Tuesday, 24 June 2025
Hard News Team

ตำรวจไซเบอร์บุกจับครูโรงเรียนอนุบาลลักลอบจำหน่ายท่อเก็บเสียงอาวุธปืน ผ่าน Shopee

(29 มี.ค.68) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยว่า พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.3 , พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 นำกำลังจับกุมครูโรงเรียนอนุบาลลักลอบจำหน่ายท่อเก็บเสียงอาวุธปืนผ่าน Shopee 

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สอท.3 นำโดย พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3  สืบทราบว่ามีบัญชีพบว่ามีผู้ใช้แอพพลิเคชั่น Shopee ชื่อ “Goodluck Airrow” ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวน 1.5 พันคน และมีการลงข้อมูลภาพนิ่งในการขายสินค้าประเภทอุปกรณ์ท่อเก็บเสียง (SILENCER) และอื่นๆ โดยในร้านค้าในแอปพลิเคชันดังกล่าวจะไม่ใช้ชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กับอาวุธปืนโดยตรง ชุดสืบสวนจึงได้ทดลองสั่งท่อเก็บเสียงอาวุธปืนโดยในแอปพลิเคชันใช้ชื่อสินค้า กรองน้ำมัน 35 มม.เกลียวข้อต่อ ผลปรากฎว่าร้านดังกล่าวมีการจัดส่งสินค้าท่อเก็บเสียงอาวุธปืนจริง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ส่งพัสดุตรวจสอบกับกองสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองควบคุมยุทธภัณฑ์ กรมการอุตสาหกรรมทหาร กระทรวงกลาโหม ผลตรวจยันยืนยันว่าสินค้าดังกล่าวเป็นยุทธภัณฑ์ และไม่เคยได้รับใบอนุญาตจากปลัดกระทรวงกลาโหม ให้มีซึ่งยุทธภัณฑ์ท่อลดเสียงไว้ในครอบครองแต่อย่างใด

จากการสืบสวนพบว่า ร้าน GoodluckAirrow ได้จัดส่งพัสดุชิ้นดังกล่าวมาจากบริษัทขนส่งแห่งในจังหวัดกำแพงเพชร จัดส่งโดย นายสุรสิทธิ์ฯ อายุ 43 ปี เป็นครูโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ และยังพบว่านายสุรสิทธิ์ฯ มีช่อง YOUTUBE มีการลงคลิปวีดีโอเป็นคลิปการเรียนการสอน และเป็นการทดสอบยิงปืนอัดลมโดยใช้ท่อเก็บเสียง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับท่อเก็บเสียงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสั่งซื้อ ชุดสืบสวนจึงได้เดินทางไปตรวจสอบในพื้นที่ที่เชื่อว่าเป้าหมายพักอาศัยอยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ โดยได้เข้าไปสังเกตการบริเวณโรงเรียนดังกล่าว พบรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นรถของนายสุรสิทธิ์ฯ จอดอยู่ เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามชายต้องสงสัยไปยังที่พักอาศัย ลักษณะที่พักอาศัยเป็นบ้านพักข้าราชการ พบรถผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คัน และเฝ้าสังเกตการณ์จนพบพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าเป็นอันตรายต่อผู้อื่น คือการนำอุปกรณ์ลักษณะคล้ายอาวุธปืนขึ้นมาประทับเล็งบริเวณระเบียงหลังห้องพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับนายสุรสิทธิ์ฯ ต่อมาศาลได้อนุมัติหมายจับ ศาลอาญาที่ 2114/2568 ลง 27 มีนาคม 2568 ได้ขอหมายค้น จำนวน 2 แห่งเพื่อพบนายสุรสิทธิ์ฯ และตรวจยึดสิ่งของที่เชื่อว่าใช้ในการกระทำความผิด

ต่อมา เช้าวันที่ 28 มีนาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายค้นศาลอาญาเข้าตรวจค้น อาคารที่พัก (แฟลต) ครู ที่จังหวัดนครสรรค์ พบนายสุรสิทธิ์ฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับ และได้ตรวจยึดของกลางจำนวน 13 รายการ ดังนี้
1.อาวุธปืนยาวขนาด .22 ยี่ห้อ cz ไม่มีทะเบียน พร้อมเครื่องบังคับเสียงจำนวน1 กระบอก
2 เครื่องกระสุนปืนขนาด . 22 สองกล่องจำนวน 100 นัด
3. เครื่องกระสุนปืนขนาด . 22 จำนวน 5 นัดอยู่ในแม๊กกาซีน
4 อาวุธปืนอัดลมจำนวน 5 กระบอก
5 เครื่องกระสุนปืนอัดลมจำนวน 20 ตลับ ตลับละ 500 นัด รวม รวม10000 นัด
6 เครื่องปั๊มลูกปืนอัดลมจำนวน 1 เครื่อง
7. เครื่องกลึงเหล็ก ขนาดเล็กจำนวน 1 เครื่อง รุ่น RX-210E
8. ไอแพด 1 เครื่อง
9. โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง
10. โน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง
11. สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 2 เล่ม ใช้ผูกกับ shoppee
12. แท่งอลูมิเนียม 
13 ปืน BB gun จำนวน  2 กระบอก

เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้เปิดร้านใน shoppee มาประมาณ 6 เดือน เริ่มเปิดร้านใน shoppee เมื่อ 12 ตุลาคม 2567 ขายไป 2449 ครั้ง ตำรวจไซเบอร์ กก.1 บก.สอท.3 ชุดจับกุมได้ควบุมตัว นายสุรสิทธิ์ฯ พร้อมสิ่งของตรวจยึด นำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการกำชับตำรวจทุกหน่วยทำงานอย่างเต็มที่ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว เพิ่มกำลังสายตรวจดูแลสวนสาธารณะที่เปิดรองรับประชาชน

เมื่อวานนี้ (28 มี.ค.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุอาคารก่อสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) ทรุดตัวถล่ม บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 ตรงข้ามศูนย์การค้าเจเจมอลล์ แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ขณะเกิดเหตุแผ่นดินไหวนั้น เมื่อเวลา 17.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยมี พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม ผู้บังคับการตำรวจจราจร , พล.ต.ต.เจษฎา สวยสม ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 , พ.ต.อ.สุพล ค้ำชู รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และ พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ร่วมตรวจสอบ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลสำรวจจุดเกิดเหตุทั้งหมด พร้อมกำหนดแผนปฏิบัติ มอบหมายผู้รับผิดชอบในการบริหารการจัดการในทุกมิติ และกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน ขั้นตอนในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งวางแผนบริหารจัดการและอำนวยการจราจรในที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียง ประชาสัมพันธ์เส้นทางการจราจรทางช่องทางต่าง ๆ ทุกช่องทางเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ ประสานงานและอำนวยความสะดวกนำส่งผู้ได้รับบาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ให้โรงพยาบาลตำรวจจัดกำลังช่วยเหลือโรงพยาบาลในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือดูแลเหลือผู้ป่วย และให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ จัดเตรียมชุดปฏิบัติการพร้อมปฎิบัติอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า กองบัญชาการตำรวจนครบาล  เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และสนับสนุนข้อมูลในการสอบสวนอย่างถูกต้อง กำหนดแผนการสอบสวน การชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุ การตรวจพิสูจน์ทางนิติเวช การตรวจอัตลักษณ์บุคคล พร้อมนำสุนัขตำรวจมาช่วยในการค้นหาผู้รอดชีวิตและสนับสนุนการปฏิบัติเมื่อได้รับการร้องขอทันที และให้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำที่กองอำนวยการร่วมของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อประสานงานและการรับข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้อง

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เน้นย้ำให้ถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญ ขอให้ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่และสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังความสามารถ และสั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กำหนดแผนปฏิบัติและบูรณาการปฏิบัติในการจัดกำลังสายตรวจเพิ่มความเข้มในการดูแลความเรียบร้อย ความเป็นอยู่ และปลอดภัย บริเวณสวนสาธารณะที่กรุงเทพมหานครเปิดรองรับประชาชนที่ประสบภัย ตลอด 24 ชั่วโมง ได้แก่ สวนเบญจสิริ, สวนเบญจกิติ, สวนลุมพินี สวนจตุจักร และศูนย์กีฬาทุ่งครุ โดยประสานงานกับเขต กรุงเทพมหานคร ในการจัดไฟส่องสว่าง การอำนวยความสะดวกต่าง ๆ การบริการที่พี่น้องประชาชนที่ไปหลบภัย หรือยังหวั่นวิตกแล้วไม่กลับเข้าอาคาร คอนโด บ้านพัก เพื่อป้องกันการก่อเหตุอาชญากรรมซ้ำซ้อน อันเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งด่วนตำรวจทุกพื้นที่ออกตรวจตรา ช่วยเหลือ อพยพประชาชนหรือผู้ประสบภัยไปพื้นที่ปลอดภัย กรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวรับรู้ได้ทั่วประเทศ

(28 มี.ค.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการด่วนตำรวจทุกพื้นที่ ให้ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน หลังจากเวลาประมาณ 13.30 น. เกิดแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณประเทศเมียนมา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน สามารถรับความรู้สึกสั่นไหวบริเวณกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ โดยในกรุงเทพมหานคร เกิดเหตุอาคารทรุด มีผู้ประสบภัยจำนวนมาก

