Tuesday, 13 May 2025
Hard News Team

นัยแห่งหมายเลข 22 แม้ 'ตู่' ชูนิ้วได้อย่างอารมณ์ดี แต่มีสัญญาณอันตรายสะเทือนพรรค รทสช.

ถึงตอนนี้พรรคการเมืองขนาดกลาง ขนาดใหญ่หลายพรรคที่จับสลากได้เบอร์ตัวเลขสองตัวประเภท เบอร์ 18 พรรคชาติไทยพัฒนา, เบอร์ 26 ประชาธิปัตย์,เบอร์ 29 พรรคเพื่อไทย ที่มึนตึ้บในวันแรกว่าจะชูนิ้วชูมืออย่างไรก็คงหาวิธีการได้แล้ว...

ต่างกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่แม้จะได้เลขสองตัว แต่เป็นเลขเบิ้ลคือ เบอร์ 22 ทำให้ลุงตู่และลุงตุ๋ยชูนิ้วโชว์นักข่าวกันอย่างอารมณ์ดี...

ไม่เพียงเท่านั้นบรรดาแฟนคลับ...พากันกระพือในสื่อโซเชียลอีกต่างหากว่า เลข 22 เป็นเลขที่ถูกโฉลกกับลุงตู่เป็นที่ยิ่ง จะทำการสิ่งใดก็ประสบผลสำเร็จ ดูอย่างวันแต่งงานก็ 22 มิถุนายน 2527, วันยึดอำนาจยุติการฆ่ากันตายเมื่อปี 2557 ก็วันที่ 22 พฤษภาคม...เป็นต้น

แต่เลข 22 อันเกี่ยวกับการจัดอันดับปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค รทสช. ที่ 'เล็ก เลียบด่วน' กำลังจะพูดต่อไปนี้ไม่น่าจะเป็นผลบวกหรือผลดีกับลุงตู่สักเท่าใดนัก...

อันว่าผู้สมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์พรรครทสช.ลำดับปลอดภัยหรือเซฟโซนที่จะได้เป็นส.ส.แน่นอนอยู่แค่อันดับ 12 หรืออย่างมากก็อาจยืดไปถึงอันดับ 15...

ดังนั้นอันดับ 15. ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้ อันดับ 16.ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู 'แม่เลี้ยงติ๊ก', อันดับ 17, เกชา ศักดิ์สมบูรณ์, อันดับ 18  คุณอ้น-ทิพานันท์  ศิริชนะ, อันดับ 19 โรจน์พิศาล  อินทรักษ์,อันดับ 20 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง  อันดับ 21 พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา, อันดับ 22 ชุมพล กาญจนะ บ้านใหญ่สุราษฎร์ธานี อดีต ส.ส.หลายสมัย...

เหล่านี้ต้องลุ้นกันเหนื่อย ลุ้นกันหลายรอบ...กว่าจะได้เป็นส.ส.

แต่ที่ต้องหมายเหตุเป็นพิเศษคือ ลำดับที่ 22 ชุมพล กาญจนะ ไม่มีใครคาดคิดว่าลุงตู่ลุงตุ๋ยจะจัดวางมาอยู่ในลำดับต่ำเตี้ยขนาดนี้...ถือว่าพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

ชุมพล กาญจนะ คือ บุคคลที่ชวน หลีกภัย เคยพูดถึงว่ามีบางพรรค (ไม่ใช่รทสช.) เสนอเงิน 200 ล้าน เพื่อ กวาด ส.ส.สุราษฎร์ฯ ให้ได้ยกจังหวัด แล้วจะให้ตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งนายชุมพลไม่เอา แต่สุดท้ายก็ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์มาอยู่พรรคลุงตู่พร้อมลูกสาวที่เป็น ส.ส.เขต 3 สุราษฎร์ฯ...

ปิดกันไม่มิดว่าตอนนี้...ชุมพลยากที่จะทำใจได้ที่โดนใครต่อใครข้ามหัวยิ่งกว่าการด้อยค่า...จะสบตาคนในพื้นที่ จะนำทัพออกรบก็คงไม่สนุกเสียแล้ว...ลูกสาวลูกสะใภ้ที่ลงสมัครส.ส.เขตด้วยก็คงใจเหี่ยวไปด้วย...

