Friday, 11 July 2025
Hard News Team

‘สวนสมดุล’ พื้นที่เชื่อมคนเมืองกับธรรมชาติเข้าด้วยกัน

ต้องยอมรับว่าวันนี้สังคมโลกในปัจจุบัน เริ่มตระหนักและพูดถึงเรื่องการให้ความสำคัญกับการต่อสู้/ฝ่าฟันปัญหาโลกร้อนและภาวะเรือนกระจกกันตั้งแต่ระดับโลก, ประเทศ มาสู่ชุมชน ภายใต้บริบทแห่งการสร้างสังคมสีเขียว ปลอดมลพิษ และลดการพึ่งพิงพลังงานฟอสซิล เพื่อทะนุถนอมดูแลโลกใบนี้ให้อยู่กับมนุษยชาติต่อไปอีกนานแสนนานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การฟูมฟักสังคมสีเขียว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในยุคนี้ ยุคที่ทุกอย่างอิงแนบไปกับภาคอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิต และเผาผลาญทรัพยากรมหาศาล เพื่อได้มาซึ่งผลลัพธ์แห่งการแข่งขัน รวมทั้งผู้คนที่ขาดความเข้าอกเข้าใจในธรรมชาติ จนหลงลืมว่าชีวิตควรแนบชิดกับธรรมชาติในบางจังหวะ ที่หากทำได้มากเท่าไร ก็อาจจะเป็นแรงเหวี่ยงสำคัญในการปลุกจิตสำนึกแห่งความรักในโลกได้อย่างจริงจังขึ้น

การชวนมนุษย์ให้ค่อยๆ หลุดเข้ามาสู่โลกที่เป็นมิตร โลกที่เต็มไปด้วยกลิ่นแห่งอายแห่งชีวิตที่คลอเคล้าบนวิถีธรรมชาติ จึงเป็นบทบาทของผู้ที่พร้อมจะสละตนมาเนรมิตบางสิ่งด้วยความตั้งใจ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ของสังคม

ด้วยเหตุนี้ THE STATES TIMES จึงอยากพาผู้คนที่ยังขาดจังหวะชีวิตกับวิถีธรรมชาติ มาเริ่มต้นจากการสูดอากาศที่ ‘สวนสมดุล’ หรือ ‘Somdul Agroforestry Home’ อีกหนึ่งสถานที่ตอบโจทย์ผู้คนที่อยากซึมซับในวิถีแห่งธรรมชาติใกล้กรุง เพื่อปรับความสมดุลให้ชีวิต ผ่านกิจกรรมอันหลากหลาย ภายใต้จุดเด่นแห่งการพัฒนาเกษตรกรรมเชิง ‘วนเกษตร’ ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เรียกว่า ‘ความสุขอย่างยั่งยืน’

'เอี่ยม' อติคุณ ทองแตง หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Somdul Agroforestry Home’ ได้อธิบายคุณค่าแห่ง 'สวนสมดุล' ไว้อย่างน่าสนใจกับยูทูบช่อง ‘Health Addict’ โดยระบุว่า…

‘Somdul Agroforestry Home’ หรือแปลเป็นภาษาไทยก็คือ ‘วนเกษตร’ เป็นการทําเกษตรที่พึ่งพาอาศัยรวมอยู่กับป่า จุดเริ่มต้นของที่นี่ (สวนสมดุล) เริ่มมาจากกลุ่มคนที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมาทั้งหมดเป็นกลุ่มนักอนุรักษ์ มีความรักในธรรมชาติเป็นพื้นฐาน และก็เริ่มมองหาธุรกิจ ที่สามารถจะอยู่ร่วมกับป่า ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งเขียว ๆ รอบ ๆ ตัวเรา

“บทสรุปที่เลือกปักหมุดใน 'วนเกษตร' เพราะผมอยากทําให้คนอื่นเห็นว่า ใครๆ ก็สามารถทําได้เหมือนกัน และเราสามารถนำผลผลิตเชิงวนเกษตรมาใช้ในเชิงธุรกิจได้” คุณเอี่ยมเกริ่น

คุณเอี่ยม อธิบายนิยามคำว่า ‘สมดุล’ เพิ่มด้วยว่า “ที่มาของคําว่าสมดุล มาจากการสร้างความสมดุลระหว่างวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ กับ คนที่ใช้ชีวิตในเมือง ที่ยังเดินห้าง กินอาหารทั่วไป ซึ่งผมเชื่อว่าสองฝั่งนี้ ใช่ว่าจะไปด้วยกันไม่ได้ มันสามารถมาบรรจบกัน และสร้างความสมดุลได้ คนเมืองก็สามารถสร้างสีเขียว ๆ สามารถปลูกต้นไม้ สามารถดูแลระบบนิเวศรอบ ๆ เมืองได้เหมือนกัน...

“ยิ่งไปกว่านั้น เราอยากจะสร้างโลกสำหรับคนรุ่นใหม่ ซึ่งยังเลือกใช้ชีวิตอยู่ในเมือง เกิดแรงบันดาลใจ และทําให้เห็นว่าการเลือกใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่จําเป็นต้องหนีห่างไปจากธรรมชาติ หรือออกไปจากระบบนิเวศสีเขียว เพราะที่สุดแล้ว มันพึ่งพากันได้”

เมื่อข้ามผ่านคอนเซปต์แห่ง 'สวนสมดุล' ก็ได้เวลาที่คุณเอี่ยม จะอธิบายพื้นที่และหน้าที่ต่าง ๆ ในสวนแห่งนี้ โดยเขาเล่าไอเดียที่สอดแทรกในทุกๆ ส่วนของสวนสมดุลไว้อย่างน่าสนใจ ว่า...

“ที่นี่จะใช้ส่วนที่เป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร เป็นจุดสื่อสาร เพราะเป็นจุดที่จับต้องได้ง่าย ทุกคนที่มาก็ต้องกิน ต้องดื่ม และเราก็จะพูดเกี่ยวกับเรื่องวัตถุดิบจากธรรมชาติ วัตถุดิบออร์แกนิก หรือวัตถุดิบปลอดสารที่เรา (สวนสมดุล) ได้มาจากสิ่งที่เราปลูกเอง โดยข้างนอกรอบ ๆ จะใช้เป็นโชว์รูม ปลูกไม้ใหญ่ ๆ และต้นไม้เล็ก ๆ ร่วมกันกับการทําสวนเกษตรอินทรี...

นอกจากนี้ ก็จะมีเวิร์กช็อปเกี่ยวกับเรื่องกาแฟ คุณภาพดี, การศึกษาธรรมชาติระบบนิเวศ, พาเด็กดูนก, เก็บไข่ไก่ ได้ไปสัมผัสกับไก่ที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยสัมผัส...

