Saturday, 17 May 2025
Hard News Team

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชื่นชมพยาบาลตำรวจสาว ช่วยชายสูงวัยหมดสติสถานีรถไฟใต้ดินกินซ่า ขณะเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ยกย่องเป็นแบบอย่างที่ดี 

(22 ม.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับทราบถึงกรณี ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พยาบาล (สบ 1) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ช่วยเหลือชายชาวญี่ปุ่นหมดสติในสถานีรถไฟใต้ดินกินซ่า จนปลอดภัย ขณะเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น จนเป็นที่ชื่นชมของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก และล่าสุดสภาการพยาบาลได้โพสต์ชื่นชม ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารีฯ ในการทำความดีด้วยหัวใจ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยทันที ด้วยจิตอาสา ถือเป็นแบบอย่างของการใช้ความรู้ความสามารถในวิชาชีพพยาบาลให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ สร้างความสุขให้สังคม

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 12.00 น. ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พยาบาล (สบ 1) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ได้ให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุเพศชาย หมดสติล้มลงกับพื้น บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินสายกินซ่า สถานีอาซากูซะ เมืองโตเกียว ขณะเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ทักษะทางวิชาชีพในการประเมินอาการ ระดับความรู้สึกตัวและสัญญาณชีพ ชายสูงอายุไม่รู้สึกตัว คลำชีพจรไม่ได้ จึงทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) และแจ้งขอเครื่อง AED จากเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อเครื่อง AED มาถึง ได้หยุด CPR และติดแผ่น Paddle AED เตรียมใช้เครื่อง AED ชายสูงอายุได้กลับมามีชีพจร จึงไม่ได้ทำการ shock ไฟฟ้าหัวใจ ต่อมาเจ้าหน้าที่กู้ชีพมาถึงที่เกิดเหตุ และนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขอชื่นชม ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารีฯ ที่ใช้จิตวิญณาณความเป็นพยาบาลวิชาชีพ และจิตวิญญาณของการเป็นข้าราชการตำรวจ ไม่นิ่งดูดายในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มไม่ว่าชนชาติใด สถานที่ใด แม้ไม่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอยกย่องการปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับข้าราชการตำรวจและประชาชนต่อไป

“พิชัย” โชว์วิชั่นที่ดาวอส ประกาศไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนจากนานาประเทศในอุตสาหกรรม AI, Data Center และ PCB พร้อมร่วมมือสมาชิกอาเซียนเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

(22 ม.ค. 68) นายพิชัยฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมงานเสวนาหัวข้อ Leaving Asia’s Comfort Zone ภายในงาน WEF 2025 ที่ดาวอส เพื่อแสดงมุมมองการปรับตัวของไทยจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI และยังใช้โอกาสนี้แสดงความพร้อมที่จะเป็นหมุดหมายดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยี AI, Data Center และอุตสาหกรรม PCB และจะร่วมมืออย่างเต็มที่กับทุกภาคส่วนและนานาประเทศ เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะไปพร้อมกัน

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมการเสวนา (Panelist) ในหัวข้อ Leaving Asia’s Comfort Zone ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยงานเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุม World Economic Forum (WEF) ประจำปี 2025 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแลกเปลี่ยนในประเด็นการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อนำพาประเทศเข้าสู่ยุคอัจฉริยะและสร้างความสามารถทางการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก ร่วมกับนายกันคิมยอง (Gan Kim Yong) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ และประธานบริษัทด้านกฎหมายและเทคโนโลยีการเงินชั้นนำของโลก

นายพิชัยฯ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการปรับตัวให้เท่าทันกับยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) และให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรภายในประเทศให้มีทักษะประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์ได้เต็มที่ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์กล่าวเห็นด้วยที่ประเทศไทยมีศักยภาพและชื่นชมที่มีบทบาทสำคัญบนเวทีอาเซียนในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะการผลักดันการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจทัลอาเซียน หรือ DEFA นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การปรับตัวให้เข้าสู่ยุค AI ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น