‘Apple’ จ่อปรับโครงสร้างบริษัท เพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ เล็งลดตำแหน่งงานบางส่วนออกเป็นครั้งแรก 

เมื่อวันที่ 4 เม.ย.66 บลูมเบิร์ก รายงานว่า Apple Inc. (AAPL) กำลังปรับโครงสร้างภายในทีมค้าปลีกของบริษัท ซึ่งถือเป็นการลดตำแหน่งงานภายในบริษัทเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการรัดเข็มขัดเมื่อปีที่แล้ว

ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว Apple มีพนักงาน 164,000 คน และตรึงอัตรากำลังไว้ต่อเนื่อง ต่างจากบิ๊กเทคอื่นที่ขยายกำลังพนักงานเร็วในช่วงโควิด เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจนถึงปลายปีที่แล้ว ทำให้ความจำเป็นในการเลิกจ้างพนักงาน เช่น Amazon.com Inc. (AMZN) และ Google ของ Alphabet Inc. (GOOGL) ได้ปลดพนักงานหลายหมื่นคน

แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา Apple จะรัดเข็มขัด ลดงบประมาณและตัดทอนพนักงานรับเหมาจำนวนมาก รวมถึงวิศวกรสัญญาจ้าง นายหน้า และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และให้พนักงานเหล่านั้นกลับมาสมัครงานใหม่ในตำแหน่งที่คล้ายกัน ซึ่งอาจจะได้รับค่าตอบแทนต่ำกว่าเดิม

'พี่ศรี' ลั่น!! ล่า 150 ล้านบาทคืนประชาชน แม้ข้ามคลองพระโขนงเคลียร์ ไม่เสียตังค์แล้วก็ตาม

(5 เม.ย.66) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า… ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวอ่อนนุช 77 ชาวซอยปรีดีพนมยงค์ 2 และผู้ที่จะใช้เส้นทางลัดผ่านสะพานแสนสำราญข้ามคลองพระโขนง ของแสนสิริ เพราะขณะนี้การผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่มีการเก็บเงินค่าผ่านทางแล้ว… แต่เงินที่เก็บไปก่อนหน้านี้กว่า 150 ล้านบาท กทม.ต้องสั่งให้บริษัทที่เก็บเงินค่าผ่านทางไปตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน คืนประชาชนที่เคยจ่ายไปหรือนำไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ตามที่ กทม.และผู้มีส่วนได้เสียกำหนด…ถ้า กทม.ไม่ดำเนินการ เดี๋ยวไปเจอกันที่ศาลปกครอง…

 

'เลขา รมว.กต.' ปลุก ขรก.อย่าเลือกพรรคที่ทุบหม้อข้าว 'ช้างป่วย' ชี้!! 'บำนาญ-สวัสดิการรัฐ' ความเป็นธรรมหลังเกษียณ

(5 เม.ย.66) นายนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคก้าวไกล ว่า

ช้างป่วย

ผมเป็นข้าราชการบำนาญคนหนึ่งที่ถูกนักการเมืองไม่ให้ความสำคัญเพราะเป็นช้างที่ใช้งานไม่ได้ และถูกเรียกว่า ช้างป่วย

คนที่มาเป็นข้าราชการ แม้จะได้เงินเดือนน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนที่ทำงานเอกชน แต่เรารู้ดีว่า เมื่อเกษียณจะได้มีเงินบำนาญและสวัสดิการจากรัฐ

'รัฐบาล' ปลื้ม!! โมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปไกล หลังวงประชุม UNCTAD หนุนนักธุรกิจ-นักวิจัยผู้หญิง

(5 เม.ย.66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของประเทศ ว่า ผู้แทนรัฐบาลไทย โดย น.ส.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ สกสว. ได้เข้าร่วมการประชุม Commission on Science and Technology for Development (CSTD) ครั้งที่ 26 ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อระหว่างวันที่ 26-30 มี.ค.ที่ผ่านมา  

โดยร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจสีเขียวให้กับนักธุรกิจและนักวิจัยหญิง จากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา 15 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม 2566 ที่กรุงเทพฯ ผ่านโครงการ STI Capacity Building Programs on Female Researchers and Entrepreneurs to promote Bio – Circular – Green Economic (BCG) MODEL 

