Saturday, 17 May 2025
Hard News Team

จีนเผยแผน 2024-2035 ปฏิวัติระบบ เล็งเป็นศูนย์กลางการศึกษาระดับโลกใน 10 ปี

(19 ม. ค. 68) พรรคคอมมิวนิสต์จีนและคณะรัฐมนตรีจีนได้เผยแพร่ “แผนการสร้างประเทศด้านการศึกษา (2024-2035)” ซึ่งเป็นแผนการที่มีการกำหนดกลยุทธ์และแผนงานอย่างชัดเจนเพื่อสร้างประเทศที่มีระบบการศึกษาชั้นนำภายในปี 2035 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ด้านการศึกษาจะพัฒนาไปในทิศทางใด?

ตั้งแต่การปฏิรูปและเปิดประเทศมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนและคณะรัฐมนตรีได้เผยแพร่เอกสารแผนการพัฒนาในรูปแบบของ “แผนการการศึกษา” ซึ่งในแต่ละช่วงเวลามีความสำคัญในการกำหนดทิศทางของกลยุทธ์ วันนี้แผนการสร้างประเทศด้านการศึกษา (2024-2035) ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการสร้างประเทศที่มีระบบการศึกษาชั้นนำในโลก โดยมีการพัฒนาในหลายด้าน เช่น การพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่สูงขึ้น การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและการขยายโอกาสการศึกษาที่หลากหลาย

李永智 (Li Yongzhi) ผู้อำนวยการของ 中国教育科学研究院 (China Academy of Educational Sciences) ได้กล่าวว่า การลดช่องว่างระหว่างพื้นที่ในเมืองและชนบทระหว่างโรงเรียนต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การศึกษามีความสมดุลยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายในการสร้างความสมดุลทั้งในระดับเทศบาลและระดับจังหวัด ด้านการศึกษาในระดับประถมและมัธยม จะเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับประถม โดยมีการพัฒนาโครงสร้างการศึกษาระดับปฐมวัยในช่วงอายุ 2 ถึง 3 ปี ในระดับการศึกษาปริญญาตรี การขยายจำนวนการรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยและการขยายการผลิตบัณฑิตในสาขาต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนจะมุ่งเน้น แผนการสองขั้นตอนเพื่อสร้างประเทศการศึกษา แผนการนี้ได้กำหนดแผนที่สองขั้นตอนเพื่อบรรลุเป้าหมาย

ภายในปี 2027 จะมีการบรรลุผลสำเร็จในระยะหนึ่งของการสร้างประเทศด้านการศึกษา
ภายในปี 2035 ประเทศจีนจะสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพและมีระบบการศึกษาที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก การปฏิรูปที่มีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหา แผนการนี้ยังได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่มีการขาดแคลนหรือไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และการฝึกอบรมบุคลากรที่ไม่เพียงพอในหลายสาขา

Instagram เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่คล้าย TikTok เพิ่มความยาว Reels เป็น 3 นาที พร้อมแอป Edits

(20 ม.ค. 68) อินสตาแกรม (Instagram) ก้าวสู่การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่ดูเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจจากคู่แข่งอย่างติ๊กต๊อก (TikTok) โดยเพิ่มความยาวของวิดีโอ Reels เป็น 3 นาที พร้อมทั้งเปิดตัวแอปพลิเคชันตัดต่อวิดีโอใหม่ชื่อ Edits ที่มีลักษณะคล้ายกับแอปยอดนิยมอย่าง CapCut ซึ่งเป็นของบริษัทแม่ติ๊กต๊อก ไบต์แดนซ์ (ByteDance) การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนาคตของติ๊กต๊อกในสหรัฐฯ ยังคงคลุมเครือ

อดัม มอสเซอรี ผู้บริหารสูงสุดของอินสตาแกรม เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 มกราคมว่า ทางบริษัทกำลังปรับการแสดงผลของรูปโปรไฟล์จากแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งคล้ายกับรูปโปรไฟล์ในติ๊กต๊อก โดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ มอสเซอรียังได้โพสต์ผ่านอินสตาแกรมในวันที่ 18 มกราคม ว่าการเพิ่มความยาววิดีโอ Reels จาก 90 วินาทีเป็น 3 นาที เป็นผลมาจากคำขอของผู้ใช้งานที่ต้องการพื้นที่ในการเล่าเรื่องราวมากขึ้น “เดิมทีเราจำกัดความยาวของ Reels ไว้ที่ 90 วินาที เพื่อเน้นวิดีโอสั้น แต่เราได้รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้ว่าความยาวดังกล่าวไม่เพียงพอสำหรับการเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดมากขึ้น” มอสเซอรีกล่าว