"สำหรับไก่ที่เลี้ยงจะเป็นไก่ไข่ และใช้สำหรับในโซนคาเฟ่ทั้งหมด สิ่งที่สําคัญที่สุดของการเลี้ยงไก่คืออาหาร เราจะใช้เป็นอาหารไก่อินทรีย์ที่ทํามาจากพวกพืชอินทรีย์ทั้งหมด มีข้าวโพดอินทรีย์ ใบข้าว" 

นอกจากในโซนคาเฟ่ สวนปลูกพืช และฟาร์มไก่ไข่แล้ว คุณเอี่ยม ยังได้พูดถึงการเลี้ยงผึ้งชันโรง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่ด้วย 

"สำหรับเจ้าผึ้งชันโรง เป็นเหมือนเครื่องตรวจวัดสารเคมี เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีความไวต่อสารเคมีมาก หากในพื้นที่รอบ ๆ มีระดับความรุนแรงของสารเคมีมากเกินไป รังผึ้งชันโรงก็จะร่อแร่ และอาจจะตายยกรังได้ ฉะนั้นหากมีรังผึ้งชันโรงที่สมบูรณ์ แข็งแรง ก็หมายความว่า พื้นที่รอบ ๆ ปลอดภัยจากสารเคมีนั่นเอง...

"โดยการเลี้ยงผึ้งชันโรงนั้น ต้องเลี้ยงแบบกระจายตัว ต้องวางห่าง ๆ กันเพื่อให้ได้ผลผลิตที่หลากหลาย อาจจะได้ผลผลิตมากถึง 2-4 เท่าเลย เนื่องจากชันโรงเป็นแมลงตัวเล็ก สามารถตอมดอกไม้เล็ก ๆ หรือสมุนไพร เป็นตัวช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีววิทยา และเมื่อได้ศึกษาลงรายละเอียดแล้ว ก็พบว่าผึ้งชันโรงไม่ได้ดุร้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ พวกมันน่ารัก และไม่ได้จ้องจะทำร้ายด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ผึ้งชันโรงยังมีประโยชน์มาก ๆ และหากสูญพันธุ์ไป โลกก็จะขาดนักผสมพันธุ์เกสร จะขาดอาหาร และสุดท้ายมนุษย์ก็จะสูญพันธุ์ตามไปในที่สุด"

เมื่อถามถึงเรื่องผลตอบแทนจากการทำสวนสมดุล? คุณเอี่ยม กล่าวว่า “การที่ทําธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมในยุคนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เนื่องจากคนที่เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม อาจจะยังมีไม่มากพอ ส่งผลให้รายได้ที่จะวนกลับมาเลี้ยงชีพก็ยังไม่ได้เยอะมาก เรียกว่าต้องทนลําบากในช่วงแรกพอสมควร เพื่อหวังผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

คุณเอี่ยม กล่าวเสริมว่า “แต่ในขณะเดียวกันผมรู้สึกว่าผม ‘จําเป็น’ ต้องทํา เพื่อที่อย่างน้อยเราจะได้เป็นต้นแบบ และทําให้คนอื่นเห็นว่าสามารถทําได้จริง ๆ และหากเราสำเร็จและมีเครือข่ายอื่น ๆ ที่ทําไปด้วยกันกับเรา คนที่จะทําตามหลัง ก็จะไม่ยากลำบากอย่างที่เราเป็นแล้ว”

ในช่วงท้าย คุณเอี่ยมได้ตอกย้ำเรื่องความสมดุลไว้อีกว่า “หัวใจหลักของความสมดุลที่ดีในการใช้ชีวิต อยู่ที่ระบบนิเวศ ถ้าเกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์หรือสามารถดูแลตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ เราก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากระบบนิเวศนั้น ๆ ได้ความร่มเย็นกลับมา ได้อากาศที่ดีกลับมา เป็นผลพลอยได้ที่ทุกคนมักจะลืม เพราะมัวแต่โฟกัสที่ผลกําไรของมันว่าจะเป็นยังไง ให้ผลผลิตแบบไหน ซึ่งผมมองว่าเรื่องระบบนิเวศ เป็นเรื่องผลกระทบในระยะยาว ไม่ได้เห็นชัดเจนรวดเร็ว อาจจะไม่ใช่เพื่อรุ่นเรา แต่เพื่อรุ่นลูกหรือหลานของเราในอนาคต"

***FYI
‘สวนสมดุล’ Somdul Agroforestry Home
ตั้งอยู่ในตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
ไม่ไกลจากตลาดน้ำอัมพวา จากวัดบางพลับ มาอีกประมาณ 500 เมตร
เปิด วันจันทร์-อังคาร 09.00-17.00 น. วันพุธ-อาทิตย์ 09.00-18.00 น. (ปิดวันพฤหัสบดี)
สอบถาม โทร. 098-362-9894 หรือ facebook.com/somdulhome 

'เชียงราย' ป.ป.ส.ภาค5หรือนบ.ยส.35จัด 'โครงการสัมมนาสื่อมวลชนภาคเหนือตอนบน'

เมื่อวันที่ 8 ที่ผ่านมา พล.ท.นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ แม่ทัพน้อยที่3ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคเหนือหรือนบ.ยส.35 เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาสื่อมวลชนเพื่อสร้างการรับรู้การดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของสำนักงานป.ป.ส.ภาค5โดยมีผู้แทนประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายผู้แทนจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยในพื้นที่ 8 จังหวัด

ภาคเหนือตอนบนตลอดจนสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานด้านมวลชนและประชาสัมพันธ์จำนวนทั้งสิ้น 50 คนเข้าโครงการการจัดโครงการในครั้งนี้เพื่อให้สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานด้านมวลชนและประชาสัมพันธ์ได้มีความรู้ความเข้าใจนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดกฎหมายยาเสพติดอีกทั้งยังเป็นการบูรณาการช่องทางต่างๆในปารสื่อสารลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติดทั้งนี้ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคเหนือหรือนบ.ยส.35เปิดเผยว่าตั้งแต่วันที่1ตุลาคม2566ปัญหายาเสพติดค่อนข้างมีความสุขรุนอรงเนื่องจากสถิติที่เราจับกุมมีเพิ่มมากขึ้นโดยตลอดเดือนมีนาคมเฉพาะต้นเดือนมีการจับกุมได้เกือบ20บ้านเท็ดทั้งหมดเกิดจากสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านและการผลิตยาที่ง่ายขึ่นจากการใช้สารเคมีโดยจากการติดตามสถานการณ์ด้านดารข่าวพบว่ามียาเสพติดที่รอการนำเข้ามากกว่า 70-80 ล้านเม็ด

ไอซ์ 2,000 กิโลกรัมซึ่งเป็นโจทย์ที่หน่วยงานด้านการสกัดกั้นต้องดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ยาดสพติดเหล่านี้ส่งผลกระทบกับประชาชนซึ่งด้วยเหตุนี้รัฐบาลได้จัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคเหนือนบ.ยส.35ข้นมาเพื้อให้การทำงานด้านการสกัดกั้นเกิดประสิทธิภาพโดยความรวมมือของฝ่ายทหาร ตำรวจและพลเรื่อนตามนโยบายของรัฐบาลในส่วนของความร่วมมือกับประเทศเพื่อนย้านนั้นได้มีการหารือกับแขวงไชยบุรีแขวงบ่อแก้วสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและประเทศเมียนมามาเพื่อขอความร่วมมือในการสกัดกั้นโดยเฉพาะกรณีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนทั้งนี้ฝากสื่อมวลชนและประชาชนหารพบความผิดปกติในพื้นที่ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยกันในการป้องกันปัญหายาเสพติดด้านนาย อภิกิต ฉโรจน์ประเสริฐ ผอ.ป.ป.ส.ภาค5 กล่าวอีกว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนาย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรางยุติธรรมมีเจตนารมณ์ในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีนำความปลอดภัยมาสู่ประชาชนอย่าถาวรเกิดเป็นปฎิบัติการลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติดระยะ1ปีตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลซึ่ง

