Monday, 29 April 2024
สงครามโลกครั้งที่2

Trümmerfrau ‘เหล่าสตรี’ ผู้เก็บกวาดเศษซากปรักหักพังของเยอรมนี หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒


ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อาคารบ้านเรือน ๓.๖ ล้านหลัง จาก ๑๖ ล้านหลัง ใน ๖๒ เมืองของเยอรมนีถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองจนพังราบ และอีก ๔ ล้านหลังได้รับความเสียหาย 

ครึ่งหนึ่งของอาคารบ้านเรือนทั้งหมด โครงสร้างพื้นฐานกว่าร้อยละ ๔๐ และโรงงานมากมายหลายพันแห่งได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ประมาณว่า ทำให้มีเศษหินหรืออิฐประมาณ ๕๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร (คิดเป็นปริมาตรที่มากกว่าหินที่ใช้สร้างมหาพีระมิดแห่งกิซา ๑๕๐ เท่า) และทำให้ชาวเยอรมันราว ๗.๕ ล้านคนกลายเป็นคนไร้บ้าน

นับตั้งแต่การโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ชาวเยอรมันต่างก็คุ้นเคยกับการเก็บกวาดซากเศษอันเกิดจากความเสียหายของการทิ้งระเบิด ซึ่งงานเก็บกวาดเหล่านี้ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยแรงงานบังคับและเชลยศึก แต่หลังจากสิ้นสุดสงคราม พวกเขาไม่สามารถใช้แรงงานเหล่านั้นได้อีกต่อไป ดังนั้นชาวเยอรมันจึงต้องทำงานเก็บกวาดเศษซากปรักหักพังต่าง ๆ ด้วยตนเอง
 

Trümmerfrau (The rubble woman) เป็นภาษาเยอรมันที่เรียกหญิงซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ออกมาช่วยเก็บกวาดซากเศษ รวมถึงการสร้างเมืองที่ถูกทิ้งระเบิดในเยอรมนีและออสเตรียขึ้นใหม่ เมืองหลายร้อยแห่งได้รับความเดือดร้อนจากการทิ้งระเบิด และความเสียหายจากเพลิงไหม้จากการโจมตีทางอากาศและสงครามภาคพื้นดิน และด้วยผู้ชายจำนวนมากที่เสียชีวิตหรือตกเป็นเชลยศึก ภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้จึงตกอยู่กับหญิงชาวเยอรมันจำนวนมาก

ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๙ ภายใต้การยึดครองของกองกำลังสัมพันธมิตรทั้งในเยอรมนีตะวันตกและเยอรมนีตะวันออก ได้มีคำสั่งให้หญิงชาวเยอรมันทุกคนที่มีอายุระหว่าง ๑๕ ถึง ๕๐ ปี ต้องมีส่วนร่วมในการทำความสะอาดเก็บกู้จัดการเศษซากปรักหักพังอันเกิดจากสงคราม โดยทำงานนี้เพื่อแลกกับอาหาร (ซุป) เมื่อสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวัน

และเนื่องจากการสูญเสียชายชาวเยอรมันในสงคราม ทำให้มีประชากรหญิงมากกว่าประชากรชายในเยอรมนีถึงเจ็ดล้านคน
 

ตอนแรก ๆ งานที่ออกมายังไม่เรียบร้อย ทั้งยังไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก โดยมีรายงานว่า เศษหินหรือเศษอิฐ มักถูกทิ้งลงไปในปล่องระบายอากาศของรถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งต่อมาต้องรื้อถอนออก ตามปกติบริษัทเอกชนจะได้รับมอบหมายให้ขนย้ายเศษซากปรักหักพังออกไป พร้อมกับอนุญาตให้จ้างผู้หญิงเพื่อทำงานดังกล่าว โดยงานหลักคือการรื้อถอนส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่เหลือรอดจากการทิ้งระเบิด แต่ไม่มีความปลอดภัยพอและไม่เหมาะสำหรับการซ่อมแซมปรับปรุง

ปกติแล้วการทำงานแบบนี้จะไม่ใช้เครื่องจักรกลหนัก โดยมีเครื่องมือหลักคือ ค้อน เลื่อย จอบ บุ้งกี๋ และรอกกว้านมือหมุน หลังจากรื้อซากปรักหักพังแล้ว ส่วนที่เหลือจะต้องถูกรื้อถอนเพิ่มเติมต่อไป 

14 สิงหาคม พ.ศ.2488 สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงอย่างเป็นทางการ หลังพระจักรพรรดิญี่ปุ่น ประกาศยอมแพ้

14 สิงหาคม พ.ศ. 2488 สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) ในแปซิฟิก-เอเชีย ยุติลงอย่างเป็นทางการ ภายหลังจากจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร

พระจักรพรรดิ ฮิโรฮิโต (Emperor Hirohito) แห่งญี่ปุ่นทรงประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรผ่านทางวิทยุกระจายเสียงทั่วญี่ปุ่น (นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกว่าพันปีที่คนญี่ปุ่นได้ยินเสียงจักรพรรดิของตน) ภายหลังจากที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูสองลูกเมื่อวันที่ 6 และ 9 สิงหาคมที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ส่งผลให้ฝ่ายญี่ปุ่นเสียชีวิตกว่าสองล้านคน บ้านเมืองเสียหายยับเยิน

ทรงปิดทองหลังพระ ย้อนอดีต 'ในหลวง ร.9 - สมเด็จพระพันปีหลวง' นำพาไทยพ้นวิกฤติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

(13 ส.ค. 65) ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมเกียรติ โอสถสภา ระบุว่า...

ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ นำไทยพ้นวิกฤตสงครามโลกครั้งที่ 2 

เมื่อนักข่าวต่างชาติถามในหลวงว่า ทำไมจึงไม่ค่อยยิ้ม ทรงชี้ไปที่สมเด็จพระนางเจ้า แล้วบอกว่า 'That is my Smile'

สงครามโลกครั้งที่สองจบลง

หลังจากนั้นก็เป็นเวลาซ่อมเศรษฐกิจ และจ่ายหนี้มหาศาลของคนไทย
หนี้สงครามเยอะมาก ต้องจ่ายข้าวให้อังกฤษ 3 ล้านตัน
มีสัญญาห้ามขุดคอคอดกระด้วย
ค่าเงินก็อ่อน ไม่มีรายได้ ญี่ปุ่นมาพิมพ์เงินฟรีไปมาก สมัย ร.4 หนึ่งบาทเท่ากับหนึ่งปอนด์เชียวนาครับ หลังสงครามค่าเงินปอนด์หนึ่งปอนด์เท่ากับ 80 บาท ค่าเงินบาทตกไป 20 เท่า คิดเป็นเงินเฟ้อกี่ % หรือ
เอาว่าก่อนปี 2500 ประเทศไทยจนมาก แร้นแค้น ไม่มีถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โรงพยาบาล หมอ พยาบาล โรงเรียน คือมีบ้าง เป็นบางที่ คนส่วนใหญ่อาศัยกระต็อบหลังคามุงจาก
มีปัญหาว่าข้าวจะไม่พอกิน ไก่ หมูเป็นของหายาก ใช้หนี้กันยาวนาน

พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์ในปี 2489 ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก
อันตรายจากคนในรัฐบาล บ้างก็แนวฮิตเลอร์ บ้างก็แนวบอลเชวิก
ทรัพย์สิน เช่น ที่ดินของพระมหากษัตริย์แถวรอบวังสวนจิตร สามเสน ศาลาแดง สีลม ถูกเอาไปขายแบ่งกัน
สถิติปี 2503 ที่ฝรั่งมาสำรวจให้ UN Escap ไทยมีรายได้ต่อหัวต่ำสุดในเอเชีย ต่ำกว่ามาเลย์ 4 เท่า ต่ำกว่าเวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า อินเดีย ฟิลิปปินส์ แค่ 2000 บาทต่อคนต่อปี
ต่ำกว่าญี่ปุ่น 8 เท่า ญี่ปุ่นสร้างเครื่องบิน เรือรบ เหล็ก เป็นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว

>> รัชกาลที่ 9 ในหลวงของเรา ทรงพลิกฟื้นสถานะไทยกับต่างประเทศ

สถานการณ์ยุคนั้นคือ

ไทยต้องการมิตรประเทศเพื่อมาป้องกันอันตรายจากภัยคุกคามรอบบ้าน
ไทยต้องการเงินเพื่อมาลงทุนสร้างถนน น้ำ ไฟฟ้า เขื่อนกันน้ำท่วม การศึกษา โรงพยาบาล
ไทยต้องการให้มีการลงทุนสร้างอุตสาหกรรม และบริการ ขยายการเกษตร สร้างงานให้คน
ไทยต้องการการยอมรับนับถือจากต่างชาติ ให้คนลืมสงครามโลกครั้งที่สอง
ไทยต้องการพัฒนาให้เท่าเทียมประเทศเพื่อนบ้าน
ในหลวงเสด็จประพาสประเทศในตะวันตก 14 ประเทศ หกเดือนเต็ม พร้อมพระราชินี มีมรว คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นแม่กองจัดการ ท่านผู้นี้เป็นแม่กองจัดการเสด็จต่างจังหวัดด้วย
โชคดีของคนไทย

พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ตรัสได้หลายภาษา อย่างดีมาก ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เข้าใจขนบ วัฒนธรรม และทรง witty แบบฝรั่ง ทั้งความสง่างาม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แพ้ใครในโลก

ทรงน่าเกรงขาม แต่นุ่มนวล และเป็นมิตร ไม่มีคนไทยคนไหนทำได้ขนาดนั้น

การที่ทรงศึกษาที่สวิสนั้น คนยุโรปและอเมริกาถือว่าสุดยอดแห่งอารยธรรม เป็นสังคมที่สร้างคนที่เข้าใจอารยธรรมหลากหลาย

ทั้งสองพระองค์มีพระบุคลิกภาพที่เป็นที่ชื่นชมของคนในทุกประเทศ สมเด็จพระนางเจ้านั้น ได้ชื่อว่าเป็นพระราชินีที่สวยที่สุดในโลก รูปถ่ายลงปกหนังสือพิมพ์ ออกทีวีกันมากมาย ตอนนั้นผมเป็นเด็ก ภูมิใจมาก

