Tuesday, 20 May 2025
นายหัวไทร

‘ทนายเชาร์’ ขย่ม ‘เฉลิมชัย’ รักพรรคจริงเลิกกินรวบ  เสนองดใช้ข้อบังคับพรรค เลิกใช้สัดส่วน 70 % ของ ส.ส.ชี้ขาดใครนั่ง หน.พรรค 

อีกรอบแล้วที่เชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (Chao Meekhuad ) หัวเรื่อง "1 เสียง 1 โหวต ทางออก ฟื้น ปชป. " อันเป็นข้อเสนอที่แหลมคมยิ่ง หวังให้เป็นทางออกจากวิกฤติของประชาธิปัตย์ และทิ่มแทงตรงๆไปยัง “ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน”อดีตเลขาธิการพรรค ที่ถูกมองว่า แม้นจะประกาศเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต หากประชาธิปัตย์ได้น้อยกว่าเดิม แต่เงาดำทมึนยังคลุมงำประชาธิปัตย์อยู่

การเลือกตั้งปี 2562 ประชาธิปัตย์เริ่มปรากฏชัดถึงความถดถอย ได้ ส.ส.มาแค่ 52 ที่นั่ง จากเดิมที่เคยได้เป็น 100 เริ่มถดถอยในช่วงที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”เป็นหัวหน้าพรรค และมี “จุติ ไกรฤกษ์” เป็นเลขาธิการพรรค อันเกิดจากสารพัดปัญหารุมเร้า โดยเฉพาะการชุมชุมของกลุ่ม นปช.จนไม่มีเวลามาบริหารราชการแผ่นดิน และอภิสิทธิ์ ต้องหอบหิ้วตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหนีม็อบครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด 

เฉลิมชัยก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในยุค “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” การเลือกตั้งปี 2566 เฉลิมชัยลั่นวาจาครั้งแล้วครั้งล่าว ถ้าประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.น้อยกว่าเดิม จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต วันนั้นมาถึงแล้ว ประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.มาเพียง 25 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา “เฉลิมชัย”จึงน่าจะวางมือทางการเมือง และจัดวางตัวเองให้เป็นอาจารย์ใหญ่ เหมือน “เนวิน ชิดชอบ” ผู้อยู่เบื้องหลังภูมิใจไทย

เชาร์ระบุว่า พรรคประชาะปัตย์ มีกำหนดประชุมใหญ่ วาระสำคัญคือการเลือกผู้บริหารชุดใหม่ มาแทนชุดเดิม ที่พ้นตำแหน่งไป จากการลาออกของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เพื่อรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในคราวนี้ แตกต่างไปจากอดีตที่เคยมีมา แทบจะไม่มีใครเสนอตัวออกมาชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเลย ยกเว้น นายอลงกรณ์ พลบุตร สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนในพรรครู้ดีแก่ใจว่า ตำแหน่งหัวหน้าพรรค รวมถึงผู้บริหารทั้งหมด ในตอนนี้ อยู่ในอาณัติของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรคฯ ที่กุมเสียง สส.ในมือราว 20 คน จากทั้งหมด 25 คน สั่งให้ใครเป็นหัวหน้าพรรคคนนั้นก็จะได้เป็น 

เชาร์ อธิบายว่า เนื่องจากข้อบังคับพรรคให้น้ำหนัก ส.ส.เป็นสัดส่วนถึง 70 % ขององค์ประชุมที่ประชุมใหญ่ในการลงคะแนน ข้อบังคับพรรคไม่ได้ผิดอะไร ที่ให้ความสำคัญกับ ส.ส.ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน แต่ในอดีตก็มีการแก้ไขสัดส่วนคะแนนเสียง ส.ส. มาตลอดเพื่อให้สมดุลเข้ากับสถานการณ์แต่ละยุค ซึ่งตอนแก้ข้อบังคับเมื่อปี 61 ก่อนหน้านี้พรรคมีส.ส.เกินหลักร้อยมาตลอด และใครก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะตกต่ำเหลือแค่ 25 คนในยามนี้ จากพรรคขนาดใหญ่ กลายเป็นพรรคขนาดกลาง และกำลังเป็นพรรคขนาดเล็ก ถือเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จึงไม่สมควรที่จะให้ส.ส. 25 คน มากุมชะตากรรมพรรคเพียงลำพัง 

เชาร์เสนอให้ที่ประชุมใหญ่ลงมติสามในห้าขององค์ประชุมของที่ประชุมใหญ่ให้ยกเว้นข้อบังคับข้อ 87 (1),(2) ที่ให้ถือเกณฑ์คำนวณคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสัดส่วน สส. 70 % และสมาชิกอื่นที่เป็นองค์ประชุม 30 % เสีย โดยให้ใช้เสียงข้างมากของผู้ลงคะแนนเสียง เพื่อให้ทุกคะแนนเสียงขององค์ประชุมที่ประชุมใหญ่ มีหนึ่งเสียง หนึ่งโหวตเท่ากันในการกำหนดชะตาครั้งสำคัญของพรรค

"ถ้ารักพรรคจริง ต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมตัดสิน ไม่ใช่ใช้ข้อได้เปรียบจากข้อบังคับพรรคมาจ้องกินรวบพรรคอย่างที่เป็นอยู่ คนชอบพูดว่าผมเป็นคนของนายกฯอภิสิทธิ์ ผมไม่ปฏิเสธว่าเคารพรักท่าน แต่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคสำหรับผม จะชื่ออะไรก็ได้ สำคัญที่คน ๆ นั้น ต้องมีบารมี มีเจตจำนงค์ทำ พรรคให้เป็นพรรค ไม่ใช่คิดแต่ใช้พรรคเป็นบันไดในการแสวงหาอำนาจ เรามีบทเรียนมามากพอแล้วกับการละทิ้งคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน”

เชาร์ย้ำว่า ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่เปราะบาง ประชาธิปัตย์ต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลักให้กับบ้านเมือง ส่วนจะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ ชี้วัดกันที่การเลือกหัวหน้าพรรควันที่ 9 ก.ค. ที่ผมยืนยันว่า ต้องยกเว้นข้อบังคับ เลิกสัดส่วน 70 % ของสส. เป็นให้ทุกคะแนนมีค่าเท่ากัน 

