Monday, 29 April 2024
เอเชีย

‘จีน’ ผนึก ‘เอเชีย’ ส่งเสริมค้าขายด้วยเงินท้องถิ่น ปูทางสร้างความแข็งแกร่งให้สกุลเงินในภูมิภาค

นายอี้ กัง ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน เปิดเผยว่า จีนจะทำงานร่วมกับประเทศต่างๆ ในเอเชียเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าและการลงทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค

การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าและการลงทุนในไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยทางการเงินให้กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียจากผลกระทบต่างๆ จากภายนอก โดยการแลกเปลี่ยนสกุลเงินแบบทวิภาคีในกลุ่มประเทศอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีมูลค่ารวมสูงถึง 3.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (The People's Bank of China: PBOC) ได้ขยายข้อตกลงแลกเปลี่ยนสกุลเงินแบบทวิภาคีกับธนาคารกลางอินโดนีเซีย (Bank Indonesia: BI) เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อกระชับความร่วมมือทางการเงินและส่งเสริมการลงทุน

'ผู้นำสิงคโปร์' เตือน!! สหรัฐฯ อย่าโดดเดี่ยวจีนจากปัญหายูเครน ลั่น!! ทุกคนมีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนี้ตามทางของตน

ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีประเทศในแถบเอเชีย ที่เริ่มกล้าออกมาแสดงจุดยืนที่ห้าวหาญในประเด็นการเมืองโลก โดยล่าสุด Lee Hsien Loong นายกรัฐมนตรีของสิงค์โปร์ ได้ออกคำเตือนไปยังสหรัฐฯ โดยตรงว่า "อย่าพยายาม โดดเดี่ยวจีน จากประเด็นเรื่องยูเครน เพราะทุกวันนี้โลกของเรา "ก็มีปัญหามากพออยู่แล้ว" และยังลั่นอีกด้วยว่าในอนาคต สหรัฐฯ อาจไม่ใช่เบอร์ 1 ของโลกอีกต่อไป 

นายกฯ สิงคโปร์ กล่าวไว้ชัดเจนว่า ถ้าหากสหรัฐฯ ยังหันมาเปิดศึกกับจีน จะยิ่งเป็นการแบ่งแยกระบอบประชาธิปไตยกับเผด็จการอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้ปัญหา Supply Chain โลกซับซ้อนเข้าไปอีก และแน่นอนว่าถ้าลุกลามถึงขั้นคว่ำบาตรจีน ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกสูงกว่าการคว่ำบาตรรัสเซียเป็นอย่างมาก

“คุณต้องระวังให้มากที่จะไม่กำหนดปัญหายูเครนในลักษณะที่จะทำให้จีนเป็นฝ่ายผิดตั้งแต่แรกเริ่มโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น การทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยและเผด็จการ”

(You have to be very careful not to define the problem with Ukraine in such a way that automatically, China is already on the wrong side, for example, by making this a battle of democracies against autocracies.)

“เราทุกคนมีปัญหาในยูเครน ผมคิดว่าถ้าเราพูดถึงอธิปไตย ความเป็นอิสระ และบูรณภาพแห่งดินแดน หลายประเทศสามารถเข้าร่วมได้ แม้แต่จีนเองก็ยังไม่คัดค้านและยังมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนอย่างแข็งขันเป็นการส่วนตัวด้วย แต่ถ้าคุณ (สหรัฐฯ) บอกว่านี่เป็นเรื่องของประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการของปูติน ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ยากพออยู่แล้ว และถ้าคุณยังบอกอีกว่าประชาธิปไตยต้องสู้กับเผด็จการ นั่นถือเป็นการกำหนดให้ประเทศจีนเป็นฝ่ายที่ผิดตั้งแต่แรก และทำให้สิ่งต่างๆ จะยากขึ้นไปอีก”

(We all have a problem in Ukraine. I think if we talk about sovereignty, independence and territorial integrity, a lot of countries can come along. Even China would not object to that, and would actually privately strongly support that. But if you say it is democracies versus Putin’s autocracy, I think that already is difficult. If you say democracies versus autocracies – plural – that already defines China into the wrong camp, and makes things even more difficult.)

