Sunday, 18 May 2025
Hard News Team

'สถาบันวัคซีนแห่งชาติ' เจอทัวร์ลง!! หลังไปสวัสดีปีใหม่ช่อง 3 ถ่ายรูปกับ 'สรยุทธ' เจอชาวเน็ตโจมตี!! ภายหลังชี้แจง ระบุให้ความสำคัญกับการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง

(25 ม.ค. 68) ‘สถาบันวัคซีนแห่งชาติ’ ให้คุณค่าอย่างยิ่งในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรการสื่อสาร ในทุกภาคส่วน 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา พญ. สุเนตร ชื่นกิจมงคล รองผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้เข้าพบมอบของที่ระลึกเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ 2568 พร้อมแสดงความขอบคุณสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (ช่อง 3 HD) ในการสื่อสารความรู้ด้านวัคซีนสู่สาธารณชนด้วยดีเสมอมา โดยมีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ให้การต้อนรับ

โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาตินั้น ให้ความสำคัญกับการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง และสร้างเครือข่ายการสื่อสารอย่างเป็นมิตรร่วมกัน เพื่อเป็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเกิดประโยชน์กับสาธารณะ เน้นให้ประชาชนทั่วไปได้รับความรู้ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้กับสังคมต่อไป

ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์พร้อมคณะร่วมกับเจริญชัย – MR เยอรมัน นำล้ำ นำผลิตภัณฑ์รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ อันดับ 1 ( NiA ) สร้างแบบการเรียนการสอน

“อ.กรอ.อศ - เทคนิคบุรีรัมย์ – เจริญชัย – MR เยอรมัน” นำล้ำ นำผลิตภัณฑ์รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ อันดับ 1 ( NiA ) สร้างแบบการเรียนการสอน  Innovation  Platform IoT  Smart Learning Energy -Smart Building Energy - Smart Factory Energy ด้านการตรวจวัดพลังงาน และ คำนวณการเผาผลาญพลังงานกับ คาร์บอน พร้อมการคำนวณการเผาผลาญฟอสซิล น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน (อบก.) ทุกชั้นของอาคาร เพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงานในอาคารและโรงงาน 
ผลิตภัณฑ์รางวัล นวัตกรรมแห่งชาติอันดับ 1 TH (NiA) “เรียนดี มีสุข” ส่งเสริมการประหยัดพลังงานในอาคารและโรงงาน (เรียนแบบ IoT)

นายภูวดล มิ่งขวัญ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ มอบหมายให้ นายสมพร โพธิ์กำเนิด รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ และ ผศ. สมบูรณ์ สาลำ หัวหน้าภาควิชา เทคโนโลยีไฟฟ้า สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 ต้อนรับ คุณประจักษ์ กิตติรัตน์วิวัฒน์ กรรมการบริหาร (นวัตกรรม)  บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด และคณะทีมผู้บริหาร ในการประชุมปรึกษาหารือ ในหัวข้อทำห้องสื่อการเรียนการสอนด้านพลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน แบบ IoT (บริษัท MR ประเทศเยอรมัน และ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด), Smart Building ด้านการตรวจวัดพลังงาน และ วิเคราะห์พลังงานเพื่อลดพลังงานที่แรกของอาเซียน แบบ IoT Real Time และนำเสนอกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ภาครัฐสู่ภาครัฐของกระทรวงพลังงาน โครงการการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน ด้วยการบริหารพลังงานสะอาดร่วมสมัย (Solar - Energy Storage - หม้อแปลง IoT Low Carbon) ณ วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ 

นายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ กรรมการบริหาร (นวัตกรรม) บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด กล่าว พร้อมหนุนเทคนิคบุรีรัมย์ให้เป็นต้นแบบอันดับ 1 โดยนำผลิตภัณฑ์รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มาเสริมแกร่งโครงการต้นแบบสื่อการเรียนการสอน Innovation  Platform IoT  Smart Learning Energy -Smart Building Energy - Smart Factory Energy ด้านการตรวจวัดพลังงาน และ คำนวณการใช้พลังงานกับ คาร์บอน พร้อมการคำนวณการเผาผลาญฟอสซิล, น้ำมัน, แก๊สธรรมชาติและ ถ่านหิน โดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก องค์การมหาชน (อบก.) ทุกชั้น ของอาคาร  ร่วมพัฒนาบุคลากร ร่วมพัฒนาสถานศึกษาและร่วมประเมินสมรรถนะอาชีพ เพื่อสนับสนุนการสร้างคน สร้างงาน ให้ทันสมัยด้วยนวัตกรรมไทย เน้นความร่วมมือในการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและผลิตกำลังคนอาชีวศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน ส่งผลให้ผู้เรียนที่สำเร็จการศึกษามีคุณภาพ โดยให้เป็นหนึ่งในนโยบายกระทรวงศึกษาธิการในการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และความต้องการกำลังคนของประเทศ