‘ททท.’ เผย ต่างชาติทะลักเที่ยวไทยช่วงสงกรานต์ 305,000 คน ยอดจองพุ่ง!! 14,220 เที่ยวบิน คาดเงินสะพัด 1.2 แสนล้าน

(5 เม.ย.66) นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 มีนาคม มีจำนวนสะสม อยู่ที่ 6,465,737 คน เพิ่มขึ้น 1,199% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 แบ่งเป็นเดือนมกราคม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2,144,948 คน เดือนกุมภาพันธ์ 2,113,550 คน และเดือนมีนาคม 2,207,239 คน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 256,194 ล้านบาท

จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมเกือบ 6.5 ล้านคนใน 3 เดือนแรกที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่ 56.8% เป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออก รองลงมาคือยุโรป 26.5% และอื่นๆ อาทิ อินเดีย สหรัฐ ออสเตรเลีย อิสราเอล แคนาดา และซาอุดีอาระเบีย อีก 16.7% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย สูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 3 เดือนแรก ได้แก่ 1.มาเลเซีย 902,621 คน 2.รัสเซีย 566,425 คน 3.จีน 517,242 คน 4.เกาหลีใต้ 441,028 คน และ 5.อินเดีย 320,887 คน

“ตลาดนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นพระเอกของภาคท่องเที่ยวไทยในปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 จำนวนไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน มีแนวโน้มปิดที่ 7-8 ล้านคน ขึ้นอยู่กับปริมาณเที่ยวบินในช่วงตารางบินฤดูหนาว 2566/2567 รองลงมาคือตลาดมาเลเซีย วางเป้าหมายไว้ที่ 4 ล้านคน อินเดีย 2 ล้านคน ส่วนรัสเซียและเกาหลีใต้ คาดมีไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน” นายยุทธศักดิ์กล่าว

ต่างชาติเข้าเที่ยวไทยพุ่ง 525%
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 305,000 คน เพิ่มขึ้น 525% เทียบจากปี 2565 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 48,814 คน และเพิ่มขึ้น 58% จากปี 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 522,357 คน สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 5,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 630% จากปี 2565 ที่มีรายได้ 689 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 60% ของปี 2562 ที่มีรายได้ประมาณ 8,321 ล้านบาท

สนามบินไฟลต์ว่อนสงกรานต์
รายงานข่าวจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. แจ้งว่า ทอท.ประมาณการการจราจรทางอากาศช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2566 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 14,220 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 59.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ ประมาณ 7,500 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 219.20% และเที่ยวบินภายในประเทศ ประมาณ 6,720 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 2.44% คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการประมาณ 2.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 137.48%

แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ ประมาณ 1.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 561.76% และผู้โดยสารภายในประเทศ ประมาณ 1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.08% อย่างไรก็ตาม เมื่อการจราจรทางอากาศที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 พบว่าปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารยังคงติดลบ เที่ยวบินรวมลดลง 18.47% เที่ยวบินระหว่างประเทศลดลง 20.90% เที่ยวบินภายในประเทศลดลง 15.59% ขณะที่ประมาณการผู้โดยสารรวมลดลง 17.39% ผู้โดยสารระหว่างประเทศลดลง 20.96% และผู้โดยสารภายในประเทศลดลง 11.91%

ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในการเสวนาวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี “เสด็จเตี่ย”

ตอนที่ 3 “บทเรียนจากอดีต กับการปรับตัวรับสถานการณ์โลกปัจจุบัน”