ต้องอาศัยช่องทางการสื่อสารของสืรอมวลชนในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในวงกว้างเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงโทษพิษภัยยาเสพติดมีความรู้เกี่ยวกับกฏหมายยาเสพติดและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดตลอดจนทราบถึงเจตนารมณ์และความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งนี้จะนำผู้เข้าร่วมสัมมนาเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ หน่วยเรือรับษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงเขตเชียงรายอำเภอเชียงแสนและด่านศุลกากรแม่สายเพื่อให้เห็นภาพของการดำเนินงานในมาตรการสกัดกั้นยาเสพติดและเคมีภัณฑ์ตามแนวชายแดนได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

6 เดือน 6 งานเด่น 'รมว.สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ' แห่งคมนาคม ครบทุกมิติ 'บก - น้ำ - อากาศ'

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เดินหน้าพัฒนาคมนาคมของไทย ครอบคลุมทุกมิติ ทั้ง 'บก - น้ำ - อากาศ' โดยมี 6 ผลงานเด่นที่เห็นเป็นรูปธรรมดังนี้

📌มาตรการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา นำร่อง 2 โครงการ คือ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - คลองบางไผ่ และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน และต่อมาได้ขยายใช้ในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างสายสีแดงและสายสีม่วงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นนโยบาย Quick Win นโยบายแรกของรัฐบาล เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนและจูงใจให้เปลี่ยนมาใช้ระบบรางในการเดินทาง

ทั้งนี้จะเร่งขยายมาตรการค่าโดยสาร 20 บาท ในรถไฟฟ้าเส้นทางอื่น ๆ ภายใน 2 ปี โดยขณะนี้ กระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างการหารือและพิจารณาร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประเมินทั้งโครงข่ายทุกสาย กรณีลดค่าโดยสารเหลือไม่เกิน 20 บาท รายได้ของผู้ให้บริการจะลดลง ซึ่งจะต้องมีเงินอุดหนุนประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท/ปี

📌การเปิดใช้ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินในปัจจุบัน และกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้โดยสารของสนามบินเชียงใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปัจจุบันที่มีผู้โดยสารระหว่างประเทศเฉลี่ย 4,800 คน/วัน จำนวน 20 เส้นทาง ปริมาณเที่ยวบิน 36 เที่ยวบิน/วัน วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม รวมถึงรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังเปิดอาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 (SAT-1) พร้อมทั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติเชื่อมต่อระหว่างอาคาร SAT-1 กับอาคารผู้โดยสารหลัก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 โดยทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคน/ปี เป็น 60 ล้านคน/ปี รองรับเที่ยวบินจาก 68 เที่ยวบิน/ชั่วโมงเป็น 94 เที่ยวบิน/ชั่วโมง เพื่อรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และนโยบายวีซ่าฟรี ตามนโยบายรัฐบาล

📌เร่งรัดการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) และ สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (M81) รวมถึงการเปิดให้ใช้ฟรี 2 เส้นทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 โดย M6 ช่วงปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 77 กม. M81 ช่วงนครปฐม ฝั่งตะวันตก - กาญจนบุรี ระยะทาง 51 กม. เปิดทดลองใช้ฟรีปีใหม่ ตั้งแต่ 28 ธ.ค.66 - 3 ม.ค. 67 ซึ่งจะเปิดให้บริการใช้งานฟรีตั้งแต่ 28 ธ.ค.66 ต่อเนื่องจนกว่าด่านเก็บค่าผ่านทางจะแล้วเสร็จ ส่วน เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง

ขณะเดียวกัน ยังได้เร่งรัดโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ เส้นทางนครปฐม - ชุมพร และได้เปิดให้บริการช่วงสถานีบ้านคูบัว จ.ราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนถึงจุดหมายได้เร็วขึ้นถึง 1 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเดินทางของประชาชน รวมทั้งการขนส่งสินค้า โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถอีกต่อไป

📌การพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ โดยการยกมาตรฐานและปลอดภัยท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่นโดยการให้บริการด้วยระบบตั๋วร่วม พร้อมทั้งออกแบบรองรับผู้ใช้บริการทุกประเภท โดยมีแผนพัฒนาท่าเรือเป็นสถานีเรือ (ระบบปิด) ทั้งหมด 29 ท่า ซึ่งขณะนี้ปรับปรุงเสร็จแล้ว จำนวน 9 ท่า อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงและก่อสร้าง จำนวน 5 ท่า และในส่วนที่เหลืออีกจำนวน 15 ท่า จะมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อลดความคับคั่งในการเดินทางขนส่งทางบก รวมถึงพัฒนาท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ในอ่าวไทยและอันดามัน สร้างรายได้ท่องเที่ยวทางน้ำ

📌เดินหน้าโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (Landbridge) ผลักดันการพัฒนาท่าเรือชุมพรและระนอง รวมถึงรถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ เพื่อเชื่อมขนส่งระหว่าง 2 ท่าเรือ ให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อพลิกโฉมพื้นที่ภาคใต้เป็นศูนย์กล่างโลจิสติกส์ระดับโลก ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้เริ่มดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) โดยล่าสุดได้ร่วมประชาสัมพันธ์โครงการ Landbridge ในการประชุมเอเปค ครั้งที่ 30 ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - ญี่ปุ่น ซึ่ง มีนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นสนใจเป็นจำนวนมากกว่า 30 บริษัท จากเดิมที่คาดว่าจะมีประมาณ 20 บริษัท และหลังจากนี้ จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามารับฟังข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมอย่างต่อเนื่อง

‘ฮ่องกง’ เผย ‘ร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ’ ฉบับใหม่ เพิ่มโทษผู้มีความผิดข้อหา ‘ทรยศ-กบฏ-ก่อวินาศกรรม-ปลุกปั่น’

(8 มี.ค. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทางการฮ่องกงได้เผยแพร่ร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ โดยเพิ่มอัตราโทษแก่ผู้กระทำความผิดในข้อหาปลุกปั่นและเกี่ยวกับความลับทางราชการ

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงฉบับใหม่นี้ ได้กำหนดให้ผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาทรยศ กบฏ และก่อวินาศกรรม จะมีโทษจำคุกตลอดชีวิต ขยายเวลาให้ตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้ที่ถูกจับกุมโดยยังไม่มีการตั้งข้อหาได้สูงสุด 14 วัน หากได้รับการเห็นชอบจากผู้พิพากษา และอาจจำกัดการเข้าถึงทนายความ ขณะที่ผู้ต้องหาคดีจารกรรมจะมีโทษจำคุก 20 ปี

ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ยังเสนอเพิ่มบทลงโทษในข้อหาปลุกปั่น ซึ่งมีความหมายถึงการปลุกปั่นความไม่พอใจหรือเกลียดชังต่อรัฐ ผ่านการกระทำ คำพูด หรือการเผยแพร่สิ่งพิมพ์ จากก่อนหน้านี้จะมีโทษจำคุก 2 ปี เป็นสูงสุด 10 ปี สำหรับความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังต่างชาติ รวมถึงผู้ที่มีความผิดในข้อหาเกี่ยวกับความลับทางราชการจะมีโทษจำคุก 10 ปีเช่นกัน และได้เสนอให้เพิ่มโทษผู้ที่มีสิ่งพิมพ์ที่มีเนื้อหาปลุกปั่นไว้ในครอบครองจาก 1 ปี เป็นสูงสุด 3 ปี โดยตำรวจมีสิทธิที่จะตรวจค้นเพื่อยึดและทำลายสื่อสิ่งพิมพ์เหล่านั้น

สภานิติบัญญัติของฮ่องกงได้เริ่มกระบวนการหารือเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าวแล้วในวันที่ 8 มีนาคม ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา และสมาชิกสภาหลายคนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าร่างกฎหมายฉบับนี้อาจได้รับการผ่านเป็นกฎหมายก่อนกลางเดือนเมษายน

ด้านนายจอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้เรียกร้องให้สมาชิกสภาเร่งผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ให้เร็วที่สุด โดยบอกว่าภูมิรัฐศาสตร์มีความซับซ้อนมากขึ้น และความเสี่ยงด้านความมั่นคงยังคงอยู่ไม่ไกลจากฮ่องกงเช่นเดิม

ทั้งนี้ นักการทูตต่างชาติและนักธุรกิจต่างๆ กำลังจับตาดูร่างกฎหมายนี้อย่างใกล้ชิด เพราะกังวลว่ามันอาจเป็นการลดทอนเสรีภาพในฮ่องกง หลังก่อนหน้านี้มีการปราบปรามผู้เห็นต่าง จนทำให้นักเคลื่อนไหวและนักการเมืองหลายคนที่ฝักใฝ่ประชาธิปไตยต้องติดคุกหรือลี้ภัยไปต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายบางคนได้วิเคราะห์ร่างกฎหมายดังกล่าวเบื้องต้น ระบุว่าองค์ประกอบในการปรับบทลงโทษในการกระทำความผิดบางอย่างมีความคล้ายคลึงกับของชาติตะวันตก แต่บทบัญญัติบางประการ อาทิ ในข้อหาปลุกปั่นและความลับทางราชการ มีการขยายความกว้างขึ้นและมีโทษรุนแรงขึ้น

‘สว.วีระศักดิ์’ เตือนแรง!! ระบบนิเวศโลกหนีไม่พ้นการดิ่งเหว หากยังหลงคิดว่าวัฒนาการอันน้อยนิด จัดการกับธรรมชาติได้

(8 มี.ค.67) นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ กรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ได้ออกบทความในหัวข้อ ‘ระบบนิเวศในธรรมชาติของโลก กับเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ (ตอนที่ 1) มีเนื้อหา ระบุว่า...

มนุษย์เรียนรู้เพิ่มทุกวันว่ากระบวนการธรรมชาติซับซ้อนมาก แต่มนุษย์มักถูกกิเลสพาให้หลงคิดไปว่ามีวิวัฒนาการที่ไม่เพียงไล่ทัน แต่ยังสามารถจัดการกับระบบของธรรมชาติได้

บัดนี้ แม้แต่ผู้นำประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดรวมตัวกัน ก็ยอมรับว่าวิวัฒนาการที่มนุษยชาติได้สั่งสมมาทั้งหมด ไม่พอที่จะรักษาให้พวกเขามั่นใจได้เลยว่า หลาน ๆ ของเขาจะมีเผ่าพันธุ์สืบต่อไปได้อีกกี่รุ่น

ผู้นำชาติต่าง ๆ ไม่อาจการันตีกับประชากรได้ ว่าหลาน ๆ ของประชากรของเขาจะได้มีชีวิตอย่างไม่แร้นแค้น

ที่จริง ผู้นำโลกเดินทางไปพบกันเรื่อง โลกร้อน ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ภาวะเรือนกระจก และสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ มาหลายสิบหนแล้ว

ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจนเข้าขั้นวิกฤตินี้ ยากจะมีคำปลอบขวัญที่ยืนยันได้ว่าจะควบคุมได้

ข้อเขียนนี้ ถูกผูกขึ้นด้วยเป้าประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ทำไม การแก้ปัญหาระดับวิกฤติการณ์ต่อมวลมนุษยชาติหนนี้ ต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างยิ่งใหญ่ของคนยุคเราขนาดไหน

เราทุกคนของยุคนี้ ไม่ว่าท่านจะเจนเนอเรชันอะไร โอกาสรอดจากการถูกประวัติศาสตร์จารึกว่า เราพากันขับรถพุ่งลงเหว ทั้งที่ยังเลี้ยวหลบหรือเบรกกันได้ทันยากเต็มที

จริงอยู่ ว่าเราไม่ใช่ชนรุ่นแรกที่พารถโดยสารวิ่งมาในเส้นทางนี้ แต่ในโศกนาฏกรรมทุกครั้ง ไม่ค่อยมีใครถามหรอกว่า มันเริ่มตอนใครควบคุมอยู่  แต่จะสนใจว่ามันจบตอนไหน และใครคือผู้ถือพวงมาลัยสุดท้ายก่อนตกเหวดับทั้งคัน

หรือจมลงทั้งลำ!!

แม้มีข่าวสารให้เราอ่านได้มากมายในอินเตอร์เน็ตว่า ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง มายังไง แต่ผมก็อยากพยายามสื่อสารกับผู้อ่านสักหน ว่ามันคืออะไร มายังไง และ เราต้องทำอะไร เพื่อชะลอหรือให้ดีกว่านั้น หยุดมันให้ได้

ขอเริ่มจากสภาพของโลกใบนี้ ก่อนที่จะเกิดปัญหาขนาดนี้นะครับ

ภาวะเรือนกระจกของโลก

เราเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า โลกมีชั้นบรรยากาศห่อหุ้มอยู่หลายชั้น มองด้วยตาเปล่าก็ไม่เห็น แต่มันทำหน้าที่ของมันตามระบบที่ธรรมชาติจัดสรรมาให้อย่างซับซ้อนในการปกป้องสิ่งมีชีวิตบนโลก

ดวงอาทิตย์ส่งคลื่นความร้อนทะลุทุกชั้นบรรยากาศได้ และพื้นผิวโลกก็สะท้อนความร้อนออกไปบางส่วน กักเก็บความร้อนไว้บางส่วน ซึ่งเกิดจากการดูดซับความร้อนนั้นไว้โดยก๊าซเรือนกระจก ที่มีอยู่หลายชนิด อย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ก๊าซเรือนกระจกจึงทำหน้าที่ควบคุมความอบอุ่นของโลกอยู่ให้ในสภาวะที่สมดุล เกิดสภาพอากาศและฤดูกาลที่เหมาะสมสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ซึ่งสัดส่วนของก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ในชั้นบรรยากาศที่ผ่านมาในอดีต มีค่อนข้างสม่ำเสมอ 

