Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

'อลงกรณ์' พอใจ 62 จังหวัดเดินหน้าพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองคืบหน้ากว่า 500 โครงการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ควบคู่กับการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในชนบท 7,255 ตำบลทั่วประเทศ

วันนี้ (20 ต.ค. 65) ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองเป็นประธานการประชุมติดตามผลการดำเนินงานผ่านระบบทางไกลออนไลน์ ZOOM Cloud Meeting โดยมี นายกษิดิ์เดชธนทัต เสกขุนทด ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนฯ ระดับชุมชนและท้องถิ่น (Green Community) นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายนำชัย แสนสุภา นายกสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนการเคหะแห่งชาติ พร้อมทั้งหน่วยงานทั้งภาคราชการ ภาคสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และมี นายจิตติศักดิ์ ศรีปัญญา ผู้อำนวยการกองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นเลขานุการการประชุม

โดยที่ประชุมรับทราบรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองระดับจังหวัด ซึ่งได้มีการขับเคลื่อนโครงการในพื้นที่เป้าหมายเพื่อดำเนินการ โดย ณ วันที่ 25 ก.ย. 2565 มีจำนวน 591 แห่ง ใน 62 จังหวัดประกอบด้วย (1) พื้นที่วัด จำนวน ๑๙ แห่ง (2) พื้นที่โรงเรียน สถานศึกษาและมหาวิทยาลัย จำนวน 372 แห่ง (3) พื้นที่โรงพยาบาล จำนวน 13 แห่ง (4) พื้นที่ชุมชน จำนวน 90 แห่ง และ (5) พื้นที่อื่นๆ ได้แก่ พื้นที่ของหน่วยงานราชการและพื้นที่เอกชน จำนวน 97 แห่ง

นายอลงกรณ์ได้แสดงความพอใจต่อความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองระดับจังหวัดโดยยกตัวอย่างรายงานการดำเนินงานของสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งได้นำเสนอผลงานการขับเคลื่อนโครงการต่อที่ประชุมดังนี้ 1.โครงการมหาวิทยาลัยสีเขียว (Green Campus) มีแปลงปฏิบัติการวิจัยพืชสวน พืชไร่ ไม้ดอกไม้ประดับ และสิ่งแวดล้อม รวม 74 ไร่ และฐานการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อเป็น “แหล่งเรียนรู้ สร้างรายได้เสริม พัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน”

2.โครงการโรงเรียนสีเขียว (Green School) “เก่ง ดี มีทักษะ (ทักษะอาชีพและทักษะชีวิต) มีสุขภาพดี” โดยฝึกการทำปุ๋ยชีวภาพเพื่อการเกษตรกรรมสาหรับการปลูกผักปลอดสารพิษ การปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ น้ำนิ่ง หรือการปลูกพืชแบบไร้ดิน เป็นการปลูกพืชในสารละลายธาตุอาหารพืช การเลี้ยงปลาดุก และกบในวงบ่อ รวมถึงการเลี้ยงไก่ไข่ ซึ่งผลผลิตที่ได้ทั้งในส่วนของพืชผัก ปลาดุก กบและไข่ไก่นำมาใช้ในโครงการอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนในโรงเรียน และนำส่วนที่เหลือจำหน่าย เป็นการสร้างรายได้ให้กับนักเรียนและเป็นการสร้างนิสัยในการออมทรัพย์โดยฝากไว้กับธนาคารของโรงเรียน ซึ่งเป็นกิจกรรมสร้างทักษะอาชีพแก่นักเรียนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งและเป็นแบบอย่างให้กับโรงเรียนที่สนใจได้มาเรียนรู้

3.โครงการวัดสีเขียว (Green Temple) “วัด วนเกษตร สวนสมุนไพรในเมือง” สวนพฤกษศาสตร์สมุนไพรวัดคุ้งตะเภา หรือ ศูนย์ศึกษาสมุนไพรในวัดประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นสวนพฤกษศาสตร์ชุมชนขนาดเล็ก เป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้านในด้านการ อนุรักษ์สมุนไพร

