'ท่านใหม่' แชร์พระราชกรณียกิจของ 'ในหลวง ร.10' ที่ทรงทำเพื่อคนไทยและหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน

ท่านใหม่โพสต์เฟซบุ๊กเล่าการทรงงานของในหลวง ร.10 ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ ทั้งในเรื่องทฤษฎีใหม่ และการทำโครงหนองนา

(20 ต.ค. 65) ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือท่านใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ผมอยากให้อ่านให้จบ แต่ถ้าไม่อยากอ่านเพราะยาวไป อ่านแค่ 8 บรรทัดก็พอครับ ไว้วันหลังอ่านต่อ อีก 8 บรรทัด ไปเรื่อยๆ ก็จบเองครับ

อยากจะมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการ #ทรงงานในปัจจุบัน ของในหลวง ร.10 ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อนครับ

ผมเองก็เพิ่งทราบนี่แหละครับ เพราะตามดูคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ การทำโคกหนองนา มาเรื่อย ๆ จนมีโอกาสได้มาดูคลิปนี้ของ อ.ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธร ครับ

คลิปนี้ อ.ยักษ์ บรรยายเรื่อง "การบูรณาการศาสตร์พระราชา ศาสตร์สากล และศาสตร์ชุมชน" บรรยายไว้เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2564 ความยาวเกือบ 3 ชม. แต่ผมตัดมาแค่บางช่วงที่ อ.ยักษ์ เล่าถึงการทรงงานของในหลวง และการถวายงานต่อในหลวง ร.10 ของ อ.ยักษ์ เองครับ

สรุปสิ่งที่ อ.ยักษ์ พูดในบางช่วงบางตอนนะครับ

- อ.ยักษ์ ท่านเริ่มด้วยการพูดถึงในหลวง ร.10 ว่าวัยรุ่นในยุคนี้ไม่ค่อยชอบท่านเท่าไหร่ แม้กระทั่งคนในรุ่น อ.ยักษ์ เองก็ได้ยินเรื่องข่าวลือต่าง ๆ นานา มาด้วยเหมือนกัน แต่พอได้มาเห็นการทรงงานของท่านมาเป็น 10 กว่าโครงการ หมด "เงินส่วนพระองค์" ไป #หลายหมื่นล้านจนอาจจะถึงแสนล้านด้วยซ้ำ ซึ่งเงินตรงนี้คนละส่วนกับงบประมาณแผ่นดินของทางราชการนะครับ และทุกโครงการล้วนทำเพื่อประชาชน

- ในทุก ๆ วันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินจะทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษให้กับนักโทษบางส่วน ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งมีนักโทษที่จะได้รับอภัยโทษมีประมาณ 3 หมื่นกว่าคน แล้ว ร.10 ท่านยังไม่ลงพระปรมาภิไธย (วีโต้) และท้วงติงไปว่าถ้าปล่อยออกไปตอนนี้จะดีหรือ เพราะตอนนี้คนตกงานกันเยอะ บริษัทก็ปิด วิศวกร หมอ และทุก ๆ คนลำบากกันหมด แล้วคนที่ออกจากเรือนจำ เป็นคนคุก ออกไปแล้วจะไปหากินได้อย่างไร ท่านจึงพระราชทานแนวทางมาให้ว่าให้ฝึกอบรมเกษตรทฤษฎีใหม่ในเรือนจำดู (แบบที่ท่านทำที่ราบ 11)

- อ.ยักษ์และทีมงานเป็นผู้เขียนแบบถวาย ดำเนินงานฝึกอบรม ตรงนี้อาจารย์เล่าว่าในระหว่างที่ทำงานถวายท่านเนี่ย ท่านจะให้ทำรายงานถวายทุกวัน เช้า-เย็น ต้องมีภาพและวิดีโอ ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้มาเบิกกับท่าน ท่านรู้ว่ากรมราชทัณฑ์ไม่มีงบประมาณตรงนี้ ท่านไม่อยากให้ไปกระทบกับงบประมาณของรัฐบาล ท่านให้มาเบิกกับท่านทุกอย่าง

- ท่านให้เปิดพร้อมกันทั้งหมดทั่วประเทศ 137 ศูนย์ฝึก ใช้เวลาแค่ 1 สัปดาห์ ซึ่งทำสำเร็จ และยังมีการฝึกอบรมต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบัน (อ.ยักษ์ บอกแกทำศูนย์ฝึกมา 20 ปี ได้แค่ 40 ศูนย์ 😅)