นอกจากนี้ นายกฯ สิงคโปร์ยังสอนมวยสหรัฐฯ อีกว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายมีความไว้วางใจกันน้อยมาก และมันไม่ง่ายเลยที่จะหาระดับที่เหมาะสมในความสัมพันธ์ ขณะที่สิงคโปร์จะเลือกเดินตามทางของตัวเองในการแก้ไขและป้องกันไม่ให้เรื่องทั้งหมดบานปลาย

ดังนั้นสหรัฐฯ ต้องรู้ตัวแล้วว่า ถ้าเศรษฐกิจยังคงต้องพึ่งพากันและกันกับจีน ก็ไม่ควรวาง 80% ของจุดยืนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไว้ในมุมของการเป็นปรปักษ์หรือศัตรูกัน แล้วมาบอกว่าความสัมพันธ์อันดี 20% ที่เหลือคือการ "Win-Win" ทั้ง 2 ฝ่าย

เขากล่าวชัดเจนว่าแนวคิดนี้ "ควรจะครอบงำรัฐบาลสหรัฐฯ" (กล่าวคือสหรัฐฯ ควรตระหนักเรื่องนี้โดยด่วน) และนอกเหนือจากยูเครนแล้ว สหรัฐฯ ควรรู้ด้วยว่าภูมิภาคเอเชียนี้ ถือเป็นสมรภูมิสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องวางจุดยืนของตัวเองให้ดี 

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกล่าวด้วยว่าสหรัฐฯ ควรหันมามองเรื่อง "ความน่าเชื่อถือของตัวเอง" โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงและความสม่ำเสมอในการทำธุรกิจ (ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงการคว่ำบาตรด้วย) เพราะเรื่องนี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูงมาก และอาจทำให้ประเทศอื่น ๆ ลดความไว้เนื้อเชื่อใจสหรัฐฯ ลงในอนาคต

Lee เสริมว่า ในภายภาคหน้านี้ สหรัฐฯ อาจจะไม่ใช่เบอร์ 1 ของโลกอีกต่อไป แต่จะยังคงเป็น 1 ในแนวหน้าทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก ซึ่งเขากล่าวว่ามันอาจเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่จะทำใจยอมรับได้สำหรับสหรัฐฯ แต่เขาก็ปลอบใจว่าเมื่อเวลาผ่านไป สหรัฐฯ จะปรับตัวได้เอง

'กาตาร์' รับปากจะส่งก๊าซให้เอเชียตามสัญญา ยัน!! ไม่เปลี่ยนส่งไปยุโรป แม้เจอปัญหาราคาพลังงาน

กาตาร์ ยกระดับตัวเองเป็นประเทศผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวรายใหญ่ เพื่อส่งก๊าซให้ยุโรปแทนการพึ่งพาจากรัสเซีย แต่ยังคงยึดมั่นที่จะส่งให้ลูกค้าในเอเชียตามสัญญา พร้อมยืนยันว่าการนำเอาก๊าซที่จะส่งให้เอเชียไปส่งให้ยุโรปแทนนั้น จะไม่เกิดขึ้น!!

ซาอัด อัล-กาบี ซีอีโอของบริษัท QatarEnergy แถลงในวันอังคาร (18 ต.ค.65) ว่า QatarEnergy กำลังทำงานเพื่อขยายการผลิตก๊าซและการดำเนินการค้า ขณะที่ความต้องการ หรืออุปสงค์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น และจะไม่เปลี่ยนเส้นทางก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ที่ทำสัญญาไว้กับบรรดาผู้ซื้อในเอเชีย เพื่อส่งไปยังยุโรปในช่วงฤดูหนาวนี้

กาตาร์เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG รายใหญ่ของโลก โดยหลายประเทศในยุโรป ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและปัญหาการหยุดชะงักของการจัดการหาเชื้อเพลิง อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อพลังงานกับประเทศในอ่าวอาหรับแห่งนี้ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย

จีน’ ออกโรงเตือน ‘สหรัฐฯ’ ตั้งกลุ่มพันธมิตรสไตล์ ‘นาโต’ มีแต่ทำ ‘เอเชีย-แปซิฟิก’ จมลงสู่วังวนแห่งความขัดแย้ง

เมื่อไม่นานนี้ รัฐมนตรีกลาโหมจีน เตือนการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรทางทหารสไตล์ ‘นาโต’ รังแต่จะทำให้ ‘เอเชีย-แปซิฟิก’ เจอกับวังวนความขัดแย้ง ย้ำโลกจะต้องเผชิญหายนะที่ไม่อาจทนทานได้ หากมีการเผชิญหน้ารุนแรงระหว่างจีนกับอเมริกา กระนั้น เขาก็ย้ำว่าประเทศของเขามุ่งแสวงหาการสนทนากันมากกว่าการเผชิญหน้า สำหรับทางด้านนายใหญ่เพนตากอน แสดงความไม่พอใจที่เรือจีนพุ่งตัดหน้าเรือพิฆาตของสหรัฐฯ ในระยะประชิด ขณะที่กองทัพปักกิ่งโต้ว่า อเมริกาและแคนาดาจงใจยั่วยุให้เกิดความเสี่ยงจากการร่วมกันเดินเรือผ่านช่องแคบไต้หวัน