4.โครงการโรงพยาบาลสีเขียว (Green Hospital) “สุขภาพและความสุขอย่างยั่งยืน” โดยให้บุคลากรทางการแพทย์หันมาทาการเกษตรปลูกพืชผักปลอดภัย –อินทรีย์ ส่งให้โรงครัวและจาหน่ายให้แก่ผู้ที่มาใช้บริการในโรงพยาบาล เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร และสุขภาพที่ดีของครอบครัว อีกทั้งความก้าวหน้าผลการดำเนินงานฯ ของจังหวัดชลบุรี จังหวัดระนอง และจังหวัดนครศรีธรรมราช และความก้าวหน้าของคณะทำงานฯ ในพื้นที่การเคหะแห่งชาติ (Green National Housing Authority)

รวมทั้งยังรับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานฯ ของจังหวัดชลบุรี ที่มีการดำเนินกิจกรรมรวมพลังคนชลบุรี ปลูกป่า ทาโป่ง “เหนื่อยนี้เพื่อช้าง...เพื่อคนชลบุรี” ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ, โครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ภายใต้กิจกรรมฝึกอาชีพ “เพาะพันธุ์ไม้พื้นถิ่น สร้างอาชีพ สร้างรายได้”, กิจกรรมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองโครงการขยายผลจิตอาสาสานักงาน กศน. ฯลฯ

ผลการดำเนินงานของจังหวัดระนอง มีการดำเนินการโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในวัด, โครงการปลูกป่าเพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้า ป่าชายเลนและป้องกันไฟป่า จังหวัดระนอง, โครงการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในพื้นที่ปลูกไม้ยางพารา และพื้นที่เกษตรกรรมจังหวัดระนอง, กิจกรรมวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2565 ฯลฯ

ผลการดำเนินงานของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการปลูกดาวเรือง กิจกรรมปลูกไม้ยืนต้นเพิ่มพื้นที่สีเขียว บริเวณริมเขื่อนคลองฆ่าสัตว์ ฯลฯ

และความก้าวหน้าของคณะทำงานพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในพื้นที่โรงเรียนและวิทยาลัยซึ่งดำเนินการโรงเรียนสีเขียวต้นแบบเสร็จแล้วกำลังขยายผลไปทุกภาคและรายงานของคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในพื้นที่การเคหะแห่งชาติ (Green National Housing Authority) ซึ่งมีการบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย เข่นการรับมอบเมล็ดพันธุ์ปันสุขจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งมอบให้กับชุมชนทำโครงการนำร่องและขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ ตลอดจนร่วมมือกับบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด ในการดำเนินโครงการ เซลล็อกซ์ “ปลูกต้นไม้ใหญ่ให้บ้านเรา” เป็นการเพิ่มต้นไม้ใหญ่ ในชุมชน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในโครงการบ้านเอื้ออาทรบางโฉลง ส่วนกรมพัฒนาฝีมือแรงงานกระทรวงแรงงาน ดำเนินการติดตั้ง Smart Farming ในโครงการบ้านเอื้ออาทรเมืองใหม่บางพลี, มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีช่วยออกแบบและปรับปรุงพื้นที่แปลงเกษตร ในโครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิตคลอง 10/2 และเทศบาลเมืองใหม่บางบัวทองในการปรับสภาพภูมิทัศน์ภายในชุมชน ในโครงการบ้านเอื้ออาทรบางบัวทอง 2

แผ่นดินไหวขนาด 4 ที่เชียงใหม่ไม่เกินคาด เหตุรอยเลื่อนทางภาคเหนือยังมีพลังอยู่

(20 ต.ค. 65) กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา ได้รายงานยืนยันสถานการณ์แผ่นดินไหวว่า เมื่อเวลา 04:36 น. ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว 4.1 แมกนิจูด มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ ต.แม่คือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ รับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ในหลายอำเภอของ จ.เชียงใหม่ จ.แพร่ และ จ.ลำพูน โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้จุดศูนย์กลาง อ.ดอยสะเก็ด อ.สันกำแพง อ.แม่ออน และ อ.สันทราย

