Friday, 16 May 2025
Hard News Team

ไบเดนยกหนี้กยศ. 1.5 แสนคน มูลค่ากว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ ยอดรวมผู้กู้ที่ได้รับการยกหนี้พุ่งเกิน 5 ล้านคน

(14 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ 13 มกราคมว่า คณะบริหารของเขาจะยกหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาของผู้กู้อีกกว่า 150,000 คน โดยมีเป้าหมายหลักไปที่ผู้ที่เข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่มีพฤติกรรมหลอกลวง, ผู้พิการถาวร และพนักงานในภาครัฐ

ไบเดนกล่าวว่า ขณะนี้มีชาวอเมริกันมากกว่า 5 ล้านคนที่ได้รับการยกหนี้จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาภายใต้การบริหารของเขา

ในแถลงการณ์ของประธานาธิบดีไบเดนระบุว่า ผู้กู้ 150,000 คนที่ได้รับการยกหนี้ในครั้งนี้ประกอบด้วย ผู้กู้เกือบ 85,000 คนที่เข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่ฉ้อโกง, ผู้กู้ 61,000 คนที่มีอาการพิการถาวร และพนักงานบริการสาธารณะอีกกว่า 6,100 คน

กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ยังได้เผยแพร่แถลงการณ์เพิ่มเติมในวันเดียวกันว่า การยกหนี้ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการยกหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา 28 ครั้ง โดยตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน คณะบริหารของไบเดนได้ประกาศยกหนี้ไปแล้วกว่า 1.836 แสนล้านดอลลาร์ และการยกหนี้ในครั้งนี้มีมูลค่ามากกว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์

ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ รัฐบาลของไบเดนต้องเผชิญกับอุปสรรคทางกฎหมายจากพรรครีพับลิกันและศาลที่คัดค้านแผนการแบ่งเบาภาระหนี้สินของนักเรียน ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาที่ไบเดนให้ไว้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2563

เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia บุกจีน ไม่หวั่นถูกสอบ-คุมเข้มเรื่องชิป AI จากสหรัฐฯ

(14 ม.ค. 68) เจนเซน หวง ซีอีโอของบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ อินวิเดีย (Nvidia) เตรียมเดินทางเยือนจีนในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางการสอบสวนธุรกิจของบริษัทในจีนและการประกาศข้อจำกัดใหม่จากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการส่งออกชิป AI ไปยังต่างประเทศ ตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก

แหล่งข่าวเผยว่า หวงมีกำหนดเดินทางถึงเมืองเซินเจิ้นราววันที่ 15 มกราคม ร่วมฉลองเทศกาลตรุษจีนกับพนักงานในบริษัท และจะเดินทางต่อไปยังเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังกรุงไทเปในช่วงปลายสัปดาห์

การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินวิเดียกำลังเผชิญความท้าทายจากข้อจำกัดใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อการจำหน่ายชิป AI ระดับสูงให้แก่ต่างประเทศ บริษัทได้แสดงความไม่พอใจต่อมาตรการดังกล่าว โดยระบุว่าอาจกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันของสหรัฐฯ ในเวทีโลก

ในขณะเดียวกัน ทางการจีนได้เริ่มกระบวนการสอบสวนข้อกล่าวหาการละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาด ซึ่งอาจเพิ่มความท้าทายให้กับการดำเนินธุรกิจของอินวิเดียในประเทศที่ก่อนหน้านี้ก็ต้องเผชิญมาตรการควบคุมจากสหรัฐฯ อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่าการเยือนครั้งนี้จะมีการพบปะกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนหรือไม่

กระทรวงความมั่นคงเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ฯ หารือ 'พล.ต.อ.ธัชชัยฯ' ร่วมมือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยให้หมดไป

(14 ม.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ต. วรวัฒน์ อมรวิวัฒน์ รอง ผบช.ส , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต. ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สทส.ชรก.สตม. , พล.ต.ต. ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รอง ผบช.ก., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม. และคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ร่วมประชุมกับ นายไมเคิล ชัวค (Mr. Michael Cheuk) รองปลัดกระทรวงความมั่นคงเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหารือในเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน และปัญหาการค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดน 