ในวันที่ 19 มกราคม มอสเซอรีได้กล่าวถึงแอปพลิเคชัน Edits ในวิดีโอบนอินสตาแกรมว่า “เราต้องการสร้างเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนที่ทำวิดีโอ ไม่ใช่แค่เพื่ออินสตาแกรมเท่านั้น แต่รวมถึงแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย” โดยแอปนี้สามารถดาวน์โหลดได้แล้วในแอปสโตร์ แต่จะเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์

การเปลี่ยนแปลงของอินสตาแกรมเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ติ๊กต๊อกกำลังเผชิญกับวิกฤตสำคัญ เมื่อคืนวันที่ 20 มกราคม ติ๊กต๊อกและ CapCut ถูกปิดการเข้าถึงในสหรัฐฯ ชั่วคราว ก่อนที่กฎหมายเตรียมแบนแอปจะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่กี่ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม แม้ติ๊กต๊อกจะถูกแบนเป็นระยะเวลานาน ผู้ใช้งานก็ไม่ได้เปลี่ยนมาใช้อินสตาแกรมแทนในทันที ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าที่ติ๊กต๊อกจะปิดตัว แอปพลิเคชันทางเลือก เช่น เรดโน้ต (RedNote) และ เสี่ยวหงชู (Xiaohongshu) ซึ่งเป็นแอปจากจีน กลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ยอดดาวน์โหลดของอินสตาแกรมเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ย้อนประวัติศาสตร์สาบานตน หลังทรัมป์เป็นผู้นำสหรัฐฯ คนแรกรอบ 40 ปีที่หนีหนาวเข้าทำพิธีในรัฐสภา

(20 ม.ค. 68) ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตันดี.ซี. ซึ่งช้ากว่าเวลาประเทศไทยราว 2 ชั่วโมง โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเข้าพิธีสาบานตนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสองคนที่ 47 ของสหรัฐ 

สำหรับพิธีสาบานตนในสมัยที่สองนี้มีขึ้นท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวจัดในกรุงวอชิงตันดี.ซี. ด้วยอุณหภูมิถึง -11 ถึง -5 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ต้องมีการย้ายสถานที่จัดงานไปจัดในอาคารรัฐสภา ซึ่งจะถือเป็นพิธีเข้ารับตำแหน่งที่หนาวเย็นที่สุดในรอบ 40 ปี การย้ายพิธีสาบานตนไปจัดในอาคารครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี 1985 ในสมัยของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน

ขณะที่หนึ่งในแขกวีไอพีที่จะเข้าร่วมงาน ทางด้านรัฐบาลปักกิ่งได้ส่งรองประธานาธิบดี หาน เจิ้ง เข้าร่วมพิธีด้วย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่จะมีผู้นำระดับสูงเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของผู้นำกรุงวอชิงตัน 

สำนักข่าวสปุตนิก ได้ย้อนประวัติศาสตร์และเรื่องราวสุดแปลกที่เคยเกิดขึ้นในพิธีสาบานตนของผู้นำสหรัฐหลากหลายสมัยที่ผ่านมา

ครั้งหนึ่งพิธีสาบานตนเคยจัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคา โดยย้อนไประหว่างปี  ค.ศ. 1792 ถึง 1937  วันสาบานตนจัดขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นวันที่ 20 มกราคมในปี  1933  ตามคำสั่งของสภาคองเกรส เพื่อลดช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างประธานาธิบดีคนเก่าและคนใหม่ 

นอกจากนี้ธงชาติสหรัฐที่ใช้ประดับอาคารัฐสภา จะเปลี่ยนจำนวนดาวตามลำดับที่รัฐของประธานาธิบดีเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ อย่างในกรณีของทรัมป์ที่ลงสมัครจากสองรัฐในปี 2020 และ 2024 (นิวยอร์กและฟลอริดา) ธงที่ใช้มีดาว 13 ดวงและ 27 ดวงตามลำดับ  

ในปี 1825 จอห์น ควินซี อดัมส์ เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ใช้คัมภีร์ไบเบิลในพิธีสาบานตน  

จิมมี คาร์เตอร์ ในปี 1977 เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่ใช้ชื่อเล่น “Jimmy” ในพิธี แทนชื่อเต็ม “James Earl Carter” ในระหว่างทำพิธีสาบานตน

ในปี 1837 มาร์ติน แวน บิวเรน เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เกิดในยุคที่สหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ  

