Thursday, 15 May 2025
Hard News Team

รัฐมนตรีคลังอังกฤษ ถูกปลดหลังทำงานได้ 38 วัน เหตุออกนโยบายเศรษฐกิจที่ประชาชนไม่ยอมรับ

เมื่อวานมีประเด็นร้อนในสหราชอาณาจักร เมื่อรัฐมนตรีคลังอังกฤษ ถูกปลดออก หลังจากทำงานได้ เพียง 38 วันเท่านั้น!!

ส่วนชนวนเหตุสำคัญ คือ การออกนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่เป็นที่ยอมรับ

อย่างไรงั้นหรือครับ?

ปัญหา คือ นโยบายนี้เป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีมีส่วนร่วม 100% ในการคิดและนำเสนอ 

ดังนั้นการปลดรัฐมนตรีคลัง อาจไม่พอ!! ในการปกป้องตำแหน่งตนเอง เพราะตลาดเงินไม่ได้ไม่พอใจตัวบุคคล แต่ไม่พอใจนโยบาย และถึงแม้นายกฯ อังกฤษ จะได้เพิ่งประกาศกลับลำนโยบายบางส่วน ก็อาจจะไม่ช่วยให้เธออยู่ต่อได้ 

ไทยติดอันดับที่ 5 ของเอเชีย อันดับ 2 อาเซียน ประเทศที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2022

(15 ต.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไทยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับที่ 5 ของเอเชีย และอันดับที่ 2 ของอาเซียน และอันดับที่ 28 ของโลกสำหรับประเทศที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2022 (U.S. News & World Report Best Countries Rankings) ของ usnews.com เว็บไซต์ที่จัดอันดับความนิยมด้านต่างๆ ( https://www.usnews.com/news/best-countries/rankings)

ซึ่งพบว่า จากผลสำรวจทั้งหมด 85 ประเทศทั่วโลกในปี 2022 ประเทศที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกคือ สวิตเซอร์แลนด์ และอันดับ 2 ถึง 5 เรียงตามลำดับ คือ เยอรมนี แคนาดา สหรัฐอเมริกา และสวีเดน สำหรับ 5 อันดับสูงสุดของ ทวีปเอเชียได้แก่ ญี่ปุ่น อันดับ 6, จีน อันดับ 17, สิงคโปร์ อันดับ 19, เกาหลีใต้ อันดับ 20 และประเทศไทย อันดับที่ 28

'สนธิรัตน์-วิเชียร' แอ่วเหนือ ล้อมวงคุย แกนนำพรรค-เกษตรกรผู้ปลูกลำไย จ.ลำพูน อ้อนขอฝาก 'พล.ต.ต.กริช' เขต 2 ช่วยแก้ปัญหาให้ปชช. เตรียมรวบรวมปัญหาราคาลำไยตกต่ำหารือเป็นนโยบาย จบวิกฤตซ้ำซาก

วันนี้ (15 ต.ค.65) ที่บ้านวังไฮ ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน พรรคสร้างอนาคตไทย นำโดย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรค และผู้อำนวยการพรรค พล.ต.ต.กริช กิติลือ ว่าที่ผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 พรรคสร้างอนาคตไทย และคณะทำงาน พบปะแกนนำพรรคในพื้นที่ ชาวบ้าน และกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลำไยจังหวัดลำพูน กว่า 70 คน เพื่อร่วมหารือการทำงานเชิงรุกในพื้นที่ และร่วมรับฟังปัญหาและความต้องการในการแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะปัญหาราคาลำไยตกต่ำ ซึ่งถือเป็นอาชีพหลักของพี่น้องชาวจังหวัดลำพูน และพื้นที่อื่นๆ ในภาคเหนือ

โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดลำพูนครั้งนี้ มาด้วย 2 จุดประสงค์ โดยจุดประสงค์แรก คือ การมาพบปะแกนนำของพรรคในพื้นที่ เพื่อหารือร่วมเรื่องการทำงานเชิงรุกในพื้นที่ แลกเปลี่ยนแนวทางการทำงาน และรับฟังสิ่งที่แกนนำในพื้นที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รวมถึงนโยบายในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม พรรคสร้างอนาคตไทยมีความชำนาญในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยปัญหาทั้งหมดเราจะนำไปใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินการด้านนโยบายของพรรค และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการสู้ศึกเลือกตั้งในภาคเหนือเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่ก็มั่นใจว่าไม่เกินความสามารถของพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งตนมั่นใจในตัวว่าที่ผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 ของพรรค อย่าง พล.ต.ต.กริช กิติลือ ว่าจะเป็นหนึ่งในที่นั่ง ส.ส. ของจังหวัดลำพูนที่พรรคต้องได้มา ซึ่งตนเชื่อว่าวันนี้พี่น้องชาวลำพูนต้อนรับ และเปิดใจกับพรรคสร้างอนาคตไทยอย่างแน่นอน