การประชุมดังกล่าวมีประเด็นสำคัญคือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางการไทยเกี่ยวกับแผนประทุษกรรมรูปแบบใหม่ของทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาทิ การปลอมเป็นพนักงานบริการลูกค้าของบริษัทโทรคมนาคม การหลอกไปทำงานรายได้ดีในต่างประเทศ และปัญหาการกำจัดบัญชีม้า ซึ่งทางเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้พบเจอกับปัญหาดังกล่าวมากขึ้นเช่นเดียวกับประเทศไทย จึงเห็นถึงความสำคัญในการร่วมมือกับทางการไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานเพื่อกำจัดปัญหาเหล่านี้

นายไมเคิล ชัวค รองปลัดกระทรวงความมั่นคงเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบว่ามีกรณีชาวฮ่องกง ชาวจีน ถูกหลอกลวงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ยืนยันว่าเป็นการตกลงกันมาจากฮ่องกง มีการจองรถผ่านแอปพลิเคชันล่วงหน้า เหยื่อเข้าใจผิดเดินทางไปด้วยความสมัครใจ ไม่ได้มีการหลอกลวงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเมื่อตนเดินทางกลับจะทำการแถลงข่าว เพื่อให้ชาวฮ่องกงทราบถึงความปลอดภัยในการท่องเที่ยวในประเทศไทย และความร่วมมือที่ดีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยต่อไป

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวย้ำว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าขับเคลื่อนแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อต่อสู้และปราบปรามกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยให้หมดไปจากสังคม

ย้อนบทเรียนสมัย ร.5 ชี้! การพนันสร้างแต่ปัญหา วอนทบทวน พรบ.การพนัน ช่วยตัดไฟแต่ต้นลม

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเรื่องนี้หลายคนสะกิดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าความห่วงใยของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาที่จะเกิดจากการเปิดคาสิโนในประเทศจะไม่ได้รับการใส่ใจ หลายฝ่ายกังวลว่าการผลักดันให้คาสิโนถูกกฎหมาย อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สิน การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรม และความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะประชาชนรากหญ้าที่ต้องดิ้นรนขายเช้ากินค่ำ เพื่อประคองชีวิตกลับต้องเผชิญกับผลกระทบที่หนักหน่วง

ทั้งนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นต้องขออนุญาตส่งข้อห่วงใยถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงพิษภัยของ การพนัน...นะครับ

บทเรียนจากอดีต…ลืมไปแล้วหรือ?

ในอดีต สมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเคยเจอวิกฤตจากบ่อนการพนันที่เฟื่องฟูจนกลายเป็นต้นเหตุของอาชญากรรมและปัญหาสังคม 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นถึงโทษของการพนันที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย จึงทรงมีพระราชดำริให้ลดและเลิกบ่อนการพนันทั่วประเทศ โดยเริ่มจากการลดจำนวนบ่อนในหัวเมืองต่าง ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 และขยายมาสู่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2432 กระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนที่เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนัน จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติห้ามบ่อนการพนันทั่วประเทศเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460

ทั้งนี้เป็นการตัดสินใจ 'ตัดไฟแต่ต้นลม' ด้วยการปิดบ่อนทั่วประเทศ เพราะรู้ดีว่าผลเสียของการพนันมันกัดกินประเทศยิ่งกว่ารายได้ที่ประเทศชาติจะได้รับ แต่ดูเหมือนบทเรียนนี้จะเลือนหายไปในยุคที่ใครๆสนใจแต่ตัวเลขผลกำไร มากกว่าผลกระทบที่แท้จริง

ประเทศอื่นเขาก็รู้…การพนันสร้างแต่ปัญหา

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือฟิลิปปินส์ ที่เปิดให้การพนันถูกกฎหมายอย่างเสรี ผลลัพธ์คือการเพิ่มหนี้สินของประชาชน ปัญหาครอบครัวแตกแยก และการขยายตัวของแก๊งฟอกเงิน ในขณะที่ประเทศที่ควบคุมการพนันอย่างเข้มงวด เช่น นอร์เวย์ กลับมีความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลเขาเลือกส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน เช่น เทคโนโลยีและการศึกษา

ใครเจ็บ? ใครได้?