นายนนทวัฒน์ วรรณา นายกเทศมนตรี ต.แม่คือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่ ต.แม่คือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ได้สำรวจความเสียหาย พบว่า ระบบน้ำประปาในหมู่บ้านและอาคารสูงในเขตเทศบาล ต.แม่คือ ไม่ได้รับผลกระทบ แต่ชาวบ้านในพื้นที่บอกว่า รับรู้แรงสั่นสะเทือนมากกว่าทุกครั้ง และสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้ให้คำแนะนำในการปฐมพยาบาลแล้ว

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ นายปฏิญญา พรโสภิณ ผู้อำนวยการส่วนวิจัยและพัฒนาแผ่นดินไหวและสึนามิ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวล่าสุดตอนนี้แค่รู้สึกสั่นไหว โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ อ.ดอยสะเก็ด อ.สันทราย อ.สันกำแพง อ.เมือง อ.สามัคคี รอบๆ จุดศูนย์กลาง ส่วนในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากเป็นแผ่นดินไหวขนาดเล็กถึงปานกลาง 

โดยแผ่นดินไหวในครั้งนี้เป็นขนาด 4.1 รัศมีการรู้สึกสั่นไหวประมาณ 20-30 กิโลเมตรจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึ่งครอบคลุม 4-5 อำเภอโดยรอบจากจุดศูนย์กลาง คือ อ.ดอยสะเก็ด, อ.สันทราย, อ.สันกำแพง, อ.เมือง, อ.สามัคคี โดยสาเหตุที่เกิดแผ่นดินไหวในครั้งนี้คือ บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เรียกว่า “แอ่งเชียงใหม่” ซึ่งล้อมรอบไปด้วยกลุ่มของรอยเลื่อนที่มีพลังที่เรียกว่า “รอยเลื่อนแม่ทา” อยู่ฝั่งทางซ้ายของ จ.เชียงใหม่ และฝั่งขวารอบ ๆ แอ่งเชียงใหม่ 

ส่วนสาเหตุที่เกิดแผ่นดินไหวเมื่อเวลา 04:30 ที่ผ่านมา เกิดจาก รอยเลื่อนแม่ทา อยู่ใกล้ ๆ กับรอยเลื่อนย่อย ดอยสะเก็ด โดยบริเวณนี้เคยเกิดเหตุแผ่นดินไหวเล็ก ๆ อยู่ที่ขนาด 2-3 ใน 4-5 ปีที่ผ่านมา แผ่นดินไหวที่จ.เชียงใหม่นี้ ไม่ได้เกิดผลกระทบกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากเป็นลักษณะ Local Earthquake เป็นแผ่นดินไหวท้องถิ่น ทำให้ไม่กระทบออกไปไกล แต่หากเกิดผลกระทบออกไปไกล จะเป็นแผ่นดินไหวขนาด 6 ริกเตอร์

นายปฏิญญา กล่าวต่อว่า กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา มีสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ มีสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวอยู่รอบ ๆ อ.เมืองเชียงใหม่ สามารถตรวจวัดแผ่นดินไหวได้แบบ Real Time สามารถรู้ได้ทันทีและคำนวณได้ว่าเกิดแผ่นดินไหวที่ไหน มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง สิ่งที่เราต้องรู้คือ รู้ว่าบริเวณไหนเสี่ยงภัยแผ่นดินไหว โดย อ.ดอยสะเก็ด, อ.สันกำแพง, อ.สันทราย เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยต่อการเกิดแผ่นดินไหวอยู่แล้ว เพราะว่ามีรอยเลื่อนมีพลังพาดผ่านและมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น 