25 มกราคม 2502 ในหลวงร.9 เสด็จฯ จังหวัดสุพรรณบุรี ทรงเปิดพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เมื่อพุทธศักราช 2456 ได้มีการค้นพบพระเจดีย์ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างขึ้น ณ ดอนพระเจดีย์ แขวงเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทรงชนะในยุทธหัตถี และในปีเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระเจดีย์แห่งนี้ เพื่อทรงนมัสการและโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระเจดีย์ขึ้นใหม่ ทว่าการก่อสร้างประสบปัญหาขัดข้องเรื่องงบประมาณ

จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช การบูรณะฟื้นฟูพระเจดีย์ได้สำเร็จลุล่วง ต่อมาในวันที่ 25 มกราคม พุทธศักราช 2502 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงเสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีเปิดพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ ตำบลดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ตามหมายกำหนดการที่ 1/2502

เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงเสด็จเข้าสู่พิธีมณฑล ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธปฏิมาประจำรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงศีลและทรงฟังคำกราบบังคมทูลรายงาน ก่อนที่จะมีพระราชดำรัส จากนั้นพระองค์ทรงเปิดพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระสงฆ์ 10 รูป เจริญชัยมงคลคาถา ขณะเดียวกันชาวพนักงานได้ประโคมฆ้องชัย สังข์ บัณเฑาะว์ มโหระทึก แตร และดุริยางค์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงเสด็จไปทรงพระสุหร่ายสรงพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงจุดธูปเทียนถวายราชสักการะ ก่อนจะประทับพระราชอาสน์ในพิธีมณฑล พระสงฆ์ถวายอดิเรก และเสด็จพระราชดำเนินกลับ

'บารัค โอบามา' หย่า 'มิเชล โอบามา' จบชีวิตคู่ 33 ปี โยงดาราสาว 'เจนนิเฟอร์ อนิสตัน' มือที่สาม

(24 ม.ค.68) ข่าวลือที่กำลังเป็นกระแสฮอตบนโลกโซเชียลของสหรัฐฯ กล่าวถึงการหย่าร้างของบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีและมิเชล โอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง หลังจากที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา 33 ปี โดยข่าวลือเหล่านี้เริ่มต้นจากคำพูดของ 'เมแกน แมคเคน' นักจัดรายการวิทยุชื่อดังที่ออกมาเปิดเผยว่า ทั้งสองได้แยกกันอยู่และกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว นอกจากนี้ยังมีรายงานจากสื่อหลายแห่ง เช่น เดลิเมลล์ และ The Economic Times ที่เผยแพร่ข่าวว่า มิเชล โอบามา ไม่ได้เข้าร่วมงานพิธีสำคัญสองงานร่วมกับบารัค โอบามา ที่กรุงวอชิงตันดี.ซี. ซึ่งยิ่งทำให้ข่าวลือนี้มีมูลมากขึ้น

ข่าวลือที่ทำให้เรื่องนี้ยิ่งได้รับความสนใจคือการเชื่อมโยงชื่อของ 'เจนนิเฟอร์ อนิสตัน' นักแสดงสาวจากซีรีส์ดัง 'เฟรนดส์' กับบารัค โอบามา หลายแหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้งสองกำลังคบหาดูใจกัน แม้ว่าอนิสตันจะออกมาปฏิเสธในรายการ Jimmy Kimmel Live และยืนยันว่าเป็นแค่เพื่อนกัน แต่ข่าวลือดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การคาดเดาเกี่ยวกับสถานะของทั้งสามคนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่สังคมจับตามอง โดยมีการแสดงความเห็นจากนักข่าวชื่อดัง 'มีเกน เคลลี' ที่กล่าวว่า หากข่าวลือนี้เป็นความจริง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการการเมืองของพรรคเดโมแครตอย่างใหญ่หลวง 

ถึงแม้ว่าบารัค โอบามา และมิเชล โอบามาจะไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับข่าวลือนี้ แต่มีการพบเห็นทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกันเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาที่ร้านอาหารในลอสแอนเจลิส ซึ่งยังคงเป็นที่จับตาของสาธารณชนทั่วโลก