ดังนั้น ภาวะเรือนกระจกจึงมีข้อดีของมันมานับล้านปี

แต่บัดนี้ ประชากรมีกิจกรรมต่างๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ ต้องการผลิตไฟฟ้า ต้องการขนส่ง ผลิตขยะและน้ำเสียออกมาในปริมาณมาก อย่างต่อเนื่อง ใช่ครับ เราจึงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกสู่ชั้นบรรยากาศมากจนเกินสมดุล ความร้อนที่ถูกกักเก็บไว้ในชั้นบรรยากาศจึงมากเกินกว่าที่ควร ผลก็จะเหมือนเรานั่งรถปิดกระจกดับแอร์ ต่อแม้จะเป็นกลางคืน เราก็จะรู้สึกอบอ้าว อึดอัด

และความอึดอัดนี้จะมีทั่วห้องโดยสารไม่ว่าจะนั่งอยู่เบาะหน้าหรือหลัง จะเอนตัวลงนอน หรือลุกขึ้นยงโย่ยงหยก ก็จะ อึดอัด อบอ้าว อยู่ดี

วันนี้ โลกมีประชากรถึง 8พันล้านคน ยังไม่นับปศุสัตว์ที่เราขุนเลี้ยงกันไว้บริโภคอีก จนเยอะกว่าสัตว์ป่าทุกชนิดรวมกัน แม้จะนับนกในธรรมชาติหมดทุกตัวด้วยก็ตาม

ภาวะของเรือนกระจกจึงเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันรักษาสมดุล ไม่ให้มีก๊าซใดลอยขึ้นไปอยู่มากหรือน้อยจนเกินไป นี่จึงเป็นที่มาของชื่อองค์การมหาชนของไทย ที่เรียกชื่อว่า องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

ภาวะโลกร้อน ช่วงแรกเราสังเกตได้จากการละลายของน้ำแข็งที่ยอดเขาและขั้วโลก ว่ามันละลายหนักกว่าเดิม และละลายนานกว่าฤดูที่มันเคยเป็น

แปลว่าโลกอุ่นขึ้น ศัพท์คำว่า Global warming จึงถูกใช้มาเรื่อย

แต่พอสังเกตนานเข้าก็พบพื้นที่ ๆ ไม่ได้อุ่นขึ้น แต่กลับเย็นหนาวจนหิมะตก ทั้งที่ ๆ นั่นไม่เคยเจอหิมะมาก่อน

ทีนี้ ผู้คนก็เริ่มเห็นภาพของ สภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือ Climate Change

แต่น้อยคนจะตระหนักว่า เพดานฟ้าของขั้วโลกนั้น ต่ำกว่าเพดานฟ้าที่เขตอบอุ่น หรือพื้นที่สี่ฤดู

ส่วนเพดานฟ้าที่เขตศูนย์สูตรจะสูงกว่าที่อื่น ๆ ของโลก 

ดังนั้นในวันที่ขั้วโลกเหนือใต้อุ่นขึ้นแล้ว ถึง 5 องศาเซลเซียส คนในพื้นที่อื่นกลับไม่ค่อยรู้สึกตามไปด้วย

เพราะเพดานฟ้าของเขตตัวยังสูงมาก อะไร ๆ ยังเปลี่ยนแปลงไปน้อยเกินจะเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต

จากนั้น ก็มีภัยจากพายุรุนแรง แห้งแล้งยาวนาน น้ำท่วมหนัก และระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น กัดเซาะชายฝั่งรุนแรงขึ้น การเกษตรเสียหาย กระทบต่อรายได้ประชาชน เกิดโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ

แต่เราเรียกมันว่าภัยธรรมชาติเหมือนเดิม ไม่ทำให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อสิ่งนี้บ่อยขึ้นแต่อย่างไร

เราแก้ไขด้วยการพยายามพยากรณ์เตือนภัยล่วงหน้าให้ได้แม่นขึ้น จัดทีมกู้ภัยให้เร็วขึ้น

“เราถนัดจะแก้ที่ผล ไม่ใช่ที่เหตุ…”

ภายหลังมีคนลองขยับคำเรียกไปเป็น Climate Crisis หรือ วิกฤติสภาพภูมิอากาศ ที่จ๊าบหน่อยก็มีคำเรียกเพิ่มขึ้นว่า ภาวะโลกรวน ด้วยซ้ำ แล้วคำนั้นก็จางหายไป

จนกระทั่งกลางปี2023 เลขาธิการสหประชาชาติประกาศว่า ภาวะโลกร้อนได้ผ่านไปแล้ว บัดนี้เราได้มาพึงยุคภาวะโลกเดือด (Global Boiling) แล้ว

มีข่าวออกสื่อ แต่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงตอบสนองต่อคำนี้ที่ต่างไปจากคำเรียกสภาพการณ์ก่อนหน้านี้แต่อย่างไร

สปีดการแก้ไข ก็ดูจะเดิม ๆ

ส่วนมากเป็นการเอ่ยถึงปัญหา แล้วก็ทำแผนจุ๋ม ๆ จิ๋ม ๆ ซึ่งก็ไม่ได้จริงจังตั้งใจเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่

ในทางวิทยาศาสตร์ ก๊าซเรือนกระจกมีหลายอย่างมาก แต่ผู้ร้ายที่สำคัญ ๆ ที่เราท่านพอจะมีส่วนร่วมในการลดมันลงได้ ได้แก่...

อันดับ 1 ไม่ใช่เพราะมันร้ายกาจพิเศษ แต่เพราะสะสมในชั้นบรรยากาศโลกเยอะมากที่สุด คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (จากการเผาไหม้ทุกชนิด) อันนี้เป็นก๊าซที่เราท่านรู้จักค่อนข้างดี

อันดับ 2 คือ ก๊าซมีเทน มีเทนเป็นส่วนประกอบหลักของก๊าซชีวภาพ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน ของซากพืช ซากสัตว์ที่ทับถมมาเป็นเวลานาน การปศุสัตว์ ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับของก๊าซีเทนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องเช่น วัว ควาย ที่เป็นสัตว์กินหญ้า เกิดก๊าซมีเทน และปล่อยออกมาด้วยการเรอ ก๊าซมีเทนนี้ มีพลังในการเป็นผู้กักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศที่ร้ายกาจสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่าตัว มันมีอายุอยู่ในชั้นบรรยากาศได้ราว 12 ปี

และบัดนี้ น้ำแข็งที่ทับบนแผ่นดินแคนาดาและไซบีเรีย รัสเซีย ซึ่งทับซากพืชซากสัตว์มาตั้งแต่หลายแสนหลายล้านปีเริ่มละลายออกมาอย่างน่าตกใจ ได้ปลดปล่อยทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทนจากใต้ดินชั้นน้ำแข็งที่เราเคยรู้จักในนามชั้นดิน Permafrost ขึ้นไปในชั้นบรรยากาศทุกฤดูร้อน

ก๊าซเรือนกระจก 2 รายการข้างต้น จึงเติมขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกทาง

และเป็นที่ทราบว่า Permafrost นี้กักเก็บก๊าซทั้งสองนี้ไว้มากเสียยิ่งกว่าที่มี ๆ อยู่จนเป็นปัญหาในชั้นบรรยากาศอยู่แล้ว

แปลว่า ยิ่งเร่งและยิ่งเพิ่มก๊าซเรือนกระจกขึ้นไปทำให้โลกร้อนมากขึ้นอีก

ส่วนอันดับ 3 ก๊าซไนตรัสออกไซด์ ซึ่งมนุษย์มักใช้ในเวลาผ่าตัด เวลาทำฟัน เพื่อให้มีอาการชา จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดชั่วคราว ไนตรัสออกไซด์นี้เกิดจากภาคเกษตรกรรมถึง 65% เพราะใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ส่วนภาคอุตสาหกรรม ก็เป็นผู้ปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ราว 20% จากการผลิตพลาสติกบางกลุ่ม การผลิตเส้นไนลอน การผลิตกรดกำมะถัน การชุบโลหะ การทำวัตถุระเบิด และการผลิตไบโอดีเซล !!