“สิ่งสำคัญเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้น อันดับแรก บ้านเก่าที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ต้องเสริมกำลัง บ้านที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ ต้องสร้างให้ได้มาตรฐานต้านทานแผ่นดินไหว ซึ่งมีกฎกระทรวงอยู่สำหรับอาคารที่จะสามารถต้านทานแผ่นดินไหว ซึ่งจ.เชียงใหม่ เป็นพื้นที่เสี่ยงภัย หากเกิดแผ่นดินไหวเมื่ออยู่ในอาคารให้ระลึกไว้ 3 คำ คือ Drop Cover Hold on คำว่า Drop คือ ก้มลงกับพื้น Cover คือ ป้องกันศีรษะ หรือมุดใต้โต๊ะ และคำว่า Hold On คือ รอจนการสั่นไหวหยุด แล้วค่อยออกจากอาคาร ไม่ตื่นตระหนกตกใจ” นายปฏิญญาแนะ

ขณะเดียวกันทีมข่าว THE STATES TIMES ยังได้พูดคุยกับ ดร.ไพบูลย์ นวลนิล นักแผ่นดินไหววิทยา ถึงสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวด้วยว่า สาเหตุในการเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดจากรอยเลื่อนแม่ทา ซึ่งเป็นกลุ่มรอยเลื่อนหนึ่งที่อยู่ทางภาคเหนือนั้น ยังไม่มีผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากแผ่นดินไหวขนาด 4.1 แรงสั่นสะเทือนมีผลกับรัศมีที่แคบ คือใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว ประมาณ 20 กิโลเมตรที่รับรู้แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ส่วนพื้นที่ที่ไกลออกไปอาจจะรับรู้ได้เล็กน้อย แต่ไม่ถึงอันตรายใด ๆ แต่มีบ้านเก่าและอาคารเก่ามีฝ้าเพดานร้าว เพราะว่าอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว เนื่องจากบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวอยู่ใกล้กับชุมชน ทำให้ชาวบ้านบางส่วนได้รับผลกระทบบ้าง แต่สถานการณ์ล่าสุดยังปกติ 

'โค้ชเช' ยืดอก!! ยืนยันสัญชาติไทยเต็มตัว หลังรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากในหลวงร.10

(20 ต.ค. 65) เช ยอง ซอก หรือ 'โค้ชเช' ผู้ฝึกสอนนักเทควันโดชื่อดังของไทยได้รับการยืนยันให้ถือสัญชาติไทย

เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก เว็บไซต์ 'ราชกิจจานุเบกษา' ประกาศจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีรายชื่อบุคคลทั้งหมด 175 ราย รวมนาย เช ยอง ซอก ที่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนเป็นสัญชาติไทย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตรวมถึงผู้ยื่นเรื่องได้ปฏิญาณตนตามกฎหมายแล้วจึงขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ผู้ที่มีชื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทยได้แล้ว

สำหรับ 'โค้ชเช' อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทีมเตะไทย พา รังสิญา นิสัยสม, ชัชวาล ขาวละออ, ชนาธิป ซ้อนขำ และพาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ คว้าเเชมป์โลกมาเเล้ว 

'หลิน จื้อหลิง' เผย ไม่ค่อยทะเลาะกับสามี เหตุเพราะยังใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ไม่คล่อง

'หลิน จื้อหลิง' เผยว่าตั้งแต่แต่งงานกับหนุ่ม 'อากิระ' ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน และย้ายไปอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น ที่เป็นประเทศของฝ่ายชายเธอกับเขาแทบจะไม่มีปากเสียงกันเลย นั่นก็เพราะเธอยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ค่อยได้นั่นเอง

นับตั้งแต่แต่งงานกันเมื่อปี 2019 นางแบบสาวคนสวยวัย 47 ปี ได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ญี่ปุ่นบ้านเกิดของสามี ซึ่งล่าสุดเธอยังเปิดเผยว่าตัวเองกับเขาแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องทะเลาะกันเลย