PEA แจงขายไฟฟ้าให้เมียนมาทำถูกขั้นตอน ลั่น งดจ่ายไฟฟ้าทันทีหากพบกระทำความผิดจริง

(24 ม.ค.68) PEA ชี้แจงการจำหน่ายไฟฟ้าให้ประเทศใกล้เคียง ทำถูกขั้นตอนตามความร่วมมือไทย-เมียนมา พร้อมงดจ่ายไฟฟ้าแนวตะเข็บชายแดน หากพบกระทำความผิดจริง

นายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ชี้แจงว่า ปัจจุบันจ่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน 5 จุด ในพื้นที่

1. บ้านเจดีย์สามองค์ - เมืองพญาตองซู รัฐมอญ
2. บ้านเหมืองแดง - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
3. สะพานมิตรภาพไทย – พม่า - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
4. สะพานมิตรภาพไทย – พม่า แห่งที่ 2 อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง
5. บ้านห้วยม่วง - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง

ในปี 2566 สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ขอให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยแจ้ง PEA ดำเนินการระงับการจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ 2 จุดที่บ้านวังผา อ.แม่ระมาด - บ.ก๊กโก๋ อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และบ้านแม่กุใหม่ท่าซุง - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สำหรับอีก 1 จุด ปี 2567 ในพื้นที่ อ.เชียงแสน - เมืองพงษ์ จ.ท่าขี้เหล็ก คู่สัญญาผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า ทำให้ PEA ยกเลิกจุดซื้อขายไฟฟ้า ทั้ง 3 จุดดังกล่าวแล้ว

PEA มิได้นิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าว โดยดำเนินการประสานกับหน่วยงานความมั่นคงในไทยและเมียนมาอย่างใกล้ชิด และพร้อมดำเนินการงดจ่ายกระแสไฟฟ้า เพื่อมิให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และมิจฉาชีพ นำสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากผู้ให้บริการของไทยไปใช้ในการกระทำความผิดหรือสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย ป้องกันมิให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ก่อให้เกิดความไม่สงบและอาชญากรรมข้ามชาติ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ การพิจารณางดจ่ายกระแสไฟฟ้าของ PEA จะไม่กระทบกับผู้ใช้ไฟฟ้า และผู้ใช้บริการระบบสื่อสารทั่วไปภายในประเทศ

กกพ. เตรียมส่งหนังสือถึงภาครัฐภายใน ม.ค. 2568 นี้ หวังให้ทบทวนโครงการ Adder กดค่าไฟฟ้าลงได้ 17 สต./หน่วย

(24 ม.ค.68) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยืนยัน จะส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีพลังงานและ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ภายในเดือน ม.ค. 2568 นี้ เสนอให้ทบทวนเงื่อนไขสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าของกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า SPP และ VSPP ที่ได้รับเงินส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และ เงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง (FiT) เหตุกลุ่มนี้คุ้มทุนและได้ค่าตอบแทนนานพอสมควรแล้ว ปัจจุบันต้นทุนค่าไฟฟ้าถูกลง แต่รัฐยังสนับสนุนในอัตราสูง ส่งผลกระทบค่าไฟฟ้าโดยรวม ชี้หากปรับเงื่อนไขได้ จะช่วยลดค่าไฟฟ้าประชาชนลงได้ 17 สตางค์ต่อหน่วย หรือประหยัดได้ 33,150 ล้านบาท

นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ภายในเดือน ม.ค. 2568 นี้ เพื่อเสนอทางเลือกให้ภาครัฐทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไข การสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าทั้งในรูปแบบ 'การให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder)' และ 'การสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง (FiT)' ของกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) เพื่อให้การอุดหนุนสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และทำให้ค่าไฟฟ้าสามารถปรับลดลงได้ทันทีประมาณ 17 สตางค์ต่อหน่วย จากค่าไฟฟ้าในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย

“นโยบายเกี่ยวกับการลดค่าไฟฟ้านั้น ทาง กกพ. เห็นว่าควรหารือกับทุกฝ่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ใครเสียเปรียบใคร แต่เวลานี้ต้องหยิบเรื่องทั้งหมดขึ้นมามอง กกพ. เป็นเพียงหน่วยงานหนึ่งที่พยายามนำเสนอมุมมองเพื่อให้ภาครัฐได้คิดทบทวนในเรื่องนี้ แต่เรื่องการตัดสินใจและนำไปสู่การปฏิบัติ เป็นเรื่องของฝ่ายนโยบายที่ต้องหารือให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย”