#จุดน่าสังเกตคือ ในทุก ๆ ภาพวาดฝีพระหัตถ์พระราชทาน ล้วนออกมาในช่วงเวลาที่งานมีความคืบหน้าไปในแต่ละขั้นตอน ซึ่ง อ.ยักษ์ ได้อธิบายในคลิปอย่างละเอียดในแต่ละรูป

-  ร.10 ท่านไม่ประสงค์จะให้ประชาสัมพันธ์ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา ใครจะว่าร้ายอย่างไรก็ปล่อยเขา อ.ยักษ์ บอกตรงนี้คงเป็นวิบากของท่าน เพราะทำดีแต่คนก็ยังด่า ยังเข้าใจแบบผิด ๆ

- ร.10 ท่านบอกว่าต้องทำโมเดลให้ออกมาทำตามง่าย เข้าใจไม่ยาก ให้ทำแบบ kiss คือ keep it simple, stupid (ตรงนี้ผมไปค้นหาที่มา พบว่าทฤษฎีนี้มาจาก U.S. Navy ครับ) ท่านบอกว่าท่านตามเสด็จพ่อกับแม่ท่านมา (ร.9 กับพระพันปี) ท่านไม่เห็นเคยได้ยินแบบที่ข้าราชการหรือนักวิชาการเอาไปเขียนเลย ท่านบอก ร.9 เนี่ยท่านให้ทำแบบง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ ชาวบ้านสามารถทำตามได้ (บางทีข้าราชการนำหลักการของท่านไปตีความและถ่ายทอดมาจนผิดเพี้ยนและเข้าใจยาก)

- อ.ยักษ์ สรุปคร่าว ๆ เกี่ยวกับโครงการที่ ร.10 ท่านทำ #บางโครงการ

1) ตั้งโรงเรียนจิตอาสาฝึกอบรม (เข้าใจว่าในวัง) เพราะท่านเห็นว่าระบบราชการในปัจจุบันนี้สู้กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกไม่ได้

2) ระดมคนที่ผ่านการฝึกอบรมจิตอาสามาตั้งศูนย์ฝึกที่ราบ 11 ในพื้นที่ 200 กว่าไร่

3) จัดโครงการ 8 วิธีแบบง่าย ๆ ส่งจิตอาสาไปช่วยภาครัฐสู้กับภัยแล้ง

4) นำนักเรียนจิตอาสารุ่นที่ 2 ไปร่วมมือกับเครือข่ายชาวบ้าน ไปทดลองทำป่าต้นน้ำที่ต้นน้ำน่าน ทำไว้เป็นต้นแบบ และให้ไปช่วยเหลือกันทั่วประเทศเพื่อฟื้นฟูป่าต้นน้ำ

5) คนตกงานกันมากหลังจาก COVID-19 โดยให้นำฟาร์มตัวอย่างของพระพันปีหลวงไปรองรับคนพันกว่าคนใน 30 ฟาร์ม โดยภายใน 1 เดือนแรกต้องให้มีกินให้ได้ จะปลูกถั่วงอก ผักบุ้ง หรืออะไรก็ได้ และต้องมีเหลือไปฝากพ่อกับแม่ หรือว่าเอาไปแจกจ่ายให้กับคนที่ตกงานและไม่มีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในฟาร์ม ยังไม่ให้ขาย ค่อยขายตอนรอต่อยอดไปเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม เอาไปแปรรูป ท่านอยากให้มีบริษัทในชุมชน ประมาณนี้

6) 137 ศูนย์ฝึกในเรือนจำ

7) ไปพัฒนาโรงเรียนแบบ PBL - Project-Based Learning (แนวคิดของ John Dewey) เป็นการเรียนรู้จากปัญหาจริง โดยเริ่มจากโรงเรียนมัธยมในจังหวัดน่านก่อน โดยเน้นจาก

7.1 เปิดห้องเรียนเอาปัญหาจากภายในมาศึกษา (ครอบครัว ชุมชน) ไม่ใช่ศึกษาแต่ปัญหาของต่างประเทศ
7.2 ใช้การเรียนแบบ active learning แก้ปัญหาร่วมกันทั้ง ครู พ่อแม่ และนักเรียน
7.3 เปลี่ยนวิธีการประเมิน จากที่เคยใช้ kpi มาใช้ okr competency assessment (การประเมินสมรรถนะ)