"อาจจะเพราะภาษาญี่ปุ่นของฉันยังไม่ดีพอก็ได้ หลาย ๆ อย่างก็เลยต้องมาแปลอีกต่อหนึ่ง" หลินจื้อหลิงพูดติดตลกถึงสาเหตุที่อาจจะทำให้เธอกับสามีไม่ค่อยมีปัญหากัน 

หลิน จื้อหลิง ประกาศข่าวดีเรื่องการแต่งงานกับ อากิระ สมาชิกวง Exile เมื่อเดือน มี.ค. 2019 โดยทั้งคู่มีลูกคนแรกด้วยกันเมื่อ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา


ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9650000100343

‘สุริยะ’ โชว์ผลสำเร็จ คืนชีพแบตฯยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมเปิดตัวแบตฯโซเดียมไอออนครั้งแรกในอาเซียน

'สุริยะ' โชว์ผลสำเร็จการพัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใช้งานแล้ว นำกลับมาเป็นแบตเตอรี่ในยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก และเปิดตัวแบตเตอรี่โซเดียมไอออน (Na-ion Batteries) จากแร่เกลือหิน พร้อมโชว์รถต้นแบบครั้งแรกในอาเซียน 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้มีความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation–Driven Entrepreneurship) ผสมผสานกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตามนโยบาย BCG Model (Bio-Circular-Green (BCG) Economy) โดยการพัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพให้นำกลับมาใช้เป็นแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก (Second Life Electric Vehicle Batteries for Small Electric Vehicles) รวมทั้งการพัฒนาต้นแบบรถกอล์ฟไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EV Conversion)

ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ขานรับนโยบายดังกล่าว โดยมีการจัดทำมาตรฐานเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง และมีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ณ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่เป็นศูนย์กลางการออกแบบ วิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ จากข้อมูลผลการทดสอบพบว่า แบตเตอรี่ดังกล่าวจะมีอายุการใช้งานเทียบเท่ากับระยะเวลาการรับประกันแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ หรือไม่น้อยกว่า 8 ปี และสำหรับแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ ก็ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลเพื่อนำลิเทียมและสารประกอบโลหะในแบตเตอรี่กลับมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ใหม่ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกในไทย นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาแบตเตอรี่ทางเลือกที่ไทย โดยนำแร่เกลือหินซึ่งเป็นวัตถุดิบที่พบมากในประเทศไทยนำมาผลิตเป็นแบตเตอรี่โซเดียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และได้นำมาใช้งานได้จริงในจักรยานไฟฟ้าต้นแบบ (E-Bike) นับเป็นความสำเร็จครั้งแรกในอาเซียน

“ผลงานครั้งนี้ เป็นส่วนสำคัญในการรองรับนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้สามารถรักษาตำแหน่งการเป็นฐานการผลิตยานยนต์และก้าวไปสู่ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตได้ รวมทั้งเป็นคำตอบที่สำคัญของการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต สร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ (New Business Model) ตลอดห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และก่อให้เกิดระบบการบริหารจัดการแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าใช้งานแล้วที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร เพื่อป้องกันปัญหาขยะและมลพิษจากแบตเตอรี่ในอนาคต ด้วยการหมุนเวียนวัสดุที่ใช้แล้วภายในประเทศอย่างครบวงจรและยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนของรัฐบาล” นายสุริยะ กล่าว

'ยิ่งลักษณ์' ปลื้มน้องไปป์คว้ารางวัลคะแนนรวมสูงสุด ม.ดัง แม้ช่วงหนึ่งต้องเรียนทางไกลแบบ Learn From Home

(20 ต.ค. 65) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Yingluck Shinawatra ระบุว่า...