นอกเหนือจากธงชาติสหรัฐที่ประดับในพิธีการแล้ว หนึ่งในไฮไลท์ของพิธีสาบานตนคือ ขบวนพาเหรดวันสาบานตนซึ่งเริ่มจัดตั้งแต่ปี 1841 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่มีครั้งนึงในปี 1973 ระหว่างพิธีสาบานตนครั้งที่สองของริชาร์ด นิกสัน เกิดเหตุการณ์นกพิราบกินสารเคมีที่ใช้ไล่นก ส่งผลให้ขบวนพาเหรดเต็มไปด้วยซากนกตาย ซึ่งนั่นก็เป็นลางบอกเหตุที่นิกสัน เป็นประธานาธิบดีเพียงหนึ่งเดียวของสหรัฐที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งอันเป็นพลผวงจากคดีวอเตอร์เกต

หนึ่งในพิธีสาบานตนที่เรียบง่ายที่สุดคือในปี 1789 จอร์จ วอชิงตัน ทานอาหารเพียงลำพังหลังพิธี ขณะที่สุนทรพจน์สาบานตนครั้งที่สองของเขาในปี 1793 มีเพียง 135 คำเท่านั้น  

พิธีสาบานตนสะท้อนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในแต่ละยุค เช่น  ในปี 1857 เจมส์ บูแคนัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มีภาพถ่ายในพิธี, ปี 1897 วิลเลียม แมคคินลีย์ เป็นคนแรกที่พิธีถูกบันทึกในภาพยนตร์  และปี 1949 แฮร์รี ทรูแมน เป็นคนแรกที่พิธีถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์  

ในปี 1961 การสาบานตนของจอห์น เอฟ. เคนเนดี ถือเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดสดโทรทัศน์สีเป็นครั้งแรก ขณะที่พิธีสาบานตนของบิล คลินตัน ในปี 1997 นับเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดสดทางออนไลน์ครั้งแรก

พิธีสาบานตนที่หนาวที่สุดจัดขึ้นในปี 1873 ระหว่างการสาบานตนครั้งที่สองของยูลิสซีส เอส. แกรนต์ อุณหภูมิลดลงถึง -9 องศาเซลเซียส ขณะที่ในปี 1841 วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน เสียชีวิตหลังจากพิธีเพียง 3 สัปดาห์ โดยมีความเชื่อว่าเกิดจากปอดบวมหลังกล่าวสุนทรพจน์กลางอากาศหนาว  

พิธีสาบานตนของโจ ไบเดน ในปี 2021 ถือว่าเป็นการจัดสาบานตนท่ามกลางระบาดของโรคโควิด จัดขึ้นภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการปิดพื้นที่โดยรอบและจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมท่ามกลางการระบาด

มาเลเซียเบรกเมียนมา สร้างสันติภาพในประเทศก่อนเปิดหีบ

(20 ม.ค. 68) ชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เรียกร้องให้รัฐบาลทหารเมียนมาดำเนินการเจรจาสันติภาพและยุติการใช้กำลังในทันที พร้อมเตือนว่าแผนการจัดการเลือกตั้งท่ามกลางสถานการณ์สงครามกลางเมืองที่ทวีความรุนแรง ไม่ควรถูกจัดให้เป็นสิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ

นายโมฮัมหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย และประธานอาเซียนหมุนเวียนในปีนี้ กล่าวระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่เกาะลังกาวี มาเลเซีย ว่า อาเซียนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งในเมียนมายุติการต่อสู้ และเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าถึงพื้นที่โดยปราศจากอุปสรรค

"มาเลเซียต้องการทราบว่าเมียนมาคิดอย่างไร และเราได้แจ้งชัดเจนว่า การจัดการเลือกตั้งไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหยุดยิง" นายโมฮัมหมัดกล่าว

นอกจากนี้ มาเลเซียได้แต่งตั้งนายโอธมัน ฮาชิม อดีตนักการทูต เป็นผู้แทนพิเศษด้านวิกฤตการณ์ในเมียนมา โดยนายโอธมันจะเดินทางไปยังเมียนมาในเร็ว ๆ นี้ เพื่อผลักดันให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามแผนสันติภาพ 5 ข้อของอาเซียน ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ

ทั้งนี้ สหประชาชาติรายงานว่า ความต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมาอยู่ในระดับวิกฤต โดยประชาชนเกือบ 20 ล้านคน หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ตำรวจภูธรภาค 2 รื้อรังยาเสพติด กดดันอาชญากร เปิด “ยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา” ปิดตายแหล่งมั่วสุม “จอมเทียนซอย 3”  ปิดตำนานลานโพธิ์ คืนพื้นที่เสื่อมโทรมเป็นพื้นที่สงบสุข

