๆ หรือพื้นที่นั้นๆ อย่างไรได้เป็นอย่างดีซึ่งถ้าเป็นนักการตลาดทั่วไปก็จะเน้นซื้อบิลบอร์ดหรือสื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น แต่การที่จะเข้าใจและเข้าไปอยู่ในใจเขา จำเป็นต้อง Customize คอนเทนต์ให้เข้ากับพื้นที่ พอ BLUESKY มีจุดแข็งแบบนี้เป็นพื้นฐาน เราก็นำธุรกิจนี้วิ่งเข้าหานักการตลาด นักโฆษณา เอเจนซี่ เจ้าของสินค้า ได้ทันที ภายใต้การทำงานที่ยืดหยุ่น ซึ่งลูกค้าชื่นชอบอย่างมาก” ณัฐภูมิ กล่าว

ด้าน นางสาวหนึ่งฤทัย บางนาชาด ผู้จัดการทั่วไป BLUESKY เผยเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่กิจกรรมทางการตลาดเงียบ ทั้งเอเจนซี่และแบรนด์ต่างๆ ลดงบในการทำโฆษณาลง หรือเทงบไปที่ออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ แต่สื่อ Local Media ยังเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์สังคมอยู่ เพราะคนยังต้องใช้ชีวิตกันนอกบ้าน ในท้องถิ่น

“ในช่วงนั้น เรามีการสร้างสรรค์ สื่อ Local Media ขึ้นมาเอง และได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้ามีการซื้อซ้ำจากลูกค้าหลายแคมเปญ นั่นคือ สื่อที่เหยียบเจลแอลกอฮอล์ ใช้จังหวะของโควิดพลิกมาเป็นโอกาสในการสร้างเสริมภาพลักษณ์แก่แบรนด์ โดยการ Tie In สินค้าเข้าไปตรงจุดที่เหยียบเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถติดตั้งได้หลากหลายพื้นที่ ทั้งตลาดสด ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้ แคมเปญของลูกค้าที่ลงโฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายท้องถิ่นได้ในวงกว้าง

“หรือกรณี Activation แคมเปญอย่าง แบรนด์น้ำปลาร้าแม่บุญล้ำ ที่ต้องการโปรโมตเพลงของตนให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาดและออนไลน์ทั่วไป เราก็สามารถสร้างสรรค์แคมเปญขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างรอบด้าน มีการ Integrate ระหว่างสื่อ Online & On Ground โดยใช้ แฮปปี้ มาร์เก็ต ชาแนล สื่อวิทยุกระจายเสียงตามสายในตลาดของเราเองเป็นฐาน ในการโปรโมตเพลง เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนเดินตลาดโดยตรง เริ่มจากปล่อยเพลงแม่บุญล้ำของลูกค้าในวิทยุกระจายเสียงตามสายในตลาด เพื่อแทรกซึมให้คนในตลาดได้ยินบ่อยๆ พอคนเริ่มได้ฟังเพลงและเริ่มรู้จัก เราก็จัดกิจกรรมการแข่งขันที่มีส่วนร่วมกับเพลง และเติมเงินรางวัลเป็นตัวกระตุ้น ให้คนอยากร่วมสนุกกับกิจกรรม 

“พร้อมทั้งเปิดกว้างให้คอนซูเมอร์สามารถสร้างคลิป Style ของตัวเอง ได้แบบไม่จำกัดรูปแบบ เลือกใช้ Platform Tiktok ในการสร้างสรรค์คลิปเพราะผู้ร่วมกิจกรรม สามารถเข้าถึงได้ง่าย และ Tiktok เป็น Platform มี Engagement สูง เลือกใช้ Influencer ในรูปแบบที่แตกต่างกัน เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ได้หลากหลาย เช่น แนวตลก วาไรตี้ อย่างคุณพีท พามานา กลุ่มเด็กๆ ที่สร้างสรรค์คลิปเชิงบวกอย่างน้องๆ เด็กเซราะกราว กลุ่มคนทำกับข้าว อย่างพ่อตาพาแซ่บ หรือ Idol วัยรุ่นทั่วไปใน tiktok อย่างอายรดา หรือล็อตเต้ Etc.  