วันนี้มาร่วมงานรับรางวัลของลูกไปป์ หลังจากที่หลายปีก่อนแม่เศร้าและคิดถึงลูกมาก และอยากให้ลูกมาเรียนที่ต่างประเทศ แม่จะได้มีโอกาสดูแลลูกอย่างใกล้ชิด แต่ไปป์ขอให้แม่รอให้เรียนจนจบมัธยมปลายที่ประเทศไทยก่อน พร้อมสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนไม่ให้แม่ผิดหวัง เพื่อสอบเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่อิมพีเรียลคอลเลจ เนื่องจากมีสาขา Mechanical Engineering หรือวิศวกรรมเครื่องกลที่ไปป์สนใจ

'ท่านใหม่' แชร์พระราชกรณียกิจของ 'ในหลวง ร.10' ที่ทรงทำเพื่อคนไทยและหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน

ท่านใหม่โพสต์เฟซบุ๊กเล่าการทรงงานของในหลวง ร.10 ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ ทั้งในเรื่องทฤษฎีใหม่ และการทำโครงหนองนา

(20 ต.ค. 65) ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือท่านใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ผมอยากให้อ่านให้จบ แต่ถ้าไม่อยากอ่านเพราะยาวไป อ่านแค่ 8 บรรทัดก็พอครับ ไว้วันหลังอ่านต่อ อีก 8 บรรทัด ไปเรื่อยๆ ก็จบเองครับ

อยากจะมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการ #ทรงงานในปัจจุบัน ของในหลวง ร.10 ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อนครับ

ผมเองก็เพิ่งทราบนี่แหละครับ เพราะตามดูคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ การทำโคกหนองนา มาเรื่อย ๆ จนมีโอกาสได้มาดูคลิปนี้ของ อ.ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธร ครับ

คลิปนี้ อ.ยักษ์ บรรยายเรื่อง "การบูรณาการศาสตร์พระราชา ศาสตร์สากล และศาสตร์ชุมชน" บรรยายไว้เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2564 ความยาวเกือบ 3 ชม. แต่ผมตัดมาแค่บางช่วงที่ อ.ยักษ์ เล่าถึงการทรงงานของในหลวง และการถวายงานต่อในหลวง ร.10 ของ อ.ยักษ์ เองครับ

สรุปสิ่งที่ อ.ยักษ์ พูดในบางช่วงบางตอนนะครับ

- อ.ยักษ์ ท่านเริ่มด้วยการพูดถึงในหลวง ร.10 ว่าวัยรุ่นในยุคนี้ไม่ค่อยชอบท่านเท่าไหร่ แม้กระทั่งคนในรุ่น อ.ยักษ์ เองก็ได้ยินเรื่องข่าวลือต่าง ๆ นานา มาด้วยเหมือนกัน แต่พอได้มาเห็นการทรงงานของท่านมาเป็น 10 กว่าโครงการ หมด "เงินส่วนพระองค์" ไป #หลายหมื่นล้านจนอาจจะถึงแสนล้านด้วยซ้ำ ซึ่งเงินตรงนี้คนละส่วนกับงบประมาณแผ่นดินของทางราชการนะครับ และทุกโครงการล้วนทำเพื่อประชาชน

- ในทุก ๆ วันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินจะทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษให้กับนักโทษบางส่วน ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งมีนักโทษที่จะได้รับอภัยโทษมีประมาณ 3 หมื่นกว่าคน แล้ว ร.10 ท่านยังไม่ลงพระปรมาภิไธย (วีโต้) และท้วงติงไปว่าถ้าปล่อยออกไปตอนนี้จะดีหรือ เพราะตอนนี้คนตกงานกันเยอะ บริษัทก็ปิด วิศวกร หมอ และทุก ๆ คนลำบากกันหมด แล้วคนที่ออกจากเรือนจำ เป็นคนคุก ออกไปแล้วจะไปหากินได้อย่างไร ท่านจึงพระราชทานแนวทางมาให้ว่าให้ฝึกอบรมเกษตรทฤษฎีใหม่ในเรือนจำดู (แบบที่ท่านทำที่ราบ 11)

