Tuesday, 13 May 2025
Hard News Team

‘วรวัจน์’ เผย ‘ภูเก็ต’ สาหัส ถนนเข้าหาดถูกตัดขาด-ภูเขาอุ้มน้ำ ดินกำลังสไลด์ จี้ รบ.เร่งแก้-ป้องกันระยะสั้น พร้อมเสนอวางแนวทางแก้ระยะยาว

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อเป็นกระบอกเสียงสะท้อนปัญหาให้ประชาชนหลังอาสาพรรคเพื่อไทยในพื้นที่แจ้งว่าปัญหาน้ำท่วมเนื่องจากฝนตกหนักในรอบ 16 ปี ทำให้จังหวัดภูเก็ตได้รับผลกระทบหนักมากกว่าภาพที่ถูกเสนอออกไป

โดยนายวรวัจน์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบว่าขณะนี้เส้นทางเข้าหาดป่าตองแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ  ถนนพังถล่ม และเส้นทางถูกตัดขาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ถนนสายอื่นๆก็เกิดเหตุในลักษณะเดียวกันนี้ด้วยแต่ที่น่าเป็นห่วงมากไปกว่านี้คือ พื้นที่จังหวัดภูเก็ตมีลักษณะเป็นเขา ซึ่งขณะนี้ภูเขาอุ้มน้ำเนื่องจากฝนตกลงมาปริมาณมาก ดินและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนเขากำลังจะถล่มลงมา และอาจโดนบ้านเรือนที่อยู่บริเวณตีนเขาด้วย สถานการณ์ภูเก็ตในวันนี้หนักกว่าภาพข่าวที่ออกไปเป็นอย่างมาก คนภูเก็ตกำลังเดือดร้อนและกังวลหนักเนื่องจากภูเก็ตเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ 

คึกคัก ร่วมส่งกำลังใจให้โตโน่ว่ายน้ำข้ามโขง ยอดบริจาคทะลุ 36 ล้านบาท

คึกคัก ร่วมส่งกำลังใจให้โตโน่ว่ายน้ำข้ามโขง ยอดบริจาคทะลุ 36 ล้านบาท

วันที่ 22 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นสถานที่จุดเริ่มต้นว่ายน้ำข้ามโขง ONE MAN AND THE RIVER หนึ่งคนว่าย หลายคนให้ ที่พระเอกหนุ่มโตโน่ - ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ดาราศิลปินนักร้องชื่อดัง ต้องการระดมทุนเพื่อระดมทุนจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลนครพนม และ สปป.ลาว บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชน และนักท่องเที่ยว ตลอดจนผู้ที่เดินทางมาให้กำลังใจ ร่วมลุ้น และเชียร์ให้กิจกรรมในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงตามจุดประสงค์เป็นจำนวนมาก

ก่อนการเริ่มว่ายน้ำ ทุกคนได้ร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวงองค์พญาศรีสัตตนาคราช มีพระอาจารย์เทพนรินทร์ ชินรังสี เจ้าอาวาสวัดเทพนรินทราราม เป็นประธานนำประกอบพิธี จากนั้นเป็นการรำถวายจากคณะดาราสาว ที่ประกอบไปด้วย ณิชา ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์ แฟนสาวของโตโน่  ฮาน่า ฮาน่า ลีวิส,  ไข่มุก รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช, แม็กกี้ อาภา ภาวิไล, แบมบี้ สิรินโสพิศ ปัจฉิมสวัสดิ์, แป้ง ดาริน ตาแปง, พิมพ์ ประพิมภรณ์ พิมพาและ อีฟ ไอยวริญร์ ชื่นชอบ และนางรำท้องถิ่นอีก 280 

สภาพอากาศในวันนี้เริ่มมีฝนตกโปรยปรายลงมาตั้งตีสี่ กระทั่งก่อนเริ่มพิธีฝนได้หยุดตก และเมื่อบวงสรวงเสร็จฟ้าก็เปิด มีแสงสว่างและลมโชยมาเป็นระยะๆ ซึ่งพอดีกับการเปิดงานโดยนายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตามมาด้วยการกล่าวขอบคุณของ นายแพทย์ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม และนายแพทย์แก้วอุดม หลอดทัมมะวง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแขวงคำม่วน  