“หลังจากนั้นก็มีการลงพื้นที่ทำทรูปในตลาดเพื่อเชิญชวนพ่อค้า แม่ค้าและคนเดินตลาด ให้เข้ามาร่วมกิจกรรมใน Online ซึ่งผลตอบรับของกิจกรรมนี้ได้ผลตอบรับที่ดีมากๆ มีพ่อค้า แม่ค้าในตลาดและคนใน Online เข้าร่วมกิจกรรมกับเราเป็นจำนวนมากค่ะ

“ไม่เพียงเท่านี้ ในส่วนของ Local Media อีกชิ้นที่เรากำลังทำคือ เคสเครื่องดื่มชูกำลังฉลาม ซึ่งเราลุยในตลาดสดภาคใต้ รวมถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

“‘ตลาดสด’ นอกจากจะเป็นที่สำหรับจับจ่ายใช้สอยของกินของใช้แล้ว ยังเป็นสถานที่ ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรมการกินอยู่ ของคนท้องถิ่นในพื้นที่นั้นๆ ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นสถานที่แสนจะธรรมดาและเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของความแตกต่างหลากหลายในแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ

“เราจึงแนะนำให้ลูกค้าสร้างแลนด์มาร์คที่ตลาดเลยค่ะ โดยการ Dominate พื้นที่ตลาดให้เป็นแบรนด์สินค้า โดดเด่น และดึงดูดสายตา สร้างความจดจำได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีประโยชน์กับทางสถานที่ด้วยค่ะ”

กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 “จับขบวนการขนแรงงานหลบหนีเข้าเมือง หวิดแหกด่านจนท.ตามรวบได้ทัน”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ไกลเขต บุรีรักษ์ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.อุกฤต กัลยาณมิตร ผกก.ตม.จว.กาญจนบุรี และ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 แถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจดังนี้

กล่าวคือก่อนทำการจับกุมเจ้าหน้าที่ ตม.จว.กาญจนบุรี ได้ทำการสืบสวนหาข่าวทราบว่า มีการลักลอบขนแรงงานผ่านถนนสายทล.323 ในห้วงเวลากลางวันที่เจ้าหน้าที่อาจชะล่าใจ จึงได้มีการประสานงานเพื่อแจ้งข่าวกับชุมชนให้ช่วยแจ้งเบาะแสะ ซึ่งต่อมาวันที่ 8 พ.ค. 65 เวลาช่วงกลางวัน ได้รับแจ้งเบาะแสว่าจะมีรถยนต์กระบะบรรทุกขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายลักษณะเป็นรถกระบะบรรทุกสีดำ และสีบรอนซ์ทอง ผ่านในเส้นทางถนนสายทล.323 ช่วงอำเภอทองผาภูมิจึงได้บูรณาการกำลังหลายภาคส่วนตั้งจุดสกัดบริเวณสามแยกทองผาภูมิ เมื่อถึงเวลาประมาณ 13.00 น. ปรากฏรถกระบะบรรทุกสีดำมีลักษณะคล้ายรถต้องสงสัย จึงได้เรียกตรวจสอบและพบว่าเป็นรถกระบะบรรทุก ทะเบียนจว.กาญจนบุรี มีนายสถาพร อายุ 32 ปี เป็นผู้ขับมีผู้โดยสารเป็นคนต่างด้าวสัญชาติเมียนจำนวน 18 คน ไม่มีเอกสารประจำตัวใดให้ตรวจสอบ ในระหว่างเรียกตรวจก็มีรถกระบะบรรทุกอีกคันซึ่งเป็นรถกระบะ สีบรอนซ์ทอง ขับตามมาในระยะเวลาใกล้กัน แต่เมื่อรถคันดังกล่าวเห็นว่ามีตั้งจุดสกัดก็มีการขับหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ได้ใช้รถยนต์ติดตามจับกุมไว้ได้และพบว่าเป็นรถกระบรรทุก สีบรอนซ์ทอง ทะเบียนจว.ประจวบคีรีขันธ์ มีนายอุดร เป็นผู้ขับมีผู้โดยสารเป็นคนต่างด้าวชาวเมียนมาจำนวน 21 คน ตรวจสอบแล้วไม่พบเอกสารประจำตัวใดให้ตรวจสอบ คนต่างด้าวทั้งหมดรับว่าลักลอบเข้ามาในประเทศ จึงจับกุมตัวทั้งหมดและยึดของกลางนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย การแจ้งข้อกล่าวหา นาย สถาพรฯ และ นายอุดรฯ (คนขับ) แจ้งว่า   