อย่างไรก็ตามหากมีการเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเกิดขึ้น มองว่าควรเจรจากันบนความเข้าใจที่ตรงกันและเห็นถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เห็นถึงผลประโยชน์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และหากการเจรจาสามารถตกลงกันได้ถือเป็นเรื่องที่ดีกับประเทศ ไม่ได้เป็นการไปทำลายบรรยากาศความเชื่อมั่นด้านการลงทุนที่ทำกับภาครัฐแต่อย่างใด

ทั้งนี้ นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีประกาศนโยบายจะลดค่าไฟฟ้าของประเทศลงให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย เมื่อ 7 ม.ค. 2568 ส่งผลให้ กกพ. ในฐานะผู้กำกับดูแลราคาพลังงาน ได้ตรวจสอบต้นทุนค่าไฟฟ้าที่จะสามารถลดลงได้ และพบว่า มาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าแบบให้ Adder และ FiT ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นภาระค่าไฟฟ้าประชาชนอยู่ 17 สตางค์ต่อหน่วย

โดย เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2568 กกพ.ได้ออกมาแถลงรายละเอียดว่า หากมีการปรับปรุงราคารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่ม Adder และ FiT ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รับซื้อในอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งหน่วยละ 3.1617 บาท บวกกับค่าส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) หน่วยละ 8 บาท (10 ปี) รวมแล้วเป็นค่าไฟฟ้าหน่วยละ 11.1617 บาท ซึ่งแพงกว่าอัตรารับซื้อที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คำนวณไว้ในโครงการการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 และในส่วนเพิ่มเติม พ.ศ. 2567 หน่วยละ 2.1679 บาท หลายเท่าตัวหรือมีส่วนต่างหน่วยละ 8.9938 บาท หากนำส่วนต่างนี้ออกไปจากสูตรคำนวณค่าไฟฟ้า ก็จะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงทันที และไม่กระทบต่อผู้ประกอบการด้วย 2 เหตุผลคือ

1. ผู้ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าผ่านจุดคุ้มทุนแบบ Adder และได้รับค่าตอบแทนจากโครงการพอสมควร จึงควรปรับค่าไฟฟ้าให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้

2. การรับซื้อไฟฟ้าในอดีตหน่วยละ 11.1617 บาท เนื่องจากอุปกรณ์การผลิตไฟฟ้าจากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ยังมีต้นทุนสูง แต่ในปัจจุบันราคาอุปกรณ์ดังกล่าวลดลงมาก ราคาไฟฟ้าที่รัฐรับซื้อควรลดลงตามมาด้วยเช่นกัน หรือแม้โครงการผ่าน 10 ปีและเงินอุดหนุน 8 บาทหมดไปแล้ว แต่ราคารับซื้อก็ยังอยู่ที่ 3.1617 บาท ซึ่งแพงกว่าราคาที่ สนพ. คำนวณในปี 2565 ไว้ที่หน่วยละ 2.1679 บาท ซึ่งมีส่วนต่างเป็นเงินหน่วยละ 0.9938 บาท ถือเป็นกำไรที่ผู้ประกอบการไม่ควรได้รับ ประการสำคัญสัญญารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่มนี้ระบุว่าให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ หมายความว่า ไม่มีวันสิ้นสุดสัญญา หากไม่มีการปรับปรุงอัตราการรับซื้อไฟฟ้าให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ผู้ประกอบกิจการก็จะได้กำไรเกินควร อันเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนโดยไม่มีวันสิ้นสุด

จากการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนกรณีค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) งวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 2568 ได้ระบุถึงค่าใช้จ่ายภาครัฐ (Policy Expense) จากการรับซื้อไฟฟ้าในกลุ่ม Adder และ FiT รวมอยู่ในค่าไฟฟ้าหน่วยละ 17 สตางค์ หากคณะรัฐมนตรี หรือ กพช. กำหนดนโยบายปรับค่าไฟฟ้ารับซื้อในส่วนนี้ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้ ก็จะลดค่าไฟฟ้าลงได้ทันที 17 สตางค์ หากค่าไฟฟ้าหน่วยละ 4.15 บาท ก็จะลดลงเหลือหน่วยละ 3.89 บาท

จากประมาณการตลอดทั้งปี 2568 คาดว่าจะมีการใช้ไฟฟ้า 195,000 ล้านหน่วย หากลดได้หน่วยละ 17 สตางค์ ก็จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนได้ถึง 33,150 ล้านบาท