ทั้งนี้ยอดรับบริจาคจาก เว็บเทใจ ( https://taejai.com/th/d/onemanandtheriver/) ได้เปิดเผยยอดบริจาคแบบออนไลน์ในกิจกรรมครั้งนี้ ซึ่งเมื่อเวลา 12.30 น.มียอดบริจาคเข้ามาแล้ว 36,189,263 บาท โดยยังเปิดรับบริจาคไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 สำหรับการว่ายจะขึ้นฝั่งที่บริเวณท่าน้ำวัดกลางที่อยู่ห่างออกไปจากลานพญาศรีสัตตนาคราชประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อทำกิจกรรมรับบริจาคจากชาวบ้านที่มาร่วมกิจกรรมและไหว้พระประธานในโบสถ์เพื่อขอพร 

หลังจากนั้นลงว่ายน้ำอีกครั้งไปขึ้นที่ท่าน้ำศาลาแสงสิงแก้ว บริเวณหน้าวัดพระอินทร์แปลง พร้อมทำกิจกรรมรับบริจาคอีกครั้ง ก่อนที่จะลงว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นฝั่ง สปป.ลาว ที่ท่าน้ำวัดพระธาตุศรีโคตรตะบอง เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน และทำกิจกรรมที่วัด ก่อนจะเดินทางไปที่โรงพยาบาลแขวงคำม่วน เพื่อพบปะกับทีมแพทย์และพยาบาล 

จากนั้นพักรับประทานอาหารและพักผ่อนที่โรงแรมริเวอร์เรีย ริมฝั่งโขง เมืองท่าแขก และลงว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงที่หาดทราย บ้านนาเมือง ที่อยู่ทางตอนเหนือของเมืองท่าแขก กลับมาที่บริเวณท่าน้ำองค์พญาศรีสัตตนาคราชอีกครั้ง ซึ่งตามกำหนดการณ์ คาดว่าโตโน่จะขึ้นฝั่งไทยอีกครั้งในเวลาประมาณ 16.30 น. ซึ่งเมื่อถึงฝั่งแล้วจะนำเอาอุปกรณ์ที่ใส่ว่ายน้ำมาเปิดประมูลเพื่อสมทบทุนเพิ่มเติมอีกด้วย

โดยก่อนการออกว่ายในครั้งนี้ โตโน่ - ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ได้กล่าวว่า ทั่วโลกต่างต้องการที่จะเห็นสิ่งนี้ นั่นคือความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำใจ ซึ่งได้เกิดขึ้นกับคนไทยและคนลาวแล้วที่นครพนม สิ่งนี้เป็นภาพที่สวยงามมาก ตนเองจะจดจำวันนี้ไว้ไปตลอดชีวิต เพราะเป็นวันที่ตนเองภูมิใจและมีความสุขที่สุด ซึ่งการรำถวายก็เป็นการรำที่สวยที่สุดในชีวิตตั้งแต่เคยเห็นมา ไม่ใช่สวยเฉพาะท่ารำ หรือเสื้อผ้า แต่ยังสวยด้วยน้ำใจและหัวใจที่ทุกคนมาช่วยกัน ขอบคุณที่ทำให้รู้จักกับคำว่าเสียสละ รู้จักคำว่าส่วนรวม รู้จักคำว่าสมัครสมานสามัคคี วันนี้ตนเองอาจจะพูดไม่เยอะ เพราะต้องเก็บแรงเอาไว้ไหว้น้ำ ขอไหว้ไปหาพ่อแม่พี่น้องฝั่งลาวก่อน แล้วจะว่ายกลับมาหาทุกคนที่นี่อีกครั้ง 

‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ ร่วมพิธีเปิดงาน ‘ดิวาลีเทศกาลแห่งแสงสว่าง’ ร่วมจุดเทียนชัย สัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นใหม่ เปรียบเสมือนชัยชนะฝ่ายดีเหนือฝ่ายร้าย แสงสว่างสดใสแห่งอนาคตชนะความมืดมนในอดีตอันเลวร้าย