- อ.ยักษ์และทีมงานเป็นผู้เขียนแบบถวาย ดำเนินงานฝึกอบรม ตรงนี้อาจารย์เล่าว่าในระหว่างที่ทำงานถวายท่านเนี่ย ท่านจะให้ทำรายงานถวายทุกวัน เช้า-เย็น ต้องมีภาพและวิดีโอ ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้มาเบิกกับท่าน ท่านรู้ว่ากรมราชทัณฑ์ไม่มีงบประมาณตรงนี้ ท่านไม่อยากให้ไปกระทบกับงบประมาณของรัฐบาล ท่านให้มาเบิกกับท่านทุกอย่าง

- ท่านให้เปิดพร้อมกันทั้งหมดทั่วประเทศ 137 ศูนย์ฝึก ใช้เวลาแค่ 1 สัปดาห์ ซึ่งทำสำเร็จ และยังมีการฝึกอบรมต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบัน (อ.ยักษ์ บอกแกทำศูนย์ฝึกมา 20 ปี ได้แค่ 40 ศูนย์ 😅)

#จุดน่าสังเกตคือ ในทุก ๆ ภาพวาดฝีพระหัตถ์พระราชทาน ล้วนออกมาในช่วงเวลาที่งานมีความคืบหน้าไปในแต่ละขั้นตอน ซึ่ง อ.ยักษ์ ได้อธิบายในคลิปอย่างละเอียดในแต่ละรูป

-  ร.10 ท่านไม่ประสงค์จะให้ประชาสัมพันธ์ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา ใครจะว่าร้ายอย่างไรก็ปล่อยเขา อ.ยักษ์ บอกตรงนี้คงเป็นวิบากของท่าน เพราะทำดีแต่คนก็ยังด่า ยังเข้าใจแบบผิด ๆ

- ร.10 ท่านบอกว่าต้องทำโมเดลให้ออกมาทำตามง่าย เข้าใจไม่ยาก ให้ทำแบบ kiss คือ keep it simple, stupid (ตรงนี้ผมไปค้นหาที่มา พบว่าทฤษฎีนี้มาจาก U.S. Navy ครับ) ท่านบอกว่าท่านตามเสด็จพ่อกับแม่ท่านมา (ร.9 กับพระพันปี) ท่านไม่เห็นเคยได้ยินแบบที่ข้าราชการหรือนักวิชาการเอาไปเขียนเลย ท่านบอก ร.9 เนี่ยท่านให้ทำแบบง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ ชาวบ้านสามารถทำตามได้ (บางทีข้าราชการนำหลักการของท่านไปตีความและถ่ายทอดมาจนผิดเพี้ยนและเข้าใจยาก)

- อ.ยักษ์ สรุปคร่าว ๆ เกี่ยวกับโครงการที่ ร.10 ท่านทำ #บางโครงการ

10 ปีผ่านไป!! เส้นทางรถไฟฟ้ากรุงเทพฯ เปลี่ยนไปแค่ไหน?

โครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ต่อเนื่อง เป็นระบบขนส่งทางรางในเขตเมืองในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เริ่มเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2542 ในเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท (สถานีหมอชิต-สถานีอ่อนนุช) และรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีลม (สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สถานีสะพานตากสิน) 

นับเป็นระยะเวลากว่า 23 ปีที่ ประเทศไทยมีโครงข่ายรถไฟฟ้าฯ แต่หากย้อนกลับไปดู จะพบว่า ในช่วง 10 ปี หลังสุด เป็นช่วงที่มีการพัฒนาโครงข่ายเส้นทางอย่างก้าวกระโดด โดยในปัจจุบันมีรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้วทั้งสิ้น 8 สาย 141 สถานี ครอบคลุมระยะทางกว่า 211.94 กิโลเมตร 

และในช่วงต้นปี 2566 จะเปิดให้บริการอีก 2 สาย นั่นคือสายสีชมพู และสายสีเหลือง อีกทั้งจะมีรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพ และรถไฟความเร็วสูง ในเส้นทางต่างจังหวัด ทยอยเปิดให้บริการอีกหลายสายหลังจากนี้ 

‘ทิพานัน’ ยกยอดใช้จ่ายคนละครึ่ง3.4หมื่นล้าน ตอก ‘เพื่อไทย’ หลังขวางไม่เกิดประโยชน์ต่อศก.