ส่วนจุดประสงค์ที่สองคือ การมาพบปะและรับฟังปัญหาของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลำไย ซึ่งจังหวัดลำพูนเป็นพื้นที่ปลูกลำไยอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยปัญหาส่วนใหญ่ที่กลุ่มเกษตรกรประสบอยู่คือลำไยราคาตกต่ำ การถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งเรื่องค่าแรง ค่าปุ๋ย และปัญหาเรื่องที่ทำกิน ซึ่งตนมองว่าถึงเวลาต้องขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ต้นทุนการผลิต ไปจนถึงการทำการตลาด ซึ่งพรรคมีนโยบายสนับสนุนการแก้ปัญหาเรื่องลำใยอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่อง พ.ร.บ.ลำไย ที่ทางกลุ่มเกษตรกรได้มีการจัดทำขึ้นมาเพื่อเสนอต่อรัฐบาลไว้แล้วนั้น พรรคจะนำเข้าสู่ที่ประชุมนโยบายพรรคเพื่อนำไปจัดทำนโยบายในการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังให้สมกับที่พี่น้องประชาชนผู้ปลูกลำไยได้ฝากความหวังไว้กับพรรค 

เมื่อถามว่า หากพรรคได้เป็นรัฐบาลจะมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไรบ้าง นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคมีนโยบายสนับสนุนเรื่องการแก้ไขปัญหาผลผลิตลำไย และเรื่องที่พี่น้องได้เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ลำไย รวมทั้งการนำเสนอรัฐบาลเรื่องการเยียวยาแก้ไขปัญหาเรื่องลำไย ทั้งหมดเป็นอีกหนึ่งนโยบายของพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งจะนำไปรวบรวมและจัดทำนโยบายการขับเคลื่อนต่อไส

เมื่อถามว่า พรรคสร้างอนาคตไทยมีนโยบายพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไร นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องปากท้องคือหัวใจใหญ่ ประชาชนประสบปัญหาหนี้สิน การประกอบอาชีพ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เป็นต้น

เมื่อถามว่า การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ตั้งเป้าว่าต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคเราประกาศจุดยืนชัดเจนว่าเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความขัดแย้ง รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม เราขอความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน เพื่อให้เราได้เข้าไปทำหน้าที่ให้พี่น้องชาว จ.ลำพูน เขต 2 เราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ภาคเหนือมีหลายปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข เราจึงเร่งลงพื้นที่ 

"ฝากพี่น้องชาวลำพูน ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เรายากลำบากจากปัญหาเรื่องการทำมาหากิน สินค้าเกษตร ยิ่งช่วงโควิดที่ผ่านมา ทำให้ยากลำบาก อยากให้กำลังใจพี่น้อง ชาวลำพูน ขอให้มีความอดทน การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเราอาสามาช่วยแก้ปัญหาให้พี่น้อง ขอฝากพรรค และ พล.ต.ต.กริช ให้กับพี่น้องชาวลำพูน เขต 2 พิจารณาด้วย อย่างไรก็ตามจ.ลำพูน พรรคสร้างอนาคตไทย จะส่งครบทั้ง 2 เขต และเร็วๆ นี้เราจะนำผู้บริหารพรรคลงพื้นที่ภาคเหนือ"

'ลิซ ทรัสส์' ถูกกดดันให้ออกต่อเนื่อง หลังแผนกระตุ้นศก.ไม่เข้าตา และแม้จะปลดขุนคลังที่ทำงานได้เพียง 38 วันด้วยแล้วก็ตาม

ในที่สุด นายกวาซี กวาร์เทง (Kwasi Kwarteng) รัฐมนตรีคลังผิวสีคนแรกของอังกฤษ ก็ถูกนายกรัฐมนตรีนางเอลิซาเบธ ทรัสส์ ปลดออกเมื่อตอนบ่ายของวันที่ 14 ตุลาคม ตามเวลาในลอนดอน โดยเขาได้รับการแต่งตั้งในวันที่ 8 กันยายน และอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีคลังเพียง 38 วันเท่านั้น 

สาเหตุมาจากแผนงบประมาณของเขาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าของเงินปอนด์ตกหนักเมื่อแลกกับเงินดอลล่าสหรัฐฯ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา บวกกับ ส.ส.พรรคคอนเซอเวทีฟได้โจมตี งบประมาณที่เรียกว่า Mini-Budget  อย่างรุนแรง ลุกลามไปจนถึงความไม่พอใจต่อนายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์

สำหรับสาระสำคัญของความไม่พอใจในงบประมาณ ที่นายกวาร์เทงประกาศออกมาเมื่อวันที่ 23 กันยายนนั้น เป็นการประกาศที่จะลดภาษีชุดใหญ่ของประเทศในรอบ 10 ปีที่นายกรัฐมนตรีคาดว่าจะเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษอย่างได้ผล 