ไนตรัสออกไซด์มีอายุในชั้นบรรยากาศได้ราวร้อยปี ดีที่ว่า ไนตรัสออกไซด์สะสมในชั้นบรรยากาศยังไม่มาก แต่ที่เราพึงต้องระวังเพราะมันสามารถส่งผลต่อภาวะโลกร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีปริมาณเดียวกันได้ถึง 265 เท่านี่แหละ

ไนตรัสออกไซด์จึงนับเป็นผู้ร้ายลำดับ 3 ที่เราต้องรู้ไว้ เพราะถ้ามันลอยไปสะสมในชั้นบรรยากาศมาก มันจะพาเราพังได้เร็วกว่าคาร์บอนไดออกไซด์มาก

ทีนี้เหลืออีกตัวการภาวะโลกร้อนจากภาคอุตสาหกรรมแท้ ๆ ได้แก่ พวกสาร CFC ซึ่งอยู่ในสารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นมายาวนานจนเพิ่งถูกเลิกใช้ไปเมื่อไม่นานมานี้ ตามพิธีสารมอนทรีออล แต่สารประกอบหมวดนี้ของ CFC มีอายุยืนได้นับร้อยปีจนถึงสามพันปี !!

CFC ก่อให้เกิดรูโหว่ในชั้นโอโซนทำให้รังสียูวีของดวงอาทิตย์ทะลุลงมาก่อมะเร็งผิวหนัง

ดังนั้น เท่าที่ปล่อย ๆ ไปก็นับว่าเพียงพอจะไปทำลายความสมดุลมากพอควรแล้ว และมันจะยังคงทำลายต่อไปตราบที่มันยังไม่เสื่อมสลายไปเองตามอายุของมัน

มีคนเคยถามเหมือนกันว่า แล้วทำไมคาร์บอนมอนอกไซด์ ไม่ติดท็อป 5 ของผู้ร้ายในเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งที่ยานยนต์ทุกคัน ในเกือบร้อยปีที่ผ่านมาทั่วโลก ต่างก็ปลดปล่อยมาโดยตลอดมิใช่หรือ?

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า แม้คาร์บอนมอนอกไซด์จะอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์มาก ๆ ตอนที่มันออกมาจากท่อไอเสีย แต่พอมันเจอชั้นบรรยากาศในธรรมชาติ ออกซิเจนจะค่อย ๆ เข้าไปผสมเอง และผลคือมันจะสลายเองในเวลาไม่กี่เดือน

มันจึงไม่ทันได้แสดงฤทธิ์มากนักต่อภาวะเรือนกระจกอย่างก๊าซอื่นที่มีช่วงชีวิตยาวนานมาก ๆ ที่ติดท็อป 4 ข้างต้นของข้อเขียนนี้

‘อ.เจษฎ์’ ชี้!! ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ คือกรอบใหญ่ที่พรรคก้าวไกลใช้ล้มล้างสถาบัน

จากรายการ ‘เข้มข่าวใหญ่’ ช่อง PPTV HD 36 ออกอากาศเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 67 รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อาจารย์คณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีแก๊งทะลุวังป่วนขบวนเสด็จ และปฏิกิริยาของพรรคก้าวไกลต่อกรณีนี้

โดยบางช่วงบางตอน รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวว่า “แต่ละคนถือจิ๊กซอว์ และมีคนจำนวนหนึ่งทำกรอบไว้ให้ สังเกตเวลาเราต่อจิ๊กซอว์ ภาพมันจะไม่สมบูรณ์ ถ้ามันไม่มีกรอบ…”

เหตุการณ์แก๊งทะลุวังป่วนขบวนเสด็จ คำแถลงของพรรคก้าวไกล หรือสิ่งที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้ออกมาพูด ล้วนแล้วแต่เป็น ‘จิ๊กซอว์’ ชิ้นเล็ก ๆ ในความหมายของ รศ.ดร.เจษฎ์

รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวเพิ่มว่า ทั้งหมดนี้ได้ร่วมกันทำกรอบไว้แล้ว เป็นคำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญกล่าวไว้ นั่นคือ ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ ทุกสิ่งที่ทำ ที่เกิดขึ้น เช่น การพยายามเข้าหาขบวนเสด็จ แล้วพรรคก้าวไกลก็เรียงหน้ากันออกมา ร้อยเรียงถ้อยวาจา อ้างเสรีภาพอย่างนั้น อย่าล่าแม่หมดอย่างนี้ แต่ทั้งหมดนี้ร้อยเรียงกันแล้วแปลว่า ท่านไม่ได้ปราบบรรดาคนของท่าน แต่ท่านกำลังข่มขู่สังคม”

นอกจากนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ยังได้หยิบยกถ้อยคำของนายทักษิณ ชินวัตร ที่พูดไว้เมื่อครั้งที่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง และเพื่อไทยพ่ายแพ้พรรคก้าวไกล ระบุว่า “คุณทักษิณกล่าวว่า ก้าวไกลใช้สิ่งที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI แล้วทำปฏิบัติการข้อมูล หรือ IO นี่คืออาวุธของพรรคก้าวไกลในทุกวันนี้”

‘สาว’ ไม่ทน!! โร่แจ้งความ ‘ลิงลพบุรี’ หลังชิงถุงของกิน แถมเสียหลักล้มจนสะโพก-เข่าหลุด เตือน!! ปชช.ให้ระวัง

(8 มี.ค.67) จากกรณีเพจ ‘จ่าไอซ์ ทัพฟ้า’ โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า “ลิงลพบุรีสุดท้ายก็เกิดกับครอบครัวผมทั้งที่ระวังสุดๆ แล้ว “ลิงตัวใหญ่กระชากของจากมือจนล้มลงสะโพกกับเข่าน่าจะหลุด” จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์นั้น

ทางผู้สื่อข่าวได้เข้าพบ น.ส.อริย์กันตา หรืออ้อม กาญจนสินเมธา อายุ 37 ปี ชาวบ้านตำบลถนนใหญ่ อำเภอเมืองลพบุรี ที่มาขายของตลาดนัดคนเดินสวนราชานุสรณ์ผู้ที่ถูกลิงทำร้ายช่วงค่ำของวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงหัวค่ำก่อนกลับบ้านได้เดินไปซื้อกับข้าว ขณะที่หิ้วของเดินกลับมาที่รถได้ถูกกระแทกกระชากอย่างแรง แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไรก็มีเสียงร้องโวยวายจากชาวบ้านว่าถูกลิงตัวใหญ่ 2 ตัวเข้ามากระชากถุงของกินกับข้าวและได้ยื้อแย่งของกินจนล้มกระแทกได้รับบาดเจ็บ จนทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ ได้มาช่วยนำส่งโรงพยาบาล