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหารพรรค, ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรค, นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรค และส.ก.พรรคเพื่อไทยร่วมพิธีเปิดงาน ‘ดิวาลีเทศกาลแห่งแสงสว่าง’ หรือ Deepavali Bangkok Festival 2022 จัดโดย กรุงเทพมหานคร ร่วมกับสมาคมอินเดียแห่งประเทศไทย (IAT) เครือข่ายพันธมิตรภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจของกลุ่มผู้ประกอบการชาวไทยเชื้อสายอินเดีย กลุ่มชาวอินเดียในประเทศไทย จัดขึ้นที่ย่านลิตเติ้ลอินเดีย, พาหุรัด และคลองโอ่งอ่าง กรุงเทพมหานคร มีพิธีเปิดเมื่อเย็นที่ผ่านมา โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมกันนี้ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ได้ร่วมบูชาองค์พระพิฆเนศและพระแม่ลักษมี จุดเทียนชัยและกล่าวอวยพรในโอกาสเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลีว่ารู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณที่ได้มีโอกาสมาร่วมพิธีเปิดงานดังกล่าว เพราะความหมายของเทศกาลดิวาลี คือเทศกาลที่จะเป็นการนำแสงสว่างอันสดใสในอนาคตมาไล่ความความมืดมิดในอดีต ขอร่วมตั้งจิตอธิษฐานต่อองค์เทพเจ้าเพื่อให้นำพาสิ่งที่ดีกว่าประเสริฐกว่าในอนาคตมาสู่ชีวิตที่ดีของพวกเราทุกคน

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่าเทศกาลดิวาลีเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองสำหรับคนเชื้อสายอินเดียทั้งชาวฮินดู ชาวซิกซ์ และเชนส์ที่จัดขึ้นทั่วโลก สิ่งที่เห็นวันนี้คือความสว่างไสวจากแสงในตะเกียงดวงน้อย นับร้อยนับพันที่ทวีกำลังเป็นพลังแสงอันยิ่งใหญ่ รอยยิ้มและความสุข เทศกาลนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนเชื้อสายอินเดียที่มาร่วมงานเฉลิมฉลอง เยี่ยมเยือนพี่น้องครอบครัวที่มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ซึ่งจะก่อให้เกิดความผูกพันแน่นแฟ้นต่อแผ่นดินไทยยาวนานยิ่งขึ้น  การร่วมแรงร่วมใจในการจัดงานเทศกาลดิวาลีให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นในทุกปี จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจและส่งเสริมเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากประเทศอินเดียและนักท่องเที่ยวเชื้อสายอินเดียจากทั่วโลก รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติได้เดินทางมาร่วมเฉลิมฉลอง และท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19 สิ้นลง เพิ่มรายได้เพิ่มเงินในกระเป๋าแก่ผู้คนในชุมชนลิตเติ้ลอินเดีย ย่านเมืองเก่าแห่งนี้ และฟื้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวของไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ

ในหลวง ร.10 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ‘พล.อ.บัณฑิตย์’ เป็นองคมนตรีใหม่

(22 ต.ค.65) เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศ เรื่อง แต่งตั้งองคมนตรี มีรายละเอียดดังนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า...

ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งองคมนตรีตามประกาศ ลงวันที่ 24 มีนาคม พุทธศักราช 2565 แล้วนั้น

บัดนี้ ทรงพระราชดำริเห็นเป็นการสมควรแต่งต้ังองคมนตรีเพิ่มขึ้น

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง พลเอก บัณฑิตย์ มลายอริศูนย์ เป็น องคมนตรี

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 21 ตุลาคม พุทธศักราช 2565 เป็นปีที่ 7 ในรัชกาลปัจจุบัน

สำหรับ พลเอก บัณฑิตย์ มลายอริศูนย์ เกิดเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๑ 

***ประวัติ***
- โรงเรียนกลาโหมอุทิศ พ.ศ.๒๔๙๗ 
- โรงเรียนนายร้อยทหารบก (นตท.๑๕พ.ศ.๒๔๙๙ 
- โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พ.ศ.๒๕๐๔
- หลักสูตรทหารร่มและการรบพิเศษ รร.ร.ศร. รุ่นที่ ๑๒ พ.ศ.๒๕๐๘ 
- หลักสูตรการรบพิเศษ ฟอร์ดแบรก์ก สหรัฐอเมริกา พ.ศ.๒๕๐๙ 
- หลักสูตรแทรกซึมเบื้องสูง ฟอร์ดแบรก์ก สหรัฐอเมริกา พ.ศ.๒๕๐๙ 
- หลักสูตรชั้นนายพัน รร.ร.ศร. รุ่นที่ ๑๘ พ.ศ.๒๕๑๑ 
- หลักสูตรหลักประจำ รร.สธ.ทบ. ชุดที่ ๔๘ พ.ศ.๒๕๑๒

'ดีอีเอส' วอน ประชาชนชัวร์ก่อนแชร์ 'ข่าวปลอม' หลังข่าวปลอม นโยบายรัฐพุ่ง สวนกระแสข่าวปลอมโควิด

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมสัปดาห์ล่าสุด พบข่าวปลอมนโยบายรัฐบาล เกินครึ่ง จำนวน 55 เรื่อง ขณะที่ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติมีเพียง 9 เรื่อง

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า สรุปผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอมประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 14- 20 ตุลาคม 2565 โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พบข้อความที่เข้ามาจำนวน 10,638,847 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 256 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 109 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นเรื่องโควิด-19 จำนวน 2 เรื่อง

ทั้งนี้ ดีอีเอสได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจ เป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย...