ทรัมป์เผย น้ำมัน-ก๊าซคือทรัพย์สินล้ำค่า พร้อมขู่ใช้ภาษีเป็นอาวุธทุบจีน

(24 ม.ค.68) ในการสัมภาษณ์พิเศษกับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ นิวส์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับจีนเกี่ยวกับไต้หวันและการค้า เนื่องจากสหรัฐฯ มีแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่เหมือน 'บ่อทองคำ' ซึ่งจีนต้องการ

ทั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐฯ มีภาษีที่เป็น 'แต้มต่อ' เหนือจีน และแม้ว่าตนจะไม่อยากใช้มาตรการภาษี แต่การกำหนดภาษีก็เป็น อำนาจมหาศาล ที่สหรัฐฯ มีเหนือจีน

"เรามีทั้งน้ำมันและก๊าซมากกว่าประเทศอื่น ๆ... นี่คือทรัพย์สินอันล้ำค่า จีนไม่มีสิ่งเหล่านี้... เราจะทำให้ประเทศของเราร่ำรวยอีกครั้ง และพลังงานจะเป็นตัวนำทาง แต่ยังมีสิ่งอื่นๆ เช่น ภาษี" ทรัมป์กล่าว

ในสัปดาห์นี้ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีนอีก 10% โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ พร้อมกับการใช้ภาษี 25% กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากจีนส่งออกเฟนทานิลไปยังแคนาดาและเม็กซิโก

ก่อนหน้านี้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปีที่แล้ว ทรัมป์เคยกล่าวว่าเขาจะเพิ่มภาษีสินค้าจากจีนถึง 60%

ทางด้านนางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน 'เป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกัน' และรัฐบาลจีนมั่นใจว่าทั้งสองประเทศจะสามารถหาทางประนีประนอมกันได้ แต่จีนพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเสมอ

'ทรัมป์' สั่งเปิดแฟ้มลับคดีลอบสังหาร 'เจเอฟเค' และ 'มาร์ติน ลูเธอร์ คิง'

(24 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจัดทำแผนการเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารที่สำคัญ 3 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ได้แก่ การสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดี, โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

ทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 23 มกราคมว่า "หลายคนรอคอยการเปิดเผยนี้มานาน และเราจะเปิดเผยทุกอย่าง" พร้อมกำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องส่งแผนการเปิดเผยเอกสารภายใน 15 วัน

การลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดีเกิดขึ้นที่ดัลลาสในปี 1963 ขณะที่โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดีถูกยิงเสียชีวิตในปี 1968 ขณะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในแคลิฟอร์เนีย และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนก็ถูกสังหารในเมมฟิส รัฐเทนเนสซี

เอกสารเกี่ยวกับการสืบสวนเหล่านี้ได้ถูกเปิดเผยบางส่วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังมีเอกสารอีกจำนวนมากที่ถูกเก็บเป็นความลับ โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีของเคนเนดีที่มีรายละเอียดซับซ้อน

การสืบสวนเกี่ยวกับการสังหารของเคนเนดีระบุว่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียว แต่ยังมีข้อสงสัยและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องของกลุ่มต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่รัฐบาล มาเฟีย หรือบุคคลอื่น ๆ ซึ่งได้สร้างข้อสงสัยในหมู่ประชาชน

ในปี 1992 สหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายให้เปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนภายใน 25 ปี ซึ่งมีการเปิดเผยเอกสารจำนวนมากในยุคของทรัมป์และโจ ไบเดน แม้ว่าเอกสารบางส่วนยังคงเป็นความลับ

ทรัมป์เคยสัญญาว่าจะเปิดเผยเอกสารทั้งหมดในระหว่างการดำรงตำแหน่งครั้งแรก แต่ไม่ได้ทำตามสัญญา หลังจากที่หน่วยงานอย่างซีไอเอและเอฟบีไอขอให้เก็บเอกสารบางส่วนเป็นความลับ

การลงนามในคำสั่งล่าสุดของทรัมป์ระบุว่า การรักษาความลับไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสาธารณชน ซึ่งอาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการลอบสังหารและความเชื่อมโยงของออสวอลด์กับหน่วยงานต่าง ๆ