ทั้งสองพระองค์นั้นทรงเป็นนักการต่างประเทศ และนักการทูตที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด ประสบการณ์นะครับ
ทรงมีพระ nobility มาก การเสด็จเยือนจึงได้ความเคารพนับถือจากประมุขประเทศ หัวหน้ารัฐบาล รัฐบาล ต่างประเทศ
และที่สำคัญประชาชนของประเทศนั้นๆ ออกมารอรับกันเนืองแน่น ต้อนรับใหญ่โตมากๆ ข่าวกระจายจากที่หนื่งไปอีกที่หนื่ง
ในยุคนั้นสถาบันกษัตริย์ในยุโรปสูงส่งมาก นี่เป็นคุณต่อประเทศไทยที่มีสถาบันกษัตริย์

จากการเสด็จเยือนของทั้งสองพระองค์ ต่อมาประมุข และหัวหน้ารัฐบาลเหล่านั้นก็มาเยือนประเทศไทยอีก ชื่อประเทศไทยปักสง่างามบนแผนที่โลก

ต่อมา ทรงเสด็จเยือนประเทศในเอเชีย เมื่อทรงได้รับมาตรฐานระดับสูงลิ่วนั่น แถวเอเชียก็ต้อนรับยิ่งใหญ่มาก เชิงแข่งนิดๆ

คนไทยภูมิใจกันสุดๆ นี่คือการทูตที่ดีที่สุดของไทย

ยุคโลกสองขั้ว พระองค์ท่านช่วยให้ประเทศไทยยืนถูกข้าง ไม่ล้ม
สมัยพวกผมเรียนมหาวิทยาลัย ประธานาธิบดี กษัตริย์ หัวหน้ารัฐบาลต่างๆ จะมาเมืองไทยกันถี่ยิบ สมเด็จพระนางเจ้าจะทรงตรัสในหอประชุมว่า ข้าพเจ้าจะมีแขกมาเยือน ช่วยกันหน่อยนะ
พวกผมก็ได้ทำประโยชน์เช่นไปยืนเข้าแถวรับบ้าง แปรอักษรบ้าง นั่งปรบมือในหอประชุมบ้าง ใครมากล่าวหาพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านแบบไม่รู้เรื่อง คนไทยโกรธ เพราะพวกเราถือว่าเป็นงานของเราคนไทยทั้งชาติ ที่ช่วยกันทำ

>> ประเทศไทยได้อะไร

ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เรื่องไทยเป็นประเทศแพ้สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี หายไป
มีเงินช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา พร้อมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เขื่อนเจ้าพระยายุคนั้น 3500 ล้านเอง ทุนเรียนนอกเยอะมาก
ตลาดสินค้าเปิด มีการลงทุนเข้ามามาก ตั้งแต่นั้น
การท่องเที่ยวก็เริ่มจากราว 1 ล้านคนมาจนปัจจุบัน
เป็นยุคของการฟื้นฟูอารยธรรม วัฒนธรรม อวดแขกเมือง แพร่ไปทั่วโลก
เป็นยุคที่ประมุขต่างประเทศเสด็จเยือนต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ จนกลายเป็นเมืองระดับโลก
เป็นจุดเริ่มต้นของการมาทำข่าวประเทศไทยไปทั่วโลกครับ

คนรุ่นผมเรียนรู้จากการช่วยงานพระองค์ท่านกันทั้งประเทศ
เราจึงภูมิใจมาก ที่พระประมุขของเราทรงฉลาด เยี่ยมยอด เปี่ยมความสามารถ
วันนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงเป็นพระราชินีผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดของโลกนะครับ

2 กันยายน พ.ศ. 2488 สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ หลังญี่ปุ่นลงนามยอมจำนน บนเรือรบมิสซูรี

มาโมรุ ชิเงมิตซึ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น (ในขณะนั้น) ในนามของพระจักรพรรดิลงนามในเอกสารยอมจำนน เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 ถือเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ

ในวันที่ 2 กันยายน 1945 (พ.ศ. 2488) มาโมรุ ชิเงมิตซึ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น (ในขณะนั้น) ในนามของพระจักรพรรดิลงนามในเอกสารยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อกลุ่มสัมพันธมิตรเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดลงของ สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ

การลงนามมีขึ้นบนเรือรบมิสซูรีของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลอยลำอยู่เหนืออ่าวโตเกียว โดยพิธีลงนามใช้เวลาเพียง 20 นาที เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องลงนามทั้งสิ้น 12 รายชื่อ

กุหลาบแห่งโตเกียว ‘Tokyo Rose’ อาวุธร้ายแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่ใช้โจมตีขวัญกำลังใจของทหารสัมพันธมิตรใน WW II

ขึ้นชื่อว่าสงคราม หลายคนคงจะนึกถึงการใช้ความรุนแรง อาวุธ หรือกำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คาดหวังหรือมุ่งหมาย แต่จริงๆ แล้วในการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญมากกว่าอาวุธและขาดไม่ได้เลยคือ ‘สงครามจิตวิทยา’ (Psychological warfare) 

‘สงครามจิตวิทยา’ คือการทำสงครามที่ใช้ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาที่มุ่งเน้นให้เกิดผลกระทบต่อ ‘ความคิด’ และ ‘ความเชื่อ’ ของบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อร่วมกับปฏิบัติการจิตวิทยา 

สงครามจิตวิทยานั้นสามารถทำได้ทั้งในยามสงบและยามสงคราม ทั้งฝ่ายข้าศึกและฝ่ายเดียวกัน รวมถึงฝ่ายเป็นกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการทหาร ในระดับยุทธศาสตร์ ยุทธการ และระดับยุทธวิธี

เมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เช่นกัน ในสมรภูมิตะวันออก (เอเชีย-แปซิฟิก) สงครามจิตวิทยาที่กองทัพญี่ปุ่นนำมาใช้กับกองกำลังสัมพันธมิตรคือ ‘การโฆษณาชวนเชื่อทางวิทยุ’ โดยหญิงที่ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีฉายาว่า ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo Rose) อันเป็นชื่อที่ทหารกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ปฏิบัติการในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ใช้เรียกโฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษราว ๆ ๑๒ นาง

โฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายขวัญและกำลังใจของกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ฟังการแพร่สัญญาณ โดยเน้นย้ำถึงความยากลำบากในการทำสงครามและความสูญเสียทางทหารที่เกิดขึ้นมากมาย ผู้ประกาศหญิงหลายคนดำเนินการโดยใช้นามแฝงที่แตกต่างกัน และกระจายเสียงในเมืองต่าง ๆ ทั่วดินแดนที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครอง รวมถึง โตเกียว มะนิลา และเซี่ยงไฮ้ 

ทั้งนี้ ชื่อ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ไม่เคยถูกใช้โดยฝ่ายญี่ปุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1943 ทหารอเมริกันในแปซิฟิกมักฟังการแพร่สัญญาณโฆษณาชวนเชื่อเพื่อรับทราบถึงผลของการปฏิบัติทางทหารของพวกตน โดยจับความหมายโดยนัย นอกเหนือจากการปฏิบัติแล้ว ยังมีการขวัญในหมู่ทหารอเมริกันว่า เรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอ มักมีความแม่นยำอย่างน่ากลัว สามารถกล่าวถึง หน่วยทหารและกระทั่งชื่อของทหารบางคนได้ แม้ว่าเรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอเหล่านี้ไม่เคยมีเอกสารพิสูจน์ เช่น บทและการแพร่สัญญาณที่ถูกบันทึกเอาไว้ 

Iva Ikuko Toguri D'Aquino (4 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 – 26 กันยายน ค.ศ. 2006) เป็นนักจัดรายการและนักจัดรายการวิทยุชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยร่วมจัดรายการวิทยุภาษาอังกฤษที่ส่งโดย Radio Tokyo ไปยังกองทหารสัมพันธมิตรในรายการวิทยุ The Zero Hour แม้ว่าเธอจะออกอากาศโดยใช้ชื่อ ‘Orphan Ann’ แต่ Iva Toguri ก็เป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Tokyo Rose’ 

Iva Toguri เป็นพลเมืองอเมริกัน เกิดที่นครลอสแองเจลิส พ่อ-แม่ของเธอเป็นผู้อพยพชาวญี่ปุ่น จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตนครลอสแองเจลิส ในปี ค.ศ. 1940 ด้วยปริญญาตรีด้านสัตววิทยา 

ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 เธอต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมอาการป่วยของญาติ โดยพักอยู่กับครอบครัวของป้า ก่อนการโจมตีอ่าวเพิร์ลของกองทัพญี่ปุ่น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกใบรับรองประจำตัวให้เธอ เพราะเธอไม่มีหนังสือเดินทาง และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน Iva Toguri ได้ยื่นขอหนังสือเดินทางต่อรองกงสุลสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น โดยระบุว่า เธอต้องการกลับบ้านในสหรัฐฯ 
 

คำขอของเธอถูกส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ และท้ายที่สุดเธอไม่สามารถเดินทางออกจากญี่ปุ่นได้เมื่อเกิดสงครามกับสหรัฐอเมริกา ทั้งยังไม่สามารถอยู่กับครอบครัวของป้าได้ เพราะเธอเป็นพลเมืองอเมริกัน ซ้ำร้ายเธอยังไม่สามารถรับความช่วยเหลือใด ๆ จากพ่อแม่ของเธอที่ถูกกักไว้ในค่ายกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในมลรัฐแอริโซนาอีกด้วย และที่เจ็บปวดที่สุดคือหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ (7 ธันวาคม ค.ศ. 1941) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะรับรองการเป็นพลเมืองของเธออีก

เมื่อชีวิตดูมืดมิดและมาถึงทางตัด Iva Toguri จึงต้องจำใจยอมรับงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดชั่วคราวที่ Radio Tokyo (NHK) 

ต่อมาเธอได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ประกาศของ The Zero Hour รายการโฆษณาชวนเชื่อความยาว ๗๕ นาทีอย่างรวดเร็ว ซึ่งรายการนี้ประกอบด้วย เรื่องตลก รายงานข่าว และเพลงอเมริกันยอดนิยม 

เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 เธอถูกกองทัพสหรัฐฯ ควบคุมตัวเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนที่เธอจะถูกปล่อยเนื่องจากขาดหลักฐาน เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมเห็นพ้องต้องกันว่า การออกอากาศของเธอ ‘ไม่มีพิษมีภัย’

หลังม่าน WW2 คราบน้ำตาของชาวญี่ปุ่น บนผืนธงชาติอเมริกา เมื่อค่ายกักกันยุ่น มีสภาพไม่ต่างจากนรกบนดิน

จริงๆ แล้ว อเมริกาซ่อนจุดด่างดำอัปลักษณ์ไว้ใต้ผืนธงชาติมากมาย เลยต้องคุ้ยประวัติศาสตร์บางด้านมาเล่าสู่กันฟัง  

สงครามโลกครั้งที่สองเป็นการรบกันระหว่างมหาอำนาจสองขั้วคือ ฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตร  