กลุ่มที่ 1 ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศจำนวน 55 เรื่อง อาทิ ทำใบขับขี่แบบเร่งด่วนจากขนส่ง กทม. ผ่านช่องทางออนไลน์ และ กรมการจัดหางาน รับสมัครพนักงานออนไลน์ ตำแหน่งแจกจ่ายสินค้าทั่วประเทศ เป็นต้น

กลุ่มที่ 2 ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย จำนวน 34 เรื่อง อาทิ ผลิตภัณฑ์กัญชา จากกระทรวงสาธารณสุข และ เลือดเป็นกรด ทำให้ร่ายกายเซื่องซึม​ เหนื่อยง่าย ปวดหัว และอาจเป็นลมได้ เป็นต้น

กลุ่มที่ 3 ข่าวปลอมเรื่องเศรษฐกิจ จำนวน 11 เรื่อง อาทิ เกาหลี เปิดรับแรงงาน 5 อาชีพ ไม่ใช้วุฒิการศึกษา เงินเดือนสูงสุด 70,000 บาท และ ธกส.แจ้งเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา 16 ต.ค 65 รับทั้งหมด 4.68 ล้านคน เป็นต้น

และกลุ่มที่ 4 ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติ จำนวน 9 เรื่อง อาทิ บริเวณทะเลจีนใต้ จะมีพายุก่อตัวหลายลูก ในช่วงปลายเดือนตุลาคม และเส้นทางพายุที่คาดว่าจะใช้ชื่อ ไห่ถาง จะเข้าภาคอีสาน ทางจ.มุกดาหาร และจ.อำนาจเจริญ ในอีก 10 วัน เป็นต้น

ทั้งนี้ข่าวปลอมทั้ง 4 กลุ่มมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องโควิด-19 จำนวน 2 เรื่อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจลำดับต้นๆ ในสัปดาห์ล่าสุดนี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็นข่าวปลอมด้านเศรษฐกิจ

สำหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด 10 อันดับระหว่างวันที่ 14 - 20 ตุลาคม 2565 มีดังนี้...

อันดับที่ 1 เรื่อง เสพกัญชาทำให้เชื้อโควิด 19 ฝังตัวไม่ได้

อันดับที่ 2 เรื่อง เคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ำตาม วันละ 3 เม็ด รักษามะเร็งระยะสุดท้าย เห็นผลใน 1 เดือน

อันดับ 3 เรื่อง เพจธนาคารออมสินจำกัดเชื่อมต่อกับธนาคารออมสินโดยตรง

อันดับที่ 4 เรื่อง เพจบน Facebook และ Line เชิญชวนลงทุนหุ้นยักษ์ใหญ่ระดับโลกเพียง 1,000 สำหรับมือใหม่ รับปันผล 20,XXX / เดือน ใช้โลโก้และจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายทำตามหลักของสำนักงาน ก.ล.ต.

อันดับที่ 5 เรื่อง ทำใบขับขี่แบบเร่งด่วนจากขนส่ง กทม. ผ่านช่องทางออนไลน์

อันดับที่ 6 เรื่อง ออมสินส่ง SMS ให้ประชาชนได้รับสิทธิ์ยื่นขอสินเชื่อ GSB จำนวน 65,000 บาท ผ่านลิงก์

อันดับที่ 7 เรื่อง ดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้ว เป็นตัวช่วยลดการเกิดอาการหัวใจล้มเหลว

อันดับที่ 8 เรื่อง เกาหลีเปิดรับแรงงาน 5 อาชีพ ไม่ใช้วุฒิการศึกษา เงินเดือนสูงสุด 70,000 บาท

อันดับที่ 9 เรื่อง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดลงทุนหุ้นด้วยพอร์ต 1,000 บาท รับปันผล 5,000 บาท

อันดับที่ 10 เรื่อง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดลงทุนเพื่อหาค่าข้าว วันละ 1,000 บาท ด้วยบิทคอยน์