พร้อมทั้งให้มุมมองว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างการพัฒนากำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้เพียงพอ และการลงทุนในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอย่างการลงทุนในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) และอุตสาหกรรม PCB ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อน เนื่องจากมีความสำคัญในการเป็นแหล่งจัดเก็บข้อมูลอันมหาศาลที่ช่วยให้ AI มีความฉลาด หรือ Intelligence มากขึ้น ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับความสนใจจากบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนด้าน AI และ Cloud Computing ภายในประเทศ เช่น บริษัท G42 จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

นายพิชัยฯ ยังได้กล่าวถึงการยกระดับทักษะ (upskill) และการเพิ่มพูนทักษะ (reskill) ด้าน AI ให้แก่แรงงานได้เท่าทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แม้กระทั่งการพัฒนาทักษะ AI ให้กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ประชากรกลุ่มนี้สามารถปรับตัวและไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรภายในประเทศเช่นกัน แต่ก็ยังต้องการดึงดูดบุคลากรด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงที่เป็นกลุ่ม Digital Nomad ให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกแก่กลุ่มคนเหล่านี้ ทั้งอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง 5G ระบบสาธารณสุข healthcare ที่ดีรวมถึงแหล่งพักผ่อนสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง พร้อมกล่าวปิดท้ายว่า การเสวนานี้ถือเป็นโอกาสที่ตนได้แสดงความพร้อมของไทยในการเปิดรับความร่วมมือและการลงทุนจากนานาประเทศในอุตสาหกรรม AI ตลอดจนอุตสาหกรรม Data Center และ PCB และจะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสมาชิกอาเซียนให้ก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะไปพร้อมกัน

เลขา กกต. แจงปมจัดเลือกตั้ง อบจ. วันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 68 อ้างต้องทำให้เสร็จภายใน 45 วัน ทั้งที่ 2 ก.พ. ยังอยู่ในกรอบเวลา

(21 ม.ค. 68) ขอเหตุผลที่ดีของ กกต.ในการจัดเลือกตั้ง อบจ.วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์

ที่ประชุมวุฒิสภาสอบถามสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่า ทำไมจัดการเลือกตั้งนายกฯอบจ.และ ส.อบจ.วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ มั้ง ๆ ที่ก่อนหน้ามีการคาดการณ์กันว่า น่าจะเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ และที่ผ่านมาก็จัดเลือกตั้งวันอาทิตย์มาโดยตลอดหลายสิบปีมาแล้ว ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

ตามกฎหมายเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่นกำหนดไว้ว่า ถ้าลาออก หรือพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุใดก็ตามเว้นหมดวาระ ให้เลือกตั้งใน 60 วัน

แต่ถ้าอยู่จนครบวาระ จะต้องเลือกตั้งใน 45 วัน นายกฯอบจ.และ ส.อบจ.ที่กำลังจะเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ คือชุดที่อยู่จนครบวาระ 4 ปี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา

แสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงาน กกต.อธิบายต่อที่ประชุมวุฒิสภาเพียงสั้นๆว่า

“การเลือกตั้ง 1 ก.พ. นั้น กกต.มีหน้าที่รักษากระบวนการเลือกตั้งให้สำเร็จ หากเกินจากนั้นเวลาที่กฎหมายกำหนด อาจมีคนไปร้องและทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ ดังนั้นต้องรักษากระบวนการการเลือกตั้ง ทั้งนี้ตนเข้าใจคนที่ลงแข่งขันอยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่กกต.ต้องรักษาระบบ” นายแสวง ชี้แจง

นายกฯอบจ. และ ส.อบจ.ชุดที่กำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่หมดวาระ 19 ธันวาคม นับไป 45 วัน เดือนธันวาคม 11 วัน คือตั้งแต่ 20 ธันวาคม ถึง 31 ธันวาคม เป็น 11 วัน เดือนมกราคม 31 วัน ถ้าเลือกตั้ง 1 กุมภาพันธ์ เท่ากับ 43 วัน ถ้าเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เท่ากับ 44 วัน ยังงัยก็ไม่เกิน 45 วัน