คุณแม่สุดเซ็ง car seat ฉวยโอกาสขึ้นราคา หลังกม.ประกาศใช้ วอนรัฐออกมาตรการช่วยเหลือ

จากกรณีที่ราชกิจจานุเบกษาออกประกาศบังใช้กฎหมายให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ สูงไม่เกิน 135 ซม. ต้องนั่งคาร์ซีทนั้น ล่าสุด เพจดัง “เลี้ยงลูกอย่างมีความสุข by mommy Arpan” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุเกี่ยวกับเรื่องราคาคาร์ซีท ขึ้นราคาว่า

“เกินไปมากอ่ะ เราจะเปลี่ยน car seat ให้พสุเพราะโตแล้ว จะเปลี่ยนมาใช้เหมือนของพระพาย ซึ่งตอนนั้นเราซื้อของพระพายแค่ 5,400 เองของเด็กโตจะซื้อรุ่นเดียว สีเดียวกันเป๊ะๆเลย สองวันก่อน 6,3xxx วันนี้ 8,9xx  เพื่อ... เห็นด้วยกับกฎหมายนะ เราเองก็ใช้ตลอด แรกเกิด -8 ปีแล้วไม่เคยไม่ใช้

แต่รบ.ต้องออกมาตรการช่วยเหลือผู้ปกครองด้วย ของแพงขึ้นแบบนี้มันไม่แฟร์อ่ะ ควรลดภาษีนำเข้า ลดราคาของบ้างก็ดีนะ แคมเปญลด แลก เอาอันเก่ามาแลก ซื้อรถแถมคาร์ซีส หรือลงทะเบียนแจกให้คนที่ลงทะเบียนผ่านรัฐ เพื่อช่วยกันช่วงแรกๆ มันควรมีอ่ะ

กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 “จับกุมหนุ่มจีน ใช้ E-VISA ปลอม”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด                     

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.วีรพล เจริญศิริ ผบก.ตม.2, พ.ต.อ.จีรวัฒน์ แนวจำปา รอง ผบก.ตม.2 และ พ.ต.อ.ชัยธนันท์ จิรปิยเศรษฐ์ ผกก.สส.ปป.บก.ตม.2 แถลงข่าวผลการจับกุม ดังนี้

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ได้รับแจ้งจากฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ว่าพบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนต้องสงสัย ใช้เอกสารรับรองการขอ E-VISA (ระบบตรวจลงตราทางอิเล็กทรอนิกส์) ปลอม เมื่อตำรวจชุดจับกุมไปถึงบริเวณฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าฯ พบบุคคลสัญชาติจีนซึ่งเดินทางมาจากท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊า - ท่าอากาศยานนานาชาติชางงี สิงคโปร์ - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ   

โดยสายการบินสกู๊ส เที่ยวบิน TR752 จึงขอทำการตรวจสอบ ผู้ต้องสงสัยได้นำเอกสารรับรองการขอ E-VISA ประเภทนักเรียน-นักศึกษา (NON-ED) ออกโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง เพื่อขอรับการตรวจลงตราเข้าราชอาณาจักรไทยมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ฯ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าฯ ได้นำหนังสือเดินทางของผู้ต้องสงสัยไปตรวจสอบด้วยระบบไบโอเมทริกซ์ (BIOMETRICS) ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ปรากฏว่าไม่พบข้อมูล E-VISA ตามเอกสารรับรองที่ผู้ต้องสงสัยนำมายื่นแสดงต่อเจ้าหน้าที่ฯ 

กองกำกับการสืบสวน ตม.1 จับกุมเครือข่ายโรแมนซ์ สแกม สมาชิกแก๊ง “Kong River” (โขงริเวอร์) ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ณรงค์เวทย์ โอนสูงเนิน รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวนฯ แถลงข่าวการจับกุมคนร้ายมีรายละเอียด ดังนี้