'ชาติพัฒนากล้า' เตรียมเปิดนโยบายปลายปีนี้ ชู!! 'แก้ปัญหาปากท้อง-สร้างโอกาสศก.ระยะยาว'

'ชาติพัฒนากล้า' รวมทีมร่างนโยบาย สู้ศึกเลือกตั้ง 'กรณ์' ย้ำแนวทางแก้ปัญหาความเดือดร้อน - สร้างโอกาสระยะยาว เตรียมเปิดนโยบายภายในปลายปีนี้ มั่นใจทีมเศรษฐกิจ รวมตัวท็อปไม่แพ้พรรคอื่น

พรรคชาติพัฒนากล้า โดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค, นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค และคณะผู้บริหารพรรคพร้อมทีมนโยบาย ประชุมเตรียมความพร้อมนโยบายพรรคที่จะสื่อสารออกต่อสาธารณะ เตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น

นายกรณ์ กล่าวว่า หลังจากที่มีการปรับทัพพรรคชาติพัฒนากล้า เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เรามีความตั้งใจช่วยบ้านเมือง ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย สร้างโอกาส สร้างรายได้เพิ่มให้กับประเทศชาติและประชาชน จึงเอาแนวความคิดทางนโนบายของทั้งสองพรรคเดิม ที่เคยมีขับเคลื่อนนโยบายไว้ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนของพรรคต่อไป โดยได้สรุปแนวทางคือ 1.) ประเด็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ไขโดยเร็ว เช่น ราคาน้ำมันแพง ค่าไฟแพง ปัญหาหนี้สิน และ 2.) การสร้างโอกาสระยะยาวให้กับประชาชน บนหลักการวิเคราะห์แนวโน้มโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ต้องผลักดันจุดแข็งของประเทศ เสริมสร้างให้ดีกว่าเดิม เพื่อเป็นโอกาสสร้างรายได้ โดยไม่เกินปลายปีนี้ เราจะเริ่มเปิดแนวความคิดของชาติพัฒนากล้า ให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้ 

"เรามีแนวความคิดดีๆ หลายเรื่อง ซึ่งต้องอาศัย ความกล้าเป็นตัวแทนของประชาชน ในการต่อสู้กับโครงสร้างหรือระบบที่เป็นตัวถ่วงโอกาสของประชาชน ต้องอาศัยพลังทางการเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุที่เรามาจับมือกัน เพื่อมีพลังที่มากขึ้น ในการที่ปลดล็อกโครงสร้างที่ล้าหลังมานาน และปลดแอกประชาชน เพิ่มโอกาสในการหารายได้ในอนาคต" นายกรณ์ กล่าว

'รัฐบาล' ชี้!! หยุดยาว 22-25 ต.ค.นี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดให้จอดรถฟรี

'ทิพานัน' แจ้ง!! วันหยุดยาววันปิยมหาราช ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดให้ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการจอดรถฟรี ณ ลานจอดรถระยะยาว โซน C   ตั้งแต่ 21-25 ตุลาคมนี้
.
(22 ต.ค.65) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องในวันหยุดยาวติดต่อกัน3 วัน ในช่วงวันหยุดชดเชยวันปิยมหาราช 22-24 ตุลาคมนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าใจถึงความต้องการของประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด ทั้งนี้เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน รวมทั้งกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) จึงได้ทำการยกเว้นอัตราค่าบริการจอดรถที่ลานจอดรถระยะยาว (Long Term Parking) โซน C ซึ่งสามารถจอดรถได้จำนวน 718 คัน โดยผู้โดยสาร และผู้ใช้บริการสามารถนำรถยนต์เข้ามาจอดฟรี ระหว่างวันที่ 21-25 ต.ค.65 ได้ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 21 ตุลาคม 2565 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 25 ต.ค.2565 รวม 5 วัน
.
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พร้อมกันนี้ทาง ทสภ. ยังได้จัดรถชัตเติ้ลบัส สาย A วิ่งให้บริการรับ-ส่ง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ระหว่างลานจอดรถระยะยาวโซน C และอาคารผู้โดยสารทุกๆ 15 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย

ผงะ!! ความจริงในโลกโซเชียล กว่า 90% ปั่นกระแส 'ไล่นายกฯ-เลิก112' มาจากต่างประเทศ

(22 ต.ค.65) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยข้อมูลโลกออนไลน์ เรื่อง ความจริงในโลกโซเชียล กรณีศึกษาข้อมูลในโลกโซเชียล ผ่านเทคโนโลยีที่ประยุกต์ใช้กรอบการปฏิบัติการข้อมูลขั้นสุทธิ (Net Assessment) และระเบียบวิธีวิทยาการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Methodology) จากแหล่งข้อมูลพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียของกลุ่มบัญชีผู้ใช้สื่อออนไลน์ในประเทศและต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 10 กันยายน ถึง 21 ตุลาคม พ.ศ.2565 ที่ผ่านมา
.
ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ ความจริงในโลกโซเชียลทางการเมืองในการศึกษาครั้งนี้คือ การปลุกปั่นกระแสกระทบเสถียรภาพของรัฐบาลมีจำนวนตัวอย่างที่เก็บรวบรวมมาจากโลกโซเชียลทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทั้งสิ้น 27,065 ตัวอย่าง พบว่า จำนวน 24,868 ตัวอย่างหรือร้อยละ 91.88 เป็นการปั่นมาจากต่างประเทศ เพื่อกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเช่น ไล่ประยุทธ์ ประยุทธ์ออกไป ในขณะที่ จำนวน 2,197 ตัวอย่างหรือร้อยละ 8.12 ปั่นภายในประเทศโดยมีค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งของการปั่นจำนวน 621.7 ครั้งในช่วงระยะเวลาประมาณ 30 กว่าวันที่ผ่านมา ตามภาพประกอบ
.
แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งภายในและภายนอกโลกโซเชียลที่มีจุดยืนทางการเมืองสนับสนุนบุคคลสำคัญในรัฐบาล พบว่า เกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 53.3 ยังคงสนับสนุนบุคคลสำคัญฝ่ายรัฐบาล ในขณะที่ ร้อยละ 33.5 ไม่สนับสนุนบุคคลสำคัญฝ่ายรัฐบาล และร้อยละ 13.2 ยังคงเปลี่ยนใจได้หรือเป็นกลุ่มคนกลาง ๆ ตามลำดับ จะพบว่า กระแสที่ถูกปั่นในโซเชียลสูงกว่าความเป็นจริงหลายเท่าตัวและมาจากคนเพียงคนเดียวที่ปั่นกระแสให้เห็นว่ามีจำนวนมากเป็นหลักหมื่น หลักแสนขึ้นไป
.
นอกจากนี้ เมื่อนำประเด็น ความจริงในโลกโซเชียลที่กระทบต่อความมั่นคงชาติ เช่น การยกเลิก ม. 112 การปลุกปั่นประเด็นที่นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายมาพิจารณา ได้พบแนวโน้มของการปลุกปั่นกระแสกระทบต่อความมั่นคงของชาติ เช่น ยกเลิก ม.112 และการปฏิรูปสถาบัน และอื่น ๆ พบว่า การปลุกปั่นกระแสกระทบความมั่นคงของชาติมีจำนวนตัวอย่างที่เก็บรวบรวมมาจากโลกโซเชียลทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทั้งสิ้น 42,008 ตัวอย่าง พบว่า จำนวน 38,170 ตัวอย่างหรือร้อยละ 90.86 เป็นการปั่นมาจากต่างประเทศ เพื่อกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ในขณะที่ จำนวน 3,838 ตัวอย่างหรือร้อยละ 9.14 ปั่นภายในประเทศโดยมีค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งของการปั่นจำนวน 95.95 ครั้งในช่วงระยะเวลาประมาณ 30 กว่าวันที่ผ่านมา ตามภาพประกอบ
.
เมื่อเจาะลึกข้อมูลไปยังฐานข้อมูลกลุ่มผู้ปั่นกระแสกระทบต่อความมั่นคงชาติทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ พบว่า เกือบร้อยละ 100 ที่เป็นการใช้ชื่อบัญชีอวตาร หรือ บัญชีทิพย์ ไม่มีตัวตนแท้จริง เช่น Mxxxxboobxx1 และกลุ่มที่ใช้สัญลักษณ์อักขระเชิงรูปภาพ การ์ตูน ที่คอยปั่นกระแสยกเลิก ม.112 และปลุกปั่นมาจากต่างประเทศที่มีการใช้ VPN เพื่อซ่อนและปกปิด บิดเบือนที่อยู่ของตนเองให้เข้าใจผิดเรื่องแหล่งที่มาของการปลุกปั่นกระแสกระทบต่อความมั่นคงของชาติ เช่น ระบุว่ามาจาก แอฟริกาใต้ แต่จริง ๆ อยู่ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ เช่น ตุรกี สิงคโปร์ อเมริกา เกาหลี และประเทศเพื่อนบ้านของไทย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เครื่องมือที่ใช้ยืนยันได้อย่างแน่นอนว่า มีการปลุกปั่นกระแสกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความมั่นคงของชาติมาจากต่างประเทศอย่างชัดเจนที่ยืนยันได้จากข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยที่ประชาชนในประเทศจะหลงกระแสไปกับภาพจำว่ากระแสต่อต้านรัฐบาลและความมั่นคงของชาติเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และคิดกันไปว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
.
เมื่อสอบถามถึงหน่วยงานรัฐที่ประชาชนวางใจมากที่สุดในการปกป้องรักษาความมั่นคงของชาติและควบคุมการชุมนุมไม่ให้เกิดความรุนแรงบานปลาย พบว่า ร้อยละ 36.1 ระบุตำรวจ รองลงมาคือร้อยละ 22.4 ระบุทหาร ร้อยละ 21.9 ระบุ มหาดไทย ร้อยละ 10.1 ระบุกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 8.3 ระบุ ปกครองส่วนท้องถิ่น และร้อยละ 1.2 ระบุอื่น ๆ
.
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้ยังพบด้วยว่า ขบวนการปลุกปั่นกระแสในโซเชียลมีเดียใช้ปมละเอียดอ่อนของสถานการณ์ข่าวที่เกิดขึ้นจากนั้น พ่วงด้วยการติด hashtag (#) ข้อความปลุกปั่นกระแส ทั้ง ๆ ที่ในเนื้อหาข่าวที่นำมาใช้เป็นหัวจรวดปลุกกระแสไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันหลักของชาติและความมั่นคงเลย จึงน่าจะเป็นประโยชน์ให้หน่วยงานความมั่นคงและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาปัจจัยสำคัญต่อไปนี้ เช่น เหตุการณ์สถานการณ์ข่าวที่เกิดขึ้น ปฏิกิริยา และความคงทนยาวนานของความรู้สึกนึกคิดที่ตกค้างในใจของประชาชน หรือจริง ๆ แล้วมันเกิดขึ้นและเป็นไปตามผลลัพธ์ของอิทธิพลโซเชียลมีเดียและการผลักดันกลุ่มประชาชนไปสู่การแบ่งขั้ว เลือกข้าง อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายในหมู่ประชาชน