ก็ไม่เข้าใจว่า นายแสวง บุญมี เอาตรรกะอะไรมาอธิบายว่า ต้องรักษากระบวนการเลือกตั้งให้แล้วสำเร็จ คืออะไร หมายถึงอะไร จริงๆ กกต.นอกจากต้องจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จแล้ว กกต.ยังมีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย

แต่การเลือกตั้งที่ผ่านมา เต็มไปด้วยข้อครหาทุจริตการเลือกตั้ง มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งทุกระดับที่ กกต.จัดให้มีการเลือกตั้ง แม้กระทั่งการเลือก สว.ครั้งที่ผ่านมา ยังมีเรื่องร้องเรียน ฟ้องศาลกันเต็มไปหมดเป็น 100 เรื่อง และถึงขั้นมีการเรียกร้องให้ยุบทิ้ง กกต.ก็มี

อยากจะถามไปยังเลขาฯ กกต.และคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า การกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งนายกฯอบจ.และ ส.อบจ.เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานอะไร เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร กลัวคนไปร้องเรียนเรื่องอะไร

ส่วนตัวผมเองฟังแสวงอธิบายต่อ สว.แล้วไม่เข้าใจ เพราะอย่าลืมว่า วันเสาร์ผู้มีสิทธิ์บางคนทำงาน อาจไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อันเป็นการทำให้คนเสียสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

หาเหตุผลใหม่มาอธิบายเถอะ เหตุผลที่อธิบายสั้นๆ มันฟังไม่ขึ้น อย่าแถไปข้างๆคูๆเลย

อันวาร์วิจารณ์ไบเดนมัวแต่สนใจยูเครน จีนรับอานิสงส์ แผ่อิทธิพลอาเซียนมากขึ้น

(21 ม.ค.68) นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนประจำปีนี้ ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อไฟแนนเชียลไทมส์ โดยแสดงความเห็นว่า สหรัฐฯ มุ่งเน้นความสำคัญไปที่สงครามในยูเครนมากจนทำให้ความสนใจต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลง "บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเน้นไปที่ยุโรปก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คือพวกเขาให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้(อาเซียน)น้อยลง ยกเว้นแค่คำแถลงนโยบายต่างประเทศทั่วไป" นายกอันวาร์กล่าว 

แม้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะไม่ได้กล่าวถึงตัวบุคคล แต่เขากล่าวถึงรัฐบาลสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยอันวาร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความละเลยของสหรัฐฯ ต่อความสัมพันธ์กับอาเซียนทำให้สหรัฐฯ สูญเสียพื้นที่ให้กับจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "ที่ผ่านมาอาเซียนเราความร่วมมือกับสหรัฐฯ เป็นอย่างดีแต่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในภูมิภาคนี้เหมือนที่เคยเป็นในอดีต ขณะที่จีนมีท่าทีที่เป็นบวกมากขึ้น"

เขายังกล่าวชื่นชมการเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลจีนที่มาเลเซีย โดยว่ามาเลเซียเข้ารับตำแหน่งประธานอาเซียนในปีนี้ "จีนให้การเข้าถึงที่ดีกว่า คุณสามารถพบปะพวกเขาได้ง่าย เราส่งรัฐมนตรีไปที่นั่น พวกเขาส่งรัฐมนตรีมา" 

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังปกป้องการตัดสินใจของประเทศในภูมิภาคในการร่วมมือกับจีนอย่างสร้างสรรค์ และยินดีต้อนรับการลงทุนของจีนในโครงสร้างพื้นฐาน "มันเป็นเรื่องที่ดีกว่าสำหรับเศรษฐกิจขนาดเล็กอย่างมาเลเซียที่จะขยายความสัมพันธ์กับจีน" นายกรัฐมนตรีมาเลย์กล่าว

เมื่อถูกถามถึงความจำเป็นในการเข้มงวดกับจีนภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซีย เขากล่าวว่า "ทำไมเราต้องเข้มงวด? เราไม่เห็นด้วยกับสหรัฐฯ ในหลายเรื่องด้านนโยบายต่างประเทศ แต่เราก็ต้องการให้พวกเขาเป็นพันธมิตรที่สำคัญ" และ "กับจีน ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องของการเข้มงวดกับประเทศเพื่อนบ้านที่แข็งแกร่งและใหญ่"