วันที่ 4 เม.ย.66 พล.ร.อ.เชิงชาย  ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในการเสวนาวิชาการในโอกาสครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในหัวข้อ “สืบสานพระราชปณิธาน กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” ตอนที่ 3 “บทเรียนจากอดีต กับการปรับตัวรับสถานการณ์โลกปัจจุบัน” โดยมี พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ/ประธานกรรมการจัดงาน พร้อมด้วยคณะกรรมการจัดงานฯ ให้การต้อนรับ ทั้งนี้การเสวนาฯ ได้รับเกียรติจาก ศ.กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์ประจำหลักสูตรวิทยาลัยการทัพเรือ , พล.ร.อ.คำรณ พิสณฑ์ยุทธการ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ทหารเรือ เป็นวิทยากร และ คุณสายสวรรค์ ขยันยิ่ง เป็นพิธีกรผู้ดำเนินรายการ ในการนี้ได้มีหน่วยงานภาครัฐ , ภาคเอกชน , ประชาชน และนักศึกษาที่ให้ความสนใจ เช่น สมาคมศิษย์เก่าพณิชยการพระนคร , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ศูนย์พณิชยการพระนคร , สภาวัฒนธรรมเขตบางกอกน้อย , สภาวัฒนธรรมเขตบางกอกใหญ่ , มูลนิธิรัตนาภาในพระราชูปถัมภ์ ร่วมฟังการเสวนา ณ ห้องวุฒิไชยเฉลิมลาภ อาคารราชนาวิกสภา

สงกรานต์หยุดยาว แต่คนร้ายไม่หยุด รีบกลับไปเตือนญาติด่วน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน ได้ร่วมกันนำเสนอสถิติการรับแจ้งความออนไลน์รอบสัปดาห์และภัยที่เกิดขึ้นใหม่ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีภูมิป้องกันภัยออนไลน์ ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (26 มี.ค.-1 เม.ย.2566)  รวมทั้งสัปดาห์มีผู้แจ้งความ 4,045 เคส/619,718,786.50 บาท  สถิติการรับแจ้งเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว 207 เคส/308,896,024.03 บาท โดยสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1)  คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ  1,761  เคส/29,322,434.61 บาท 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 565 เคส/86,215,154.63 บาท 3) คดีหลอกลวงให้กู้เงิน 412 เคส/25,532,331.28  บาท 4) คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center)  354 เคส/60,282,753.69 บาท   และ 5) คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ 249 เคส/16,973,048.71 บาท

ภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์ มีจำนวน 3 เรื่อง ดังนี้ เรื่องที่ 1. “เงินหมดบัญชี แถมเป็นหนี้บัตรเครดิต” คดีนี้แก๊ง Call Center โทรศัพท์หาเหยื่อ  อ้างว่ามีชื่อค้างอยู่ในระบบเป็นบุคคลที่ยังไม่ได้ชำระภาษีประจำปี และต้องเสียภาษีไม่เช่นนั้นจะต้องเสียภาษีย้อนหลัง จากนั้นคนร้ายได้ให้เหยื่อแอดไลน์  และให้กดลิงก์เข้าเว็บไซต์กรมที่ดินปลอม  ต่อมาให้กดดาวน์โหลดที่ข้อความโฆษณา(Banner) ตรากรมที่ดิน เพื่อติดตั้งแอปควบคุมโทรศัพท์ของเหยื่อ หน้าจอเหยื่อปรากฏการทำงานเป็นเปอร์เซ็นต์ และให้รอจนครบ 100%  ถ้าครบแล้วระบบจะให้สแกนใบหน้าเพื่อยืนยันข้อมูลบุคคลและอัพเดทข้อมูลในกรมที่ดิน ช่วงนี้คนร้ายให้โอนเงินค่าธรรมเนียมไปบริจาคยังมูลนิธิเด็ก เพื่อหลอกดูรหัส แล้วล็อคหน้าจอของเหยื่อ และห้ามเหยื่อปิดเครื่อง อ้างว่าถ้าไม่เสร็จกระบวนการ จะถูกเรียกภาษีย้อนหลัง 2-3 หมื่นบาท ช่วงนี้คนร้ายเห็นว่าเงินในบัญชีของเหยื่อมีน้อย จึงไปทำรายการถอนเงินสดจากบัตรเครดิตมาใส่ในบัญชีธนาคาร(คนร้ายรู้รหัส PIN) เนื่องจากเหยื่อผูกบัตรเครดิตไว้กับแอปของธนาคาร แล้วถอนเงินออกไปจนหมด จึงขอแจ้งเตือนว่า 1)อย่าโหลดแอปต่างๆ นอก google play store หรือ app store และสังเกตุคำเตือนจากโทรศัพท์ของเราขณะโหลดแอป 2) อย่าโหลดแอปที่ข้อความขึ้นว่า “.APK” เพราะเป็นแอปที่เป็นอันตราย 3) อย่าผูกบัตรเครดิตไว้กับแอปของธนาคาร   และอย่าดาวน์โหลดแอปที่ไม่ผ่านการยืนยันโดยแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ

เรื่องที่ 2 “อยากมีรายได้ แต่ได้รายจ่าย” คดีนี้คนร้ายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ Shopee โฆษณารับสมัครงานใน Facebook หรือโทรหาเหยื่อ เมื่อเหยื่อสอบถามรายละเอียด คนร้ายจึงให้แอดไลน์แล้วดึงเข้ากลุ่มไลน์ทำงานที่มีสมาชิกในกลุ่มจำนวนหนึ่งเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยในกลุ่มมีหน้าม้าพูดคุยว่าทำภารกิจโปรโมทสินค้าเสร็จสิ้นและได้รับเงินค่าคอมมิชชั่นจริง เหยื่อหลงเชื่อจึงทำภารกิจโปรโมทสินค้าที่มีมูลค่าหลักร้อยเป็นภารกิจแรก โดยคนร้ายส่งลิงก์ Shopee ของจริงให้เหยื่อกดสั่งสินค้าใส่ตะกร้า   จากนั้นคนร้ายให้บันทึกหน้าจอส่งให้ดูพร้อมโอนเงินตามมูลค่าสินค้านั้นๆเข้าบัญชีคนร้าย     คนร้ายโอนเงินคืนพร้อมให้ค่าคอมมิชชั่นกลับมาเพื่อหลอกให้เหยื่อรู้สึกว่าได้คอมมิชชั่นจากการทำงานจริง จากนั้นคนร้ายให้เหยื่อทำภารกิจต่อไปโดยค่าสินค้าและค่าคอมมิชชั่นมากขึ้น เมื่อสินค้ามีมูลค่าหลักหมื่น หรือหลักแสน คนร้ายอ้างว่าเหยื่อทำผิดพลาดต้องโอนเงินเพิ่มเพื่อแก้ไข สุดท้ายจะไม่โอนเงินคืน  จึงขอแจ้งเตือนว่า  ถ้าอยากมีรายได้จากการทำงานออนไลน์  ต้องไม่เป็นงานที่เราต้องโอนเงินไปก่อน  จึงได้ทำงาน หากมีลักษณะเช่นนี้หลอกลวงแน่นอน

ด้วยความปรารถนาดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ   และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT)



 

‘ทวดชุบ 5 แผ่นดิน’ อายุครบ 107 ปี สุขภาพยังแข็งแรง พร้อมบอกเคล็ดลับการใช้ชีวิตให้อายุยืน เผย แค่ไม่เครียด

(4 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวอ.ทุ่งใหญ่ ลงพื้นที่สัมภาษณ์ คุณทวด 5 แผ่นดิน ซึ่งมีอายุ 107 ปี มากที่สุดในอ.ทุ่งใหญ่ ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านเลขที่ 77 หมู่ 5 บ้านสระนางมโนราห์ ต.ปริก อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช พบคุณทวด 5 แผ่นดินขวัญใจชาวบ้าน ทราบชื่อนางชุบ สุวรรณมณี อายุ 107 ปี เกิดเมื่อปีพ.ศ.2460 หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม ทวดชุบ 5 แผ่นดิน ซึ่งอยู่มาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน อายุมากที่สุดที่ใน อ.ทุ่งใหญ่ ซึ่งทวดชุบมีลูกทั้งหมด 7 คน โดยคนสุดท้องอายุ 67 ปี ส่วนใหญ่ลูกหลานมักจะมาขอพรจากทวดชุบเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเริ่มทำกิจการงานต่างๆ อีกทั้งทวดชุบยังคงมีสุขภาพที่ดี ยังคงลุกนั่งและเข้าห้องน้ำเองได้ อีกทั้งยังสามารถพูดคุยตอบโต้กับลูกหลานได้ปกติ จึงถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งสำหรับคนอายุ 107 ปี ที่หูยังคงได้ยินชัด และยังคงมีความจำที่ดีเยี่ยม