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่ติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ออกตรวจตรา และให้ความช่วยเหลือ อพยพประชาชนออกนอกอาคารหรือตึกสูงไปยังพื้นที่ปลอดภัย กรณีที่พื้นที่ใดมีผลกระทบหรือมีเหตุตึกอาคารทรุดหรือไม่ปลอดภัย ให้เร่งเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยและนำไปยังพื้นที่พยาบาลหรือพื้นที่ปลอดภัย พร้อมจัดเตรียมบริหารจัดการเหตุในพื้นที่ อำนวยความสะดวกด้านการจราจร เพื่อนำส่งการสนับสนุนด้านต่าง ๆ เน้นการติดต่อสื่อสารสั่งการในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจจัดบุคลากรทางการแพทย์เตรียมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่จะต้องให้การสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

สงขลา-ประธานวุฒิสภา และกลุ่ม สว.สงขลา นำทีมพบประชาชนและองค์กรทุกภาคส่วน เปิดเวทีรับฟังปัญหา และความเดือดร้อน เพื่อนำไปแก้ไข และผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ

เมื่อวานนี้ (27 มี.ค. 68) คณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชน กลุ่มภาคใต้ (ตอนล่าง) นำโดย นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภา จ.สงขลา ประกอบด้วย นายกมล รอดคล้าย ประธานกรรมการ , นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล รองประธานกรรมการ คนที่สาม , นายยะโก๊ป หีมละ , นายโสภณ มะโนมะยา และ นายพิบูลย์อัฑฒ์ หฤหรรษ์ปราการ กรรมการ เดินทางลงพื้นที่ จ.สงขลา เพื่อรับฟังทุกเสียงของพี่น้องประชาชน และองค์กรทุกภาคส่วนใน จ.สงขลา ในการสะท้อนปัญหาสู่การแก้ไขผ่านกลไกวุฒิสภา ระหว่างวันที่ 27-28 มี.ค. และมีการลงพื้นที่ทั้งใน อ.หาดใหญ่ และ อ.สะเดา จ.สงขลา

ซึ่งโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชน กลุ่มภาคใต้ (ตอนล่าง) กิจกรรมแรกจัดขึ้นที่ห้องประชุม Blue Ocean อาคารบริหารธุรกิจ (HBS) มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยเป็นการเปิดเวทีรับฟังเสียงสะท้อนและความคิดเห็นจากปัญหาที่เกิดขึ้นใน จ.สงขลา ทั้งจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาคธุรกิจ การค้า การท่องเที่ยวเที่ยว และเอกชน เช่น หอการค้าจังหวัดสงขลา สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา และประชาชนจากหลากหลายกลุ่มอาชีพ รวมกว่า 100 คน โดยทาง นายวิทยา จันทร์เสนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เดินทางเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย

โดยช่วงแรกทาง นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของสมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งบทบาทหน้าที่ต่างๆ และยังกล่าวว่า การรับฟังเสียงของประชาชนก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในการนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขในประเด็นที่ขัดข้อง และช่วยผลักดัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งประชาชนและประเทศชาติในส่วนที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะสามารถทำได้

จากนั้นทางสมาชิกวุฒิสภา จ.สงขลา ทั้ง 5 ท่าน ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุภภาคส่วน ซึ่งกลุ่มแรกที่ออกมาสะท้อนปัญหาคือ กลุ่มของธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมใน อ.หาดใหญ่ ทั้งจาก นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา และกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่างๆ ใน จ.สงขลา ที่ได้เสนอขอให้มีการทบทวนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับล่าสุด

เนื่องจากมองว่า ประเทศเพิ่งผ่านพ้นจากช่วงโควิด 19 มาได้ไม่นาน อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวก็กำลังอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรูปแบบใหม่นั้น จะสร้างภาระให้กับผู้ประกอบการมากขึ้นไปอีก แทนที่จะเก็บในลักษณะของการประเมินจากรายได้แบบของกรมสรรพากร เช่น โรงแรมไหนมีลูกค้ามาก ก็สามารถจ่ายภาษีได้มาก แต่กลับกันการเก็บภาษีรูปแบบใหม่ที่ต้องเสียเท่ากันหมด หากโรงแรมในขนาดเดียวกัน ทำเลเดียวกัน โรงแรมที่มีลูกค้าน้อย และมีรายได้น้อย ก็จะต้องแบกรับภาระในการจ่ายภาษีที่หนักกว่า และจะโยงไปถึงการครอบครองที่ดินของบุคคลต่างๆด้วย ซึ่งหากเป็นที่ดินว่างเปล่า ก็จะพยายามหาอะไรมาปลูก มาทำ ไม่ให้เข้าข่ายการเป็นที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เป็นแค่ทำบังหน้าเลี่ยงข้อกฎหมาย อีกทั้งชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ได้มีทุนทรัพย์มากมาย หรือได้ที่ดินสิ่งปลูกสร้างมาจากมรดกตกทอด ก็จะต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงขึ้นไปอีก และเสี่ยงที่จะต้องขายที่ดินให้กับคนอื่นหรือนายทุน หากไม่สามารถจ่ายภาษีได้ไหว ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของการจัดเก็บภาษีใหม่ทั้งในแง่ของการต้องการที่จะอนุรักษ์ป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งต้องการลดการครอบครองที่ดินของนายทุน