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังให้ความเห็นถึงกรณีกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมั่นใจว่า "เหตุผลจะชนะในที่สุด" และกล่าวว่า "มีบริษัทใหญ่จากสหรัฐฯ ที่มีความสนใจและการพึ่งพาการค้าต่างประเทศและการลงทุนจำนวนมาก"

ในแง่การบาลานซ์ระหว่างมหาอำนาจ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังกล่าวถึงความตั้งใจที่จะ 'รักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซีย' ในระหว่างการเป็นประธานอาเซียน

มหากาพย์ ‘ที่ดินอัลไพน์’ ก่อนกลับมาเป็นที่ธรณีสงฆ์อีกครั้ง!!

ย้อนไทม์ไลน์ที่ดินอัลไพน์ มหากาพย์ที่ยืดเยื้อมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ก่อนที่กำลังจะปิดฉากลง หลังจาก นายชํานาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนาม (วันที่16 มกราคม 2568) เพิกถอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินอัลไพน์ 924 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่อำเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี (คลอง5) ที่ได้กลับไปอยู่ในสถานะที่ “ธรณีสงฆ์” ตามเจตนารมณ์ของ ‘คุณยายเนื่อม’

นักวิชาการ เทียบปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไทย - เกาหลีใต้ ชี้ ‘ผู้ว่ากรุงโซล’ มีอำนาจสั่งการเด็ดขาด ต่างจาก ‘ผู้ว่า กทม.’

(21 ม.ค.68) - ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ผู้ว่ากรุงโซล กับ ผู้ว่ากรุงเทพในวันที่ฝุ่น PM 2.5รุนแรง” มีรายละเอียดดังนี้

1.ประเทศเกาหลีใต้ประสบกับฝุ่น PM 2.5 อย่างรุนแรงในช่วงฤดูหนาวเช่นเดียวกับประเทศไทย โดยรัฐบาลได้ประกาศให้ฝุ่น PM2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานจนถึงระดับที่มีผลต่อสุขภาพหรือ "Unhealthy" เป็นภัยพิบัติทางสังคม(Social disaster) ที่ต้องจัดการแก้ไขทันทีโดยกำหนดแผนเร่งด่วนในแก้ไขปัญหาตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปี 2022 และยังให้มีการใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เรียกว่า “Comprehensive Plan on Fine dust Management” โดยกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น commander สามารถสั่งการลดแหล่งกำเนิดมลพิษในเมืองได้เบ็ดเสร็จและยังสามารถยกเลิกมาตรการดังกล่าวได้เมื่อภัยพิบัติหมดไป

2. ในวันที่คาดว่าคุณภาพอากาศในกรุงโซลมีจะค่าเกินค่ามาตรฐานในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือUnhealthy โดยตามแผนผู้ว่าการกรุงโซลมีอำนาจประกาศให้ประชาชนสามารถใช้ระบบขนส่งมวลได้ฟรี เช่น รถไฟฟ้าใต้ดินและบนดิน รถ ขนส่งสาธารณะ รถไฟ เป็นต้น ในช่วงเวลาเร่งด่วนตั้งแต่ 05.00น-09.00น.และ ช่วงเวลา18.00 -21.00น. และขอความร่วมมือประชาชนไม่ต้องนำรถยนต์ออกมาวิ่งบนถนนในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้งสั่งลดกำลังการผลิตของโรงงานที่ใช้ฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิง, ตั้งเขตห้ามนำรถยนต์ดีเซลเก่าวิ่งเข้าเมืองตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ย.ถึงเดือน ก.พ., ให้เปลี่ยนรถบัสโดยสารในเมืองต้องเป็นรถยนต์ EVทั้งหมด, สั่งห้ามเผาในที่โล่ง เป็นต้น

ทั้งนี้เกาหลีใต้สามารถพยากรณ์คุณภาพอากาศและคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำอย่างน้อย 5 วันโดยผู้ว่าการกรุงโซลจะประกาศให้ประชาชนทราบและเสนอมาตรการดังกล่าวออกไป