ทางนายประดิษฐ์ เกลี้ยงเกลา อายุ 66 ปี ได้เปิดเผยว่า เห็นลิงลพบุรีมาตั้งแต่เกิดและเห็นเหตุการณ์ได้เข้าไปช่วยไล่ลิง เล่าว่าเมื่อก่อนมันไม่เป็นเช่นนี้ลิงน่ารักไม่มากมายขนาดนี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด เกิดขึ้นมานานนับไม่ถ้วนแทบทุกวันยิ่งที่มีตลาดนัดคนเดินลิงที่อาศัยอยู่ตามตึกกลางเมืองลพบุรีหลายร้อยตัวจะออกมาจ้องมองตามมุมตึกต่าง ๆ โดยอาศัยจังหวะที่คนเดินถือของกินเพลินๆ ก็จะกรูกันออกมาแย่งชิง จนเป็นเรื่องชินตา ครั้งนี้ก้าวร้าวมากคงเป็นจ่าฝูงตัวใหญ่ 2 กลุ่มที่เข้ามาแย่งกระชากจนน้องล้มบาดเจ็บ ซึ่งตนเองมองว่าคงไม่มีหน่วยงานใดทำให้ลิงลดน้อยถอยลงได้เพราะว่าแม่ลิงบางตัวอุ้มลูกน้อย 2-3 ตัว และก็ผสมพันธุ์กันออกลูกทุกวัน เจ้าหน้าที่ฯ ที่เข้ามาจับกรงใหญ่จับลิงได้แค่เพียง 2-3 ตัวจะไปลดลงได้อย่างไร โดยเรื่องนี้ถึงอดีตนายกรัฐมนตรีมาหลายคนและคนปัจจุบันก็รับปากว่าจะช่วยเหลือก็ได้แต่คอยครับ

ทางวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างข้างจุดเกิดเหตุ เล่าว่า เดี๋ยวนี้ลิงฉลาดมากไม่ได้นั่งดักรอคนตามทาง ตามซอกตึกแล้ว มันจะคอยซุ่มอยู่ใต้ท้องรถยนต์คอยวิ่งแย่งของกินจากทางด้านหลัง ส่วนวันธรรมดาที่ไม่มีตลาดนัดลิงจะอาศัยช่วงตอนเย็นแย่งของกินจากนักเรียนที่เดินอยู่ริมฟุตบาท ทุกวันลิงบริเวณนี้จะลงจากตึกมาหาของกันกินตั้งแต่เช้ามืดจนถึง 8 โมงเช้าแล้ว จะกลับไปหาหลบนอนกันที่ร่มเย็นบนตึกพอเวลาประมาณ 4 โมงเย็นช่วงนักเรียนเลิกเรียนจะออกมาหากินแย่งของกินจากเด็กนักเรียน ชาวบ้าน คนต่างถิ่น ที่จะเป็นอาหารพวกเครื่องดื่มที่เดินถือมาไม่ระวังตัว

ด้านแม่ค้าขายลอตเตอรี่ที่คลุกคลีอยู่กับลิงกลุ่มคนรักลิงลพบุรี เล่าว่า ทำไงได้ลิงเขามาอยู่ลพบุรีก่อนคนเมือง โดยที่ไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบใด ๆ เข้ามาบริหารจัดการดำเนินการแต่เนิ่น ๆ จนลิงแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม จนเกิดปัญหารบกวนชาวบ้านร้านค้า ซึ่งต้องปิดตัวลง ขายกิจการหนีลิงไปหลายราย แต่ตนมองว่าลิงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไม่ใช่ปัญหาสำคัญอย่างหลายคนอ้าง ที่สำคัญคือหลายร้านหมดสัญญาการเช่าตึกต่างหาก จากเจ้าของขอขึ้นค่าเช่าเพราะจุดที่ลิงอยู่จำนวนมากเช่นหน้าปรางค์สามยอดเขาย้ายออกไปเพราะลิงเยอะจริง แต่เจ้าของตึกเจ้าของร้านจะมาขอขึ้นค่าเช่าจากจุดบริเวณนี้จนเขาทนไม่ไหวต่างหาก ไม่ใช่เพราะลิง เป็นเพราะค่าเช่าที่แพงลิ่วเขารับไม่ไหวย้ายหนี จนดูเหมือนเมืองร้างไป และลิงที่ตรงนี้ไม่ได้ก้าวร้าวทุกตัวขายของตรงนี้มานานกว่า 20 ปี ไม่เคยถูกลิงทำร้ายแม้แต่ครั้งเดียวจากนั้น ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปบ้าน น้องอ้อม ผู้บาดเจ็บจากลิงที่เพิ่งเดินทางกลับมาจาก รพ.พระนารายณ์มหาราช  กล่าวว่า ตกใจมากไม่คิดว่าจะเกิดกับตนเอง เพราะระมัดระวังอย่างดี ครอบครัวมาขายเสื้อผ้าตลาดนัดคนเดินแทบทุกนัด ก่อนกลับบ้านเดินไปซื้อของกิน ขนม ส้มตำ เมื่อฝ่าความมืดมาจะถึงรถที่น้องชายจอดรอ ตนเองคล้ายถูกกระแทก กระชาก คิดว่าถูกชิงทรัพย์ แต่ที่ไหนได้ลิงตัวใหญ่ 2 ตัว รุมกระชากของกิน ซึ่งดูมีพละกำลังมากจนตนเองล้มไม่เป็นท่า ก่อนที่หลายคนจะเข้ามาช่วยเหลือ โดยลิงอาศัยจังหวะความเร็วแย่งของกินไปจนหมดทุกห่อ ก่อนที่กู้ภัยฯ จะเข้ามาช่วยเหลือส่ง รพ.

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าต่อไปจะทำอย่างไร และมีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง น้องอ้อม น้องไอซ์ ซึ่งเป็นน้องชายและเป็นคนโพสต์ลงโซเชียล กล่าวว่า ต่อก็ต้องระวังตัวกันมากขึ้นทุกคน ความก้าวร้าวของลิงจุดนี้นับวันยิ่งอันตราย อยากจะไปแจ้งความไว้เพื่อเป็นหลักฐานแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นแจ้งอย่างไรเพราะเขาเป็นลิง ส่วนความรับผิดชอบไม่ต้องพูดถึงไม่รู้ว่าจะไปร้องเรียกเอาผิด เอาความกับใคร จึงอยากจะฝากเตือนพี่น้องประชาชนคนเดินตลาดนัดวันพุธและทุก ๆ วันให้ระมัดระวังการแย่งชิงของกินจากลิง ที่นับวันยิ่งดุร้าย ก้าวร้าวมากขึ้น อาจเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุ ประกอบกับเขาหิวโซเพราะไม่มีจุดให้อาหาร เขาก็ต้องออกมาหากิน ส่วนตัวเองต้องพักรักษาตัวไปก่อนตามหมอสั่งอีก 15 วัน

ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘จ่าไอซ์ ทัพฟ้า’ โพสต์ข้อความระบุว่า “นี่เรามาถึงจุดที่ต้องแจ้งความลิงกันแล้วเหรอเนี่ย โถชีวิต”

‘พีระพันธุ์’ เข้ม!! กฟผ. ร้อนนี้ไฟฟ้าห้ามดับ พร้อมรณรงค์ชวนคนไทยร่วมยึดหลัก 5 ป.