‘หลี่ ช่างฝู’ รัฐมนตรีกลาโหมจีน กล่าวปราศรัยในเวทีประชุมความมั่นคง แชงกรีลา ไดอะล็อก ที่สิงคโปร์เมื่อวันอาทิตย์ (4 มิ.ย.) ว่า ความพยายามในการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรทางทหารในรูปแบบคล้ายกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในเอเชีย-แปซิฟิกรังแต่จะทำให้ภูมิภาคนี้เผชิญวังวนความขัดแย้งและการเผชิญหน้า

การแสดงความคิดเห็นนี้ตอกย้ำคำวิจารณ์ของจีนต่อความพยายามของอเมริกาในการรวบรวมพันธมิตรในเอเชีย-แปซิฟิก ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อต่อต้านอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของปักกิ่ง ขณะที่จีนตอบโต้ว่าเป็นความพยายามของวอชิงตันที่จะรักษาฐานะความเป็นเจ้าใหญ่เหนือใคร ๆ ของพวกเขาเอาไว้

ทั้งนี้ อเมริการิเริ่มผลักดันและเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มออคัส ที่ประกอบด้วยออสเตรเลียและอังกฤษ ตลอดจนกลุ่มควอด ที่มีทั้งออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น

หลี่เสริมว่า เอเชีย-แปซิฟิกวันนี้ต้องการการร่วมมือที่เปิดกว้างและครอบคลุมทุกประเทศ ไม่ใช่การจับกลุ่มยิบย่อยมาต่อต้านชาติอื่น

รัฐมนตรีกลาโหมจีนยังพยายามสร้างภาพให้อเมริกาเป็นผู้ปลุกปั่นให้เอเชียไร้เสถียรภาพ ขณะที่จีนต้องการผ่อนคลายสถานการณ์ โดยกล่าวว่า โลกใหญ่พอที่จีนและอเมริกาจะเติบโตไปพร้อมกัน นอกจากนั้น แม้มีระบบและหลาย ๆ อย่างต่างกัน แต่ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้สองประเทศแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และการร่วมมือ และคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หากเกิดความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้ารุนแรงระหว่างจีนกับอเมริกา โลกจะต้องเผชิญหายนะที่ไม่อาจทนทานได้

ก่อนหน้านี้ ในวันเสาร์ (3 มิ.ย.) ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ที่ร่วมการประชุมแชงกรีลาที่จัดขึ้นที่สิงคโปร์ด้วยเช่นกัน ประณามจีนที่ปฏิเสธการจัดการหารือทางทหาร โดยระบุว่า การหารือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดและการคำนวณผิดพลาด ไม่ใช่การให้รางวัล

วันเดียวกันนั้น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า ได้ส่งเรือพิฆาตยูเอสเอส ชุงฮุน จากกองเรือที่ 7 แล่นผ่านช่องแคบไต้หวันพร้อมกับเรือฟริเกต เอชเอ็มซีเอส มอนทรีออลของแคนาดา และจีนตอบโต้ด้วยการส่งเรือลำหนึ่งเข้าประชิดเรือยูเอสเอส ชุงฮุน

ต่อมาในวันอาทิตย์ ออสตินกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากเรือจีนพุ่งตัดหน้าเรือพิฆาตของอเมริกาในระยะห่างแค่ 46 เมตร พร้อมเรียกร้องให้ผู้นำจีนควบคุมการกระทำในลักษณะดังกล่าวที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ทว่า กองทัพจีนวิจารณ์ว่า อเมริกาและแคนาดาจงใจยั่วยุให้เกิดความเสี่ยงจากการร่วมกันเดินเรือผ่านช่องแคบไต้หวันซึ่งเป็นน่านน้ำที่มีความอ่อนไหว

ทางฝ่ายหลี่สำทับว่า จีนจะไม่ยอมให้อเมริกาและพันธมิตรใช้ข้ออ้างของเสรีภาพในการเดินเรือเพื่อครองอำนาจครอบงำการเดินเรือ

ภายหลังการกล่าวปราศรัยของหลี่ นักวิชาการหลายคนได้ถามย้ำหลี่เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงการที่จีนเพิ่มประจำการทางทะเลในทะเลจีนใต้ซึ่งมีข้อพิพาทด้านอธิปไตยกับหลายชาติ ปรากฏว่ารัฐมนตรีกลาโหมจีนไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ แต่บอกว่า การเคลื่อนไหวของประเทศนอกภูมิภาคทำให้ความขัดแย้งลุกลาม

ทั้งนี้ ออสติน และหลี่จับมือและคุยกันสั้นๆ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำเปิดประชุมในวันศุกร์ (2 มิ.ย.) แต่ไม่ได้หารือกันเป็นเรื่องเป็นราว โดยอเมริกานั้นเชิญหลี่พบปะหารือกับออสตินนอกการประชุมแชงกรีลา แต่ปักกิ่งปฏิเสธ

เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของสหรัฐฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า วอชิงตันยังเสนอการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับล่าง แต่ปักกิ่งไม่ตอบกลับ