นอกจากนี้ทางกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมใน อ.หาดใหญ่ ยังได้เสนอให้มีการจัดระเบียบของโรงแรมที่และพักต่างๆ ทั้งหมด เนื่องจากตอนนี้มีทั้งที่อยู่ในระบบ และนอกระบบ โดยต้องการในพวกโรงแรมที่พักที่อยู่นอกระบบ ทั้งในรูปแบบของการเข้ามาเช่า และทำประโยชน์ของชาวต่างชาติ และบางส่วนที่ทำในลักษณะเป็นบ้านหรือที่พัก แล้วเปิดให้เข้าไปใช้บริการ เช่น พูลวิลล่า ก็ต้องตรวจสอบ และนำข้าระบบ เพื่อความเป็นธรรมกับผู้ประกอบธุรกิจเดียวกัน และการจัดเก็บภาษี

โดยนอกจากเรื่องธุรกิจ การค้า การท่องเที่ยว ที่เป็นรายได้หลักของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แล้ว ยังมีตัวแทนในการนำเสนอที่จะให้ทางรัฐบาลผลักดันโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ซึ่งเป็นโครงการมูลค่ากว่า 1 แสนล้าน บนเนื้อที่กว่า 11,800 ไร่ ใน 4 ตำบล ของ อ.จะนะ และ อ.เทพา ซึ่งมีความพยามที่จะผลักดันให้เป็นอุตสาหกรรมที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศและคนในพื้นที่ และพื้นที่ดังกล่าวยังเคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความพยามยามในทำโครงการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคมาตั้งแต่ปี 2532 แล้วด้วย แต่ยังไม่สำเร็จ พร้อมกันนี้ได้มีการยื่นหนังสือให้ทางรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกลักดันเรื่องนี้ด้วย โดยมอบผ่านทาง นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา

ขณะที่ทางภาคเกษตรกร โดยเฉพาะในพื้นที่ 4 อำเภอคาบสมุทรสทิงพระ คือ อ.สิงหนคร อ.สทิงพระ อ.กระแสสินธุ์ และ อ.ระโนด ได้เสนอแนะให้มีการพลิกโฉมการเกษตร โดยมองว่า หากปลูกพืชแล้วขายผลผลิตแบบเดิมเหมือนในอดีต อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเกษตรกรลองปรับเปลี่ยนวิธีคิด หารูปแบบวิธีการใหม่ๆ แปรรูปผลผลิต หรือหาช่องทางส่งออกที่มากขึ้น เพื่อให้มีรายได้ และมีความมั่นคงขึ้นมากกว่านี้

ซึ่งทางกลุ่ม สว.สงขลา ได้รับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะต่างๆจากทุกภาคส่วนในครั้งนี้ และจะมีการนำเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ช่วยกันแก้ไข และผลักดันให้การการพัฒนาที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติต่อไป

ทั้งหลังเสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ทางคณะฯ ยังได้เดินทางไปยังด่านศุลการกรสะเดา และด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย เพื่อศึกษาการดำเนินงานของด่านศุลกากร รวมทั้งโครงการสำคัญของรัฐ และในวันพรุ่งนี้ (28 มี.ค.) ทางคณะฯ ยังมีกำหนดการพบปะกับกลุ่มผู้ประกอบการที่ห้องประชุมหอการค้าจังหวัดสงขลา และพบปะกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนในย่านตลาดกิมหยง เมืองหาดใหญ่ เพื่อติดตามสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันด้วย
 

สื่อดังเผยญี่ปุ่นเตรียมร่วงจาก 10 อันดับแรก GDP โลก ต่ำกว่า เกาหลีใต้ และรัสเซีย รายได้ต่อหัวลดลงเป็นประเทศรายได้กลางใน 50 ปี

(28 มี.ค. 68) สื่อเศรษฐกิจชื่อดังของญี่ปุ่น Nikkei ได้เผยรายงานจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ เมื่อวานนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ไม่สดใสของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในอนาคต โดยคาดการณ์ว่า ในอีก 50 ปีข้างหน้า รายได้ต่อหัวของคนญี่ปุ่นจะร่วงลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ประเทศตกไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มี รายได้ปานกลาง