สอบถามทวดชุบเกี่ยวกับเคล็ดลับการใช้ชีวิตให้อายุขนาดนี้ ทวดชุบ ระบุว่า ไม่มีอะไรพิเศษ กินข้าวปกติ กินได้ทุกอย่าง แต่ไม่เครียด ซึ่งคุณทวดชุบสูญเสียดวงตาข้างซ้ายมาตั้งแต่เด็กจากอุบัติเหตุ แต่ตาข้างขวายังคงใช้งานได้ปกติ และยังคงมองเห็นได้ดี พอลูกหลานขอให้อยู่ต่อจนถึงอายุ 120 ปี ทวดชุบก็ส่ายหัวบอกว่า ไม่รู้ ไม่รับปาก

ชู ”วิสัยทัศน์ต้านโกงจุรินทร์” โยงเงื่อนไขร่วมรัฐบาล

“อลงกรณ์” ประกาศ 10 นโยบายปราบคอร์รัปชั่นของพรรคประชาธิปัตย์” 
ยกระดับเป็น”วาระแห่งชาติเร่งด่วน”(National Urgent Agenda) เพิ่มโทษอาญา-ยึดทรัพย์ เร่งปฏิรูปราชการและการเมืองลดฉ้อฉลตัดเงื่อนไขรัฐประหาร พร้อมผนึกความร่วมมือภาคประชาชนส่งเสริมแพลตฟอร์มไอที.ขจัดทุจริต

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้(5 เม.ย.)ว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นเสมือนมะเร็งร้ายของประเทศที่อยู่ในขั้นวิกฤตจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเร่งด่วนโดยพรรคประชาธิปัตย์เสนอให้ยกระดับเป็น”วาระแห่งชาติเร่งด่วน”(National Urgent Agenda) ซึ่งผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2565 ปรากฎว่า ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 101 จาก180 ประเทศและอยู่ในอันดับที่ 4 ของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนจากการประเมินล่าสุดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI)

พรรคประชาธิปัตย์มีความกังวลต่อปัญหานี้และให้ความสำคัญต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงได้จัด”เวที ‘ฟัง-คิด-ทำ’ ต้านโกง”เพื่อรับฟังความคิดเห็นประกอบกับข้อสังเกตขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาตินำไปสู่การจัดทำเป็นนโยบายต่อต้านการทุจริตให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป 

โดยยึดปฐมอุดมการณ์ของพรรคที่บัญญัติไว้ว่า”พรรคจะดำเนินการเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาชน”และแนวทางประชาธิปไตยสุจริตโดยมีแนวทางนโยบายดังนี้
1. ยกระดับการต่อต้านคอร์รัปชั่น
เป็น”วาระแห่งชาติเร่งด่วน”(National Urgent Agenda) 
2. ส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล หลักการประชาธิปไตยสุจริตและหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์(Conflict of Interest)
3. สนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและสื่อมวลชนในการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐและภาคเอกชน
4. ส่งเสริมการเรียนการสอนและการปลูกฝังจิตสำนึก”โตไปไม่โกง”รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ของสังคมถึงภัยร้ายของการคอร์รัปชั่น
5. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อขจัดการคอรัปชั่นและส่งเสริมแพลตฟอร์มของภาคเอกชนและภาคประชาชนในการเปิดเผยข้อมูลเพื่อการตรวจสอบและแก้ปัญหาการทุจริต
6. เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทางราชการโดยเฉพาะการจัดซื้อและการประมูลภาครัฐทั้งราชการส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น
7. ปฏิรูประบบราชการ การเมืองและกระบวนการยุติธรรมเพื่อความโปร่งใส การพัฒนาระบบการอนุมัติ อนุญาตให้มีความโปร่งใส การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน 
8. การยกเลิกกฎหมายกฎระเบียบที่เอื้อต่อการทุจริต
9. การเพิ่มโทษอาญาและการยึดทรัพย์คดีฉ้อราษฎร์บังหลวง การลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับสินบนอย่างจริงจัง 
10. การร่วมมือกับนานาชาติในการปราบปรามการทุจริตข้ามชาติทุกรูปแบบภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชั่น

นายอลงกรณ์ซึ่งเป็นอดีตประธานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมฝ่ายค้านและได้รับการคัดเลือกจากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาให้เป็น”ดาวเด่นแห่งปีของรัฐสภา”จากบทบาทการปราบปรามการทุจริตกล่าวต่อไปว่า

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top