‘ทิพานัน’ ยกยอดใช้จ่ายคนละครึ่ง3.4หมื่นล้าน ตอกเพื่อไทยขวางคนละครึ่ง ชี้ไม่เห็นแก่ประโยชน์ประชาชนกว่า25ล้านคน แต่กลับมีพฤติกรรมคล้ายหนุนนโยบายพานักโทษหนีคดีเพียง 2 คนกลับบ้าน

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยแสดงความคิดเห็นคัดค้านโครงการคนละครึ่งว่า ไม่ได้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจว่า โครงการคนละครึ่งที่เฉพาะเฟส 5 ที่กำลังดำเนินการอยู่นี้มีประชาชนกว่า 26.5 ล้านคนและร้านค้ารายย่อยเกือบ 1 ล้านรายได้ประโยชน์ และผลประโยชน์จากโครงการคนละครึ่งไม่ได้เป็นผลประโยชน์ของนักการเมือง แต่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนโดยตรง

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า เมื่อเอาตัวเลขข้อมูลมาพิจารณา พบว่าตัวเลขผู้ประกอบการร้านค้าเข้าร่วม 9.67 แสนราย เป็นผู้ประกอบการรายใหม่เฟส 5 ถึง 2.28 หมื่นราย แสดงถึงร้านค้ารายย่อยเป็นผู้รับประโยชน์โดยตรง และมีจากข้อมูลล่าสุดคนละครึ่งเฟส 5 ที่มียอดใช้จ่ายสะสมถึง 34,310.23 ล้านบาท (ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 16 ต.ค. 65) 

เห็นได้ชัดว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จจริงในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย เป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบและยั่งยืนได้ จึงไม่ใช่โครงการที่เป็นการเสียเงินไปฟรี ๆ ตามที่นายพิชัยแสดงความเห็นแบบไร้ข้อมูล

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การที่นายพิชัยเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้สินมากกว่าโครงการคนละครึ่งนั้น ต้องถามว่า นายพิชัยไปอยู่ดูไบมาหรืออย่างไร ถึงไม่รู้ว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้าเจาะรายบุคคล และประกาศให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลังและเจ้าหนี้ 65 ราย ได้ขานรับนโยบายของรัฐบาล จัดกิจกรรม 'มหกรรมร่วมใจแก้หนี้' ขึ้น เปิดให้ลงทะเบียนทางออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 65 เพื่อให้ลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้จากผลกระทบวิกฤติโควิด-19 ปัญหาค่าครองชีพ สามารถแก้ไขหนี้และเริ่มต้นใหม่ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีโครงการสัญจรด้วย ซึ่งทางธนาคารของรัฐ อาทิ ธนาคารออมสิน / ธ.อ.ส. / ธ.ก.ส. และธนาคารกรุงไทย จะจัด 'มหกรรมร่วมใจแก้หนี้สัญจร' ใน 5 อีกจังหวัด  

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ส่วนในกรณีลูกหนี้ไม่สามารถเข้าร่วมมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ได้ ก็ยังมีช่องทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ เช่นกรณีหนี้เสียบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน สามารถเข้าร่วมโครงการ 'คลินิกแก้หนี้' และมีโครงการ 'ทางด่วนแก้หนี้' เป็นช่องทางเสริมเพื่อขอรับความช่วยเหลือด้านการชำระหนี้ ในขณะที่ลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจสามรถขอรับคำปรึกษาแก้ไขหนี้ผ่านทางโครงการ ‘หมอหนี้เพื่อประชาชนได้’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top