ผู้ว่ากรุงโซลทุกสมัยจะต้องมีนโยบายดังกล่าวอย่างชัดเจน ยึดหลัก "คุณภาพชีวิตของประชาชนยิ่งใหญ่กว่าเงินตราที่เสียไป(The value of human beings is far greater than that of money)" ถึงแม้จะเสียรายได้มหาศาลก็ไม่เป็นไรแต่มูลค่าสุขภาพอนามัยของประชาชนต้องมาก่อน

3.ปี 2022 เกาหลีใต้ได้จัดการแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศให้ลดลงได้อย่างมาก เช่น ใช้รถเครื่องยนต์และน้ำมันEuro6, เริ่มใช้รถยนต์EV, ยกเลิกสถานประกอบการและโรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง, เพิ่มสวนสาธารณะโดยมีขนาดของพื้นที่สีเขียวเป็นอันดับ 7 ของโลกคิดเป็น 27.8% ของพื้นที่กรุงโซลและมีสวนสาธารณะขนาดต่างๆมากกว่า2200 แห่ง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ ตามทุกวันนี้ก็ยังประสบกับฝุ่นละอองที่พัดข้ามแดนจากประเทศจีนในบางช่วงเวลาเท่านั้นแต่ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงโซลในปี 2024 ลดลงถึง 75% สภาพอากาศดีเยี่ยมถึงปานกลาง

4.สำหรับประเทศไทยเจ้าภาพจัดการฝุ่นละอองมีหลายหน่วยงานตามแผนปฏิบัติการของชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเพียงใช้ พ.ร.บ.การสาธารณสุขเรื่องเหตุรำคาญและพ.ร.บ.โยธาและผังเมือง เรื่องการก่อสร้างและปลูกต้นไม้และพ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเท่านั้น ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าภัยจากฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นภัยพิบัติหรือไม่ ที่เหลือเป็นอำนาจของหน่วยงานอื่น ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการฝุ่น PM2.5 ได้เหมือนประเทศเกาหลีใต้

ทรัมป์ไม่เอ่ยถึง ‘ยูเครน’ ในสปีชรับตำแหน่ง จับตา 'ปูติน' ส่งสัญญานพร้อมเจรจา

(21 ม.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ไม่ได้เอ่ยถึงความขัดแย้งในยูเครนโดยตรงระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ ขณะวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แสดงความเต็มใจจะร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ในการจัดการความขัดแย้งดังกล่าว

“สหรัฐฯ เคยมีรัฐบาลที่จัดสรรเงินเพื่อปกป้องพรมแดนของต่างประเทศแต่ปฏิเสธจะปกป้องผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันหรือประชาชนของตัวเอง” ส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์จากทรัมป์ที่เหมือนพาดพิงถึงนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโจ ไบเดน ซึ่งสนับสนุนยูเครนเพื่อชัยชนะของยูเครนในความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย

ทรัมป์ระบุว่าสหรัฐฯ จะวัดความสำเร็จทั้งด้วยชัยชนะในการสู้รบและการยุติสงครามที่ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว โดยทรัมป์นั้นกล่าวอ้างหลายครั้งว่าความขัดแย้งเรื้อรังในยูเครน ซึ่งเริ่มต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2022 จะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก หากเขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลานั้น

บรรดานักวิเคราะห์ของสื่อมวลชนสหรัฐฯ พากันขบคิดหาสาเหตุว่าทำไมทรัมป์ดูเหมือนจงใจไม่เอ่ยถึงยูเครนโดยตรง ทั้งที่เขาเคยคุยโวก่อนหน้านี้ว่าเขาจะยุติความขัดแย้งในยูเครนโดยเร็วหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ โดยเมื่อไม่นานนี้ ทรัมป์เผยว่ามีการเตรียมการประชุมหารือระหว่างเขากับปูติน