(20 ม.ค. 68) เวลา 09.00 น. พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ลงพื้นที่จอมเทียนซอย 3 เมืองพัทยา อ.บางละมุง จว.ชลบุรี ติดตาม “ยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา” โดยมี พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา นายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง ร่วมด้วย

พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากท่านภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การสนับสนุนการปฏิบัติของตำรวจ วันนี้ได้มาร่วมการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดของตำรวจภูธรภาค 2 ในยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา ซึ่งยุทธการนี้เป็นการสืบสวนข้อมูลของกลุ่มนักค้ายเสพติดมาโดยตลอด โดยเน้นปัญหายาเสพติด ปัญหาผู้มีอิทธิพล ปัญหาการค้ามนุษย์ และปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งการดำเนินการในลักษณะนี้จะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทุกพื้นที่ รวมถึงพื้นที่พัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกจับตามองของสังคมเนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ โดยจะบูรณาการทำงานกันทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายรัฐบาล

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยว่า ยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา นำกำลังโดย พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา  และ พ.ต.ท.ศิรชัช  หนูเทศ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองพัทยา ประสานงาน เมืองพัทยาทำการรื้อถอนพื้นที่เสื่อมโทรมในซอยจอมเทียน 3 ซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะของยาเสพติด ผู้เสพ ผู้ค้า มานาน “พื้นที่จอมเทียนซอย 3 เป็นพื้นที่บริเวณ ท้ายซอยจอมเทียนซอย 2 และ ซอย 3 มีลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 20 คูหา สองฝั่ง รวมเป็น 40 คูหา และมีที่ดินระหว่างอาคารพาณิชย์ดังกล่าว พื้นที่ประมาณ 1 ไร่ ถูกบุกรุก รุกล้ำ สร้างเป็นเพิงอาศัยชั่วคราวประมาณ 30 หลัง ซึ่งปัญหาของจอมเทียนซอย 3 เกิดขึ้นจาก กรณีพิพาทฟ้องร้องกันของบริษัทที่เป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์และที่ดินดังกล่าว ทำให้พื้นที่ดังกล่าวเกิดความเสื่อมโทรม ทำให้เกิดเป็นแหล่งมั่วสุม

ของยาเสพติด และ บุคคลเร่ร่อน ต่าง ๆ ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และสภ.เมืองพัทยา ได้เปิดปฏิบัติการล้างบางปรสิต EP.2 จอมเทียนซอย 3 โมเดล ไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา จับกุมผู้ขาย บำบัดผู้เสพ สแกนพื้นที่ 100% สามารถจับกุมผู้ต้องหารวม 129 ราย ทั้งผู้ค้า ผู้เสพ ผู้ครอบครอง และต่างด้าวผิดกฎหมาย และครั้งนี้ ยุทธการ EP.3 เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน” ผบช.ภ.2 กล่าว

ผบช.ภ.2 กล่าวด้วยว่า ยุทธการล้างบางปรสิต มุ่งเน้น 3 มิติ คือ 1. การปราบปราม กดดัน พวกที่เข้ามาก่ออาชญากรรมและยาเสพติดในพื้นที่  2.การจัดสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะในพื้นที่รกร้าง ที่เอื้อต่อการเกิดอาชญากรรม มั่วสุมจำหน่ายยาเสพติด และการแพร่กระจายของเชื้อโรค และ 3.การพัฒนาการบูรณาการปฏิบัติของหน่วยงานราชการและเอกชนในพื้นที่ พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 2  ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เดินหน้ารุกปราบปรามอาชญากรรม กวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่อย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะเมืองพัทยาที่เป็นเมืองหัวใจของการท่องเที่ยวประเทศไทย จึงให้ความสำคัญในการป้องกันปรามอาชญากรรมทุกประเภทอย่างจริงจัง โดยเปิดปฏิบัติการล้างบางปรสิต EP.1–2 อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง และเพื่อการการแก้ปัญหา ยาเสพติดในพื้นที่พัทยา เป็นไปอย่างยั่งยืน สภ.เมืองพัทยา เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง ร่วมมือกันจัดระเบียบที่อยู่อาศัย สั่งรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างไม่ถูกกฎหมาย ไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยลงพื้นที่ทำการ รื้อถอนในวันนี้ ถือเป็นปฏิบัติการบิ๊กคลีนนิ่ง ทำเมืองพัทยาให้สะอาดจากยาเสพติด และอาชญากรรม กวาดล้างแบบขุดรากถอนโคน 