อย่างที่เชาร์กล่าวไว้ ทำไมการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ครั้งคราวนี้ถึงเงียบเชียบ ที่ปรากฏตัวชัดแล้วมีแค่ “อลงกรณ์ พลบุตร” รองหัวหน้าพรรค 4 สมัย และ 30 ปี ยึดมั่นอยู่กับอุดมการณ์ประชาธิปัตย์ไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะแพ้การเลือกตั้งชิงหัวหน้าพรรค ที่บางคนพอแพ้ก็ทิ้งพรรคไป ไม่ว่าจะเป็น “หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม” ออกไปตั้งพรรคไทยภักดี พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ออกไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ กรณ์ จาติกวณิชย์ ออกไปตั้งพรรคกล้า 

หันซ้ายมองขวาในประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นคนเก่า หรือคนใหม่ ยังไม่เห็นใครว่าจะนำพาพรรคประชาธิปัตย์กลับไปยืนอยู่แถวหน้าได้ แต่พอจะเห็นเค้าอยู่บ้างสำหรับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แม้ว่าจะไม่ใหม่นัก แต่ไม่เก่าจนเกินไป และเป็นคนมีบารมี มีอุดมการณ์ประชาธิปัตย์ และมีจุดยืนชัดเจน และแม้จะลาออกจาก ส.ส.คราวนั้น ก็ยังเป็นสมาชิกประชาธิปัตย์อยู่ และเชื่อว่า ถ้าอภิสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็จะมีแรงสนับสนุนจาก “ชวน หลีกภัย”บัญญัติ บรรทัดฐาน-นิพนธ์ บุญญามณี” รวมถึงโหวตเตอร์สายอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี ประธานสาขา และตัวแทนพรรคอยู่ไม่น้อย ยิ่งถ้ายกเว้นข้อบังคับตามข้อเสนอของทนายเชาร์ โหวตเตอร์สาย ส.ส.อาจจะเหวี่ยงหลุดแห มาทางอภิสิทธิ์บ้างก็ได้

แม้บนบกจะดูคลื่นลมเงียบสงบ แต่เชื่อว่าใต้น้ำ ประชาธิปัตย์กำลังเกิดภาวะน้ำวน มีการเคลื่อนไหวที่พอเห็นร่องรอยอยู่บ้าง

‘เชาว์’ สะกิตใจสมาชิก ‘ปชป.’ ร่วมปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่  ลั่น!! ถึงเวลา ‘ถอย’ เพื่อ ‘ถอด’ บทเรียน และก้าวไปข้างหน้า

‘สัจจัง เว อัมตะ วาจา’... วาจาจริงเป็นสิ่งไม่ตาย นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกรัฐบาล ได้หยิบยกเอาคำขวัญของพรรคประชาธิปัตย์มาสะท้อนการเมืองภายในพรรคประชาธิปัตย์ในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านจากยุคตกต่ำที่สุดที่คณะกรรมการบริหารพรรค คนของพรรคจะต้องรักษาคำพูด รับผิดชอบต่อคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน โดยได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก เป็นเครื่องสะกิดเตือนในชาวประชาธิปัตย์ไว้อย่างน่าสนใจยิ่งเรื่อง ถึงชาวพรรคประชาธิปัตย์ ได้เวลาถอยเพื่อถอดบทเรียน มีเนื้อหาระบุว่า…

ตนเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ในฐานะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางวิกฤติความตกต่ำของพรรคอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน กระทั่งการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาพรรคได้ ส.ส.มาเพียง 25 คน จนนำไปสู่การ แสดงความรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้งด้วยการลาออก จากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรค ต้องพ้นตำแหน่งไปโดยปริยายด้วย

“ผมเชื่อว่าหลายคน ทั้งที่เป็นสมาชิกพรรคและไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค คงจับตาดูว่า ก้าวต่อไปของประชาธิปัตย์จะเดินไปทิศทางไหน เพราะ 78 ปี บนเส้นทางการเมือง และการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านมรสุมมาหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่รุนแรงเท่านี้ เพราะต้องยอมรับความจริงว่า ความตกต่ำของพรรคที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องถูกดิสรัปจากการสื่อสารสมัยใหม่ ที่ถูกนำมาใช้ในทางการเมืองเท่านั้น อุดมการณ์การเมือง ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่สุดของพรรคก็ถูกตั้งคำถามอย่างมาก นับจากที่ประชุมพรรคตัดสินใจมีมติร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สวนทางกับคำมั่นที่อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ไว้กับประชาชน จนท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออกจาก ส.ส.เพื่อรักษาจุดยืนทางการเมือง

ผมยังจำคำพูดวันนั้นของท่านอภิสิทธิ์ได้ดี ท่านบอกว่า “ยิ่งใหญ่กว่ามติพรรค คือ สัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ” ท่านบอกด้วยว่า ในวันนั้นท่านเหลือทางเดียวที่จะรักษาเกียรติภูมิไม่เฉพาะตัวเอง แต่เป็นเกียรติภูมิของตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่มีคำขวัญว่า สจฺ จํ เว อมตา วาจา ที่จะต้องรักษาคำพูด และรับผิดชอบกับคำพูดที่กล่าวไว้กับพี่น้องประชาชน” นายเชาว์ ระบุ

อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุต่อไปว่า ที่เท้าความไปไกล เพื่อตอกย้ำว่า ถึงเวลาที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของพรรค เราไม่เหมือนพรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาแล้วก็ดับสูญไปตามตัวบุคคล แต่ประชาธิปัตย์ เป็นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา เป็นที่พักพิงให้ประชาชนมาเนิ่นนาน เราจะกลับไปอยู่ในจุดที่ประชาชนศรัทธาไว้วางใจอีกครั้งได้อย่างไร ในสถานการณ์ ที่เรากำลังขาดบุคลากรที่โดดเด่น บวกกับสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนไป จำเป็นต้องเฟ้นหาผู้นำทางที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ ที่สำคัญต้องมากบารมี บททดสอบนี้จึงไม่ใช่แค่ ส.ส.เท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของพรรค ซึ่งผมทราบมาว่า วันที่ 21 มิถุนายนนี้ กรรมการบริหารพรรคจะมีประชุมเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งผู้บริหารชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 9 กรกฎาคม 2566