ฝ่ายอักษะคือ ญี่ปุ่น, เยอรมัน และอิตาลี ส่วนสัมพันธมิตรคือ ฝรั่งเศส, อังกฤษ, รัสเซีย และจีน ส่วนอเมริกาตอนนั้นยังนอนแคะสะดือดูสถานการณ์ ไม่ได้ร่วมหัวจมท้ายกับใครช่วงต้นสงคราม  

แต่อเมริกานอนเกาไข่เล่นได้ไม่นาน เช้าตรู่วันที่  7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ฝูงบินญี่ปุ่นก็ถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ที่ฮาวาย ทหารอเมริกันตายเพียบ เล่นเอาอเมริกันทั้งประเทศเต้นผางอย่างโกรธแค้น ชะ..ไอ้พวกแจ้บ (คำนี้ใช้เรียกชาวญี่ปุ่นในอเมริกาเวลานั้น) บังอาจมาหย่อนระเบิดบ้านกูได้

อเมริกันนั้นยัวะมาก ประกาศสงครามดังลั่นโลก พอวันรุ่งขึ้นวันที่ 8 ธันวาคม ลุงแซมประกาศสงครามกับญี่ปุ่นทันที แถมแรงแค้นยังกระเพื่อมไปถึงชาวญี่ปุ่นทุกคนในอเมริกา โดยเฉพาะฮาวาย ซึ่งเวลานั้นมีชาวญี่ปุ่นมาตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก รัฐบาลอเมริกันออกกฎหมายบังคับให้คนญี่ปุ่นในอเมริกา ทิ้งบ้านเรือนร้านค้า แล้วกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในค่ายกักกัน ถึงแม้ชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นจะได้สัญชาติอเมริกันก็ตาม หรือแม้แต่ชาวญี่ปุ่นที่เกิดในอเมริกา ซึ่งได้สัญชาติอเมริกันตั้งแต่เกิด แต่รัฐบาลไม่แคร์กับสิทธิเสรีภาพของพลเมืองอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นเหล่านี้แต่อย่างใด

ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 9066 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942  มอบอำนาจให้ผู้บังคับบัญชาทหารท้องถิ่นกำหนด "พื้นที่ทหาร" เพื่อลงดาบบุคคลใดก็ตามที่มีบรรพบุรุษชาวญี่ปุ่น พูดง่ายๆ คือลากพวกนี้ไปเข้าค่ายกักกันให้หมดนั่นเอง  

คำสั่งนี้เหมือนฝันร้าย ทำให้ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นนับแสนต้องทิ้งบ้านเรือนร้านค้าที่ตัวเองเป็นเจ้าของ  เอาติดตัวไปแต่เพียงเสื้อผ้า เพื่อเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันตามคำสั่ง แถมรัฐยังยึดที่ดิน ร้านค้า บ้านเรือน ทรัพย์สินของอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ทำให้หลายครอบครัวหมดตัวในพริบตา 

สิ่งที่รัฐบาลอเมริกันทำในเวลานั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากนาซีเยอรมันกระทำต่อชาวยิวเลยแม้แต่น้อย แต่ละครอบครัวได้รับหมายเลขยืนยันตัวบุคคล สนามแข่งม้าแซนตาแอนิตาในลอสแอนเจลิสเป็นศูนย์แรกรับใหญ่ที่สุด รองรับได้มากกว่า 18,000 คน และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในคอกม้าอย่างแออัดยัดเยียด

แม้อเมริกาเพิ่งเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองในตอนท้าย และพลอยฟ้าฟลอยฝนได้รับชัยชนะไปด้วยในที่สุด แต่ความเกลียดชังและอคติที่มีต่อชาวญี่ปุ่นในอเมริกายังไม่จางหายไป ยังมีการคุมขังต่อเนื่อง มีการปล่อยตัวชาวญี่ปุ่นเหล่านี้บ้าง ก็เฉพาะที่ถูกคัดสรรแล้วว่าจงรักภักดีต่ออเมริกาจริง นอกนั้นถูกกักขังกักกันต่ออีกหลายปี แม้กระทั่งทารกแรกเกิดที่เกิดในค่ายกักกันก็ไม่ได้รับการปล่อยตัว 

ค่ายกักกันชาวญี่ปุ่นมีทั้งสิ้น 10 แห่งในหลายรัฐ ทั้งแอริโซน่า อาคันซอร์ แคลิฟอร์เนีย โคโลราโดไอดาโฮ ยูทาห์ และไวโอมิ่ง  ทั้งหมดตั้งอยู่ในสถานที่ทุรกันดาร มีสภาพความเป็นอยู่เลวร้าย ค่ายปรับทัศนคติที่รู้จักกันดีที่สุด คือ ค่าย Manzanar ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาเซียร์ร่า เนวาดา  

ค่ายกักกันทุกแห่งมีสภาพไม่ต่างจากนรกบนดิน   หลายคนตาย เพราะถูกเจ้าหน้าที่ยิง เพียงแค่เดินเฉียดกำแพงค่าย ช่วงเวลาฝันร้ายในค่ายกักกันกินเวลาประมาณ 3 ปี มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยราว 2,000 คน จนกระทั่งวันที่ 18 ธันวาคม 1944 มีการประกาศยกเลิกกักกัน แต่เมื่อออกจากค่ายกักกันต้องเผชิญฝันร้ายซ้ำสอง เพราะสิ้นเนื้อประดาตัวทุกครอบครัว