ขณะที่สมาชิกคนหนึ่งของคณะผู้แทนจีนบอกกับเอเอฟพีว่า เงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการหารือคือ อเมริกาต้องยกเลิกการแซงก์ชันหลี่ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2018 จากกรณีการซื้ออาวุธจากรัสเซีย

นอกจากนั้น ชุ่ย เทียนข่าย อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำวอชิงตัน ยังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวด้านนอกการประชุมแชงกรีลาเมื่อวันอาทิตย์เรียกร้องให้อเมริกาถอนปฏิบัติการทางทหารใกล้จีนเพื่อแสดง ‘ความสุจริตใจ’ หากต้องการฟื้นการเจรจาระดับสูง

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งก็มีสัญญาณบางประการเหมือนกัน ซึ่งแสดงว่าทั้งสองประเทศเริ่มมี ‘การสนทนา’ กันมากขึ้นในระดับเจ้าหน้าที่ระดับสูง

เป็นต้นว่า ‘วิลเลียม เบิร์นส์’ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ได้เดินทางอย่างลับๆ ไปยังจีนเมื่อเดือนที่แล้ว เจ้าหน้าที่อเมริกันผู้หนึ่งประกาศเรื่องนี้เมื่อวันศุกร์ (2) ที่ผ่านมา

ขณะที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก แดเนียล คริเทนบริงค์ ก็เดินทางไปจีนเมื่อวันอาทิตย์ (4) ในการเยือนซึ่งช่วงหลังๆ นี้เกิดขึ้นมาน้อยครั้ง
 

'หนุ่มอเมริกัน' ยอมรับ!! 'เมืองไทย' ดีกว่าหลายประเทศที่เคยอยู่'อิสรเสรี-มิตรไมตรี-วิถีชีวิต-วัฒนธรรม-การกิน' รวมๆ แล้วทรงเสน่ห์

 

เมื่อไม่นานมานี้ ช่องยูทูบ Thailand & The World ได้แชร์เรื่องราว ‘Wesly Thomas’ หนุ่มอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ตัดสินใจย้ายออกจากสหรัฐอเมริกา เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่อยู่ในประเทศโคลอมเบีย ก่อนที่ชีวิตครอบครัวจะจบไม่สวยอย่างที่หวังเอาไว้ และตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเลมาลองใช้ชีวิตอยู่ใน ‘เมืองไทย’ พร้อมเผยให้เห็นมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับที่นี่ โดยระบุว่า…

เมื่อเกือบ 4 ปีก่อน Wesly Thomas นักดนตรีหนุ่มชาวอเมริกัน เชื้อสายจีน-ฟิลิปปินส์ วัย 20 กลาง ๆ ได้ตัดสินใจขายทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ เพื่อทําในสิ่งที่เขาต้องการ นั่นก็คือการออกเดินทางไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเขาได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศเปรู ซึ่งทําให้เขารู้สึกแปลก ๆ เมื่อได้กลับมายัง ‘ลอสแอนเจลิส’ บ้านเกิดของเขาเอง มันเป็นเรื่องที่ฝืนความรู้สึก เพราะเขาไม่คิดว่าที่นั่นเป็นบ้านของเขาอีกต่อไป

ความรู้สึกที่อยากจะย้ายไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเขาได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวใน ‘ยุโรป’ ยาวนานถึง 7 เดือน และพบกับเพื่อนคนหนึ่งที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ที่ได้ตัดสินใจขายสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ เพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้ Wesly Thomas คิดว่าในเมื่อเพื่อนคนนี้ของเขาทําได้ ทําไมตัวเขาเองจะทําไม่ได้ การอาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิส ที่ทุกคนต้องทํางานแข่งขันกัน ก็ดูเหมือนจะเป็นอันตรายกับทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย ซึ่งเขามองว่าสิ่งที่สําคัญกว่าก็คือ การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ และการมีสุขภาพที่ดี 

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คือความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับพ่อของเขาเอง ทําให้เขารู้สึกไม่สบายใจที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกา นั่นจึงเป็นที่มาของการตัดสินใจขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ และจองตั๋วเครื่องบินขาไปเที่ยวเดียวเพื่อที่จะไปอาศัยอยู่ใน ‘ประเทศโคลอมเบีย’ ที่เขาวางแผนเอาไว้ในตอนแรกว่าอาจจะลองอยู่ที่นั่นสัก 1 ปี แต่พอเข้าจริง ๆ เขาได้อยู่ที่นั่นนานถึง 3 ปีกว่า ทั้งนี้ เขาได้แต่งงานกับสาวชาวโคลอมเบีย และก็หย่าร้างในที่สุด