แถลงการณ์จากทำเนียบเครมลินของรัสเซียระบุว่าปูตินกล่าวระหว่างการประชุมกับสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งรัสเซียเมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ารัสเซียไม่เคยปฏิเสธการเจรจาและเปิดกว้างสู่ความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ มาโดยตลอด พร้อมใช้โอกาสนี้แสดงความยินดีกับทรัมป์ที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

บางกอกเคเบิ้ล จับมือ HiTHIUM รุกระบบกักเก็บพลังงาน เดินหน้าลุยประมูลงานเมกะโปรเจกต์รัฐ - เอกชน

(21 ม.ค.68) 'บางกอกเคเบิ้ล' จับมือ 'HiTHIUM' ท็อป 5 โลกด้านระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ หรือ BESS ผนึกกำลังสายไฟฟ้าคุณภาพและ BESS ที่ผ่าน R&D เข้มข้น สู่โซลูชั่นด้านพลังงานครบวงจร ชูวิสัยทัศน์ร่วมเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานไทยสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน สอดรับเทรนด์โลก วางแผนเดินหน้าประมูลงานและเมกะโปรเจกต์ภาครัฐและเอกชนไทย ทั้งกลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค-กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม-กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย พร้อมร่วมชิงเค้กงานระดับภูมิภาคจาก ASEAN Power Grid เปิดช่องหาพันธมิตรร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม

นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ HiTHIUM บริษัทชั้นนำระดับท็อปของโลกด้านระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage Systems หรือ BESS) ณ สำนักงานใหญ่ของ HiTHIUM เมืองเซี่ยเหมิน ประเทศจีน เพื่อผสานความแข็งแกร่งระหว่างสายไฟฟ้าคุณภาพและระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นจากทั้ง 2 บริษัท มาเป็นโซลูชั่นด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างครบวงจร รองรับความต้องการของประเทศ

“ทิศทางโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทนมากขึ้น BESS คือหัวใจสำคัญของสถานีไฟฟ้า โครงการระดับเมกะโปรเจกต์ที่ใช้พลังงานสะอาด ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยยุคใหม่ เราและ HiTHIUM ต่างเป็น 2 บริษัทที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมพลังงานที่ยั่งยืน เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพสูง เพื่อเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยสู่การใช้พลังงานสะอาด เราเชื่อมั่นว่าการผลึกกำลังกันระหว่างเจ้าตลาดสายไฟของไทย และท็อป 5 ของโลกด้าน BESS จะเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนได้” นายพงศภัค กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทและ HiTHIUM จะนำเสนอโซลูชั่น รวมถึงเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในไทย ภายใต้ 3 กลุ่มงาน ได้แก่ 1.กลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค ที่มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน 2.กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่เน้นการขยายการติดตั้งและการจำหน่ายระบบจัดเก็บพลังงาน และ 3.กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย ที่ใส่ใจพลังงานสะอาดและมุ่งเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีระบบจัดเก็บพลังงานที่ทันสมัย ขณะเดียวกัน จะร่วมกันเข้าประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคอย่างโครงการ ASEAN Power Grid (APG) ซึ่งเป็นโครงการสร้างความเชื่อมโยงด้านพลังงาน สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานระหว่างประเทศสมาชิก โดยบริษัทและ HiTHIUM ยังคงเปิดกว้างการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม

ด้านนายแซม หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำประเทศไทย HiTHIUM กล่าวว่า HiTHIUM รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ บางกอกเคเบิ้ล ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดสู่ประเทศไทย ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้มุ่งเน้นการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการกักเก็บพลังงานที่ล้ำสมัยของ HiTHIUM โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย

สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์ นอกจากนี้ บริษัท มีส่วนสนับสนุนโครงการ ASEAN Power Grid โดยเฉพาะโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang Hydropower Project) ในประเทศลาว

จากชายขอบสู่เบอร์ 2 ทำเนียบขาว เตรียมก้าวสู่ผู้นำการเมืองอเมริกาคนต่อไป

(21 ม.ค. 68) ทำความรู้จัก JD Vance ชายผู้ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการและถูกคาดหมายว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองอเมริกาต่อจากทรัมป์