“น่าแปลกใจที่ทั้งพรรคเต็มไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีการเปิดตัวผู้อาสามาเป็นหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรคคนใหม่ ไม่มีการรณรงค์หาเสียงเหมือนอดีตที่ผ่านมาที่เราเคยเป็นต้นแบบระบบประชาธิปไตยภายในพรรค มีการแข่งขันกันอย่างเสรีเหมือนทุกครั้ง แต่กลับมีกระแสเล็ดลอดซุบซิบในในวงแคบ ๆ ว่า มีการ ล็อกสเปก บุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ไว้แล้ว โดยกลุ่มอดีตผู้บริหารที่กุมเสียงว่าที่ ส.ส.ชุดปัจจุบันได้กว่า 17 คน ซึ่งตามข้อบังคับพรรคจะให้น้ำหนักโหวต ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยมีเป้าต้องการที่จะร่วมรัฐบาล ตนทราบมาว่าหลายคนอึดอัดกับท่าที ที่กำลังเป็นอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ เพราะทุกคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเสมือนการปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่ เป็นการถอยเพื่อถอดบทเรียน รับฟังเสียงจากสมาชิกส่วนใหญ่ให้มีส่วนร่วมด้วย ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ควรกระทำ เพราะถ้าหวังร่วมรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจรักษาจุดยืนของพรรค การเลือกตั้งครั้งต่อไปเราอาจจะไม่มีที่ยืนในสภาฯ แม้แต่ที่เดียว” นายเชาว์ ระบุทิ้งท้าย

อุดมการณ์ 10 ข้อของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ใช้มาตั้งแต่ยุคก่อตั้งพรรคสมัยนายควง อภัยวงศ์ เมื่อ 78 ปีทีีผ่านมา ชาวประชาธิปัตย์ต้องหยิบขึ้นมาพิจารณาไตร่ตรอง โดยเฉพาะ 3 ข้อสำคัญ ต่อต้านเผด็จการ ไม่ทุจริตคอรัปชั่น และกระจายอำนาจ

การตัดสินใจโดยมติพรรคนำประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมถอยของประชาธิปัตย์หรือไม่ สังคมภายนอกมองว่า ‘กอดขาเผด็จการ ร่วมรัฐบาล’ โดยลืมวาจา ลืมคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน

ถ้าชาวประชาธิปัตย์ยอมรับความจริง สิ่งที่เชาร์นำเสนอมานั่นคือความจริง ถ้าชาวประชาธิปัตย์หวังจะนำพาพรรคให้ฟื้นกลับคืนมาเฟื้องฟูอีกครั้ง จะต้องนั่งลงตรึกตรอง สุมหัวคิดถอดบทเรียนจากอดีตที่ผ่านมา เพื่อหาทางออกร่วมกันภายใต้การมีส่วนร่วมของชาวประชาธิปัตย์ทั่วประเทศ ไม่ใช่สุมหัวคิด ล็อคสเปกผู้นำพรรคที่กระสันต์อย่างเป็นรัฐบาล โดยไม่ใส่ใจต่อสภาพของพรรค และอนาคตของพรรค เชื่อว่า ถ้าประชาธิปัตย์ยังเดินไปภายใต้การกุมบังเหียนของคนบางกลุ่มจากขั้วอำนาจเก่า ล็อคสเปกผู้นำพรรคตามที่เชาร์ให้ข้อมูลมา ยิ่งจะทำให้ประชาธิปัตย์ตกต่ำลงไปอีก และการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะเป็นพรรคต่ำสิบ และอนาคตจะไม่มีที่ยืน ไม่แตกต่างจากพรรคกิจสังคม พรรคความหวังใหม่ ที่เคยยิ่งใหญ่ แต่ถึงเวลาก็ดับสลายไป

แต่ความเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาธิปัตย์ ที่สืบทอดเจตนารมณ์-อุดมการณ์ของผู้ก่อตั้งพรรคมายาวนาน 78 ปี สภาพเช่นนั้นไม่ควรเกิดขึ้น เพียงแต่ชาวประชาธิปัตย์กล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมาประกาศจุดยืน แนวทางของพรรค และกล้าพอที่จะปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่หรือไม่ในสถานการณ์ที่ภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไป

วันนี้ประชาธิปัตย์ขาดบุคลากรที่ทรงคุณภาพที่จะเข้ามานำพาพรรค ถามว่าตำแหน่งหัวหน้าว่างมาเดือนกว่า จนถึงวันนี้มีใครกล้าลุกขึ้นมาประกาศตัวลงชิงหัวหน้าพรรคสักคนไหม ยังไม่เห็นมี มีแต่ข่าวลือว่า น่าจะเป็นคนนั้นคนนี้ลงชิง แต่ข้อเท็จจริง คือไม่มีใครเปิดตัวออกมาเลยแม้แต่คนเดียว เงียบสนิทอย่างที่เชาร์ว่าจริงๆ เหลือเวลาไม่ถึงเดือนจะเลือกหัวหน้าพรรคแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนประชาธิปไตยจะเบ่งบานสพลั่งเต็มหัวใจชาวประชาธิปัตย์ เดินสายพบปะ แสดงวิสัยทัศน์กับบรรดาโหวตเตอร์กับครึกโครม

สถานการณ์ที่เงียบงันของประชาธิปัตย์ ดูวิเวกวังเวงวิโหวเหวเหลือเกิน เศร้าสร้อย หดหู่ใจ เจ้าหน้าที่พรรคยังซุบซิบกันเลยว่า ถ้าคนนี้ลงสมัครเป็นฉัน ฉันก็ไม่เลือก และถ้าเขามาเราจะอยู่กันอย่างไร?

ร้องไห้เถิด ถ้าจะร้องเพื่อจะลุก ถอยเถอะ ถ้าจะถอยเพื่อทบทวน และก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างหาญกล้าและท้าทาย ถอยมาดับเครื่อง เช็คเครื่อง สตาร์ท เดินรถใหม่

เรื่อง : นายหัวไทร

อย่าเพิ่งทิ้งประเด็น ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย’ ระวัง ‘พีระพันธุ์-ลุงป้อม’ เสียบเงียบๆ

จนถึงวินาทีนี้ สังคมนอกวงจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีใครทราบว่า ตกลงตำแหน่งประธานสภา ที่จะต้องเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งนั้น เป็น ใคร เป็นโควต้าพรรคไทย ของก้าวไกล หรือเพื่อไทย

ภูมิธรรม เวชชยชัย เสี่ยอ้วน แห่งเพื่อไทย ไข่ข่าวเล่าแจ้งว่า จนถึงเวลานี้ยังอยู่ในจุดเดิม คือจุดที่เพื่อไทยยืนยัน เมื่อก้าวไกลได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายบริหารไปแล้ว กับจำนวน ส.ส.ในมือ 151 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง พรรคอันดับสอง จึงควรได้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ

แต่เพื่อความชัวร์ ก้าวไกลในฐานะพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ยืนยันว่า ประธานสภาต้องเป็นของก้าวไกล ชัวร์ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และการบรรจุระเบียบวาระสำคัญๆต่างๆของรัฐบาล