เหตุผลที่ Wesly Thomas ตัดสินใจย้ายออกจากโคลอมเบีย ก็คือการหย่าร้างที่นํามาสู่การถูกถอนวีซ่าในที่สุด นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของการถูกขู่ฆ่า โดยพ่อของฝ่ายหญิงที่ไม่พอใจเขา ในขณะที่ Wesly Thomas ได้ให้เหตุผลของการหย่าร้างว่า “มันเป็นปัญหาที่ซับซ้อน” เพราะภรรยาของเขามักจะนําคนนอกเข้ามาเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตคู่อยู่เสมอ แถมยังมีปัญหาการนอกใจ ซึ่งเขาก็พยายามที่จะปรับตัว แม้กระทั่งการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ที่เขาเองมองว่าไม่ได้ตอบโจทย์ในชีวิตของเขาเลย วิดีโอบน YouTube กว่าครึ่งหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในครอบครัว ก็ถูกอดีตภรรยาบังคับให้ลบออก นอกจากนั้นเขายังได้ถูกขู่ฆ่าหลายครั้ง จากบางคนที่ไม่พอใจการนําเสนอเรื่องราวบางอย่าง ที่ทําให้ค่าเช่าบ้านในเมืองเมเดยินสูงขึ้น ทําให้เขามองว่า การย้ายออกจากประเทศแห่งนี้ น่าจะเป็นคําตอบที่ดีที่สุด และไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับผู้หญิงชาวโคลอมเบียอีกต่อไป

สําหรับเหตุผลที่เขาต้องการเดินทางมายัง ‘ประเทศไทย’ ก็เพราะตัวเขาเองต้องการเดินทางกลับมายังเอเชีย สถานที่ที่เป็นรากเหง้าของเขาเอง เพราะที่ผ่านมา การที่ได้เติบโตขึ้น มีประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ มากมาย ทําให้เขาต้องการทราบถึงที่มาที่ไป และทําความรู้จักกับรากเหง้าของตัวเขาเองให้มากขึ้น เขาเลือกเมืองไทย เพราะเป็น ‘เมืองพุทธ’ ครอบครัวของเขาเป็นชาวพุทธ เขาอยากจะให้เวลากับการนั่งสมาธิ และฝึกฝนมวยไทย เรียนรู้การใช้ชีวิตในแบบไทย ๆ และยังสามารถไปเยี่ยมครอบครัวของเขาที่ฟิลิปปินส์ได้ หรือไปท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ อย่างเช่น เวียดนาม ไปจนถึงตะวันออกกลาง เพื่อที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รวมถึง ‘กัญชาเสรี’ ในเมืองไทย ก็นับเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทําให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ในทันทีที่ Wesly Thomas เดินทางมาถึงเมืองไทย ก็ได้ออกตระเวนสํารวจพื้นที่ของกรุงเทพมหานครทันที ความรู้สึกแรกคือ เหมือนกลับมาในที่ที่เขาคุ้นเคย ทั้งผู้คนและอาหารที่ชื่นชอบ เขารู้สึกว่ามีอิสระในการที่จะทําอะไรก็ได้โดยที่ไม่มีใครสนใจ ต่างจากในโคลอมเบีย การเดินไปตามข้างทางที่นี่ก็ปลอดภัย แน่นอนว่าอาจจะมีพวกมิจฉาชีพล้วงกระเป๋า แต่จากการที่ได้เคยอาศัยอยู่ในโคลอมเบียมาถึง 3 ปีครึ่ง เขาบอกได้เลยว่า เขาไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว

Wesly Thomas ได้พูดถึงการเปิดเสรีเรื่องกัญชาที่ตอนนี้สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย มีร้านขายกัญชาอยู่มากมาย แต่ก็ไม่สามารถเสพในที่สาธารณะได้ จุดนี้ทําให้เขาคิดถึงโคลอมเบีย และราคากัญชาที่นั่นก็ถูกมากเมื่อเทียบกับไทยที่ราคายังถือว่าสูงอยู่ หลังจากนั้นเขาได้ออกเดินหาอะไรรับประทาน ในระหว่างที่เดินไปตามข้างทางเขารู้สึกสบายใจ และไม่ได้รู้สึกว่าแตกต่างไปจากคนที่นี่ ด้วยการที่เป็นคนเชื้อสายเอเชีย ซึ่งถ้าไม่ได้พูดคุยกับใคร ทุกคนก็คงคิดว่าเขาเป็นคนไทย ไม่มีใครสนใจเลย แม้ว่าเขากําลังถ่ายวิดีโออยู่ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ดี 

Wesly Thomas เผยว่า ตอนที่อยู่โคลอมเบีย เขาได้เรียนภาษาสเปนอย่างจริงจัง เพื่อที่จะสามารถสื่อสารกับคนที่นั่นได้ และยังเป็นภาษาที่เขาสนใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ในเมืองไทยเขาไม่คิดว่าจะเรียนภาษาไทย เว้นเสียแต่ว่าจะตัดสินใจอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ฉะนั้น เขาจะใช้ชีวิตในการเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ของที่นี่ ในฐานะนักท่องเที่ยวจริง ๆ