James David Vance หรือ J.D. Vance เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2527 ที่เมืองมิดเดิลทาวน์ รัฐโอไฮโอ แม้ว่าปัจจุบันจะอายุแค่ 40ปี แต่พี่แว๊นซ์ก็ถือว่าผ่านงานมาอย่างหลากหลายและโชกโชนพอสมควร อาทิเช่น
- ปี 2003 ถึง 2007 ได้เข้าร่วมกับนาวิกโยธินในตำแหน่งนักข่าวสายทหารรวมถึงผ่านการถูกส่งไปทำงานภาคสนามในสงครามอิรักมาแล้วถึง 6 เดือน 
- เคยทำงานเป็นทนายความด้านกฏหมายองค์กรอยู่ระยะสั้นๆก่อนผันตัวมาเป็นนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ท-อัพในเวลาต่อมา 
- เป็นผู้เขียนหนังสือขายดีติดอันดับเบสเซลเล่อร์ของนิวยอร์กไทมส์เรื่อง บันทึกความทรงจำ Hilbilly Elergy ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับภาพสะท้อนของคนอเมริกันผิวขาวชายขอบที่เติบโต ใช้ชีวิตและสร้างวัฒนธรรมของตนเองขึ้นในพื้นที่ห่างไกลความเจริญบริเวณเทือกเขาอัพพาลาเชียในอเมริกาเหนือซึ่งเป็นพื้นเพรากเหง้าที่พี่แว๊นซ์เติบโตขึ้นมาในวัยเด็กนั่นเอง หนังสือเล่มนี้ดังจนสุดยอดผู้กำกับหนังแห่งยุคคนหนึ่งอย่าง รอน ฮาวเวิร์ด (ดาวินชีโค้ด, อพอลโล 13) เอาไปสร้างเป็นหนังทาง Netflix มาแล้วในปี 2020
- ได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐโอไฮโอ
- ได้รับการแต่งตั้งจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ให้เป็นผู้ร่วมรณรงค์หาเสียงในฐานะว่าที่รองประธานาธิบดีจนชนะการเลือกตั้งร่วมกับทรัมป์และได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน

ในด้านการศึกษานั้นพี่แว๊นซ์ก็ถือว่าไม่ธรรมดาครับ จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอเสตทและมาจบปริญญาโทจากหนึ่งในโรงเรียนกฏหมายที่ถือว่าดีที่สุดในโลกอย่างมหาวิทยาลัยเยล 

ทางด้านครอบครัวนั้น พี่แว๊นซ์แต่งงานแล้วกับ อุชา ชิลูคูรี สาวอินเดีย-อเมริกันที่มีพ่อแม่เป็นชาวอินเดียอพยพและชาวฮินดู อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เยล ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน และเมื่อพี่แว๊นซ์ของเราขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเรียบร้อยแล้ว อุชาก็ได้กลายเป็นสตรีชาวฮินดูคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะคู่สมรสของรองประธานาธิบดีและแน่นอนว่าหากจับพลัดจับผลูเกิดอะไรขึ้นกับลุงทรัมป์ทำให้อยู่ไม่ครบเทอมและพี่แว๊นซ์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี อุชาก็จะขึ้นเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งชาวฮินดูคนแรกของชาวอเมริกันทันที 

พี่แว๊นซ์ถือว่ามีความเจนจัดทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน, การระดมทุนและการลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่อย่างสตาร์ท-อัพ และ ไอที รวมไปถึงนโยบายประชานิยมต่างๆที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนยากจน ซึ่งตัวของเขาเองนั้นก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนเรื่องการอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือชนชั้นแรงงาน, เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนชายขอบกับวัฒนธรรมอเมริกันกระแสหลักในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มาจากรากเหง้าอดีตแบบคนชายขอบหรือที่เรียกว่า Hilbilly แห่งเทือกเขาอัพพาลาเชียที่พี่แว๊นซ์ได้ต่อสู้ฟันฝ่า ถีบตัวเองขึ้นมาจนประสบความสำเร็จได้นั่นเอง 