ที่จะต้องระวังเป็นที่สุด คือ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และคาดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็น ส.ส.แล้ว จะต้องมีคนไปร้องซ้ำ ให้ กกต.พิจารณาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของพิธาว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา ประธานสภา ถ้าเป็นของเพื่อไทยจะกล้าบรรจุวาระการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อของพิธาจ่อเข้าโหวตอยู่หรือไม่ เพื่อความชัวร์ก้าวไกล จึงต้องได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติด้วย

ที่ประชุมของคณะทำงานจัดตั้งรัฐบาลจบลงตรงที่ให้เพื่อไทย และก้าวไกล ไปหารือกันเอง ซึ่งเพื่อไทยก็ยืนยันในข้อเสนอเดิม ก้าวไกลรับไปพิจารณา แต่ไม่มีคำตอบกลับมายังเพื่อไทย “เงียบสนิท”

จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคณะหลอมรวม ไม่รู้มีข้อมลอินไซเดอร์มาจากไหน จึงออกมาฟันธงว่า “พิธา-อุ้งอิ้ง-เศรษฐา” ไม่มีใครได้เป็นนายกฯ ในสถานการณ์ที่พรรคร่วมยังคุยกันไม่ลงตัว
“จตุพร”ฟันธงด้วยว่า น่าจะมีประธานสภาปรองดอง จะชื่อ “สุชาติ ตันเจริญ” อดีตรองประธานสภา ซึ่งพ่อมดดำเป็นชื่อที่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนี้เพื่อความปรองดอง

ไม่มีใครปฏิเสธว่า สุชาติ เป็นผู้มากบารมี รู้จักนักการเมืองทั้งขั้วประชาธิปไตยและขั้วรัฐบาลเก่า แม้วันนี้ พ่อมดดำจะสังกัดเพื่อไทย แต่ก็มีลูกน้องเก่าอยู่ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย อยู่ไม่น้อย

ประเด็นอยู่ที่ว่า ไม่ว่าใครจะเป็นประธานสภา และบรรจุระเบียบวาระเลือกนายกรัฐมนตรี เข้าสู่การพิจารณา ในสถานการณ์ที่อะไรก็ยังไม่ลงตัว ก้าวไกล เสนอชื่อพิธา ชิงนายกรัฐมนตรี ส่วนซีกรัฐบาลเดิม เช่น พลังประชารัฐ เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคลงชิง หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค ลงแข่งด้วย ก็อาจจะมีเกมพลิกได้

เกมพลิก เพราะซีกรัฐบาลเดิมมีอยู่ 188 เสียง เมื่อบวกรวมกับ สว.250 เสียง ก็จะมีเสียงรวมกับ 438 เสียง หรือตัดไปสัก 50 เสียง ก็ยังมากพอที่จะชนะโหวตได้ และเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ขอให้ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน เชื่อว่า จะมี ส.ส.เลื้อยไหลเข้ามาเอง หรือด้วยแรงดูดมากินกล้วย ฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านเก่า แต่ป้อนกล้วย ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้กิน รัฐบาลเสียงข้างน้อยก็พอจะถูกไถไปได้

การเมืองไทยไม่มีอะไรแน่นอน อย่าได้ประมาทกับคำทำนายของจตุพร โดยเฉพาะประเด็นจะมีงูเห่าเลื้อยเพ่นพ่านเต็มสภา   

เข้าสู่โหมด ‘ด้อมส้ม’ ต้อง ‘ลุ้น’ เก้าอี้นายกฯ ของ ‘พิธา’  ต้องจับตาให้ดี งานนี้อาจจะไปจบที่ ‘ศาล’

หลังเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 จวบจนบัดนี้ก็ล่วงเลยมากว่า 1 เดือน บรรดาผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นส.ส. ก็ยังไม่มีใครได้รับการประกาศรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนทำให้บรรดา “ด้อมส้ม” พรรคก้าวไกล ซึ่งกวาดส.ส.เข้ามาเป็นอันดับที่ 1 ต้องออกมายื่นหนังสือกดดัน กกต.ให้เร่งประกาศรับรองผล เพื่อเปิดทางให้มีการสภาเลือกประธานสภา และประชุมรัฐสภาโหวตนายกฯ จะได้มีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว 

แต่ กกต.จะไปเร่งรีบตามที่ฝ่ายอยากเร่งรัดคงไม่ได้ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รอบด้าน เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายกับคำร้องเรียนมากถึง 280 เรื่อง ตามกฎหมายให้อำนาจ กกต. 60 วัน ในการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเลือกตั้ง ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 13 ก.ค. 2566 นี้ แต่ล่าสุดมีรายงานจาก กกต.ได้พิจารณาครบทั้ง 400 เขตแล้ว เตรียมประชุมประกาศรับรอง 329 คน และแขวนไว้ 71 คนในการประชุมสัปดาห์หน้าวันจันทร์ที่ 19 มิ.ย.นี้  กกต.พร้อมกับพิจารณารับรอง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไปพร้อมกัน ส.ส.เขตเลือกตั้ง หลังได้พิจารณาไปแล้วว่าทั้ง 400 เขตเลือกตั้ง 

ถ้าดูตามตัวเลขนี้ 329+100 คน = 429 คน ตัวเลขยังไม่ครบ 95% หรือ 480 คน คาดว่า หลังจากนั้น กกต.จะหยิบ 71 คนมาทบทวน และอาจจะประกาศรับรองไปก่อนสอยทีหลัง เพื่อให้งานกิจการสภาเดินหน้าไปได้

โดยคาดว่า กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส.ได้วันพุธที่ 21 มิ.ย.นี้  จากนั้นให้ ส.ส.จะทยอยไปรับเอกสารรับรองได้ที่สำนักงาน กกต. และนำเอกสารรับรองมารายงานตัวต่อสภา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เตรียมสถานที่ไว้พร้อมแล้ว

มีการประมาณกาลว่า ถ้า กกต.รับรองผลการเลือกตั้งได้ครบ 95% แล้ว วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯเปิดประชุมสภา และวันที่ 25 กรกฎาคม จะเป็นการประชุมสภาเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย อดีตประธานสภา ในวัย 85 ปี น่าจะมีอาวุโสสูงสุด (ไม่แน่ใจว่ามีใครอายุมากกว่านายชวนหรือไม่)ทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราว

หลังจากนั้นถึงจะเป็นช่วงเวลาของความระทึกของ “ด้อมส้ม” คือวาระเลือกนายกรัฐมนตรี

อนาคต“พิธา”จบที่ศาลรธน./ศาลอาญา

ต้องโฟกัสไปที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคก้าวไกล ว่าจะไปถึงดวงดาวในตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทยได้หรือไม่ หลังได้รับการประกาศให้เป็น ส.ส. 