ประชาชนรากหญ้าที่ขายเช้ากินค่ำมักจะเป็นกลุ่มที่เจ็บหนักที่สุด เพราะความหวังลมๆ แล้งๆ จากการพนันที่หลอกล่อพวกเขาให้เอาเงินก้อนสุดท้ายไปเสี่ยง โอกาสที่จะ “หมดตัว” มีสูงกว่าการถูกรางวัลเสมอ แต่คนที่ได้กลับเป็นเจ้าของเว็บและรัฐบาลที่เก็บภาษีอยู่บนหนี้สินและน้ำตาของประชาชน

การพนัน…ไม่ใช่คำตอบของประเทศนี้

ถ้ารัฐบาลนี้มีวิสัยทัศน์รักในประชาชนจริงๆ ข้าพเจ้าเห็นควรเลือกสนับสนุนอุตสาหกรรมที่สร้างอนาคต เช่น การศึกษา การวิจัย หรือการพัฒนาเทคโนโลยี มากกว่าการพึ่งรายได้จากความทุกข์ของคนจน การพนันไม่ใช่ทางลัด มันคือ “หลุมดำ” ที่ทำให้ประชาชนจมลึกลงไปในปัญหาที่แก้ไม่จบ

คาดจีนต้องการแรงงานอัจฉริยะกว่า 31 ล้านคน ภายในปี 2035 เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่

รายงานจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีนที่เผยแพร่เมื่อไม่นานนี้ คาดการณ์ว่าความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะของจีนจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 31 ล้านคนภายในปี 2035 ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าว

วันจันทร์ (13 ม.ค. 68) ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี เผยว่ารายงานแนวโน้มการจ้างงานผู้มีความสามารถในพลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพฉบับแรกของจีน มีวัตถุประสงค์สำรวจกลุ่มบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างเป็นระบบ และให้ข้อมูลอ้างอิงแก่บริษัทการผลิตสำหรับการคัดเลือกและบ่มเพาะบุคลากรที่มีทักษะ

รายงานระบุว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอย่างหัวหน้าทีม ช่างเทคนิค และผู้ตรวจสอบคุณภาพในบริษัทการผลิตอัจฉริยะ ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะด้าน กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านในภาคการผลิต โดยแรงงานกลุ่มนี้มีลักษณะสำคัญหลายประการ ซึ่งรวมถึงการทำงานหลักในสภาพแวดล้อมการผลิต ความสามารถการเรียนรู้ที่โดดเด่น ศักยภาพการเติบโตในสายอาชีพที่สูง และระดับรายได้และสถานะทางสังคมที่ดี

นอกจากนั้น แรงงานประเภทนี้ยังมีความสามารถหลักในด้านต่างๆ เช่น การเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ การบูรณาการเทคโนโลยีที่หลากหลาย และทักษะการสื่อสาร

จ้าวจง หัวหน้าคณะแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ของมหาวิทยาลัยฯ กล่าวว่าผู้มีความสามารถกลุ่มดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านและการยกระดับทางอุตสาหกรรม ซึ่งมีส่วนส่งเสริมสำคัญต่อการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ

รายงานเผยว่าจีนมีความต้องการแรงงานที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะด้านราว 25 ล้านคนในปี 2022 และคาดการณ์ว่าความต้องการตำแหน่งแรงงานประเภทนี้ พร้อมด้วยข้อกำหนดวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28 ในปี 2022 เป็นร้อยละ 57 ภายในปี 2035