สภาพ ‘สยาม’ ภายใต้การนำของ ‘จอมพล ป.’ คนรวยอยู่เหนือกฎหมาย คนจนกลายเป็นโจร

ใครที่ได้ดู ‘ขุนพันธ์’ ภาคแรก จะเห็นว่า ‘หลวงโอฬาร’ คนไทยใจทาส ผู้ยอมทรยศชาติอำนวยทางให้ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกอย่างสะดวกโยธิน แต่พอมาภาคสอง เราก็ได้รู้จัก ‘ไทยถีบ’ ผ่านตัวละคร ‘เสือใบ’ ผู้กล้าปล้นญี่ปุ่น ขณะที่นักการเมืองและข้าราชการไทยยอมอำนวยความสะดวกด้วยเม็ดเงินที่ได้รับ และเมื่อมาถึงภาคสาม ก็ได้สะท้อนของยุคการเมืองที่รุนแรงและสังคมอันเหลื่อมล้ำ สมัยหลังสงครามมหาเอเชียบูรพา คนรวยอยู่เหนือกฎหมาย คนจนถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร และข้าราชการทหารภายใต้ผู้นำเผด็จการพร้อมพิพากษาทุกคน 

ขอออกตัวก่อนว่าวันนี้ผมไม่ได้มาชวนท่านผู้อ่านไปชมภาพยนตร์เรื่อง ‘ขุนพันธ์’ นะครับ แต่ผมอยากมาชวนให้นึกถึงยุคสมัยนั้น ยุคที่เราต้องอาศัย ‘ศรัทธา’ มาก ๆ ถึงจะอยู่ได้อย่างปกติสุข 

หากจะเท้าความ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็ต้องนับเนื่องมาจากหลังการแก่งแย่งชิงดีของคณะราษฎร 2475 จนสะเด็ดน้ำ ได้ผู้นำในแบบ Supreme Leader ไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมพร้อมยกตนขึ้นเทียมเจ้าอย่าง ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ ที่บรรดาเยาวรุ่นและอาจารย์คลั่งปฏิวัติยกเป็น Idol 

ข้อดีอย่างหนึ่งในช่วงนั้นคือการสร้างความรักชาติอย่างยิ่งยวด การสร้างรัฐชาติให้คนไทยได้เป็นทหารถ้วนทั่วกัน บรรยากาศก่อนมีสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยราวกับถูกตรึงไว้ด้วยความเชื่อของผู้นำ ที่พยายามจะสร้างให้สยามเป็นมหาอำนาจ จากการได้ศึกษาจากเมืองนอกและไปดูตัวอย่างมาจากญี่ปุ่นผสมกับความเป็นฟาสซิสต์ สร้างให้เกิดรัฐนิยมที่แตกต่างไปจากทุกยุค ซึ่งในช่วงก่อน 8 ธันวาคม 2484 ประเทศเรามีความเข้มแข็งด้วยความเชื่อและรักชาติเป็นอย่างยิ่ง 

ทำไม ? ต้องก่อน 8 ธันวาคม 2484 ...ก็เพราะก่อนหน้านั้นเราเป็นมิตรกับญี่ปุ่น เราเชื่อว่าผู้นำทหารของเราจะไม่นำประเทศให้กลายเป็นกึ่งเมืองขึ้นของญี่ปุ่น เรามีความเตรียมพร้อมในการรักษาชาติ ผู้นำประเทศปลุกเร้าความรักชาติ จนเข้าขั้นคลั่งอยู่ทุกวัน เรามีนายร้อยชาย เรามีนายร้อยหญิง เรามียุวชนทหารผู้หาญกล้า แห่งปากน้ำชุมพร ผู้ต่อต้านการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นอย่างสุดกำลังเพื่อพิทักษ์แผ่นดินไทย 

วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ตั้งแต่เวลา 02.00 น. ญี่ปุ่นส่งกำลังพลเข้ารุกรานไทยในหลายพื้นที่ชายทะเลของไทยได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยจำเป็นต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาถัดมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น ญี่ปุ่นที่เคยช่วยให้ไทยได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงคืนมาจากฝรั่งเศส โดยมีคำกล่าวอ้างว่าในคืนวันที่ 7 ธันวาคม ประมาณ 23.00 น. ญี่ปุ่นได้ส่งเอกอัครราชทูตเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขออาศัยดินแดนไทยเป็นทางผ่านในการเคลื่อนทัพ แต่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อยู่ระหว่างเดินทางไปราชการที่ต่างจังหวัด เพราะคิดว่าญี่ปุ่นคงจะยังไม่ลงมือรบ ทำให้ขาดผู้มีอำนาจในการสั่งการ ส่วนฝั่งญี่ปุ่นก็ไม่คิดจะรอคำอนุญาตใด ๆ บุกขึ้นฝั่งโจมตีอย่างไม่ให้คนไทยได้รู้ตัว จึงได้เกิดการปะทะกับคนไทยผู้รักชาติตลอดการยกพล ก่อนที่จะมีประกาศให้หยุดยิงในช่วงเช้าประมาณ 07.30 น. ตามประกาศดังนี้....