แต่ทว่าผลลัพธ์กลับสร้างความไม่พอใจให้กับส.ส. ในพรรคของเขาเอง และมองกันว่าเป็นการอุ้มคนรวยมากกว่า และเมื่อรัฐบาลกลับลำในคำสัญญาที่ว่าจะยกเลิกการขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 19% เป็น 25% ในปีหน้า แต่เมื่อวานนี้ในการแถลงข่าวนายก ทรัสส์ประกาศยกเลิกคำสัญญานี้เสียโดยให้ขึ้นเป็น 25% ตามเดิม ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจต่อภาคธุรกิจอย่างมาก หรือการเก็บภาษีเงินได้ผู้ที่มีรายได้สูงได้เปลี่ยนมาเป็นอัตราเดียวคือ 40%

อีกประเด็นหนึ่งที่มีการวิจารณ์กันมากในนโยบายของรัฐบาลคือ การประกาศลดภาษี หากแต่จะต้องไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายแทน 

ความไม่ชัดเจนของนโยบายและการเปลี่ยนไปมาที่เกิดขึ้นทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลของนางลิซ ทรัสส์ ถูกตำหนิและวิจารณ์อย่างมากในระยะสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

หลังจากที่ปลดนายกวาร์เทงแล้ว นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งนายเจเรมี ฮันท์ เป็นรัฐมนตรีคลังคนใหม่ โดยนายฮันท์เคยเป็นเจ้ากระทรวงต่างประเทศ รวมถึงสาธารณะสุขมาก่อน และในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคล่าสุดนายฮันท์ ก็สนับสนุนนายริชชี่ สุหนาก คู่แข่งของนางทรัสส์ด้วย

อย่างไรก็ดีนักเศรษฐศาสตร์บางคนมีความเห็นว่าการปลดนายกวาร์เทงออก ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหรือช่วยให้เกิดความน่าเชื่อถือต่อประเทศได้นักในขณะนี้ หรือแม้แต่การขึ้นภาษีนิติบุคคลก็ช่วยได้ไม่มากพอ

'เพจอิลสลิก' ร่ายยาวตอบโต้เจ้าของร้านคู่กรณี ยัน!! รับเงินแต่ไม่ได้แสดงถูกแล้ว เหตุร้านไม่ทำตามสัญญา

เพจ 'อิลสลิก' ออกมาชี้แจงตอบโต้เจ้าของร้าน Subscribe Rama 7 ยันรับเงินค่าจ้างแต่ไม่แสดงทำถูกต้องด้วยกฎหมาย ชี้เพราะร้านไม่ได้ทำตามข้อตกลงในสัญญา จนเป็นเหตุทำให้ทีมงานไม่สามารถแสดงต่อไปได้จึงจำเป็นต้องยึดเงินดังกล่าว โว พี่อิลไม่ได้ออกมาทำการแสดงคอนเสิร์ตเพื่อเงิน ปล่อยยูทูบก็อยู่ได้สบาย

กรณี 'อิลสลิก' แร็ปเปอร์ ยกเลิกคอนเสิร์ตที่ร้าน Subscribe Rama 7 ร้านดังย่านนนทบุรี อ้างอุปกรณ์ร้านไม่มีมาตรฐานเพียงพอ ต่อมาอิลไปขึ้นโชว์อีกร้าน ได้กล่าวพาดพิงถึงร้าน Subscribe ทำนองเหยียดทีมงานเรียกว่าไอ้อี ทำเครื่องดนตรีพัง อีกทั้งยังเปรียบเทียบตัวเองกับ 'ตูน บอดี้สแลม' ท้าให้มาประชันกันบนเวที ยกตัวเองเป็นนักกวีอย่าเอาไปเทียบกับนักวิ่ง ดรามาไม่จบง่ายๆ เพราะต่อมาเจ้าของร้าน Subscribe เข้าร้อง 'ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด' เพื่อเอาผิดแร็ปเปอร์ชื่อดัง โดยยืนยันว่าไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างที่ถูกอิลสลิกกล่าวหา จะขอเงินค่าตัว 4.5 แสนคืน พร้อมให้ชดเชยค่าเสียหาย เพราะร้านได้รับความเสียหายกว่าล้าน

ล่าสุดเมื่อวาน (14 ต.ค.) เจ้าของร้าน Subscribe Rama 7 ออกมาแฉ 'อิลสลิก' ผ่านรายการโหนกระแส ขอเงินค่าตัว 4.5 แสนคืน เพราะร้านได้รับความเสียหายกว่าล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนี้ (14 ต.ค.) เพจ 'Illslick - Thikhumporn Whetthaisong' ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการโพสต์ข้อความยาวเหยียด ชี้แจงประเด็นตอบโต้ทางเจ้าของร้าน โดยได้ระบุข้อความว่า

"จากกรณีที่ทางร้านได้ให้สัมภาษณ์กับทางรายการหนึ่ง ทางทีมขอชี้แจงดังนี้

1. กรณีรับเงินค่าจ้างสำหรับการแสดงเต็มจำนวนแม้ไม่ได้แสดงเพราะมีการยกเลิกการแสดง เป็นการดำเนินการใช้สิทธิตามสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมาย

ตามรายละเอียดที่เคยแจ้งไว้เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ทีมมีการเดินทางไปจนถึงพื้นที่ตั้งแต่ก่อนทำการแสดง 1 วัน เพื่อเตรียมความพร้อม จัดการแผนงานทุกอย่าง และเข้าทำการซาวนด์เช็กแล้วในวันแสดงจริงตั้งแต่เวลากลางวันอย่างเต็มที่ ใช้ทีมงานจำนวนหลายคน แต่ปรากฏว่าเกิดความผิดพลาดบกพร่องขึ้นเพราะทางร้านไม่ได้ทำตามข้อตกลงในสัญญา จนเป็นเหตุทำให้ทีมงานไม่สามารถแสดงต่อไปได้ ทางทีมงานจึงมีความจำเป็นต้องยึดเงินจำนวนดังกล่าวเอาไว้ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกก่อนตกลงว่าจ้าง ซึ่งทางร้านได้เซ็นสัญญาไว้แล้วด้วยความสมัครใจตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2565 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นค่าชดเชยค่าเหนื่อยค่าเสียเวลาของทีมงานทุกคน ชดเชยค่าเสียโอกาสของศิลปินสำหรับคิวแสดงในวันนั้น และค่าเสียหายอื่นๆ การยึดเงินดังกล่าวจึงเป็นการใช้สิทธิตามข้อสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมาย

ก่อนหน้านี้ทางร้านทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดีและได้ขอโทษทีมงาน โดยทางร้านได้ส่งข้อความมาทางแอปพลิเคชันไลน์แจ้งทีมงาน เช่น “…..ผมเป็นเจ้าของร้าน ผมรับผิดทุกอย่าง ขอโทษที่ไม่สอนพนักงานให้ดีพอให้มากพอ….” “ทางร้าน ทีมซาวนด์ของร้านขอโทษด้วยนะครับ” “เขาหวังดีครับพี่ ไม่ได้คิดจะเปรียบกับศิลปินอื่นเลยครับพี่” “…เหตุเกิดจากคนคนเดียวทำให้ต้องเป็นแบบนี้ แต่ทางร้านเสียหายจนไม่เหลืออะไรเลยครับพี่ดอม” “ซึ่งทางผมน้อมรับผิดที่ดูแลลูกน้องไม่ดี……” และบทสนทนาอื่นๆ นอกจากนี้ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 20.08 น. ทางร้านก็ออกมาโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กยอมรับเองว่า “ทุกอย่างเป็นความจริงตามเพจ ILLSLICK โพสต์ทุกประการ ทางร้านกราบขอโทษอีกครั้งนะครับ”

สัญญาส่วนนี้ถูกเขียนขึ้นจากประสบการณ์การทำงานของเราที่เคยพบปัญหา เคยเสียหายและเสียเปรียบมาก่อนหน้าเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เรารู้ตัวดีว่าเราทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่มีค่ายดูแล ไม่มีคนช่วยเหลือ ใช้เพียงประสบการณ์เป็นบทเรียนแล้วหาทางแก้ไข สัญญาจึงระบุไว้เพื่อปกป้องตนเองและทีมงานทุกคนที่พี่อิลนับถือเป็นเพื่อน พี่น้อง และครอบครัวที่ร่วมลำบากด้วยกันมาอย่างเต็มที่จนอาจถูกมองว่าเอาเปรียบ ทางทีมเข้าใจความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่ทีมก็ต้องรับผิดชอบในส่วนความเสียหายของทีมเช่นเดียวกัน การยกเลิกการแสดงมิใช่ความต้องการของเรา เราตั้งใจเตรียมพร้อมออกไปเพื่อพบแฟนเพลง เมื่อเราจำเป็นต้องยกเลิก เราเองก็มีความเสียหายเพราะย่อมถูกมองว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่มีสปิริต ซึ่งเป็นความเสียหายต่อชื่อเสียงที่ได้รับก็เป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดพลาดของทีม ซึ่งในเวลานั้นพี่อิลเลือกจะแบกรับความเสียหายต่อชื่อเสียงนี้แทนการปล่อยให้คนฟังเสียเงินจำนวนมากเข้ามาดูโชว์ที่ไม่ได้คุณภาพ ทีมต้องขอโทษที่สัญญาของทีมระบุไว้เช่นนั้น และทีมยืนยันว่าจำเป็นต้องดำเนินการตามนั้นเพื่อเป็นมาตรฐานต่อไป