8 มี.ค. 67 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ ได้มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี 2567 เมื่อเวลา 19.47 น. ที่ 32,704 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างเร็วเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากฤดูร้อนที่เริ่มต้นเร็วกว่าปกติ และคาดว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยอาจจะสูงถึง 45 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้มีการใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้เกิด Peak เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2566 เวลา 21.41 น. ที่ 34,826 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตรวจสอบและดูแลระบบการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม เพื่อมิให้กระทบต่อประชาชนและการดำเนินธุรกิจ

นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานได้เตรียมออกนโยบาย 5 ป. ได้แก่ ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน ปลูก ซึ่งประกอบด้วย…

1. ปิด : การปิดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งาน
2. ปรับ : ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 26 องศา
3. ปลด : ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งหลังการใช้งาน
4. เปลี่ยน : หากมีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากเบอร์ 5
5. ปลูก : ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน

“ผมได้สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เตรียมความพร้อมในการดูแลเรื่องการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานในทุกภาคส่วน และจะต้องไม่มีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเกิดขึ้น

ในปีนี้ คาดว่าอุณหภูมิจะร้อนมากกว่าปีที่แล้ว จึงขอความร่วมมือให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าผ่านนโยบาย 5 ป. เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าลง ซึ่งนอกจากจะสามารถลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าในภาพรวมได้แล้ว ยังสามารถลดค่าไฟฟ้าของประชาชนได้อีกด้วย

และในช่วงหน้าร้อนนี้ ขอเชิญชวนให้ทุกบ้านล้างแอร์ เพื่อให้แอร์สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ก็จะสามารถลดค่าไฟไปได้อีกทาง” นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘อัครเดช’ ดักคอ ‘ฝ่ายค้าน’ อภิปรายทั่วไป ‘2 วันพอ-ขอสาระ’ มั่นใจ!! ‘รมต.รทสช.’ ทุกคน ไม่หวั่นถูกจี้ ผลงานชัด พร้อมชี้แจง

(8 มี.ค.67) ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยว่า การยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ของพรรคฝ่ายค้าน น่าจะยื่นเข้ามาวันที่ 3-4 เมษายน 2567 ที่จะถึงนี้ ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ถ้าเป็นตามนี้ น่าจะใช้เวลาอภิปรายเพียงแค่ 2 วัน น่าจะเพียงพอ เนื่องจากรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศได้ 6 เดือน และยังไม่สามารถใช้งบประมาณปี 2567 เลย เพราะยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภาฯ ในวาระ 2 - 3

ทั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดี ฝ่ายค้านจะได้ใช้เวทีของสภาฯ ชี้แนะและสอบถามการทำงานของรัฐบาล ทั้งการบริหารจัดการงบประมาณ และการบริหารประเทศ สิ่งสำคัญขอร้องให้ฝ่ายค้านนำเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จริงๆ มาอภิปราย ไม่ต้องมาดรามากลางสภาฯ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ชี้แนะได้แนะนำรัฐบาลได้ ในมุมมองของฝ่ายค้าน แต่ต้องไม่ดรามา ถึงจะเกิดประโยชน์กับประชาชน

เมื่อถามว่า ในส่วนของ รัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติอาจถูกอภิปรายด้วยกังวลหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ไม่ได้กังวล เนื่องจากการทำงานของรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ ทุกท่านได้ทำงานอย่างเต็มที่และมีผลงาน อีกทั้งรัฐมนตรีทุกท่านของพรรค พร้อมที่จะชี้แจงหากมีการอภิปรายพาดพิงถึงกระทรวงที่รับผิดชอบ และจะได้ถือโอกาสชี้แจงผลงานที่ทำมาในช่วงเวลา 6 เดือนด้วย

เมื่อถามว่า กระทรวงพลังงานอาจจะตกเป็นเป้าหมายในการอภิปรายของฝ่ายค้านด้วย โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ไม่น่าเป็นห่วง รัฐมนตรีของพรรคทำงานอย่างเต็มที่ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา สังคมก็รับรู้อยู่แล้ว มั่นใจว่าจะตอบข้อซักถามของฝ่ายค้านในสภาฯได้อย่างแน่นอน เพราะการอภิปรายครั้งนี้ เป็นการอภิปรายทั่วไป จึงจำเป็นต้องซักถามถึงข้อสงสัยต่างๆ ที่ยังไม่เข้าใจ

"ที่ผมบอกว่าให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายในเนื้อหาสาระตรงประเด็นเท่านั้น อย่าเสียเวลาไปดรามาในสภา เนื่องจากเป็นห่วงว่า จะใช้เวลาของสภาฯ เสียเปล่า ที่มีข่าวว่าวิปฝ่ายค้านจะขอเวลาอภิปรายถึง 3 วัน คิดว่าเวลา 2 วันในการอภิปรายสอบถาม และรัฐบาลชี้แจงก็เพียงพอ จึงขอให้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ และมีค่ามากที่สุด อีกทั้งการขอเปิดอภิปรายครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอีกด้วย" โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว

‘อ.ไชยันต์’ กล่าวถึง ‘ศ.ดร.สมบัติ จันทรวงศ์’ คนแรกที่สะดุดตา ปม ‘ผู้สำเร็จราชการฯ’

จากจุดเริ่มต้นในการทำวิจัยเรื่อง ‘การเมืองในรัชสมัย ร.9’ เพื่อบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วง 70 ปีแห่งการครองราชย์ ทำให้ อาจารย์ไชยันต์ กับ คณะต้องสำรวจวรรณกรรมเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เมื่อปี 2560 ณ ห้อง 102 อาคาร 2 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ถูกใช้เป็นประชุม-อ่านหนังสือของ 3 นักวิจัย ประกอบด้วย ศ.ดร.ไชยันต์, ศ.ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ และ รศ.ดร.ศุภมิตร ปิติพัฒน์ รวมถึงผู้ช่วยวิจัย

ในระหว่างที่นั่งอ่านหนังสือด้วยกัน ศาสตราจารย์ผู้มีอาวุโสสูงสุดด้วยวัย 70 ปีเศษ ต้องสะดุดตา-สะดุดใจกับข้อความ 6 บรรทัดที่ปรากฏในหน้า 124 ของหนังสือ ‘ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ’ เขียนโดย ผศ.ดร. ณัฐพล ใจจริง (สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน, 2556)

ข้อความตอนหนึ่งระบุว่า…

“ผู้สำเร็จราชการฯ ได้เสด็จเข้ามานั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ประหนึ่งกษัตริย์เป็นประธานประชุมคณะเสนาบดีในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์...”

ศ.ดร.ไชยันต์ กล่าวในครั้งนั้นว่า “อาจารย์สมบัติเป็นคนปิ๊ง ท่านก็สงสัย มันไม่น่า ในฐานะที่ท่านอายุเยอะ ท่านไม่เคยได้ยิน พอไม่เคยได้ยิน ผมก็เลยมีหน้าที่ต้องรับไปสืบค้น” 

และจากวันนั้นถึงวันนี้ก็นำมาสู่ปฏิบัติการพิสูจน์ความจริง-สืบสาวความผิดพลาด ดังที่ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าสื่อในปัจจุบัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top