สืบ ตม. รวบหนุ่มแดนโสมหลังมั่วสุมปาร์ตี้ยาฯ ไฮโซ บนโรงแรมหรูย่านทองหล่อ 

กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จับกุมนายโจวอน (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.1379/2567 ลงวันที่ 31 ธ.ค.2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่ง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน, เมทิลลีนไอออกซีเมทแอมเฟตามีนหรือยาอี, พาราเมทอกซีเมทแอมเตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (คีตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต และสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมคอนโดมีเนียมในพื้นที่แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการปิดล้อมตรวจค้นงานปาร์ตี้มั่วสุมยาเสพติด ภายในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ ซึ่งเบื้องต้นพบเป็น "กลุ่มนักท่องเที่ยวเพศชาย หนุ่มหล่อกล้ามโต" ทั้งชาวไทยและต่างชาติ เข้าร่วมงานจำนวนทั้งสิ้น 124 คน พร้อมกับของกลางเป็นสารเสพติดในบริเวณงานปาร์ตี้ ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับนายโจวอน (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ในข้อหา ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 และวัตถุ ออกฤทธิ์ประเภท 2 (คีตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต  

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ม.ค.2568 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.ปอพ.บก.สส.สตม. สืบทราบว่า นายโจวอน ได้หลบหนีมาพักอาศัยกับเพื่อนที่คอนโดย่านแขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ จึงได้นำกำลังไปเฝ้าสังเกตการณ์ จนกระทั่งเวลาประมาณ 08.50 น. ของวันที่ 13 ม.ค.2568 ได้พบคนต่างด้าวซึ่งมีตำหนิรูปพรรณคล้ายกับ นายโจวอน จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางปรากฎว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับ โดยนายโจวอนให้การยอมรับว่าเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2567 ได้เข้าร่วมงานปาร์ตี้มั่วสุมยาเสพติดภายในโรงแรมหรูจริง จึงได้จับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘พลังงาน’ ชี้ โรงไฟฟ้าสำรองมีความจำเป็นแม้ไม่ได้เดินเครื่อง ย้ำ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

กระทรวงพลังงาน ชี้แจง จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าสำรองเพื่อรองรับความต้องการใช้ตลอดเวลา ถึงแม้บางโรงไฟฟ้าจะไม่ได้เดินเครื่องก็ตาม ซึ่งก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รองรับการลงทุนด้าน Data Center การใช้รถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งดัชนีคุณภาพการบริการไฟฟ้าไทยก็อยู่ในระดับต้น ๆ ของอาเซียน

(14 ม.ค.68) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าสำรอง เนื่องจากต้องคำนึงถึงความมั่นคงและการให้บริการกับประชาชนและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งแม้ปัจจุบันจะมีตัวเลขสำรองไฟฟ้า หรือ Reserve Margin อยู่ที่ 25.5% แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิดที่ส่งผลให้แผนการผลิตไฟฟ้าไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปีที่เกิดโควิดจนถึงปัจจุบัน สังเกตได้จากดัชนีผลผลิตมวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ก็ไม่เป็นไปตามคาด แต่ใน PDP2024 ก็ได้มีการปรับแผนโดยจะมีการใช้พลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้นและเร็วขึ้น อีกทั้งราคาต้นทุนปัจจุบันเริ่มลดลง คาดว่าราคาค่าไฟฟ้าในอนาคตก็จะปรับตัวลดลงด้วย

นอกจากนั้น ดัชนีแสดงค่าเฉลี่ยความถี่ที่ระบบเกิดไฟฟ้าขัดข้อง (SAIFI) ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับค่อนข้างเสถียรเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน หรืออยู่ที่ระดับ 0.88 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟฟ้าต่อปี ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศเวียดนามและ สปป.ลาว ซึ่งมีค่าไฟฟ้าถูกกว่าเนื่องจากมีการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำ แต่ดัชนี SAIFI สูงถึง 3.23 และ 18.35 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟฟ้าต่อปีตามลำดับ