เราเคยตกลงงานกับร้านแห่งหนึ่งที่มัดจำและจ่ายส่วนที่เหลือแล้วเช่นกัน ซึ่งตอนนั้นร้านไม่สามารถจัดแสดงในวันเวลาที่กำหนดตามสัญญา ทางทีมยึดมัดจำตามสัญญา แต่คืนส่วนที่เหลือให้ 50% เพราะเรายังไม่ได้เดินทางไปในพื้นที่ ยังไม่ได้ใช้ทีมงานเข้าไปทำงาน ไม่ได้เข้าไปทำการซาวนด์เช็ก และการยกเลิกครั้งนั้นเราได้คิววันแสดงนั้นกลับคืน แม้ว่าเราจะไม่ได้รับงานอื่นทดแทนก็ตามแต่ก็ไม่ได้ยึดส่วนที่เหลือเป็นค่าชดเชย จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจว่ารายละเอียดของสัญญาเป็นเช่นนี้ และได้เน้นย้ำทำข้อตกลงกับทางร้านก่อนแล้ว

ทีมงานได้พยายามเจรจาแก้ไขปัญหาทุกอย่างแล้วเพื่อจะให้โชว์สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีคุณภาพ ถ้ามีการเปิดคลิปกล้องวงจรปิดในร้านทั้งหมดทั้งภาพเคลื่อนไหวและเสียงจะเห็นได้ว่าทีมงานพยายามทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถแล้วเท่าที่ศิลปินคนหนึ่งจะทำได้เพื่อต้องการให้โชว์ออกมาดีที่สุด ถ้าคลิปกล้องวงจรปิดทั้งหมดทุกช่วงเวลาไม่บังเอิญเสียทั้งภาพและเสียงเราจะเห็นความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งทางทีมจะขอให้ผู้ที่มีอำนาจเรียกหลักฐานส่วนนี้มาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของทีมงานตามกระบวนการกฎหมายต่อไป

'ธัญวัจน์' ชี้!! การลงโทษลูกที่มีความหลากหลายทางเพศ  สะท้อน!! ความล้าหลัง วอน!! 'พูดคุย-เรียนรู้' ด้วยใจที่เปิดกว้าง

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สัดส่วนผู้มีความหลากหลายทางเพศ กล่าวถึงกรณีที่มีลูกนักการเมืองท่านหนึ่ง หนีออกจากบ้านเนื่องจากถูกผู้เป็นพ่อลงโทษด้วยเหตุผลรสนิยมทางเพศ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคิดที่ล้าหลัง ไม่เพียงแต่เป็นการทำร้ายร่างกายลูก แต่เป็นการเหยียบย่ำตัวตนของลูกด้วย  

ธัญวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความหลากหลายทางเพศเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นครอบครัวทุกยุคทุกสมัย แม้ในปัจจุบันที่แม้สังคมจะยอมรับและก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ที่หลายครอบครัวยุคถือสร้างความกดดันและความรุนแรงกับผู้ที่มีความหลากหลายมาตลอด บางคนไม่สามารถแสดงตัวตนได้ที่บ้านเพราะกลัวพ่อแม่จะรับไม่ได้ พ่อแม่ผิดหวังเสียใจ การปลูกฝังแนวคิดแบบนี้จากในครอบครัวสู่สังคมคืออุปสรรคใหญ่ไม่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ไม่เพียงแต่มิติความเท่าเทียมสากล แต่รวมถึงมิติทางกฎหมาย ธรรมเนียมปฏิบัติที่แสดงออกต่อกันของคนในสังคม

'ธนกร' สอนมวย 'ชลน่าน' วิจารณ์ทางการเมืองถือเป็นสิทธิ์ แต่หากพูด 'เรื่องเท็จ-สนุกปาก' ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง

'ธนกร' สวน 'ชลน่าน' ชี้วิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองถือเป็นสิทธิ์ แต่หากเรื่องที่พูดเป็นเรื่องเท็จ พูดเอาสนุกปาก ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง เย้ยไม่มีประชาชนคนไหนต้องทำใจ มีแต่สุขใจด้วยซ้ำ

นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่า กรณีที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ทอล์กโชว์ 'เดี่ยว 13' ของ โน้ส - อุดม แต้พานิช เป็นสิทธิ์ในการแสดงความเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ของพลเมือง เป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ต้องรับฟังเสียงของประชาชนว่า ที่ผ่านมาท่านนายกฯ รับฟังเสียงประชาชนมาโดยตลอด เห็นได้จากทุกนโยบายของรัฐบาลที่เน้นช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม ไม่แบ่งแยกว่าเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองไหนเหมือนกับที่บางพรรคการเมืองชื่นชอบ เมื่อได้รับข้อร้องเรียน หรือเห็นว่าประชาชนกำลังลำบาก ท่านนายกฯ ก็สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปแก้ปัญหาทันที หรือลงพื้นที่ไปสอบถามข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง จึงทำให้หลายๆ นโยบายประชาชนต่างเรียกร้องให้ขยายโครงการออกไปเรื่อยๆ จนแม้แต่ฝ่ายค้านเองก็ยังไม่กล้าพูดเต็มปากว่า หากตัวเองมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลจะยกเลิกนโยบายเหล่านี้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า หากพูดแบบนั้นออกไปก็เตรียมพร้อมสอบตกทันที 

ไม่นานเกินรอ!! 'รถไฟไทย-จีน' มิติใหม่ของการท่องเที่ยว คาด!! อีก 5 ปี พร้อมเปิดให้บริการ

เมื่อไม่นานมานี้ เพจ 'Bangkok I Love You' ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับรถไฟไทย-จีน ไว้อย่างน่าสนใจว่า...