“...ประกาศของรัฐบาล ได้รับโทรเลขจากจังหวัดต่าง ๆ ตั้งแต่เวลา 02.00 น. ว่าเรือรบญี่ปุ่นได้ยกทหารขึ้นบกที่จังหวัดสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และบางปู ทางบกได้เข้าทางจังหวัดพิบูลสงคราม ทุกแห่งดังกล่าวแล้วได้มีการปะทะสู้รบกันอย่างรุนแรงสมเกียรติของทหารและตำรวจไทย 07.30 น. วันนี้ รัฐบาลไทยได้สั่งให้ทหารและตำรวจทุกหน่วยหยุดยิงชั่วคราวเพื่อรอคำสั่ง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังเจรจากันอยู่ ผลเสียหายทั้งสองฝ่ายยังไม่ปรากฏ...กรมโฆษณาการ 8 ธันวาคม 2484”

ต่อมาในวันที่ 9 ธันวาคม 2484 ได้มีการเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นการด่วนเพื่อที่รัฐบาลจะได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ทางรัฐบาลได้ยินยอมให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศไทย เพื่อไปมาเลเซีย สิงคโปร์ และพม่า ‘เพราะไม่มีทางจะต่อสู้ต้านทานกำลังกองทัพญี่ปุ่นได้จึงยอมตามคำขอ’ ว่ากันว่าการประชุมครั้งนั้นเป็นการประชุมที่สลดใจเป็นที่สุด ตามบันทึกของประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ อดีตเลขาธิการรัฐสภา ว่า.... 

“มวลสมาชิกสภาได้รับทราบดังนั้นแล้ว เพราะเหตุที่ได้กล่าวแล้วว่า คนไทยทุกคนได้รับการปลุกใจให้รักชาติ ให้ทำการต่อสู้ศัตรู ตามกฎหมายกำหนดหน้าที่ของคนไทยในการรบเมื่อทราบว่ารัฐบาลยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านไป โดยไม่ได้มีการต่อสู้ตามที่เคยประกาศชักชวนปลุกใจไว้ อันตรงกันข้ามกับจิตใจคนไทยในขณะนั้น จึงทำให้การประชุมในครั้งนั้น เป็นการประชุมที่แสนเศร้าที่สุด ทั้งสมาชิกสภา รัฐมนตรี ได้อภิปรายซักถามโต้ตอบกันด้วยน้ำตานองหน้า ความรู้สึกของทุกคนในขณะนั้น คล้ายกับว่าเด็กถูกผู้ใหญ่ที่มีกำลังมหาศาลรังแก จะสู้ก็สู้ไม่ได้ ทั้งมีความวิตกว่า ประเทศไทยได้สูญเสียเอกราชอธิปไตยไปแล้ว”

สรุปคือปลุกใจอย่างบ้าคลั่ง สวนทางกับการกระทำจริง ๆ ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งความเสื่อมศรัทธาต่อผู้นำ เมื่อญี่ปุ่นเข้ามาประเทศก็เกินเงินเฟ้อเต็มระบบ เกิดความเหลื่อมล้ำตามที่กล่าวไว้ข้างต้น นักการเมือง ข้าราชการก็ใส่เกียร์ว่าง ใครกอบโกยได้ก็กอบโกย บ้างก็กลายไปเป็นโจรในเครื่องแบบ จนกระทั่งคนธรรมดากลายเป็นคนจน คนจนก็กลายไปเป็น ‘โจร’

วันสิ้นสุด ‘ยุทธนาวีที่มิดเวย์’ ในสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเป็นยุทธนาวีที่สำคัญที่สุดในแนวรบมหาสมุทรแปซิฟิก

‘ยุทธนาวีมิดเวย์’ (Battle of Midway) เป็นยุทธนาวีที่สำคัญที่สุดในแนวรบด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 4-7 มิถุนายน พ.ศ. 2485 ประมาณหนึ่งเดือนหลังยุทธนาวีทะเลคอรัล และประมาณหกเดือนหลังจากญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด จากการต่อต้านการโจมตีของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นที่มิดเวย์อะทอลล์ และเป็นการคาดโทษ ความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้ของกองเรือรบญี่ปุ่น จอห์น คีแกนได้เรียกมันว่า “ที่สุดของความประหลาดใจและเด็ดเดี่ยวอย่างคาดไม่ถึง ในประวัติศาสตร์ของการทำสงครามกองทัพเรือ” ยุทธนาวีนี้ เคยเป็นการพ่ายแพ้ที่เลวร้ายที่สุดของกองทัพเรือญี่ปุ่นในระยะ 350 หลา

หลังยุทธนาวีทั้งสอง กองเรือสหรัฐอเมริกาในมหาสมุทรแปซิฟิกเสียหายอย่างหนัก กองทัพญี่ปุ่นจึงคิดเข้าโจมตีมิดเวย์อะทอลล์ เพื่อเป็นการปิดช่องโหว่ในแนวป้องกันทั่วมหาสมุทรแปซิฟิกของญี่ปุ่น และเป็นฐานในปฏิบัติการสำหรับแผนขั้นต่อไป รวมไปถึงการทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกาที่ยังคงเหลืออยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาสามารถถอดรหัสลับของกองทัพเรือญี่ปุ่นได้เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม สหรัฐอเมริกาจึงสามารถเตรียมการป้องกันและจัดวางกำลังพล จนสามารถทำลายกองทัพเรือของญี่ปุ่นได้ ยุทธนาวีมิดเวย์ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลับมาชิงความได้เปรียบในยุทธบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเริ่มเป็นฝ่ายรุกโจมตีกองทัพเรือญี่ปุ่นจนจบสงคราม
 