อย่างที่ทราบกันดีว่า พิธา ถูกร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้งที่อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ จากกรณีถือหุ้นสื่อ “หุ้นไอทีวี” แม้ว่า กกต.จะไม่รับไว้พิจารณา แต่ กกต.กลับหยิบเอามาตรา 151 ของ พปร.ว่าด้วยการเลือกตั้งขึ้นมาพิจารณา “รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีคุณสมบัติ แต่ลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือยินยอมให้พรรคการเมืองส่งลงสมัครในระบอบบัญชีรายชื่อ” ซึ่งถ้ามีมูลก็ต้องฟ้องต่อศาลอาญา ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ และมีโทษหนักกว่า ทั้งจำทั้งปรับ ทั้งตัดสิทธิ์ทางการเมือง
อีกประเด็น หาก กกต.รับรองให้เป็น ส.ส.เมื่อไหร่ ก็จะมีคนไปยื่นใหม่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญอีกรอบ

โดยสรุปอนาคตของพิธาจะต้องไปจบที่ศาล ไม่ศาลรัฐธรรมนูญก็ศาลอาญา และจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ขึ้นกับขบวนการขั้นตอนของ กกต.และศาล รวมถึงผลโหวตของสมาชิกรัฐสภาด้วย ที่ต้องเพ่งไปที่สมาชิกวุฒิสภา

กกต.ตั้งธงหนัก หยิบ ม.151 มาเล่นงาน  มีโทษทั้งจำคุก - ตัดสิทธิ์ 20 ปี

กกต.มีมติเป็นเอกฉันท์ 6 เสียง ไม่รับ 3 คำร้องที่ร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และคาดิเดตนายกรัฐมนตรี มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ในการสมัครรับเลือกตั้งส.ส. กรณีถือหุ้น บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น ทำให้บางคนรู้สึกโล่งอก มีช่องทางเดินไปได้

ยัง….ยังไม่จบ กกต.ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า การถือหุ้นไอทีวีของพิธาถูกหรือผิด ขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ เพียงแต่ผู้ยื่นให้ตรวจสอบ ยื่นหลังจากเลยเวลาตรวจสอบมาแล้วเท่านั้นเอง ง่ายๆคือเลยเวลาแล้ว

แต่กกต.ได้หยิบเอาประเด็นจาก 3 คำร้องมาสั่งตั้ง “คณะกรรมการสืบสวนไต่สวน” ลุยสอบเอง ในประเด็นการฝ่าฝืนมาตรา 42 (3) และมาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ต่อไป

กกต.ใช้คำว่า “สืบสวนไต่สวน” น่าสนใจกับการตั้งกรรมการชุดนี้แสดงว่า มีอำนาจทั้งสืบสวน และไต่สวนด้วย

ดูเหมือนจะหนักกว่าเดิม ถ้าผิดโทษจะหนักกว่าด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะคดีอาญา ถ้านายพิธารู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเพราะมีลักษณะต้องห้าม แต่ยังฝืนลงสมัครเลือกตั้ง และอนุญาติให้พรรคการเมืองส่งลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่

ซึ่งในกรณีนี้นายสิระ เจนจาคะ อดีตส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เคยเจอมาก่อนแล้ว 
เมื่อถูก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขุดอดีตขึ้นมาร้อง อดีตที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกฐานฉ้อโกง โดยศาลแขวงปทุมวัน สั่งจำคุกนายสิระ ในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีแดง หมายเลขที่ 2218/2538 อันเป็นผู้มีคุณสมบัติต้องห้ามของคนเป็นส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10)

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ในฐานะอดีต ผบ.ตร.นำมติ 7 ต่อ 2 เสียงที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ในคดีดังกล่าว ไปร้องต่อกกต.เป็นดาบสอง มาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.เช่นเดียวกับกรณีนายพิธาและกกต.ก็มีมติแจ้งความเอาผิด

ทั้งนี้ ตามมาตรา 151 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่กกต. ตั้งกรรมการสอบสืบสวนไต่สวนมีเนื้อหาว่า

“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนด 20 ปี”

“ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย” 

กล่าวสำหรับนายพิธาหากถูกชี้ตามมาตรานี้ นายพิธาจะมีโทษจำคุกสูงสุด 1-10 ปี ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี และยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องคืน “เงินเดือน-ค่าตอบแทนอื่นๆ” จากการเป็นส.ส.ทุกบาท ทุกสตางค์อีกด้วย

วิบากกรรมของพิธาบนเส้นทางก้าวเดินสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมันยากยิ่งกับสิ่งที่ก่อไว้แล้วไม่ได้แก้ให้จบสิ้นก่อนกระโดดเข้าสู่เวทีการเมือง รู้ทั้งรู้ว่า เมื่อยืนอยู่บนเวทีการเมือง ประวัติทุกเม็ดจะต้องถูกขุดคุ้ย ไส้ทุกขดจะถูกลากออกมากองให้สังคมได้ตรวจสอบ

ที่เห็นๆว่าถูกขุดคุ้ย ตั้งแต่ปัญหาในครอบครัวแตกแยกเลิกรากับภรรยา ถือหุ้นสื่อ ค้ำประกันเงินกู้ และขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

ลำบากแท้นะ “พิธา”เสียงมหาชน 14 ล้านเสียงอาจจะช่วยไม่ได้ เมื่อทำผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายต้องบังคับใช้โดยเสมอภาค เท่าเทียมกัน

นายหัวไทร

เล็งชง ‘นิกม์’ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ มาเป็นพยานปากเอกคดีถือหุ้นสื่อไอทีวีของ ‘พิธา’

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรจะเชิญนายนิกม์ แสงศิรินาวิน ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เขต 17 คลองสามวา กทม. มาเป็นพยานกรณีการถือหุ้นสื่อไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล

นายนิกม์เป็นผู้ให้สัมภาษณ์คนแรกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา โดยนายนิกม์เคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 และได้ถือหุ้นไอทีวีเช่นเดียวกับนายพิธา ซึ่งตอนนั้นพรรคอนาคตใหม่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิ์นายธนาธร นายนิกม์ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แต่นายพิธาได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยที่ขณะนั้นนายพิธายังไม่ได้มีการขายหุ้น กกต.จึงควรเอานายนิกม์เข้ามาเป็นพยานบุคคล