นอกจากนี้ เอกสารที่เปิดเผยเมื่อไม่นานนี้ยังมีการเพิ่มข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการติดตามออสวอลด์โดยซีไอเอ รวมถึงการให้ข้อมูลจากพยานเห็นเหตุการณ์ ซึ่งทำให้ทฤษฎีที่ว่าออสวอลด์เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียวต้องได้รับการพิจารณาใหม่

ในคดีของโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดีและมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ก็ยังมีความสงสัยในคำกล่าวอ้างว่า เซอร์ฮานและเจมส์ เอิร์ล เรย์ เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียว เนื่องจากครอบครัวของทั้งสองได้ตั้งคำถามว่า การลอบสังหารเป็นผลจากแผนการสมคบคิดที่กว้างขวางกว่าที่เคยเชื่อกัน

สส.รีพับลิกัน ผุดไอเดียแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดัน 'ทรัมป์' นั่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3

(24 ม.ค.68) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันได้ยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 23 มกราคม เพื่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีในอนาคตสามารถดำรงตำแหน่งได้มากถึง 3 สมัย

ญัตติที่เสนอขึ้นมาเพียงไม่กี่วันหลังจากที่นายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง โดยนายแอนดี้ โอเกิลส์ สส.พรรครีพับลิกันจากรัฐเทนเนสซี ซึ่งเป็นผู้เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ได้กล่าวว่า นายทรัมป์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นฟูสหรัฐให้กลับมายิ่งใหญ่และควรได้รับโอกาสอีกครั้งเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปัจจุบัน มาตราที่ 22 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐกำหนดให้ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกสามารถดำรงตำแหน่งได้สูงสุดเพียง 2 สมัย โดยระบุว่า "ไม่มีบุคคลใดจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเกินกว่า 2 ครั้ง" ในขณะที่การแก้ไขครั้งนี้จะเปลี่ยนเป็น "ไม่มีบุคคลใดจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเกินกว่า 3 ครั้ง"

นอกจากนี้ยังมีการเสนอการแก้ไขเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่เกิน 2 ปีในระหว่างที่บุคคลอื่นดำรงตำแหน่ง ซึ่งจะสามารถลงเลือกตั้งได้อีกเพียงครั้งเดียว

นายโอเกิลส์กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะช่วยให้สหรัฐสามารถรักษาผู้นำที่กล้าหาญไว้ในประเทศได้

มาตราที่ 22 ได้รับการเสนอในปี 2490 และมีการรับรองในปี 2494 เพื่อป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีคนใดดำรงตำแหน่งยาวเกินไป โดยอ้างอิงถึงอดีตประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ ผู้เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพรรครีพับลิกันจะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่จำนวนที่นั่งเพียงแค่ 3 ที่นั่งทำให้การผ่านญัตตินี้ยังมีความยากลำบาก และคาดว่าแนวทางนี้อาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคเดโมแครต

'หลานม่า' ไม่ผ่านเป็น 5 เรื่องสุดท้าย ชวดชิง Oscars ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม

(24 ม.ค.68) สถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ ได้เปิดเผยรายชื่อสุดท้ายของภาพยนตร์ นักแสดง และผู้กำกับที่เข้ารอบชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 โดยพบว่า ภาพยนตร์ไทยเรื่อง หลานม่า จาก GDH ไม่สามารถผ่านเข้าสู่ 5 เรื่องสุดท้ายในการชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม (97th Academy Awards: International Feature Film) แม้ว่าจะได้รับเสียงชื่นชมและประสบความสำเร็จในไทยและหลายประเทศทั่วโลก

โดยรายชื่อภาพยนตร์ที่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายประกอบด้วย:
- I’m Still Here จากประเทศบราซิล
- The Girl with the Needle จากประเทศเดนมาร์ก
- Emilia Pérez จากประเทศฝรั่งเศส
- The Seed of the Sacred Fig จากประเทศเยอรมนี
- Flow จากประเทศลัตเวีย

สำหรับกำหนดการประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 จะมีขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม 2568 เวลา 07:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย

แม้ว่าภาพยนตร์หลานม่า จะพลาดเข้าชิงรางวัลออสการ์อันทรงเกียรติ แต่ก็นับว่าเป็นภาพยนตร์ไทยที่สามารถกวาดรางวัลระดับโลกในหลายรางวัล อาทิ Best Picture, Best Original Screenplay และ Best Leading Actor (บิวกิ้น-พุฒิพงศ์) ที่งาน Asia Pacific Film Festival ครั้งที่ 61 และรางวัลรองชนะเลิศ GEMS 2024 Audience Award จาก Miami Film Festival


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top