"รถไฟไทย เชื่อมรถไฟโลก"

เมื่อทางรถไฟไทย - จีน (กรุงเทพ เวียงจันทน์ คุณหมิง) สร้างแล้วเสร็จ ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 4 - 5 ปี มิติใหม่ของการเดินทางท่องเที่ยวก็จะเกิดขึ้น ตลอดสองข้างทางรถไฟสายที่ยาวที่สุดในโลก 

โดยที่รถไฟสายนี้จะมีจุดเริ่มต้นที่ สถานีรถไฟ Woodlands ในประเทศสิงคโปร์ ขึ้นเหนือผ่าน สถานีรถไฟเซ็นทรัลกัวลาลัมเปอร์ เลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน ผ่านพรมแดนประเทศไทยที่ ปาดังเบซา ผ่าน สงขลา ผ่านนครศรีธรรมราช เลียบอ่าวไทยขึ้นมา ผ่านสุราษฎร์ธานี ซึ่งสามารถต่อเรือไปเกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า ได้ (และในอนาคตอันใกล้ก็จะมีสะพานข้ามไปยังเกาะสมุย) ผ่านเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหิน ราชบุรี นครปฐม แล้วเข้าสู่ศูนย์กลางขนส่งทางรางของอาเซียนที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ กรุงเทพมหานคร 
ซึ่งจากที่นี่สามารถต่อรถไฟความเร็วสูงซึ่งใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงถึงเวียงจันทน์ โดยผ่านเมืองมรดกโลกอย่าง พระนครศรีอยุธยา และมรดกทางธรรมชาติอย่างเขาใหญ่ ที่สถานีปากช่อง และข้ามแม่น้ำโขงที่ หนองคาย จากนั้นก็จะผ่านพรมแดนบริเวณท่านาแร้ง เวียงจันทน์

จากเวียงจันทน์ต่อรถไฟสาย เวียงจันทน์ คุณหมิง ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วปานกลาง ผ่านวังเวียง เมืองมรดกโลก หลวงพระบาง และอีกเพียงไม่เกิน 8 ชั่วโมงก็เข้าถึงคุนหมิง

จากนั้นต่อ รถไฟความเร็วสูงสายปักกิ่ง - คุนหมิง ซึ่งเป็นทางรถไฟที่ยาวที่สุดของประเทศจีนด้วยความยาว 2,760 กิโลเมตร จะวิ่งผ่านเมืองสำคัญหลายแห่ง เช่น เมืองสือจยาจวง มณฑลเหอเป่ย, เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนัน, เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย, เมืองฉางซา มณฑลหูหนาน และนครกุ้ยหยัง มณฑลกุ้ยโจว และที่สำคัญที่คุนหมิงนี่เองสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปทางรถไฟสายหลังคาโลก ต้าหลี่ ธิเบตได้ 

เมื่อถึงปักกิ่งแนะนำให้แวะเที่ยวมหานครที่ร่ำรวยวัฒนธรรมซัก 3-4 วัน โดยจุดท่องเที่ยวที่โดดเด่นเช่น พระราชวังต้องห้าม พระราชวังฤดูร้อน หอฟ้าเทียนถาน ย่านเมืองเก่าหู่ตง สนามกีฬารังนก เป็นต้น 

จากนั้นขึ้นรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย ช่วงเส้นทางระหว่างกรุงปักกิ่ง-อูลันบาตอร์ รถไฟจะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และมุดเข้าไปอยู่ในเขตภูเขา เป็นภูเขาแนวยาวตลอดเส้นทางเลยทีเดียว ช่วงนี้จะมีอุโมงค์ที่เจาะทะลุภูเขากว่า 50-60 อุโมงค์ได้ และทุกๆ ครั้งที่รถไฟโผล่พ้นจากอุโมงค์เราก็จะพบกับโตรกผาและแม่น้ำแบบอลังการตลอดเส้นทาง และที่พลาดไม่ได้ก็คือกำแพงเมืองจีนนั่นเอง จากนั้นก็จะเข้าสู่เขตทุ่งหญ้า กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มี Ger District หรือที่อยู่อาศัยแบบเกอร์ของคนท้องถิ่น เป็นระยะๆ จนกระทั่งถึงอูลันบาตอร์