ถ้า กกต.ไม่สามารถเชิญนายนิกม์มาให้ปากคำเป็นพยานได้ ก็ควรจะเชิญสื่อมวลชนที่สัมภาษณ์นายนิกม์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นพยาน

มิ.ย.นี้ ศาลปกครองสูงสุด นัดอ่านคำพิพากษา ซึ่งอาจจะกระทบต่อการเดินหน้า จัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล 

เดือนมิถุนายนนี้ อย่ากะพริบตากับการกลับมาของสถานีข่าวไอทีวี ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาที่เป็นข้อพิพาทระหว่างสำนักงานปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)กับบริษัทไอทีวี ซึ่งศาลปกครองกลางพิพากษาให้บริษัทไอทีวี ชนะคดี

ถ้าศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ไอทีวีอาจจะกลับมาเป็นสถานีโทรทัศน์ใหม่ก็เป็นได้ ซึ่งปัจจุบันไอทีวียังคงสถานะความเป็นบริษัทผลิตสื่ออยู่ ตามวัตถุประสงค์เพื่อสู้คดีกับ สปน. ส่วนจะผลิตสื่ออย่างอื่นด้วยหรือไม่ เช่นสื่อออนไลน์ เป็นต้น

ไม่ใช่แค่ไอทีวีอาจจะกลับมา แต่เป็นเครื่องยืนยันว่า ไอทีวียังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ด้วย และอาจจะกระทบต่อการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ที่จะดัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่พิธาติดปัญหาถือหุ้นไอทีวีอยู่ในนามชื่อของตัวเอง แม้จะอ้างว่าเป็นมรดกก็ตาม แต่โดยหลักแล้ว หุ้นมรดกปกติจะต้องมีวงเล็บต่อท้ายชื่อผู้ถือหุ้นว่า “มรดก”

ถ้าพิธาถูกตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญว่า มีความผิดฐานถือหุ้นสื่อ ก็จะมีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ยังมีปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย เพราะพิธาถือหุ้นนี้มาตั้งแต่ปี 2549 หลังจากพ่อเขาเสีย จะมีผลในทางลบต่อการลงสมัครรับเลือกตั้งปี 2562 ด้วยหรือไม่

และมีผลต่อการรับรองผู้สมัครทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อด้วยหรือไม่ แปลความได้ว่า การรับรองผู้สมัครไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยหรือไม่ ที่สำคัญคือระเบียบพรรคก้าวไกลก็ลอกมาจากรัฐธรรมนูญ ห้ามสมาชิกพรรคเป็นเจ้าของสื่อ หรือถือหุ้นสื่อด้วย พิธาก็ไม่มีสิทธิ์เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลตั้งแต่ต้นใช่หรือไม่

แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาพรรคก้าวไกล มี ส.ส.ทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อรวมกัน 151 ที่นั่ง 151 ที่นั่งนี้จะโมฆะหรือเปล่า อันจะนำไปสู่การทำให้การเลือกตั้งทั้งหมดเป็นโมฆะไปด้วย ต้องจัดเลือกตั้งใหม่หรือเปล่า

ถ้าพิจารณาตามข้อมูลที่รับรู้รับทราบกันก่อนหน้าบวกกับประเด็นใหม่ไอทีวี จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แม้จะมีคะแนนมหาชนจำนวนมาก แต่กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย…จริงไหมครับ

เกมยากของ ‘พิธา’ – ‘ก้าวไกล’  เมื่อเจอกับด่านความมั่นคงสูง เขาจะค้ำถ่อพ้นไปหรือเปล่า

ก้าวไกล-พิธา ต้องฝ่า 3 ด่าน ที่เป็นปราการใหญ่ในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
-จุดยืนในการแก้ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ว่าด้วยการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ เปิดทางให้วิจารณ์สถาบันได้มากขึ้น ลดโทษจำคุก-ปรับ ให้สถาบันฟ้องเอง ก้าวไกลมีจุดยืนชัดว่า จะแก้ไข ม.112 แต่พรรคร่วมส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย จึงไม่มีข้อตกใน mou ก้าวไกลก็ยืนยันจะแก้ผ่านกลไกของสภา
-การขอแรงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา ที่พรรคก้าวไกลดิ้นรนจะปิดสวิทต์เขามาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ต้องขอรับการสนับสนุนผ่านการเจรจา-พูดคุย-แลกเปลี่ยน ไม่ใช่ใช้มวลชนไปกดดันเหมือนที่ผ่านมา เวลานี้สมาชิกวุฒิสภาบางคนท่าทีชัดว่า จะไม่ยกมือสนับสนุน บางคนก็จะยกมือให้ บางคนจะยกมือสนับสนุนอย่างมีเงื่อนไข

-การถือหุ้นในบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42000 หุ้น ไอทีวียังประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ในการจดตั้งอยู่ ต้องแยกให้ออกนะครับระหว่างบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) กับสถานีข่าวไอทีวี สถานีข่าวไอทีวี หยุดเผยแพร่ภาพไปแล้ว แต่บริษัทไอทีวี ยังประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์อยู่ มีกำไรด้วย พิธาอ้างว่า เป็นหุ้นในมรดก เขาถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก แต่ผู้รู้ก็โต้แย้งว่า ถ้าเป็นหุ้นในกองมรดก ในใบหุ้นต้องสลักหลังชื่อไว้ด้วย “มรดก” แต่ใบหุ้นไอทีวีของพิธา ไม่มีการใส่วงเล็บไว้หลังชื่อ

นี้เป็นปราการ 3 ด่านที่พิธาจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้ ส่วนตำแหน่งประธานสภาจะเป็นของใครพิธาส่งสัญญาณมาแล้วว่า เป็นเรื่องเล็ก ให้ไปคุยกันในวงคณะทำงาน จะเป็นของก้าวไกล หรือเพื่อไทยให้จบในวงคณะทำงาน

ด่านต่อไปคือ การจัดสรรตำแหน่งทางการเมืองในฝ่ายบริหาร คือตำแหน่งรัฐมนตรี ทีมีการคำนวณออกมาแล้วว่า 8.6 ส.ส.ต่อรัฐมนตรี 1 คน แล้วอย่างนี้แสดงว่าพรรคเล็ก 1-2 เก้าอี้จะไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรี ใช่หรือไม่ หรือมีตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆให้ เป็นประจำสำนักนายกฯ หรือไปกินตำแหน่งในสัดส่วนของสภา เป็นตำแหน่งในกรรมาธิการคณะต่างๆ 