“วันนี้มาดูการปฏิบัติการในพื้นที่จอมเทียนซอย 3 และ จอมเทียนซอย 11 หารือกับหน่วยราชการและภาคเอกชนในพื้นที่ถึงสภาพปัญหา ร่วมหารือการปฏิบัติของตำรวจทุกหน่วยในพื้นที่พัทยา หารือเพื่อทราบปัญหา สนับสนุนให้กำลังใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และขอย้ำว่าต่อไปนี้ใครจะมาใช้พื้นที่จุดนี้ หรือจุดไหนในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นแหล่งค้ายาเสพติด แหล่งกบดาน แหล่งซ่องสุมไม่ได้ ตำรวจภูธรภาค 2 จะมีปฏิบัติการอย่างเข้มข้น ไม่ยอมให้ปรสิตมาเกาะกินทำลายความสงบสุขของประชาชน” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

ทั้งนี้ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ได้เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ จว.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 1 – 17 มกราคม 2568 จับกุม 229 คดี ผู้ต้องหา 231 คน ยึดของกลางยาเสพติดเคตามีน 150 กก. ยาบ้า กว่า 76,000 เม็ด อายัดทรัพย์กว่า 8,300,000 บาท

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง"ซับน้ำตาชาวใต้"จัดงบกว่า 15.5 ล้านบาท ฟื้นฟูหลังน้ำลดผู้ประสบอุทกภัย แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค มอบเงินช่วยเหลือกรณีบ้านพังทั้งหลัง และช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิต 8 จังหวัดภาคใต้

ระหว่างวันที่ (2 - 20 ม.ค. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ ห่วงใยผู้ประสบอุทัยภัยภาคใต้ มอบหมายให้ นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์  พร้อมด้วย แผนกบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปฏิบัติการ จัดทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 8 จังหวัดภาคใต้ ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำลด ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และชุมพร โดยแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช และน้ำปลา รวมจำนวน 30,200 ชุด ๆ ละ 450 บาท มอบเงินสงเคราะห์กรณีบ้านเรือนที่เสียหายจากอุทกภัย หลังละ12,000 บาท จำนวน 66 หลังคาเรือน และมอบเงินสงเคราะห์ค่าฌาปนกิจให้แก่ญาติผู้เสียชีวิต รายละ 20,000 บาท จำนวน 59 ราย รวมงบประมาณไม่ต่ำว่า 15.5 ล้านบาท โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งมูลนิธิสงเคราะห์ 14 จังหวัดภาคใต้ และ สมาคม/มูลนิธิแต่ละจังหวัด เป็นผู้ประสานงานและร่วมให้ความช่วยเหลือ

เมื่อเกิดอุทกภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมบรรเทาสาธารณภัย พร้อมเรือท้องแบน และ โรงครัวเคลื่อนที่เพื่อประกอบอาหารกล่อง พร้อมถุงยังชีพ ชุดยาเวชภัณฑ์ และอาหารสุนัขและแมว นำแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้น หลังจากนั้น ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท ทั้งนี้ กรณีมีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

สมุทรปราการ -“อรัญญา” รุกหนัก!! นำทีมแพรกษาก้าวหน้า ลงพื้นที่หาเสียงถนนคนเดินประชาชนจำนวนมากส่งเสียงเชียร์

นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ผู้สมัครนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา หมายเลข 1 พร้อมด้วยคณะสมาชิกในนามกลุ่มแพรกษาก้าวหน้า

ลงพื้นที่หาเสียงภายในชุมชนหมู่บ้านรุ่งทวี หมู่บ้านพูลทรัพย์ และปิดท้ายที่ถนนคนเดินในเขตพื้นที่ตำบลแพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ โดยมี ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมลงพื้นที่ช่วยหาเสียง 

ซึ่งการลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้ยังได้พบกับกลุ่มผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรปราการ นำโดย นายสุนทร ปานแสงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้สมัครนายก อบจ. หมายเลข 1 และผู้สมัคร ส.อบจ. สมุทรปราการ นำโดย นายสมเกียรติ ทองเหลือ ผู้สมัครหมายเลข 2 เขตเลือกตั้งที่ 11 

โดยทางด้าน นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นำทีมกลุ่มแพรกษาก้าวหน้าลงพื้นที่หาเสียงอย่างต่อเนื่องโดยมีพี่น้องประชาชนในชุมชนต่างมารอให้กำลังใจ พร้อมทั้งชู้ป้ายหาเสียง แจกแผ่นพับแนะนำตัวผู้สมัคร และชูนโยบายในการบริหารงานและแผนพัฒนาท้องถิ่นของกลุ่มแพรกษาก้าวหน้า ในสโลแกน เคียงข้าง สร้างเมือง สร้างคน