‘บิ๊กตู่’ ห่วง!! พบคนไทยป่วย 'เมลิออยด์' 2,314 ราย กรมควบคุมโรคเตือนหากติดเชื้อมีโอกาสตายได้

‘บิ๊กตู่’ ห่วงประชาชนเสี่ยงป่วยโรค 'เมลิออยด์' เผยไทยพบผู้ป่วยในปีนี้ถึง 2,314 ราย กรมควบคุมโรคเตือนหากติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตได้ แนะหลีกเลี่ยงเดินลุยน้ำย่ำโคลน เกษตรกร-ผู้ป่วยเบาหวานหากมีไข้สูง-ประวัติสัมผัสดินและน้ำให้รีบพบแพทย์

(22 ต.ค.65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยประชาชน ที่อาจเจ็บป่วยด้วยโรคเมลิออยโดสิส (MELIOIDOSIS) หรือโรคติดเชื้อเฝ้าระวัง ที่เกิดในช่วงนี้ที่ยังคงมีฝนตกในบางพื้นที่ ตามคำเตือนของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้ป่วยเบาหวาน ให้ระวังป่วยโรคเมลิออยด์ สามารถพบการติดเชื้อได้ตลอดทั้งปี แต่พบมากในช่วงฤดูฝน เชื้อสามารถเข้าทางผิวหนัง การดื่มน้ำไม่สะอาด หรือการหายใจเอาฝุ่นดินที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป ควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน หากจำเป็นต้องลงพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ควรใส่รองเท้าบูทเพื่อป้องกัน และหลังขึ้นจากน้ำให้รีบทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที

นายอนุชา กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้ออกคำเตือนพร้อมให้ข้อมูลว่า ในช่วงนี้ยังคงมีฝนตกในบางพื้นที่ ทำให้มีน้ำท่วมขังหรือดินชื้นแฉะ ซึ่งประชาชนที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมและเกษตรกร หรือผู้ที่ต้องทำงานสัมผัสดินและน้ำโดยตรง รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และโรคธาลัสซีเมีย จะมีความเสี่ยงป่วยโรคเมลิออยด์สูง เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุจะอยู่ในดินและในน้ำจะเข้าสู่ร่างกายได้ทางการดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ และทางผิวหนัง หรือการสูดหายใจเอาฝุ่นจากดินที่มีเชื้อเจือปนเข้าไป หลังติดเชื้อประมาณ 1-21 วันจะมีอาการเจ็บป่วย แต่บางรายอาจนานเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับและภูมิต้านทานของแต่ละคน อาการของโรคนี้ไม่มีลักษณะเฉพาะ จะมีความหลากหลายคล้ายโรคติดเชื้ออื่นๆ หลายโรค เช่น มีไข้สูง มีฝีที่ผิวหนัง มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ อาจติดเชื้อเฉพาะที่หรือติดเชื้อแล้วแพร่กระจายทั่วทุกอวัยวะและเสียชีวิตได้ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากอาการไข้เป็นหลัก จึงทำให้วินิจฉัยโรคได้ยาก ต้องอาศัยการตรวจเพาะเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นหลัก เพื่อใช้ประกอบการตรวจวินิจฉัยและรักษา

“สำหรับสถานการณ์โรคเมลิออยด์ในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-10 ตุลาคม 2565 พบผู้ป่วย 2,314 ราย เสียชีวิต 34 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ อายุมากกว่า 65 ปี รองลงมา 55-64 ปี และ 45-54 ปี ตามลำดับ พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตกระจายอยู่ทุกภาคของประเทศไทย แต่พื้นที่ที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อัตราตายสูงสุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้

กรมควบคุมโรคได้แนะวิธีการป้องกันโรคเมลิออยด์สามารถทำได้ ดังนี้...

1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรง หากจำเป็นขอให้สวมรองเท้าบูท ถุงมือยาง กางเกงขายาวหรือชุดลุยน้ำ หลังสัมผัสดินและน้ำให้ทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที

'เพื่อไทย' อัด 'ประยุทธ์' เยียวยาน้ำท่วมไม่ทันใจ แถมชดเชยน้อยกว่ารัฐบาล 'ยิ่งลักษณ์' เสียอีก

พท.อัด 'ประยุทธ์' เยียวยาน้ำท่วมไม่ทัน ไม่พอ ไม่ถูกหลักการ ติงชดเชยน้อยกว่ารบ. 'ยิ่งลักษณ์' แถมรีดดอกเบี้ยเงินกู้ 4% ซ้ำเติมเกษตรกร  

เมื่อวันที่ 22 ต.ค.65 นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุรินทร์ กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วมของรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหมว่า การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยของรัฐบาลนี้ ทั้งไม่ทัน ไม่พอ และไม่ถูกหลักการ จนถึงขณะนี้ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมหนัก ยังไม่ได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ ซึ่งจะมีผลต่อการช่วยเหลือเยียวยาตามสิทธิ์ที่ควรได้ นอกเหนือจากความเชื่องช้าแล้ว เงินเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบก็น้อยนิดและไม่เพียงพอ  เยียวยาเพียงไร่ละ 1,340 บาทเท่านั้น ขณะที่น้ำท่วมในปี 2554 รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เยียวยาไร่ละ 2,222 บาท แต่เหตุใดเมื่อเวลาผ่านมากว่า 10 ปีในยุคที่ค่าครองชีพแพงทั้งแผ่นดิน เงินเยียวยาอุทกภัยกลับลดลงจากในอดีตถึง 40% ไม่สมส่วนกับความเสียหายที่ประชาชนต้องได้รับ และค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไป 

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า ในเวลาเดียวกันรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ยังประกาศปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมผ่าน ธกส.วงเงินไม่เกินรายละ 1 แสนบาท  คิดอัตราดอกเบี้ย 4% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการปล่อยกู้ที่อยู่อาศัยโดยทั่วไปในปัจจุบันด้วยซ้ำ ยิ่งสงสัยว่ารัฐบาลเข้ามาบริหารงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน หรือมาสร้างภาระให้ประชาชนเพิ่มขึ้นกันแน่ ทั้งที่ควรพิจารณาผ่อนภาระด้วยการพักชำระหนี้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ หรือหากต้องกู้ก็ควรได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำพิเศษ หรือปลอดดอกเบี้ยในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อเร่งให้ประชาชนกลับมายืนได้เร็ว ไม่เป็นภาระระยะยาว ซ้ำเติมปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวที่ก่อขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top