ด่านต่อไป คือการยกร่างนโยบายรัฐบาลที่จะต้องแถลงต่อสภา ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาล โดยคณะทำงานจะต้องไปนั่งถกแถลงกันให้ตกผลึก นโยบายของแต่ละพรรคที่จะใส่เข้าไปมีอะไรบ้าง พรรคร่วมฯว่าอย่างไร แล้วเขียนมาเป็นนโยบายรัฐบาล

จะเห็นว่า”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังมีอีกหลายด่าน หลายปราการในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศ เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก้าวไกลไม่ได้ชนะขาดพรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลได้ ต้องอาศัยแรงจากพรรคอื่นๆด้วย และแรงจากพรรคอื่นกลับเป็นพรรคเพื่อไทยที่มีเสียงรองเป็นอันดับสอง จึงทำให้พรรคเพื่อไทยมีอำนาจต่อรองสูงมาก ยิ่งสูงมากขึ้น เมื่อพรรคภูมิใจไทย ประกาศชัดไม่ร่วมกับพรรคก้าวไกล

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ชัดเจนตั้งแต่ต้น เพราะพรรคก้าวไกลประกาศเอง “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” เท่ากับปปฏิเสธสองพรรคนี้ตั้งแต่ก่อนลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว

พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องพูดถึง 25 เสียง เป็นแค่ตัวแปรเล็กๆที่แทบจะไม่มีความหมายอะไรมากนัก เว้นแต่นักแสวงหาบางคน อาจจะดิ้นรนนำพาไปสู่การแสวงหาอำนาจ แต่ก็ยากจำสำเร็จ เว้นแต่ดีลระหว่างพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทยเดินต่อไปไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ค่อยมาพูดกัน เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีเวลา 60 วันในการรับรองผลการเลือกตั้ง ถ้ารับรองได้ครบ 95% ก็สามารถเปิดประชุมสภา เลือกประธานสภาได้ ส่วนใน 60 วันจะพิจารณา และรับรองผลการเลือกตั้งได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับข้อร้องเรียนในการทำผิดกฎหมายของผู้สมัครที่มีคะแนนนำมาอันดับ 1 รวมถึงความยุ่งยากในการสืบสวนสอบสวน พยานหลักฐานในการร้องเรียน จะมี “ใบแดง-ใบเหลือง-ใบส้ม” ก็มากน้อย
ใบส้ม-ใบเหลือง คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ โดยใบส้มจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ โดยใช้ผู้สมัครคนเดิม ไม่ต้องเปิดสมัครใหม่ แต่คนที่โดนใบส้มจะหมดสิทธิ์ลงสมัครแล้ว ส่วนใบเหลือง ก็ไม่ต้องเปิดรับสมัครใหม่เช่นกัน แต่ผู้สมัครที่โดนใบเหลือง ยังมีสิทธ์เป็นผู้สมัครอยู่

ส่วนใบแดง เป็นการตัดสิทธิ์ของผู้สมัครที่ทำผิดกฎหมาย ผ่านการพิจารณาตัดสินของศาล ถ้าเขตเลือกตั้งใดโดยใบแดง กกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยเปิดรับสมัครใหม่ แต่คนเก่าที่โดยใบแดงหมดสิทธิ์ลงสมัครแล้ว

เวลานี้การพิจารณาข้อร้องเรียนต่างๆอยู่ในขั้นการสอบสวนของชุดสอบสวนของ กกต.จังหวัด จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับข้อร้องเรียนมีมากน้อยแค่ไหน พยานหลักฐานเป็นอย่างไร ข้อร้องเรียนยุ่งยากซับซ้อนหรือไม่ และ 60 วันจะทันต่อการรับรองให้ครบ 95% หรือไม่
ถึงเวลานี้ยังไม่มีอะไรแพลมออกมาจาก กกต.ถึงข้อร้องเรียน ผลการพิจารณา แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่ามีข้อร้องเรียนมาก เช่น จัดเลี้ยง สัญญาว่าจะให้ ซื้อเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง เหล่านี้เป็นต้น

สำหรับคอการเมืองติดตามกระชั้นชิดสำหรับการเมืองในช่วงนี้ กระพริบตาเกมเปลี่ยน ตามไม่ทัน

นายหัวไทร

สูตรจัดตั้งรัฐบาล 5 พรรค ‘309 เสียง’ คงไม่พอ อาจต้องบากหน้าง้อ ‘ภูมิใจไทย’ รวมให้เกิน 376 เสียง

เมื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งได้เสียงมากสุด 152 เสียง ประกาศชัดว่าจะจับมือกับฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล 309 เสียง ได้แก่ ก้าวไกล 152 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง ประชาชาติ 9 เสียง ไทยสร้างไทย 6 เสียง เสรีรวมไทย 1 เสียง 

โดย 5 พรรคการเมืองเมื่อรวมเสียงกันแล้วได้แค่ 309 เสียง ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา 750 เสียง คือ 376 เสียง พรรคก้าวไกลยังจะต้องหาเสียงสนับสนุนอีก 67 เสียง ตรงนี้คือประเด็นว่าพรรคก้าวไกลจะเดินเกมอย่างไร ซึ่งก็มีทางเลือกอยู่

-เจรจากับพรรคภูมิใจไทย 70 เสียง ถ้าพรรคภูมิใจไทยตกลงเข้าร่วม ก็จะทำให้เป็นรัฐบาล 6 พรรค 379 เสียง ถ้าเอาแค่นี้ถือว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะเกินกึ่งไปแค่ 3 เสียง จะให้ใครเจ็บใครป่วย ใครเป็นไข้ไม่ได้เลย

-ที่พิธาประกาศว่าปิดทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น ไม่น่าจะจริง เพราะพรรคก้าวไกลเองก็ยังก้าวไม่ผ่าน 376 เสียง เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. มีอยู่แค่ 309 เสียงเอง เพื่อให้รัฐบาลเดินไปได้ พรรคก้าวไกลอาจจะต้องบากหน้าไปคุยกับ ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง หรือรวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง แต่อาจจะยากเพราะทั้งก้าวไกล และเพื่อไทยต่างประกาศไปแล้วว่า “มีเราไม่มีลุง” แต่มีความเป็นไปได้กับการเจรจากับพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง

ถ้าชาติไทยพัฒนาเข้าร่วม อย่างนั้นก็ต้องเอาพรรคภูมิใจไทยมาด้วยอยู่ดี ประเด็นว่า พรรคภูมิใจไทย จะร่วมกับก้าวไกล และเพื่อไทยได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ง่ายเพราะมีอะไรหลายอย่างที่เคมีไม่ตรงกัน แต่การเมืองก็คือการเมือง เมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็สามารถร่วมกันได้หมด