นายกฯ แจ้งข่าวดี แก้หนี้ครัวเรือนคืบหน้า ช่วยกลุ่มเปราะบางได้รับความเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 65 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ ผมมีข่าวดี ที่เป็นความคืบหน้า สืบเนื่องจากการที่รัฐบาลได้ประกาศให้ปี 2565 เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน” โดยล่าสุดก็ได้มีการกำหนดให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์ คิดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (Effective Interest Rate) แบบ "ลดต้น ลดดอก" ซึ่งจะต้องคิดดอกเบี้ยจาก "เงินต้นคงเหลือ" ในแต่ละงวด ไม่ใช่คิดดอกเบี้ยแบบ "เงินต้นคงที่" (Flat rate) แบบเดิม ที่ทำให้ลูกค้า/ผู้ที่เช่าซื้อเสียเปรียบบริษัทเช่าซื้อ หรือลีสซิ่ง

นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อใหม่ ได้แก่ (1) รถยนต์ใหม่ : คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 10% ต่อปี (2) รถยนต์ใช้แล้ว : คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี (3) รถจักรยานยนต์ : คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 23% ต่อปี และสำหรับผู้ที่สามารถปิดบัญชีได้ก่อน ก็จะต้องให้ "ส่วนลด" กับผู้เช่าซื้อด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 90 วัน ภายหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว (หรือวันที่ 11 มกราคม 2566) ครับ

ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและพยายามช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง มีหนี้สินติดตัว ให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น เช่น ผลักดันให้การเปลี่ยน "ฐานคำนวณดอกเบี้ย" จากเดิมที่คิดดอกเบี้ยจากยอด "เงินต้นคงค้างทั้งหมด" มาเป็นการคิดดอกเบี้ยจาก "เงินต้นเฉพาะเดือนที่ผิดนัดชำระ" เท่านั้น หลักการนี้ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การคิดดอกเบี้ยในประเทศไทย เป็นการแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้าง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพี่น้องประชาชนที่เป็นหนี้ ขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะบรรดาเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา มนุษย์เงินเดือน คนหาเช้ากินค่ำ ที่มีความจำเป็นจะต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อมาใช้ดำรงชีวิต และเพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพ ตลอดจนกลุ่มลูกหนี้นอกระบบ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ให้ชำระดอกเบี้ยลดลงอีกด้วย

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้จัด "มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้" เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขหนี้ครัวเรือนให้ประชาชน เราได้เดินสายไปทุกจังหวัด ทั่วประเทศ สามารถลดปัญหาหนี้สินประชาชนได้ กว่า 200,000 ราย มูลหนี้มากกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชน-ลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการเก็บตกและต่อยอด จึงจัดให้มี "มหกรรมร่วมใจแก้หนี้" เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ที่รายได้ยังไม่กลับมาเต็มที่ และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งภายหลังจากดำเนินการมาได้ 2 สัปดาห์ ณ 14 ตุลาคม 2565 มีคำขอแก้หนี้เข้ามาแล้ว 158,539 รายการ จากลูกหนี้ 62,595 ราย เฉลี่ยคนละ 2-3 รายการ ส่วนใหญ่เป็นบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น

'สันติ' ชำแหละ พ.ร.บ. EEC เน้นเฉพาะให้แรงจูงใจผู้ลงทุน หนนเฉพาะทุนต่างชาติขนาดใหญ่

'สันติ' ชำแหละ พ.ร.บ. EEC ชี้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน มองรัฐบาลปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ เน้นเฉพาะให้แรงจูงใจผู้ลงทุน ไม่แก้ข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค รวมถึงกระแสสนับสนุนเฉพาะทุนต่างชาติขนาดใหญ่ ขาดการคำนึงถึงความครบวงจรในระบบนิเวศ 

ดร.สันติ กีระนันทน์  รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ว่าตนได้อ่านข่าวที่เกี่ยวกับแนวคิด “เขตธุรกิจใหม่” เปรียบเทียบกับ “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า EEC แล้ว ก็อยากจะแสดงความคิดเห็น โดยเก็บข้อมูลจากพระราชบัญญัติ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ประกอบกับประสบการณ์ที่ได้เคยทำงานในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ยุคที่เริ่มต้นของ EEC และช่วงที่เป็นเลขานุการ คณะกรรมาธิการ การเงิน การคลัง สถาบันการเงิน และตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้ให้ความสนใจเรื่อง EEC โดยทำการศึกษา และได้เชิญผู้บริหารของ EEC มาให้ข้อมูลอยู่หลายครั้ง

อันที่จริง ก็ต้องแสดงความดีใจที่มีแนวคิดเขตธุรกิจใหม่เกิดขึ้น แสดงถึงการเห็นคุณประโยชน์ของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างจริงจัง ดังที่ตนได้พยายามนำเสนอมาโดยตลอดหลายปีนี้ แต่รัฐบาลปัจจุบันก็คงจะไม่ค่อยเข้าใจความจำเป็น จึงไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า EEC ยังไม่ตอบโจทย์หลายประการนั้น เช่น เน้นเฉพาะการให้แรงจูงใจด้วยการเสนอสิทธิประโยชน์ให้ผู้ลงทุนเท่านั้น ไม่มีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค หรือนำเสนอชุดกฎหมายใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกให้เกิดเขตธุรกิจใหม่ได้จริง หรือประเด็นที่คลาดเคลื่อนว่า EEC จะให้การสนับสนุนเฉพาะทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น รวมไปถึงความเข้าใจที่ว่า EEC นั้น ไม่ได้คำนึงถึงความครบวงจรในระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เอื้ออำนวยให้เกิดเขตธุรกิจใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเข้าใจว่า EEC จะให้การสนับสนุนเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีการ hard code ไว้ในพระราชบัญญัติเท่านั้น และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอีกบางประการ

ดร.สันติ ย้ำว่า เป็นสิ่งที่ดี  ที่มีความพยายามเสนอแนวความคิดให้เกิดเขตธุรกิจใหม่ เพื่อผลักดันให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจของประเทศไทย เกิดพลังในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และไม่สร้างปัญหาแก่การดำเนินชีวิตของผู้คนทั่วไป หรืออาจจะพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นมิตรกับผู้คน

ทั้งนี้ หากได้อ่านพระราชบัญญัติ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 โดยละเอียดแล้ว จะพบว่า ความเข้าใจเหล่านั้น มีความคลาดเคลื่อนดังที่ผมได้ชี้แจงเริ่มต้นไป เพราะจะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ให้ความยืดหยุ่น (flexibility) ในการสร้างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และมีการกำหนด “เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ” (มาตรา 4) ไว้ โดยครอบคลุมทุกเรื่อง และหากมีกฎหมายอะไรที่เป็นอุปสรรค ก็ยังกำหนดไว้ในมาตรา 9 เพื่อเปิดช่องให้มีการปรับปรุงกฎหมายหรือ “ชุดกฎหมาย” ได้โดยรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องการกำหนด “สิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจ” นักลงทุนเท่านั้น 

ประเด็นนี้ทำให้ EEC มีความแตกต่างจาก Eastern seaboard อย่างมากมาย  ยิ่งไปกว่านั้น EEC ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะทุนใหญ่เท่านั้น ดังจะเห็นได้ว่า EEC มีการกำหนดเขตย่อยเป็น EEC-D (digital economy), EEC-I (innovation) เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง EEC-I นั้น มุ่งเน้นให้เกิดวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ startup ขึ้นในพื้นที่ ดังตัวอย่างที่ ปตท. ได้มีการลงทุนสร้าง วังจันทร์ valley เพื่อให้เกิด ecosystem คล้าย ๆ กับ Silicon Valley ใน California ซึ่งแน่นอนว่า คงจะไม่ใช่ทุนขนาดใหญ่ (ในตอนเริ่มต้น) และแม้กระทั่งความพยายามส่งเสริมให้เกิด fruit corridor เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ให้เกิดการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่า และเพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เป็นต้น 

EEC ไม่ได้ตั้งใจจะส่งเสริมเฉพาะการลงทุนจากทุนต่างประเทศเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากมาตรา 7 (2) ที่เขียนไว้ชัดว่าให้การสนับสนุนทั้งผู้ประกอบกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาใช้พื้นที่ และการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะที่เขียนในพระราชบัญญัติเท่านั้น แต่ให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สามารถกำหนดเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงได้ด้วย

และในมาตร 7(1) หากอ่านให้ดี ก็จะเห็นว่า ไม่ได้เน้นเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ต้องการให้เกิดการพัฒนาให้เป็น Smart city หรือเมืองอัจฉริยะไปพร้อมกัน ซึ่งแสดงถึงการพัฒนาอย่างครบวงจร ไม่ได้จำกัดเพียงการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่าง Eastern seaboard ที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้พวกเราได้ลืมตาอ้าปากมาได้ และเมื่อมาขยายการพัฒนาให้ครบวงจรมากขึ้นอย่างแนวคิด EEC แล้ว หากรัฐบาลปัจจุบันเข้าใจแนวคิด และดำเนินการอย่างจริงจัง จะสร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศมากเพียงใด ... แค่หลับตาก็คงพอนึกออกแล้ว 

ดังนั้นแนวคิดของ EEC จึงไม่ได้ถูกจำกัด อย่างที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้น อาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ก็คือกำหนดไว้เฉพาะเพียงภาคตะวันออก 3 จังหวัดเท่านั้น ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง แต่อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบาย อาจจะกำหนดเพิ่มเติมได้ แต่หากให้เกิดความคล่องตัวมากกว่าเดิม อาจจะต้องใช้แนวคิดตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ขยายวงให้เกิดเขตพัฒนาพิเศษในภาคอื่น ๆ ได้ โดยอาจจะใช้ EEC เป็นต้นแบบ ซึ่งกระบวนการแก้พระราชบัญญัติก็ไม่ได้ยุ่งยากมากเกินไป (อย่างน้อยก็ง่ายกว่า การยกร่างพระราชบัญญัติใหม่ทั้งฉบับ) โดยเรียนรู้จาก prototype อย่าง EEC


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top