โดยทางด้านนโยบายประกอบไปด้วย ผลักดันการศึกษาคุณภาพสำหรับเด็กท้องถิ่น พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาและโครงการแลกเปลี่ยน ส่งเสริมหลักสูตรอาชีวะให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ต่อยอดโรงเรียนผู้สูงอายุด้วยหลักสูตรสุขภาพ ด้านเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีปรับปรุงระบบงานเทศบาล พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อการเข้าถึงเทคโนโลยีของชุมชน

ด้านเศรษฐกิจ ต่อยอดศูนย์ OTOP ด้วยการพัฒนาสินค้า การตลาด สนับสนุนการขายสินค้าออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์มเฉพาะ อบรมผู้ประกอบการท้องถิ่นด้านการตลาดและการเงิน 

ด้านคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวและปลูกต้นไม้ในชุมชน สร้างสวนสาธารณะให้เป็นพื้นที่ใช้งานสำหรับทุกวัย ส่งเสริมการจัดการขยะครบวงจร 

อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพี่น้องประชาชนตามชุมชนต่างๆ ที่มารอให้การต้อนรับ พร้อมทั้ง มอบดอกกุหลาบให้แก่ นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และอวยพรขอให้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ 

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สงขลา-เลือกนายก อบจ.สงขลา “เงินไม่มากามาเป็น” ชาวบ้านขู่  “นายทุน” เงินอยู่กับใคร ให้คนนั้นไปลงคะแนน 

(20 ม.ค. 68) แถม “ลดราคา” จากเสียงละ 500 เป็น 300 ในการเลือกตั้ง ลดราคาการ”ขนคน” ไปฟังการปรายศรัย” จาก 300 เป็น 200 และ 100 ตามสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ผู้สื่อข่าว ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของการเมืองท้องถิ่น การหาเสียงของ ผู้สมัคร นายก อบจ. และ ส.อบจ. หรือ สจ. ในแต่ละเขตเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้เหลือเพียง 10 วันสุดท้าย ก็ที่จะมีการ เข้าคูหาหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธุ์ 2568 พบว่า ยังคงเป็นการแข่งขันของ 3 ทีมใหญ่ คือ ทีมพรรคประชาชน ที่มี นายนิรันดร์ จินดานาค เป็น ผู้สมัคร นายก อบจ. หมายเลข 2 นายประสงค์ บริรักษ์ หมายเลข 3 และ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม หมายเลข 5 ซึ่งก่อนหน้านี้ นิดาโพล ได้มีการสำรวจ พบว่า คะแนนของหมายเลข 5 ยังนำหมายเลข 2 และ 3 อยู่ เล็กน้อย แต่ที่น่าสังเกตคืนยังมีผู้ที่ไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครอีกเกือบ ร้อยละ 30 ที่ยังเป็น ตัวแปร ในการเลือกตั้ง นายก อบจ.ในครั้งนี้

ผู้สื่อข่าว ที่ เกาะติด ความเคลื่อนไหวของ การเลือกตั้งในพื้นที่รายงานว่า ทีมของผู้สมัครเริ่มจัดให้มีเวทีการหาเสียง ในอำเภอรอบนอกของจังหวัดสงขลา เช่น อ.สิงหนคร .สทิงพระ .จะนะ ,นาทวี เพื่อ หาเสียง กับประชาชน โดยบอกถึง นโยบาย ที่จะบริหารท้องถิ่น หากได้รับการเลือกตั้ง  โดย บางทีมยังใช้วิธีการเดิมๆ นั้นคือให้ ผู้สมัคร สจ. ในพื้นที่ ขนคนมาฟังการปราศรัย เพื่อให้เห็นว่ามีประชาชนให้การสนับสนุนจำนวนมาก มีการจ่ายเงินให้ผู้มาฟังปราศรัย ตั้งแต่ หัวละ 100 บาท 200 บาท และ 300 บาท ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า การจ่ายเงินให้คนมาฟังการปราศรัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ น้อยกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะอยู่ที่หัวละ 300 บาท ส่วน หัวคะแนน ที่นำคนมาร่วมเวลาจะได้ค่าตอบแทนหัวละ 200 บาท แต่ถึงจะจ่ายไม่มาก ประชาชน ส่วนหนึ่ง ก็ยังคงมาร่วมเวที เพราะสภาพของความยากจน ที่เงิน 100 หรือ 200 บาท ก็มีความหมาย