แต่กล่าวสำหรับประชาธิปัตย์ ไม่น่าจะร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้ เพราะมีอะไรมากมายที่เห็นไม่ตรงกัน จะเจรจาร่วมกัน เพื่อลงนามในเอ็มโอยู ก็น่าจะยังยาก พรรคประชาธิปัตย์ จึงควรจะครองตนเป็นฝ่ายค้าน

ยิ่งประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านยิ่งจะเป็นผลดี ผลดีทั้งต่อชาติบ้านเมือง และต่อพรรคเอง ต่อชาติบ้านเมืองเพราะประชาธิปัตย์เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดีเยี่ยมมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ตรวจสอบรัฐบาล อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ทำได้ดี เป็นผลดีต่อพรรค เพราะถ้าเป็นฝ่ายค้านแล้วทำหน้าที่ได้ดี ประชาชนก็จะเห็นผลงานเห็นฝีมือ อาจจะเป็นช่องทางให้ฟื้นฟูพรรคกลับคืนมาได้ ดีกว่าร่วมหัวจมท้ายกับพรรคที่มีเจตนารมณ์-อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ยิ่งจะนำมาซึ่งความเสื่อม

ประชาธิปัตย์ควรจะนำบทเรียนของการเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นข้อสรุปว่า เป็นต้นเหตุให้พรรคได้แค่ 25 เสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่

พรรคประชาธิปัตย์ควรจะมานั่งคิดหาเวลาฟื้นฟูพรรค ดีกว่ามานั่งคิดจะเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อนำนโยบายที่เป่าประกาศไว้ไปสู่การปฏิบัติ เหมือนคราวที่แล้ว สุดท้ายล้มไม่เป็นท่า วันนี้ประชาชนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเปลี่ยน ด้วยการเลือกก้าวไกล เพื่อไทยมาจำนวนมาก จึงควรให้เจตนารมณ์ของประชาชนเป็นจริง

สมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงก็ควรตอบรับให้ความร่วมมือกับเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างไม่มีอิดออด เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก และล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะยิ่งล่าช้าก็จะยิ่งมีผลกระทบ กระทบทั้งการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่น รวมถึงการต่างประเทศ

แม้สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการแต่งตั้งของอดีตหัวหน้า คสช. ก็ตาม แต่ควรใช้ดุลยพินิจพิจารณาเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ที่มา: นายหัวไทร

‘ษฐา-มุกดาวรรณ’ ภท. ได้ใจคนเมืองคอนเขต 7-8 โค่น 2 พ่อลูก ‘ชินวรณ์-ปุณณสิริ’ กอดคอกันสอบตก

ผลการเลือกตั้งนครศรีธรรมราชน่าสนใจยิ่ง เมื่อ ‘ชินวรณ์ บุณยเกียรติ์’ อดีต ส.ส. 9 สมัย ของพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ถูกโค่นลงไม่เป็นท่า จากหน้าใหม่ทางการเมือง ‘ษฐา ขาวขำ’ อดีตนายอำเภอ ที่ลงสมัครในนามพรรคภูมิใจไทย เขตทุ่งใหญ่ บางขัน ถ้ำพรรณรา ชนกับ ‘ชินวรณ์’

เป็นผลการเลือกตั้งที่พลิกเกินความคาดหมาย เพราะไม่คิดว่าจะมีใครโค่นชินวรณ์ลงได้ แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่า การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอนจริง ๆ เมื่อประชาชนต้องการเปลี่ยนประชามติผ่านการลงคะแนนเสียง คือประชาธิปไตยที่เมื่อถึงเวลาประชาชนจะเป็นใหญ่ และผลประโยชน์ของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่นักการเมืองจะต้องยึดถือปฏิบัติ ถ้าใครขาด-ห่างหายไปจากประชาชน ประชาชนก็จะตัดสินชี้ขาดเอง

ไม่ใช่แค่ชินวรณ์ เพราะลูกสาว ‘น้องบีท-ปุณณสิริ บุณยเกียรติ์’ ที่ถูกส่งลงเขต 8 ฉวาง ช้างกลาง ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ก็กอดคอพ่อสอบตกเช่นเดียวกัน จะอ้างกระแสก้าวไกลก็ไม่ได้ เพราะทั้งสองเขตถูกโค่นโดย ‘ภูมิใจไทย’ 

โดยเขต 8 มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล เอาชนะน้องบีทไปได้ ซึ่งมุกดาวรรณ เคยลงสมัครมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2562 ในนามพรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนมา 18,000 กว่าคะแนน อยู่ในลำดับ ‘เกือบได้’ แต่คราวนี้มุกดาวรรณไม่พลาด ได้รับการชูมือให้เดินเข้าสภา ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเต็มภาคภูมิใจ

กล่าวถึงการล้มช้างทางการเมือง เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 นครศรีธรรมราชก็มีศึกล่มช้างเกิดขึ้นเหมือนกัน ในเขตเลือกตั้งที่ 2 หัวไทร-ปากพนัง-เชียรใหญ่ เมื่อ ‘สัญหพจน์ สุขศรีเมือง’ หน้าใหม่ทางการเมืองเหมือนกัน ลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ ผลการเลือกตั้งสัญหพจน์ ชนะ ‘น้อย-วิทยา แก้วภารดัย’ อดีต ส.ส. 8 สมัยของพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเฉยเลย

สัญหพจน์เองก็ยังมึน ๆ ว่าชนะได้อย่างไร แต่มาคราวนี้สัญหพจน์ก้าวพลาด ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐเหมือนเดิม แต่สัญหพจน์ กลับพลาดให้กับ ‘โกเท่ห์-พิทักษ์เดช เดชเดโช’ จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเขาเป็นลูกชายของ ‘กนกพร เดชเดโช’ นายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช และเป็นน้องชายของ’แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส.เขต 5 นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์

นี้เป็นอีกบริบทหนึ่งที่เป็นบทเรียนสำหรับนักการเมือง ที่ต้องทำงานใกล้ชิดประชาชน ทำงานสนองตอบต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน ภาคใต้กรอบของกฎหมาย แต่ถ้าวันหนึ่งวันใดนักการเมืองห่างหายไปจากประชาชน ถึงวันนั้นประชาชนจะพิพากษาเองว่าจะให้คนคนนั้นอยู่ในสถานะอะไร

เรื่อง: นายหัวไทร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top