หลังจากที่ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง Wesly Thomas ตั้งข้อสังเกตว่า ในเมืองไทย คุณจะมีโอกาสเจอคนที่มีประสบการณ์ในการทํางาน หรือทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงสิ่งเดียวมานานหลายสิบปี และเขาได้ยกตัวอย่างร้านอาหารร้านนึงที่เปิดมายาวนานถึง 40 ปี ซึ่งเขาเคยคิดว่า คนพวกนี้อาจจะคิดอะไรแคบ ๆ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเป็นส่วนประกอบสําคัญของชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนขายของข้างทาง หรือแม้แต่ตํารวจ ที่คนกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้รวมตัวกันจนเกิดเป็นชุมชนขึ้นมา

Wesly Thomas เดินสํารวจต่อพร้อมบอกว่า เขารู้สึกดีมากที่เห็นคนเชื้อชาติต่าง ๆ เดินเล่นตามที่สาธารณะอย่างสบายใจและปลอดภัย ซึ่งมันต่างจากที่ลาตินอเมริกาที่ทั้งอันตรายและมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอยู่เสมอ จนดูเหมือนว่า การขโมยสิ่งของจากคนอื่น เป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทั้งนี้ ชาวโคลอมเบีย เป็นคนที่มีความเป็นชาตินิยมสูง แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ คนโคลอมเบียด้วยกันเอง หลังจากที่ได้เดินสํารวจมาสักพัก เขาได้พบว่า มีชาวต่างชาติมากมายที่มาอยู่ที่นี่ ทั้งคนญี่ปุ่น, จีน อินเดีย, บังกลาเทศ และตะวันออกกลาง ซึ่งรู้ได้จากร้านอาหารที่นี่

Wesly Thomas ได้เข้าไปเยี่ยมชมวัดแห่งหนึ่ง ทําให้นึกถึงบรรยากาศสมัยเด็ก ๆ จึงได้ถือโอกาสนี้เข้าไปทําการสักการะพระพุทธรูปด้านใน พร้อมกับบริจาคเงินบางส่วน ก่อนที่จะออกไปหาอะไรรับประทานต่อ เขาแนะนําว่า ร้านอาหารที่มีเจ้าของเป็น ‘คนสูงอายุ’ มักจะมี ‘รสชาติที่ดี’ เพราะสูตรอาหารมักจะมีการถ่ายทอดเคล็ดลับจากเจนเนอเรชั่นก่อน มาสู่เจนเนอเรชั่นใหม่ จากนั้นเขาเดินต่อไปยังสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง พร้อมบอกว่า “กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรราว 13 ล้านคน แต่มันสะอาดมากจนน่าเหลือเชื่อ” 

Wesly Thomas ได้ทําคลิปวิดีโอสรุป ‘ความประทับใจแรก’ เกี่ยวกับเมืองไทยที่มีมากกว่า 10 อย่างด้วยกัน โดยในช่วงแรกของคลิปวิดีโอ เขาได้เปิดเผยว่า

“เมื่อ 20 กว่าปีก่อน เขาเคยมาท่องเที่ยวในเมืองไทยกับครอบครัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทําให้เขารู้สึกรักและผูกพันกับ ‘ช้าง’ จนถึงกับทํารอยสักรูปช้างอยู่บนหน้าอก

สิ่งแรกเกี่ยวกับเมืองไทยที่เขาประทับใจ คือ ‘ความหลากหลายของผู้คน’ ถ้าคุณนึกถึงคนไทย คุณอาจจะคิดว่า เป็นคนเอเชียทั่วไปที่หน้าตาเหมือน ๆ กับเขา หรืออาจจะผิวคล้ำกว่าเล็กน้อย แต่ในกรุงเทพฯ ผู้คนดูแตกต่างหลากหลายมาก มีคนจํานวนมากมาจากตะวันออกกลาง, อินเดีย, ศรีลังกา และบังกลาเทศ คนเหล่านี้อาจจะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2, 3 หรือ 4 ไปแล้ว พวกเขาพูดภาษาบ้านเกิด และสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว อาจจะเพราะไทยมีภูมิประเทศ ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของภูมิภาค ถูกรายล้อมไปด้วยประเทศต่าง ๆ มากมาย อยู่ใกล้กับอินเดีย พม่า มากกว่าอยู่ใกล้ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้”