“ต้องชี้แจงก่อนว่า โรงไฟฟ้าเอกชนที่ไม่ได้เดินเครื่องแต่รัฐยังคงต้องจ่ายเงินให้ มีต้นทุนมาจาก 2 ส่วนสำคัญคือ 1) ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment : AP) ซึ่งเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตไฟฟ้าของเอกชน ครอบคลุมตั้งแต่ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า ค่าผลิต ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันภัย โดยเอกชนจะต้องเตรียมโรงไฟฟ้าให้พร้อมใช้ตลอดเวลาและสามารถผลิตไฟฟ้าตามความต้องการประชาชนและภาคอุตสาหกรรมโดยไม่สะดุด การกำหนดค่า AP เป็นแนวปฏิบัติในทางสากลสำหรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่สะท้อนต้นทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่เอกชนต้องจ่ายไปก่อน และเอกชนต้องยอมรับความเสี่ยงในการบริหารด้านต้นทุนเองทั้งหมด ซึ่งรัฐไม่ต้องรับความเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ จริง ๆ แล้วค่าพร้อมจ่ายมีอยู่ในเกือบทุกโรงไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า แต่อาจจะจัดเก็บในรูปแบบที่แตกต่างกัน”

“และ 2) ต้นทุนเชื้อเพลิง (Energy Payment : EP) เป็นค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายผันแปรในการผลิตและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า โดยโรงไฟฟ้าจะได้รับค่า EP ตามปริมาณเชื้อเพลิงที่ กฟผ. สั่งการให้ทำการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเท่านั้น ที่ผ่านมา ภาพรวมในการผลิตไฟฟ้า กระทรวงพลังงานก็ได้มีการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงตามสถานการณ์ โดยเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบกับค่าไฟฟ้า ดังนั้น โรงไฟฟ้าสำรองเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิด Peak และพลังงานแสงอาทิตย์ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้” นายวีรพัฒน์ กล่าว

สืบ ตม. รวบหนุ่มแดนกังหันลมหลอกขายทองหวังฉกดอลลาร์ 

กก.1 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนกรณีได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ว่ามีกลุ่มชายชาวต่างชาติผิวสี มีพฤติกรรมหลอกลวงขายเม็ดทองคำในราคาถูก ซึ่งเชื่อว่าเป็นเม็ดทองปลอม โดยจะอ้างว่ามีทองคำนำเข้ามาจากแอฟริกาจะขายให้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด เพราะสามารถนำเข้าประเทศไทยแบบไม่เสียภาษี พร้อมทั้งโชว์เม็ดทองคำจำนวนมาก 

จากการตรวจสอบทราบว่า หากมีผู้ใดสนใจซื้อ จะนัดพูดคุยและมอบเม็ดทองคำตัวอย่างซึ่งเป็นทองคำแท้  ให้เหยื่อนำไปตรวจสอบก่อน จากนั้นหากเหยื่อหลงเชื่อตกลงซื้อเม็ดทองดังกล่าว จะนัดพบกันเพื่อซื้อขายเม็ดทองดังกล่าว โดยขายในราคา 55,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2 ล้านบาท) และมักจะอ้างให้เหยื่อเตรียมเงินสดเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐตามจำนวนที่ตกลงซื้อขายกัน ซึ่งหากเหยื่อหลงเชื่อจะรับเงินสดและส่งเม็ดทองปลอมให้แล้วหลบหนีไป หรือหากเหยื่อเริ่มสงสัยว่าเม็ดทองทั้งหมดเป็นของจริงหรือไม่ จะพยายามหาวิธีการเบี่ยงเบนความสนใจ และสับเปลี่ยนเงินของเหยื่อด้วยเงินปลอมที่เตรียมมาด้วย แล้วหลบหนีไป