สืบเนื่องจากการบูรณาการด้านการข่าวของ กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 กับหน่วยงานด้านการข่าวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บช.ปส., ปปส., ศุลกากร และ ศรภ. มีการสืบทราบว่าจะมีสมาชิกแก๊งโขงริเวอร์ (กลุ่มคนผิวสีส่วนใหญ่เป็นคนสัญชาติไนจีเรีย ซึ่งจะรวมกลุ่มกันและเคลื่อนไหวกระทำความผิดเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และหลอกลวงให้เหยื่อหรือผู้เสียหายหลงเชื่อว่า เป็นนักธุรกิจ หรือชาวต่างชาติที่มีหน้าตา และฐานะดี แล้วหลอกลวงให้โอนเงินให้ก่อนที่จะตัดขาดการติดต่อ (โรแมนซ์ สแกม) โดยมักจะเดินทางเข้า-ออก และก่อเหตุกับหญิงในประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ ไทย ลาว และ เมียนมา) สำหรับในประเทศไทยแก๊งโขงริเวอร์ มีพฤติการณ์ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย มาเคลื่อนไหวเพื่อกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี / อินเทอร์เน็ต (โรแมนซ์ สแกม) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

จากการบูรณาการด้านการข่าวกับ ป.ป.ส. และ บช.ปส. ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.ตม.1 สืบทราบว่ามีสมาชิกแก๊งโขงริเวอร์ มาแฝงตัวพักอาศัยอยู่บริเวณที่พักย่านนวมินทร์ แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ จึงได้วางแผนจัดกำลังเข้าทำการตรวจสอบ จนกระทั่งสามารถดำเนินการจับกุมบุคคลต่างด้าวเป็นชายชาวต่างชาติผิวสีได้ 2 ราย คือ 1. นายโจเอล อายุ 22 ปี สัญชาติแคมารูน และ 2. นายซิลลา อายุ 27 ปี สัญชาติ เซเนกัล จากการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบเอกสารการเดินทางหรือหลักฐานการเข้าเมืองโดยถูกกฎหมาย จาากนั้นเจ้าหน้าที่ฯ ได้ทำการตรวจสอบห้องพักของผู้ถูกจับเพื่อค้นหาสิ่งผิดกฎหมายตามข้อมูลที่ได้รับแจ้ง ผลปรากฏว่าไม่พบ ยาเสพติดและสิ่งของผิดกฎหมาย แต่อย่างใด

กทพ. โชว์ ‘สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9’ แข็งแรงรองรับพายุทอร์นาโด เตรียมขอพระราชทานชื่อ

กทพ.เตรียมขอพระราชทานชื่อ ‘สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9’ สะพานขึงที่กว้างที่สุดในประเทศไทย ‘แลนด์มาร์กใหม่’ ออกแบบแข็งแรงรองรับพายุทอร์นาโด ปรับลดความลาดชัน แก้รถติดสะสมขาขึ้น

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แจ้งว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 ซึ่งเป็นสัญญาที่ 4 ของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ กับพื้นที่ปริมณฑลทางด้านตะวันตก ช่วยลดเวลาในการเดินทางให้ผู้ใช้ทางพิเศษได้รับความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยสะพานคู่ขนานแห่งใหม่นี้ ทางกระทรวงคมนาคมได้พิจารณาให้เป็นหนึ่งในโครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งขณะนี้ กทพ.อยู่ระหว่างประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอพระราชทานชื่อสะพาน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ กทพ. และเป็นความภูมิใจร่วมกันของประชาชนชาวไทยทุกคน

สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 แห่งใหม่ เป็นการก่อสร้างสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 เชื่อมต่อกับทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษเฉลิมมหานคร โดย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง มีระยะเวลาการก่อสร้าง 39 เดือน โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2566 มีระยะทางรวม 2 กิโลเมตร

กทพ.ได้ออกแบบสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 โดยคำนึงถึงปัญหาด้านการจราจรติดขัดสะสมในช่วงขึ้นสะพาน จึงได้ออกแบบให้สะพานมีความลาดชันน้อยกว่าสะพานพระราม 9 เดิมที่เริ่มยกระดับจากพื้นดินขึ้นไป หากแต่สะพานแห่งนี้จะเริ่มยกระดับจากระดับชั้นที่ 2 ซึ่งสูงจากระดับพื้นดินประมาณ 10 เมตร ทำให้ผู้ใช้ทางสามารถวิ่งขึ้นและลงสะพานได้สะดวกมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการชะลอตัวสะสมในช่วงขาขึ้นสะพานดังกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top