เมืองไทยยังเป็นแหล่งผลิตเสื้อผ้าอีกด้วย คนในประเทศเพื่อนบ้านจึงเดินทางเข้ามาทําธุรกิจเสื้อผ้าที่นี่ ซึ่งนําไปสู่เรื่องที่ 2 คือ เมืองไทยมีเสื้อผ้าราคาถูก คุณภาพดีมากมาย เสื้อผ้าที่นี่ราคาถูกมาก ๆ ที่เห็นวางขายตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ก็ถูกผลิตขึ้นในเมืองไทย และเขาก็ชอบแฟชันแบบไทย ๆ มาก เขาไม่ได้จะบอกว่ามันดูมีสไตล์มากที่สุด หรือดูดีที่สุด แต่มันดูชิล ผ่อนคลาย จากเสื้อผ้าทรงหลวม ๆ กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะ ซึ่งคนที่นี่นิยมใส่กัน แต่คุณจะไม่เห็นภาพแบบนี้ในลาตินในอเมริกา เพราะมันดูไม่ดี แต่ที่นี่ให้ความสําคัญกับการใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ซึ่งส่วนตัวของเขาเองก็ชอบแบบนี้

สะท้อนให้เห็นภาพเมืองไทยที่ดูสบาย ๆ ในการใช้ชีวิต คุณสามารถหาเสื้อผ้าแบรนด์เนมใส่จากห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ในราคาที่พอ ๆ กับที่อเมริกา แต่ถ้าคุณไปหาซื้อตามสถานที่บางแห่งอย่าง ‘แพลทินัม มอลล์’ คุณจะได้เสื้อผ้าที่มีราคาถูก และมีคุณภาพที่ดีมาก ๆ จากประสบการณ์ที่เขาได้เคยไปซื้อเสื้อผ้าหลายตัวที่นั่น ในราคารวมทั้งหมด เพียง 50 ถึง 60 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น เขาเลยอยากจะแนะนําให้คนดู เลิกซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนม และหันไปซื้อจากสถานที่พวกนี้แทน

Wesly Thomas เล่าต่อว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ปลอดภัยมาก อาจจะเพราะในภาพรวมที่เมืองไทยเป็นสังคมพุทธ จริงอยู่… คุณอาจจะเจอผู้หลอกลวงต้มตุ๋น พยายามหลอกเอาเงินจากคุณตามสถานที่ต่าง ๆ แต่ถ้าพูดถึงอาชญากรรมที่รุนแรงกว่านั้น อย่างการโจรกรรม หรือการลักพาตัว อย่างที่มักจะเจอในโคลอมเบีย คุณไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนั้นหากมาอยู่ที่นี่ อีกอย่างการที่เป็นคนเอเชียหน้าตาไม่ต่างไปจากคนที่นี่ ทําให้เขาสามารถกลมกลืนกับสังคมเมืองไทยได้อย่างแนบเนียน

ในใจกลางกรุงเทพฯ คุณจะได้ยินเสียงดังต่าง ๆ โดยรอบ จากการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ และรถโดยสาร แต่ในย่านที่เขาพักอาศัยอยู่ มันเงียบสงบมาก แทบไม่ได้ยินเสียงอะไรจากถนนเลย ส่วนในโคลอมเบีย คุณจะเจอคนเล่นดนตรีตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีเสียงดังมากทั้งวัน แต่ในเมืองไทยไม่มีเลย คนที่นี่ชอบอยู่เงียบ ๆ สบาย ๆ

เรื่องที่น่าสนใจต่อมาคือ การหารับประทานได้ง่ายมาก ๆ ที่นี่มีร้านอาหารดี ๆ เต็มไปหมด แม้แต่ในห้างสรรพสินค้า อาหารอร่อยและราคาถูก แต่เขาชอบรับประทานตามร้านอาหารทั่วไปมากกว่า เพราะรสชาติดีกว่าและราคาก็ถูกมาก ๆ

เหตุผลอีกอย่างที่ต้องการมาเมืองไทย คือการมาเรียน ‘มวยไทย’ ซึ่งเขาเคยเรียนทั้งการชกมวย บราซิลเลียนยิวยิตสู และเทควันโดมาก่อน โดยเขาวางแผนที่จะไปเรียนมวยไทยที่เชียงใหม่ ซึ่งยิมมวยไทยที่นี่มีอยู่มากมายให้เลือก มันเป็นเหตุผลที่หลายคนเลือกเดินทางมายังเมืองไทยด้วย เขาชอบการที่มวยไทยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่นี่ ซึ่งช่วยทําให้คนมีระเบียบวินัยและรักสันติ มันสอนให้เรารู้จักการให้ความเคารพผู้อื่น นั่นเป็นเหตุผลที่ทําให้เขารักศิลปะการต่อสู้ นักชกที่ดีที่สุดก็มักจะเป็นคนที่สงบเสงี่ยมที่สุด คุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคุณอาจจะถูกใครสักคนที่เรียนมวยไทยเตะเอาก็ได้ นั่นทําให้ลดโอกาสในการกระทบกระทั่งกัน การเรียนศิลปะการต่อสู้จึงช่วยลดโอกาสการเกิดความวุ่นวายในสังคม อีกอย่างมันยังช่วยให้คุณสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นอีกด้วย