จากการสืบสวนทราบว่ามีชายผิวดำซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้หลอกลวง พักอาศัยอยู่ที่โรงแรมภายในซอยสุขุมวิท 5 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ จึงได้วางกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ จนพบชายผิวดำเป้าหมาย มาปรากฎตัว จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองขอตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่าคนต่างด้าวดังกล่าวชื่อ MR.NDILLE (สงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี สัญชาติดัตช์ และจากการตรวจสอบห้องพักพบกระเป๋าเสื้อผ้าภายในมีถุงบรรจุสิ่งของลักษณะคล้ายเม็ดทองคำน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม จำนวน 1 ถุง และพบถุงพลาสติกใสบรรจุสิ่งของลักษณะคล้ายเม็ดทองคำน้ำหนักประมาณ 100 กรัมอีก 2 ถุง โดย MR.NDILLE ให้การว่าได้ซื้อเม็ดทองมาจากประเทศจีน โดยเม็ดทองถุงน้ำหนัก 5 กิโลกรัม เป็นเม็ดทองปลอม และเม็ดทองที่บรรจุในถุงพลาสติกถุงละประมาณ 100 กรัม จำนวน 2 ถุง เป็นเม็ดทองจริง 1 ถุง และเป็นเม็ดปลอม 1 ถุง จึงทำการยึดไว้พร้อมด้วยเงินสด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินเยน เงินปอนด์ รวมเป็นเงินประมาณ 117,600 บาท

จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ พบมีการแชทพูดคุย ผ่าน WhatsApp กำลังหลอกเหยื่อเพื่อขายเม็ดทองคำ โดยพบมีภาพได้โชว์เม็ดทองคำจำนวนมากให้ดูและเสนอขายในราคาถูก และมีการให้ตัวอย่างเม็ดทองคำให้ไปตรวจดูก่อนแล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบเป็นเม็ดทองคำแท้ จึงตกลงซื้อ จำนวน 1 กิโลกรัม ในราคากิโลกรัมละ 55,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2 ล้านบาท) ทั้งนี้ในการซื้อขาย MR.NDILLE จะขอรับเป็นเงินดอลลาร์เท่านั้น และนัดส่งมอบ เม็ดทองคำ ที่ห้างสรรพสินค้าในแขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ จึงได้ติดต่อผู้ที่พูดคุยกับ MR.NDILLE ดังกล่าวทราบว่า ได้ตกลงซื้อเม็ดทองจาก MR.NDILLE แล้ว และได้นัดพบกันเพื่อซื้อขาย 

โดย MR.NDILLE ได้มากับเพื่อนอีก 3 คน และพยายามเบี่ยงเบนความสนใจและหาโอกาสในการสับเปลี่ยนเงินดอลลาร์ของปลอมที่กลุ่ม MR.NDILLE เตรียมมา ซึ่งโชคดีที่เหยื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงได้โวยวายและยกเลิกการซื้อขาย และนอกจากนี้ยังพบข้อมูลการแชทพูดคุยกับเหยื่ออีกหลายคน เพื่อหลอกขายเม็ดทองปลอมดังกล่าว เบื้องต้น ได้ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ MR.NDILLE เนื่องจากมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้อื่น เป็นภัยต่อสังคม ทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียชื่อเสียง และขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร ควบคุมตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวเตรียมผลักดันกลับประเทศต่อไป โดยระหว่างนี้ ได้ประสานเหยื่อที่เคยถูกหลอก หรือกำลังจะถูกหลอก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และทำการสืบสวนหาผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

กัมพูชาสุดภูมิใจโกยภาษีคาสิโนพุ่ง 85% ทะลุ 62 ล้านดอลลาร์ในปี 2567

(14 ม.ค. 68) เว็บไซต์ khmertimes รายงาว่า กัมพูชาสามารถเก็บรายได้ภาษีจากอุตสาหกรรมคาสิโนได้กว่า 62.78 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 85% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามการเปิดข้อมูลจากสำนักเลขาธิการทั่วไปของคณะกรรมการบริหารการพนันเชิงพาณิชย์แห่งกัมพูชา  

รายงานระบุว่า รายได้จากธุรกิจการพนัน รวมถึงคาสิโนและกิจกรรมการเสี่ยงโชคต่าง ๆ มีมูลค่าถึง 254.907 พันล้านเรียล (ราว 62.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยการเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการปรับปรุงกลไกกำกับดูแลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นจากผู้ประกอบการ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ  