หัวคะแนน ของทีมใหญ่รายหนึ่ง ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า มีการ เก็บรายชื่อ ของผู้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนแล้ว โดยมีการ บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ  โดยการตรวจสอบความซ้ำซ้อนของรายชื่อ และมีการแจ้งให้เจ้าของรายชื่อทราบว่าจะมีการ ซื้อเสียงๆละ 500 บาท หลังจากที่มีการตรวจสอบรายชื่อแล้ว โดยประชาชนส่วนหนึ่ง ยอมที่จะรับ 500 บาท ในการไปใช้สิทธิ์ให้กับ ผู้สมัครที่เป็น หัวหน้าทีม แต่มีส่วนหนึ่งมีการต่อรองว่า ถ้าจ่าย หัวละ 500 บาท จะเลือกผู้ที่สมัคร สจ. ที่เป็นคนในพื้นที่ ที่ชาวบ้านรู้จัก แต่จะไม่เลือก หัวหน้าทีม ที่ตนเองไม่รู้จัก ถ้าจะให้เลือกทั้ง ผู้สมัครนายก อบจ. และผู้สมัคร สจ. ต้องจ่าย 1,000 บาท ในขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งให้ข้อมูลว่า ขณะนี้มีเพียง ทีมเดียว ที่ หัวคะแนน มาเก็บรายชื่อเพื่อ ซื้อเสียง ส่วนทีมอื่นๆ ยังไม่มีการมาติดต่อ ดังนั้นต้องรอก่อนว่าทีมไหนให้ มากกว่า ก็จะเลือกทีมนั้น 

ในขณะเดียวกัน ก็มีการปล่อยข่าวว่า  นายทุนได้นำเงินไปให้กับ ผู้นำท้องถิ่น และ ผู้นำท้องที่ เพื่อใช้ในการซื้อเสียงจากผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ทำให้ ประชาชน ในพื้นที่ ที่ทราบข่าวว่า และ เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ถ้าเงินที่ให้ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ไม่ถึงมือชาวบ้าน ก็ให้ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ไปเลือก เจ้าของเงินแทน ส่วนชาวบ้านจะไม่ไปเลือก

และจากการติดตาม ข่าวสารในโซเชียล พบว่า มีการต่อรองว่า ถ้าไม่ได้เสียงละ 1,000 บาท จะไม่ไปใช้สิทธิ์ และหากให้ดีในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำต้องมีการจ่ายให้ประชาชนเสียงละ 2,000 บาท ซึ่งสร้างความฮือฮาในหมู่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังพบว่ามีการลงในโซเซียล ว่าจะไป โนโวต เพราะไม่เชื่อมั้นในผู้สมัครว่าจะทำตามนโยบายที่นำเสนอต่อประชาชน

รายงานจากแหล่งข่าว ที่ใกล้ชิดกับผู้สมัครแจ้งว่า มีการจ่ายเงินให้ สจ.เขตในทีมๆละ 2 ล้านบาท เพื่อใช้เป็น ปัจจัย ในการ หาเสียงในแต่ละเขตเลือกตั้ง ทั้งในส่วนของ นายก อบจ. และของ สจ. ซึ่งมีการจ่ายไปแล้ว 1 ล้าน ส่วนอีก 1 ล้าน จะจ่ายก่อนสัปดาห์ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง ในขณะที่ ผู้สมัคร สจ. ในบางอำเภอ อยู่ระหว่างการ เก็บรายชื่อของประชาชนผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ซึ่งต้องมีการ ซื้อเสียง ตั้งแต่ 10,000 ถึง 13,000 คน  ถ้าต้องจ่ายเสียงละ 1,000 ต่อหัว ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าเขตละ 5 ล้านบาทขึ้นไป จึงมีการต่อรองกับ หัวคะแนน ให้เหลือเสียงละ 500 และ 300 บาท ในบางพื้นที่ เพื่อที่จะไม่ต้องใช้เงินถึง 5 ล้านบาท ในการ เลือกตั้งครั้งนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า บางทีมที่ไม่ใช้เงินในการขนคนมาฟังการปราศรัย จะมีคนมาร่วมเวทีครั้งละ 500 คนขึ้นไป แต่เป็น ประชาชน ที่ตั้งใจมา ส่วนทีมที่มีการ จ่ายเงิน ให้ประชาชนมาร่วมฟังการหาเสียง จะมี ประชาชน มาร่วมฟังการหาเสียง ตั้งแต่ 5,000 -7,000 คน ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ทุกคนที่มา จะเลือกทีมของผู้มาหาเสียงหรือไม่