รายงานระบุอีกว่า GDP รวมของประเทศญี่ปุ่น จะลดลงอย่างรวดเร็วและ หลุดจาก 10 อันดับแรกของโลก ในอีก 50 ปีข้างหน้า คาดว่า GDP ที่แท้จริงโดยรวมของญี่ปุ่น จะลดลงจากอันดับที่ 4 ในปี 2024 (3.5 ล้านล้านดอลลาร์) ไปอยู่อันดับที่ 11 ในปี 2075 (4.4 ล้านล้านดอลลาร์) แม้ว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แต่คาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยในช่วงปี 2071–2075 จะอยู่ที่เพียง 0.3% เท่านั้น

และจะตกจาก อันดับที่ 29 ปัจจุบัน ไปยัง อันดับที่ 45 หมายความว่าญี่ปุ่นจะตกต่ำกว่า เกาหลีใต้และรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของประเทศอย่างรุนแรง

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจได้ชี้ให้เห็นว่า การขาดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถตามทันประเทศอื่นๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

นอกจากนี้ การลดลงของประชากร โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่มีอายุสูงขึ้นและขาดแรงงานรุ่นใหม่ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นจะต้องเผชิญกับปัญหาของการขาดแคลนแรงงานและความยากลำบากในการรักษาฐานการผลิตในประเทศ

ผลการวิจัยนี้เตือนให้ญี่ปุ่นต้องเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยการไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI และการลดลงของประชากร อาจนำไปสู่การลดลงของการผลิตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเสียสมดุลในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

สิ่งที่น่ากังวลคือ ความสามารถในการแข่งขันของญี่ปุ่นในระดับโลก ที่จะลดลงตามลำดับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างชาติ การจ้างงาน และการสร้างความมั่งคั่งในประเทศในระยะยาว

แม้จะมีการทำนายสถานการณ์เศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง แต่รายงานยังระบุว่า ญี่ปุ่นยังคงมีโอกาสในการปรับตัว โดยการลงทุนในนวัตกรรม AI และการพัฒนานโยบายการขยายฐานแรงงาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาด้านการผลิตและการจัดการทรัพยากรของประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากญี่ปุ่นไม่สามารถปรับตัวได้ทันเวลา อาจทำให้ประเทศเผชิญกับการถดถอยทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวที่ยากจะกลับตัวได้

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมด้วยประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 1 เยี่ยมให้กำลังใจตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ที่ถูกรถจักรยานยนต์พุ่งชนขณะตั้งด่านตรวจ และตำรวจ สภ.พรหมบุรี ที่เกิดอาการอ่อนแรงและวูบหมดสติหลังถูกผู้ไลฟ์เฟซบุ๊กกดดัน

เมื่อวานนี้ (27 มี.ค.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมด้วย คุณณัฐวดี เอี่ยมวงศ์ ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 1 และคณะ เดินทางไปยังโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเยี่ยม สร้างขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 1  ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยได้มอบกระเช้าดอกไม้และเงินช่วยเหลือให้แก่ข้าราชการตำรวจ จำนวน 2 นาย พร้อมให้กำลังใจ ขอบคุณในการปฏิบัติหน้าที่ และขอให้อาการดีขึ้นโดยเร็ว

1. ด.ต.ทวีศักดิ์ ศรีเมือง ผบ.หมู่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ภ.จว.ปทุมธานี 
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ขณะปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดสกัดชั่วคราวบริเวณถนนกลางซอยรังสิต-นครนายก 30 จ.ปทุมธานี ได้มีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามายังจุดสกัดด้วยความเร็ว และพุ่งชน ด.ต.ทวีศักดิ์ ศรีเมือง บริเวณจุดสกัดดังกล่าว ทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา (กระดูกเข่าขวาแตก) และมีแผลที่ฝ่ามือขวา จึงได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ล่าสุดอาการโดยทั่วไปดีขึ้น อยู่ระหว่างรอผ่าตัดกระดูกเข่าขวา

2. ด.ต.ศุภมิตร พวงประเสริฐ ผบ.หมู่ (จร.) สภ.พรหมบุรี ภ.จว.สิงห์บุรี
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่ตั้งกล้องจับความเร็วบริเวณถนนสายเอเชีย ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เกิดอาการเกร็ง แขนขาอ่อนแรง และวูบหมดสติ ได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งอาการโดยทั่วไปดีขึ้น ขณะนี้ทำกายภาพอย่างต่อเนื่องและสามารถพูดโต้ตอบสื่อสารได้

ทั้งนี้ การเยี่ยมข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ เป็นหนึ่งในนโยบายที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และทางด้านสมาคมแม่บ้านตำรวจ คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้มีนโยบายในการสนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจ โดยได้จัดทำโครงการหลายโครงการที่มุ่งเน้นช่วยเหลือข้าราชการตำรวจและครอบครัว เช่น โครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” ที่จะดูแลช่วยเหลือ บำรุงขวัญกำลังใจข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ หรือทุพพลภาพ จากการปฏิบัติหน้าที่ โดยมอบหมายให้ผู้แทนสมาคมแม่บ้านตำรวจลงพื้นที่เยี่ยมบำรุงขวัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กำลังใจและแสดงความขอบคุณที่ข้าราชการตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พี่น้องประชาชน