นายเมียส ซกแสนซาน ปลัดกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน กล่าวว่า การเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการตรวจสอบธุรกิจการพนันเชิงพาณิชย์ที่เข้มงวดมากขึ้น การปรับปรุงมาตรการกำกับดูแล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของผู้ประกอบการ โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตในปีนี้รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนหลังวิกฤตโควิด-19 และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว  

ณ สิ้นปี 2567 กัมพูชามีการออกใบอนุญาตคาสิโนทั้งหมด 159 ใบ โดย 1 ใบถูกเพิกถอน อีก 1 ใบถูกระงับ และอีก 15 ใบหมดอายุ ทั้งนี้ คาสิโนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและจังหวัดพระสีหนุ ยกเว้น NagaWorld ซึ่งเป็นคาสิโนของมาเลเซียที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงกรุงพนมเปญ  

ภายใต้กฎหมายการจัดการการพนันเชิงพาณิชย์ของกัมพูชา อนุญาตให้เฉพาะชาวต่างชาติเล่นการพนันในคาสิโน ขณะที่ชาวกัมพูชาถูกห้ามเล่นการพนันทุกประเภท ยกเว้นการเสี่ยงโชค  

กระทรวงกิจการภายในร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการปราบปรามโฆษณาการพนันออนไลน์และลอตเตอรีบนสื่อโซเชียลที่ละเมิดกฎหมายการพนันเชิงพาณิชย์

สำนักเลขาธิการทั่วไปของคณะกรรมการบริหารการพนันเชิงพาณิชย์ ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและกฎระเบียบในอุตสาหกรรมการพนัน รวมถึงการออกใบอนุญาต การจัดทำบัญชีและงบการเงิน การจัดการความปลอดภัย ตลอดจนผลกระทบทางลบจากการพนัน

การดำเนินการเหล่านี้มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมเสริมสร้างความรับผิดชอบของเจ้าของคาสิโน และลดผลกระทบทางลบในระยะยาวจากกิจกรรมการพนันในประเทศ

‘สุชาติ’ เร่งเครื่อง! แพลตฟอร์ม 'ITD Expert Anywhere' ตั้งเป้าพา SMEs ไทยฝ่าอุปสรรค สู่ความสำเร็จระดับโลก

(14 ม.ค.68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณย์ เปิดเผยว่า “กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD เตรียมจัดงานสัมมนา 'เสริมแกร่ง SMEs ในยุคดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์ม ITD Expert Anywhere' ภายใต้แนวคิด “เติบใหญ่ ไปไกลกว่าเดิม Grow Thrive” ในวันที่ 22 มกราคม 2568 ณ โรงแรมกราฟ โฮลเทล กรุงเทพฯ ซึ่งจะจัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยเข้าถึงคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งจะเป็นการขยายผลจากความสำเร็จของการให้คำปรึกษาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มุ่งเน้นการช่วยผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะในด้านการส่งออก การพัฒนา และการปรับตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบออนไลน์ เพื่อให้ SMEs ไทยสามารถเติบโตและพัฒนาธุรกิจได้ในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน”

นายสุชาติ กล่าวต่ออีกว่า “ทาง ITD ได้ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องมือนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะยกระดับศักยภาพของ SMEs ไทย โดยในการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดสากล ช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญระดับภูมิภาคและระดับโลกได้ โดยสำหรับปีที่ 2 นี้ มีการพัฒนาให้ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบ Metaverse เพื่อจำลองการดำเนินธุรกิจในโลกเสมือนจริง และจัดกิจกรรมออนไลน์ ให้คำปรึกษาที่เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการจะสามารถเข้าถึงคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆได้  โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่น่าสนใจมาก” 

“และนอกจากนี้ แพลตฟอร์ม ยังได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ การสัมมนาครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมแกร่งให้กับ SMEs ไทยให้สามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว เพื่อเป็นการเสริมประสิทธิภาพให้กับตนเองและธุรกิจให้มีความพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายสุชาติ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top