ทั้งนี้ทั้งนั้นนักวิเคราะห์การเมืองอเมริกันหลายสำนักได้แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า เมื่อพี่แว๊นซ์ได้เข้าไปมีบทบาทในทำเนียบขาวแล้วลุงทรัมป์ “จัดให้” มีซีนที่ฉายแสงหรือให้มีจังหวะได้เฉิดฉายบ้างเป็นระยะๆ เขาก็น่าจะทำได้ดี ด้วยความที่เป็นคนออกสื่อแล้วไม่ตายไมค์ พูดจาฉะฉานชัดเจน แถมยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อย โอกาสที่จะมีอนาคตทางการเมืองสดใสยาวๆไป รวมถึงโอกาสที่จะมีโอกาสเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงตำแหน่ง “เบอร์หนึ่ง” เมื่อลุงทรัมป์หมดวาระลงในอีก 4 ปีข้างหน้าก็มีโอกาสไม่น้อยครับ

กองทุนน้ำมันฯ กลับมาชดเชยอีกครั้งในรอบ 6 เดือน หวังตรึงดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร หลังราคาน้ำมันโลกพุ่ง

(21 ม.ค.68) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กลับมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้งในรอบ 6 เดือน หลังราคาน้ำมันโลกขยับขึ้น ต้องชดเชยอยู่ 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อพยุงราคาจำหน่ายปลีกดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ขณะที่เงินกองทุนน้ำมันฯ ยังติดลบรวม -73,545 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการติดลบต่ำสุดในรอบ 2 ปี

รายงานสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุดว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ให้กองทุนน้ำมันฯ กลับมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้งที่อัตรา 50 สตางค์ต่อลิตร (ยอดการใช้ดีเซลทั้งประเทศอยู่ที่ 66.66 ล้านลิตรต่อวัน) เนื่องจากราคาน้ำมันโลกผันผวนปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้กองทุนฯ ได้หยุดชดเชยราคาดีเซลมาตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2567 และเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ มาโดยตลอด และเคยเรียกเก็บเงินสูงสุดที่ 4.20 บาทต่อลิตร ขณะที่มาตรการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สิ้นสุดไปตั้งแต่ 31 ต.ค. 2567 แล้ว ดังนั้นในขณะนี้ กบน. จึงทำหน้าที่พิจารณาราคาดีเซลเอง โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารจัดการราคาจำหน่ายปลีกภายในประเทศ

อย่างไรก็ตามการกลับมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้ง เนื่องจาก กบน. ยังคงพยายามไม่ให้ราคาดีเซลสูงขึ้นเกิน 33 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบัน (20 ม.ค. 2568) ราคาดีเซลขายปลีกอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร ทั้งนี้หากไม่ชดเชยราคาดีเซลอาจส่งผลให้ต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกเกิน 33 บาทต่อลิตรได้ เนื่องจากราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น

ล่าสุดราคาน้ำมันโลก ณ วันที่ 20 ม.ค. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 80.74 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.67 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 77.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 80.56 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล    

ส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมัน ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 20 ม.ค. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ ค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 4.08 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.15 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.23 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.93 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 7.64 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.60 บาทต่อลิตร  โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-20 ม.ค. 2568 อยู่ที่ 2.21 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

ดังนั้น หากค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมันสูงเกินควร ทาง กบน. อาจพิจารณากลับมาเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ อีกครั้งก็ได้

สำหรับปัจจุบัน กบน. ได้เรียกเก็บเงินเฉพาะผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน และดีเซลเกรดพรีเมียม ส่งเข้ากองทุนฯ ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ส่งเข้ากองทุนฯ 10.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ส่งเข้าถึง 4.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 2.61 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 1.16 บาทต่อลิตร และดีเซลเกรดพรีเมียม เรียกเก็บ 1.50 บาทต่อลิตร

ส่วนสถานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 19 ม.ค. 2568 ปรากฏว่า เงินกองทุนฯ ติดลบลดลงต่อเนื่องเหลือ -73,545 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบน้อยลงเหลือ -26,876 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบเหลือ -46,669 ล้านบาท และยังนับเป็นยอดเงินติดลบต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีอยู่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top