บีโอไอ บุกแดนภารตะ ดึงลงทุนการแพทย์ – อีวี – เซมิคอนดักเตอร์ หลายบริษัทสนใจปักฐานในไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

บีโอไอเผยผลการเยือนอินเดีย รุกดึงการลงทุน 3 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เปิดโต๊ะเจรจากลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ชั้นนำแดนภารตะ เสริมแกร่ง 'เมดิคัล ฮับ' ของภูมิภาค พร้อมเจรจา TATA Motor ดึงลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ขณะที่ผู้ให้บริการออกแบบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงสนใจตั้งฐานในไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงผลการนำคณะบีโอไอเยือนเมืองไฮเดอราบัด และเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 24 – 27 มีนาคม ที่ผ่านมา เพื่อพบหารือและเจรจาแผนการลงทุนเป็นรายบริษัทกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่อินเดียในอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวม 15 บริษัท โดยบีโอไอได้นำเสนอศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในฐานะแหล่งลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 3 กลุ่มหลัก ซึ่งบริษัทอินเดียมีความเชี่ยวชาญ และเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก โดยบริษัทเหล่านี้มีความสนใจขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย

- กลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์  บีโอไอได้จัดประชุมร่วมกับผู้ประกอบการอินเดียที่อยู่ในเขต Medical Device Park เพื่อนำเสนอข้อมูลการลงทุนและมาตรการสนับสนุนด้าน Medical Hub นอกจากนี้ ยังได้หารือรายบริษัท เช่น บริษัท Sahajanand Medical Technologies (SMT) ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดอันดับ 1 ของอินเดีย มีแผนลงทุนในไทยเพื่อผลิตลิ้นหัวใจเทียมและอุปกรณ์ขดลวดถ่าง (Stent) สำหรับการรักษาหลอดเลือดหัวใจและการทำบอลลูน และมีแผนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทย  บริษัท MSN Laboratories ผู้ผลิตยารายใหญ่ของโลก ปัจจุบันมีฐานการผลิตและวิจัยในหลายภูมิภาค ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรปและเอเชีย โดยมีแผนลงทุนทำวิจัยในไทย และขยายตลาดเข้าสู่อาเซียน  บริษัท ACG Capsules ผู้ผลิตแคปซูล ยาเม็ด และเครื่องจักรบรรจุยารายใหญ่ของโลก ได้ลงทุนสร้างโรงงานที่จังหวัดระยอง มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท เพื่อผลิตแคปซูลจากเจลาตินและพืชด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมีแผนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทยด้วย และบริษัท Natural Remedies ผู้ผลิตอาหารเสริมจากสมุนไพรสำหรับปศุสัตว์อันดับ 1 ของอินเดีย และอันดับ 3 ของโลก มีแผนลงทุนทำวิจัยและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยในไทย และศูนย์วิจัยของบริษัทผลิตเนื้อสัตว์ชั้นนำ เช่น ซีพี, เบทาโกร และสหฟาร์ม เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารสัตว์  

- กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ คณะบีโอไอได้หารือกับบริษัท TATA Motor ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของอินเดีย มีแผนรุกขยายธุรกิจด้านรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (รถบรรทุก และรถบัส) ในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวา โดยเพิ่งมีการดึงผู้บริหารชาวอินเดียจากค่ายรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย ให้ไปคุมทัพด้านการขยายธุรกิจรถยนต์นั่งของกลุ่ม TATA Motor ในต่างประเทศด้วย

- กลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ คณะบีโอไอได้หารือกับนายกสมาคมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ของอินเดีย (India Electronics and Semiconductor Association: IESA) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 400 บริษัท โดยได้นำเสนอนโยบายรัฐบาลไทยและการจัดตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ แผนพัฒนาบุคลากร และความพร้อมของระบบนิเวศ โดยบีโอไอจะจับมือสมาคมฯ จัดกิจกรรมดึงดูดการลงทุนร่วมกันที่เมืองบังกาลอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังได้หารือแผนลงทุนของ บริษัท Tessolve Semiconductor ซึ่งทำตั้งแต่การออกแบบชิป (IC Design) การทดสอบชิป การออกแบบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และการให้บริการอบรมด้านวิศวกรรมแก่บริษัทผลิตชิปชั้นนำของโลก โดยภายในปีนี้ บริษัทมีแผนลงทุนจัดตั้งศูนย์ทดสอบชิปและให้บริการทางวิศวกรรมแก่บริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ในไทยด้วย

“อินเดียเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดของโลก และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหลายสาขา เช่น ยาและอุปกรณ์การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และเคมีภัณฑ์ ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุนอินเดียกำลังขยายการลงทุนในต่างประเทศ ภายใต้นโยบาย Act East Policy ของรัฐบาลอินเดีย ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับประเทศในอาเซียน การเยือนอินเดียครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อทำให้นักลงทุนอินเดียมองเห็นศักยภาพและความพร้อมของไทยในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และพิจารณาเลือกไทยเป็นฐานการลงทุนหลักในอาเซียน ทั้งด้านการผลิต การวิจัยและพัฒนา ศูนย์โลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมถึงสร้างความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - 2567) มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนอินเดียจำนวน 161 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 13,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยา อุปกรณ์การแพทย์ เคมีภัณฑ์ และเครื่องประดับ

สืบ ตม. และ ตม.ภูเก็ต รวบหนุ่มฝรั่งเศส แก๊งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ชิงนักโทษ ฆ่าผู้คุม

ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช./ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ 

หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล, พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว, พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หน.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้   

สืบ ตม. และ ตม.ภูเก็ต รวบหนุ่มฝรั่งเศส แก๊งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ชิงนักโทษ ฆ่าผู้คุม

ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้ตรวจสอบพฤติกรรมกลุ่มคนต่างด้าวที่มีพฤติกรรมขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ตลอดจนมีลักษณะที่กระทบต่อภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศ บก.สส.สตม. เนื่องด้วย นายอาโดนิส (Adonis)(นามสมมติ) บุคคลตามหมายจับฝรั่งเศสและหมายแดงตำรวจสากล ข้อหาหลายข้อหาที่สำคัญคือร่วมองค์กรอาญากรรมเพื่อก่อเหตุอาชญากรรมร้ายแรงในการมีส่วนร่วมในการชิงนักโทษในเรือนจำที่ชื่อ Mohamed (นามสมมติ) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่เรือนจำเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัสฝ่ายกิจการตำรวจและความมั่นคง สอท.ฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการค้นหา จับกุม และเพิกถอนการอนุญาต ส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศฝรั่งเศส

พฤติการณ์การกระทำผิดกล่าวคือ นาย Mohamed (นามสมมติ) เป็นผู้ต้องหายาเสพติดคนสำคัญ ระหว่างการ ส่งตัวจากศาลไปที่เรือนจำ มีกลุ่มคนพกอาวุธสงครามจำนวน 6 คน มี 3 คนที่พกอาวุธบุกเข้าไปปล้นตัวนักโทษ และเป็นเหตุให้ผู้คุมเสียชีวิต 2 คนและบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 

หลังจากเหตุการณ์นี้ตำรวจจำนวน 120 นาย ทำคดีนี้ และเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติของฝรั่งเศสที่สำคัญ เพราะผู้ต้องหาและผู้สมรู้ร่วมคิดบางส่วน รวมถึงตัวนักโทษหนีไปที่โรมาเนีย ตำรวจฝรั่งเศสได้จับผู้ต้องหา Mohamed (นามสมมติ) ถูกจับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โรมาเนีย ส่วนผู้ต้องหารายอื่น ๆ ถูกจับแล้ว ทั้งนี้ ADONIS (นามสมมติ) ได้เดินทางมาที่ไทยในช่วงเวลาก่อนฝรั่งเศส ออกหมายจับ และก่อนที่ตำรวจสากลจะออกหมายแดง บก.สส.สตม. ได้ตรวจสอบข้อมูลจากฐานข้อมูลสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นายอาโดนิส (นามสมมติ) อายุ 24 ปี สัญชาติฝรั่งเศส เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยครั้งล่าสุด ทางด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 โดยสารมากับเที่ยวบิน WK50 ประเภทการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 8 เมษายน 2568 บก.สส.สตม. ร่วมกับ ตม.จว.ภูเก็ต สืบสวนพบว่า MR.ADONIS (นามสมมติ) หลบซ่อนตัวที่พื้นที่ ต.กมลา และ ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จว.ภูเก็ต จึงได้ลงพื้นที่ติดตามตัว จนกระทั่งวันที่ 26 มีนาคม 2568 สามารถจับกุมตัวได้ จึงควบคุมตัวไว้ที่ กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่  อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สมุทรปราการ-อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีฯ มอบวุฒิบัตรบัณฑิตน้อยทราสำเร็จการศึกษา เผย!! เตรียมขยายพื้นที่การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ห้องประชุมกองการศึกษา ชั้น 2 เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ โดยโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ได้มีการจัดพิธีมอบวุฒิบัตรแก่บัณฑิตน้อยที่สำเร็จการศึกษา ระดับชั้นอนุบาล ปีการศึกษา 2567 ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมดจำนวน 222 คน และมีนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 73 คน