ที่น่าสังเกตคือมี 2 ทีมของผู้สมัคร ที่ใช้เครื่องมือของ “โซเชียลมีเดีย” ในการ หาเสียง และมีการ สำรวจคะแนนนิยมเป็นระยะๆ เพื่อการวางแผน ในการ เข้าถึงประชาชน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งโดยภาพรวมการ จัดเวทีปราศรัย ทำให้มีเงินสะพัดในแต่ละพื้นที่ ส่วน ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ก็ได้รับ อานิสงส์ ในการมีส่วน บริหาร จัดการ การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ และ สุดท้าย เงินจะสะพัดด้วยการ จ่ายซื้อเสียงใน 3 วันสุดท้าย ก่อนวันลงคะแนนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์

แหล่งข่าว กล่าวว่า เงินส่วนหนึ่งที่ใช้ในการ “ซื้อเสียง” มาจาก ธุรกิจบ่อนออนไลน์ ที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมาย และมี นายทุน และ ผู้สมัคร บางคน ที่อยู่ในธุรกิจดังกล่าว และที่เป็นข่าวฮือฮาการเลือกตั้งครั้งนี้คือ มีนักการเมืองบางคน ประกาศที่จะ ล้ม อดีต สจ.ใน อ.นาหม่อม จ.สงขลา เพื่อให้แพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้ ทั้งหมดคือภาพรวมของการ เลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดในครั้งนี้ ซึ่ง ประชาชน ส่วนหนึ่งใน จังหวัดสงขลา กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า อยากให้ กกต.จังหวัดสงขลา ส่ง เจ้าหน้าที่ ออกติดตาม การ ซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ที่เกิดขึ้น

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘เอกนัฏ’ เผย ‘ฉางอาน’ พร้อมลงทุนในไทยเพิ่ม รองรับยอดใช้รถยนต์ EV ทั่วโลกพุ่ง

(20 ม.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีสเอเชีย จำกัด ได้นำคณะผู้บริหารบริษัท ฉางอานฯเข้าพบ เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสที่ตนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมหารือแนวทางในการดำเนินกิจการของบริษัท ฉางอานฯ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพลปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เข้าร่วมหารือด้วย

สำหรับการเข้าพบหารือในครั้งนี้ คณะผู้บริหารบริษัท ฉางอานฯ ให้ความสำคัญกับประเทศไทย โดยมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงสำหรับการลงทุน เนื่องจากเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์สำคัญแห่งหนึ่งของโลก และเป็นประเทศที่มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน สามารถที่จะรองรับการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV โมเดลใหม่ของบริษัท ฉางอานฯ เป็นอย่างดีซึ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสอดรับกับตลาดของผู้ซื้อทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่นิยมใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

นายเอกนัฏ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและตน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัท ฉางอานฯ ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ซึ่งมีความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งในด้านของโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และระบบสนับสนุนต่างๆ ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนจากทุกประเทศ รวมถึงบริษัทฉางอานฯ ด้วย เพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญของประเทศไทย

นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการออกใบอนุญาต โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ร่วมกับสถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AIEI) เพื่อหารือเรื่องนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการเพื่อการยื่นขอใบอนุญาต และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมสามารถคัดกรองใบอนุญาต เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกกระบวนงาน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากเรื่องร้องเรียนถึงระยะเวลาของการดำเนินการออกใบอนุญาต ด้วยจำนวนเจ้าหน้าที่และระบบที่จำกัด ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ทราบถึงปัญหาและพร้อมที่จะแก้ปัญหา ด้วยการพัฒนาระบบออกใบอนุญาตด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่จะช่วยลดเวลา และเพิ่มความโปร่งใสในทุกขั้นตอน เพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ จึงได้เชิญสถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AIEI) ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และมีความร่วมมือกับ 6 มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ เข้ามาร่วมทีมในคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการออกใบอนุญาต โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)

โดยการประชุมในครั้งนี้ มุ่งเน้นไปสู่การพัฒนาการยื่นขอและคัดกรองใบอนุญาตการประกอบกิจการโรงงานและการขยายกิจการโรงงาน ใบอนุญาตวัตถุอันตราย ใบอนุญาตกากอุตสาหกรรม การศึกษาการตอบโต้ของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และผู้ประกอบการ การกำหนดจุดพิกัดโรงงานที่แม่นยำ รวมถึงแนวทางการพัฒนาระบบติดตามและตรวจสอบ (Track and trace) ของกระทรวงอุตสาหกรรมในอนาคตอีกด้วย

“การประชุมดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence : AI) ในการออกในอนุญาต เพื่อลดระยะเวลา สร้างความโปร่งใส พร้อมสร้างความร่วมมือเพื่อร่วมกันพัฒนาระบบ แก้ไขปัญหา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ รวมทั้งการเสริมสร้างศักยภาพของกระทรวงอุตสาหกรรมสู่ Industrial 5.0 ต่อไป” นายพงศ์พล กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top