พระราชทานที่ดินในพระตำหนักอาคารทรงไทย (ที่ ๆ ร.5 นั่งทอดปลาทู) ทำโครงการกตัญญูต่อ ร.5 และต่อพระราชบิดา (ร.9) พระราชมารดา โดยจะนำเอาองค์ความรู้ที่ ร.9 ทำมาตลอดกว่า 70 ปี มาย่อให้เข้าใจง่าย ๆ แบบ kiss - keep it simple, stupid *รูปแบบโครงการนี้มีในภาพวาดฝีพระหัตถ์

- ร.10 ท่านเรียนภาษาบาลี สันสกฤต และภาษาเทวะนาคี เพื่อต้องการที่จะทราบว่าวิถีที่คนในอดีตเขาทำ เขาทำกันอย่างไร เพราะพ่อท่าน (ร.9) เคยบอกว่าพื้นที่ตรงนี้เมื่อก่อนนั้นเคยมั่งคั่งและเป็นจุดยุทธศาสตร์ ท่านก็เลยอยากจะรู้ตรงนี้

- ร.10 ท่านเริ่มโครงการต่าง ๆ จากในบ้านท่านก่อน คือในวัง แล้วตามด้วยข้าราชบริพาร ท่านให้เข้าฝึกอบรม ทำงานเป็นกลุ่ม ๆ ออกแบบโคกหนองนา ท่านรับสั่งกับข้าราชบริพารว่า "อย่าใกล้เกลือกินด่าง"

สรุป โครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการโคกหนองนาเนี่ย ท่านเริ่มจากการใช้เงินส่วนพระองค์ของท่านล้วน ๆ ท่านศึกษาอย่างละเอียด จะแตกต่างจากของที่หน่วยงานราชการเอาไปทำเอง ก็คือของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ตรงนี้ต้องเข้าใจด้วยว่าไม่ได้เกี่ยวกับท่านแล้วนะครับ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ ที่พอเอาหลักทฤษฎีมาปฏิบัติจริงแล้ว มันไม่มีทางที่จะสำเร็จลุล่วงแบบ 100% มันก็ต้องมีอุปสรรคบ้าง ก็ต้องแก้ไขกันต่อไป โดยเฉพาะเวลานำไปใช้กับคนหมู่มาก กับคนทั่วประเทศ ย่อมต้องเจอปัญหา เช่นที่ จ.มหาสารคาม เป็นต้น

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะต่อให้มีทุน มีทรัพยากรที่ดี และพร้อมมากเท่าไร แต่ตัวคนที่บริหารจัดการไม่พร้อม ไม่มีความอดทน ไม่มีความเชื่อมั่น มันก็ยากครับที่จะมีโอกาสประสบผลสำเร็จ ในทางกลับกันถ้ามีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีความเพียร มีองค์ความรู้ที่แน่น ต่อให้ไม่มีทุนมากพอหรือไม่ได้มีทรัพยากรที่เพียบพร้อม โอกาสที่จะสำเร็จมันก็ยังพอมีครับ เพราะคนแบบนี้จะวิ่งเข้าหาโอกาสครับ กลุ่มต่าง ๆ ที่คอยแลกเปลี่ยนช่วยเหลือกันยังมีอีกมากในสังคมเราครับ

เริ่มทำสิ่งที่ดีเพื่อตัวเราและประเทศชาติในวันนี้ดีกว่าไม่ทำแล้วเอาแต่วิจารณ์ครับ แบบพวกตรรกะเก่งหลังเกมส์นี่ไม่ไหวครับ 555

ผมชอบที่ อ.ยักษ์พูดอยู่อย่างคือ "เราไม่ได้มีหน้าที่เถียง" ใครจะคิดอย่างไรช่างเขา ตราบใดที่เราไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนนะครับ ฉะนั้นแล้วใครจะไม่เชื่อ จะด่าหรือเยาะเย้ยก็ช่างเขาครับ เราแชร์ให้กับคนที่เขาอยากรับรู้ก็พอครับ

คลิปเต็ม ๆ
https://youtu.be/Dr52QmKeTwA

ขอบคุณช่อง KU Radio Thailand ครับ

หากผิดพลาดประมาณใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ


ที่มา : https://www.thaipost.net/x-cite-news/246228/