โดยได้รับเกียรติจากนายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ให้เกียรติเป็นประธาน ในพิธีมอบวุฒิบัตรบัณฑิตน้อย ประจำปีการศึกษา 2567 โดยมีคณะผู้บริหาร คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะครู บุคลากรทางการศึกษาตลอดจนผู้ปกครองเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้

โดยทางด้าน นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ กล่าวว่า เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเด็กประถมวัย โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจึงได้จัดตั้งโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ขึ้น เพื่อพัฒนาเด็กประถมวัยให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสติปัญญาเสริมสร้างเด็กประถมวัยให้มีพัฒนาการอย่างสมดุลเป็นคนเก่ง คนดี มีความเจริญเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กที่เข้ารับการศึกษาต่อในระดับขั้นที่สูงขึ้นต่อไป

อย่างไรก็ตาม เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ได้ส่งเสริมและสนับสนุนด้านการศึกษามาโดยตลอด และพัฒนาศักยภาพของเด็กประถมวัยมีการอบรมเลี้ยงดูส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กแต่ละบุคคลตามศักยภาพ ทั้งนี้ ต้องขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับบัณฑิตน้อยทุกคนที่สำเร็จการศึกษาในระดับประถมวัย ขอให้เด็กทุกคนเป็นลูกที่ดีของผู้ปกครองและเติบโตเป็นพลเมืองดีของสังคมต่อไป

อนาคตแรงงานสั่นคลอน AI แทนที่หมอ-ครูใน 10 ปี เปลี่ยนโลกของการทำงาน และมนุษย์อาจไม่ใช่ตัวเลือกหลักอีกต่อไป

(28 มี.ค. 68) บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์และมหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี ออกมาเตือนว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจเข้ามาแทนที่อาชีพสำคัญ เช่น แพทย์และครู ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี ส่งผลให้มนุษย์อาจ “ไม่จำเป็น” สำหรับหลายอาชีพที่เคยต้องใช้แรงงานคน

เกตส์ชี้ว่า การพัฒนา AI กำลังเข้าสู่จุดที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ วินิจฉัยโรค แนะนำวิธีรักษา ได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องพึ่งพาแพทย์มนุษย์ เช่น AI ช่วยอ่านผลเอกซเรย์, วิเคราะห์อาการของผู้ป่วย, และให้คำแนะนำด้านต่าง ๆ

ส่วนในวงการศึกษา AI อาจทำหน้าที่เป็นครูผู้สอน ที่สามารถปรับหลักสูตรให้เหมาะกับนักเรียนแต่ละคนแบบเรียลไทม์ ทำให้บทบาทของครูเปลี่ยนไปจากการเป็นผู้สอน เป็นเพียงผู้ดูแลและให้คำแนะนำแทน

นอกจากนี้ เกตส์ระบุอีกว่า แม้ AI จะสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ในหลายด้าน แต่จะยังไม่สามารถแทนที่ทุกอาชีพได้ทั้งหมด โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจเชิงศีลธรรม และการมีปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์

อย่างไรก็ตาม อาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานเอกสาร งานวิเคราะห์ข้อมูล หรืองานที่ใช้ตรรกะ มีโอกาสสูงที่จะถูก AI เข้ามาแทนที่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงาน และต้องมีการปรับตัวอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ เกตส์ยอมรับว่า AI เป็นดาบสองคม หากใช้ในทางที่ถูกต้อง มันสามารถช่วยให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น เข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่แม่นยำขึ้น ลดภาระครู เพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง แต่ถ้าไม่เตรียมตัวรับมือ AI อาจสร้างปัญหาด้านการว่างงาน และเพิ่มช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มที่ปรับตัวได้กับกลุ่มที่ปรับตัวไม่ได้

“โลกต้องเตรียมรับมือกับยุคที่ AI จะเปลี่ยนโฉมทุกอุตสาหกรรม” เกตส์กล่าว พร้อมแนะนำให้ภาครัฐและภาคธุรกิจ ปรับปรุงระบบการศึกษา และพัฒนาทักษะแรงงานให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

แม้ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเชื่อว่า มนุษย์ยังคงมีจุดแข็งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจเชิงจริยธรรม และปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์

อย่างไรก็ดี สิ่งที่สำคัญคือโลกต้องปรับตัวให้ทันกับ AI และหาทางใช้มันเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาอุตสาหกรรม แทนที่จะมองว่าเป็นภัยคุกคาม ซึ่งคำเตือนของบิล เกตส์ ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการเทคโนโลยีและตลาดแรงงานทั่วโลก หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า มนุษย์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในโลกอนาคต หรือ AI จะเป็นผู้ควบคุมแทน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top