Wesly Thomas ได้ตัดภาพไปที่ห้องน้ำในที่พัก ซึ่งเขาได้เล่าต่อว่า ห้องน้ำที่นี่ เวลาคุณอาบน้ำทุกอย่างจะเปียกไปหมด เพราะมันอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทั้งส่วนที่ใช้อาบน้ำและโถส้วม แต่ด้วยอากาศที่ร้อนในเมืองไทย ทุกอย่างสามารถแห้งได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งข้อดีของมัน เหมือนคุณได้ทําความสะอาดห้องน้ำเป็นประจํา มันดูสมเหตุสมผลดีที่จัดเลย์เอาท์ห้องน้ำแบบนี้ เครื่องทําความอุ่นที่นี่ก็ต่างไปจากโคลอมเบีย หรือแม้แต่เวียดนาม ที่มักจะใช้เครื่องทําความอุ่น ติดตั้งอยู่ทางด้านหลังของฝักบัว ในขณะที่เมืองไทย มีเครื่องทําความอุ่นแยกออกมาต่างหาก

เรื่องต่อมาคือการเปิด ‘เสรีกัญชา’ ซึ่งไทยเพิ่งเปิดเสรีกัญชาไปได้ราว 1 ปีกว่า ๆ แทบทุกแห่งที่คุณไป คุณจะเห็นร้านกัญชาเต็มไปหมด

อีกเรื่องคือ ในโคลอมเบีย คุณจะเห็นสาวสวยมากมาย แต่ในเมืองไทย อเมริกา และในอีกหลายประเทศ เขาขอพูดตรง ๆ ว่า คุณจะกลับมาสู่ความเป็นจริง มันไม่ได้มีสาวสวยมากมายเหมือนในโคลอมเบีย เขาไม่ได้กําลังจะบอกว่า เมืองไทยไม่ได้มีคนสวยเหมือนในโคลอมเบีย เขาเพียงแต่คิดว่าคนที่นี่ไม่ให้ความสําคัญกับการแต่งตัวสวย ๆ เหมือนในประเทศอื่น อย่างโคลอมเบีย หรือในประเทศแถบเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ผู้คนที่นี่เลือกที่จะแต่งตัวแบบสบาย ๆ มากกว่า บางทีเขาอาจจะต้องลองไปเดินตามห้างหรู ๆ หรือที่ที่มีคนรวยอาศัยอยู่

ในเมืองไทยยังมีร้านสะดวกซื้ออย่าง ‘เซเว่น อีเลฟเว่น’ เต็มไปหมด และมีทุกอย่างขาย รวมไปถึงยารักษาโรคบางอย่างอีกด้วย

สิ่งที่เขาสังเกตเห็นอีกอย่างก็คือ ชาวยุโรปจํานวนมาก ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นชาวดัตช์ อังกฤษ เยอรมัน หรือแม้แต่คนอเมริกัน ต่างพยายามปรับตัวให้เข้ากับ ‘วัฒนธรรมไทย’ พวกเขาไม่ได้พยายามจะนําสิ่งต่าง ๆ ในตะวันตกมาใส่ให้กับสังคมไทย ต่างจากที่โคลอมเบียที่ทุกอย่างแทบจะเป็นนาฬิกาไปแล้ว เมืองไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่พวกเขาสามารถรักษาความเป็นไทยเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะภูมิใจในความเป็นไทยมาก ๆ พวกเขาจึงพยายามรักษาวัฒนธรรมไทยเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง

Wesly Thomas เผยว่า ในเมืองไทยทิศทางการขับรถจะสวนทางกับที่อื่น ๆ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น ทุกแยกของถนนจะมีสัญญาณไฟนับเวลาถอยหลัง

เมืองไทยเป็นประเทศที่มี ‘พระมหากษัตริย์’ ทรงเป็นประมุข คุณสามารถสังเกตได้จากพระบรมฉายาลักษณ์ ตามสถานที่ต่าง ๆ เต็มไปหมด

“ในเมืองไทยคงไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเท่ากับการได้นั่งวินมอเตอร์ไซค์ โดยที่ไม่ได้สวมหมวกกันน็อกอีกแล้ว” ก่อนที่ Wesly Thomas กล่าวทิ้งท้าย โดยเขายังได้พูดถึงเชียงใหม่สถานที่ท่องเที่ยวต่อไปของเขา และนั่นก็คือความประทับใจแรกต่อเมืองไทย ในสายตาของหนุ่มชาวอเมริกัน ที่นําเสนอมุมมองบางอย่าง ที่อาจจะแตกต่างไปจากนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top