Operation fish ปฏิบัติการขนย้ายสมบัติครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ของสหราชอาณาจักร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2



แหวนทองที่พลเมืองอังกฤษส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อนำไปแปรรูปเป็นทองคำแท่ง

‘Operation fish’ (ปฏิบัติการปลา) เดือนกันยายน ค.ศ.1939 รัฐบาลอังกฤษได้ออกคำสั่งให้พลเมืองทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ต้องแสดงและมอบทรัพย์สิน โดยเฉพาะทองคำของตนให้กับกระทรวงการคลัง ด้วยเมฆพายุแห่งสงครามที่รวมตัวกันทำให้รัฐบาลอังกฤษเกิดความกลัวที่สหราชอาณาจักรมีโอกาสจะเพลี่ยงพล้ำ หากกองทัพเยอรมันยกพลบุกและยึดครองเกาะอังกฤษได้สำเร็จในที่สุด เพื่อให้อังกฤษมีเงินและทรัพยากรที่จะทำการสู้รบต่อไปได้ แม้ว่าเกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษจึงตัดสินใจขนย้ายสมบัติไปยังแคนาดา ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ


ปืนพก Colt ขนาด .380 ที่ถูกสั่งซื้อโดย British Purchasing Commission

ก่อน Operation fish ได้มีการส่งขบวนเรือพร้อมทองคำและเงินมูลค่าหลายล้านปอนด์ เพื่อซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกามาแล้ว โดย British Purchasing Commission (คณะกรรมาธิการจัดซื้อของอังกฤษ) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เดิมคือ คณะกรรมการจัดซื้อของแองโกล-ฝรั่งเศส (Anglo-French Purchasing Board) มีสำนักงานอยู่ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งทำหน้าที่จัดการในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากผู้ผลิตในอเมริกาเหนือ และหลังจากการยอมจำนนของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1940 จึงกลายเป็น British Purchasing Commission คณะกรรมาธิการชุดนี้ยังรับผิดชอบต่อคำสั่งซื้อที่แต่เดิมเป็นของฝรั่งเศส เบลเยียม และต่อมาโดยนอร์เวย์ หลังจากการยอมจำนนต่อเยอรมันของประเทศเหล่านั้น


Sir Winston Churchill นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อ ‘Winston Churchill’ จัดตั้งรัฐบาลในปี ค.ศ.1940 สงครามกับเยอรมันกำลังดำเนินไปโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายย่ำแย่ เพื่อให้มีหลักประกันว่า สหราชอาณาจักรจะสามารถสู้รบต่อไปได้ แม้เกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม Churchill จึงวางแผนจัดส่งทรัพย์สมบัติของอังกฤษจำนวนมหาศาลไปเก็บเพื่อความปลอดภัยในแคนาดา จากการที่รัฐบาล Churchill ได้ใช้อำนาจในช่วงสงคราม (กฎอัยการศึก) ยึดทรัพย์สินที่ชาวอังกฤษทุกคนได้ถูกบังคับให้ลงทะเบียนเมื่อกันยายน ค.ศ.1939 และทำการขนย้ายทรัพย์สินเหล่านั้นไปยังท่าเรือ Greenock ในสกอตแลนด์ภายใต้การคุ้มกันอย่างเป็นความลับสุดยอด


เรือ HMS Emerald

จากนั้น ทรัพย์สินทั้งหมดก็ถูกขนส่งโดย ‘เรือรบ HMS Emerald’ ซึ่งออกเดินทางเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1939 พร้อมด้วยด้วยเรือพิฆาตคุ้มกันจำนวนหนึ่งได้แล่นไปยังแคนาดา การเดินทางของขบวนเรือครั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด เพื่อเป็นการรักษาความลับและลวงพรางศัตรู ลูกเรือทุกนายต้องสวมเครื่องแบบ ‘สีขาวเขตร้อน’ เพื่อสร้างความสับสนให้กับเยอรมัน ในขบวนเรือคุ้มกันประกอบด้วยเรือประจัญบาน HMS Revenge และ HMS Resolution และ HMS Enterprise รวมถึงเรือลาดตระเวน HMS Caradoc ระหว่างทางขบวนเรือเผชิญกับพายุที่รุนแรงลูกหนึ่ง ที่ทำให้เกิดคลื่นลมแรงจนขบวนเรือต้องลดความเร็วลง จนเกือบจะกลายเป็นเป้าหมายง่ายๆ สำหรับเรือดำน้ำของเยอรมันที่พยายามเข้ามามาด้อมๆ มองๆ แต่ในที่สุดขบวนเรือก็มาถึงท่าเรือเมืองแฮลิแฟกซ์ของแคนาดา ทรัพย์สมบัติของอังกฤษก็ถูกขนย้ายด้วยรถไฟ และถูกส่งไปยังกรุงออตตาวาซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคนาดา ก่อนส่งต่อไปยังนครมอนทรีออล


อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล

ทองคำแท่งน้ำหนักสองล้านปอนด์ (900 ตัน) มูลค่าราว 1.948 ล้านบาทในปัจจุบัน อันเป็นทรัพย์สินของอังกฤษ ถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยใต้ดินที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษใต้อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล ภายใต้การคุ้มกันตลอดเวลาโดย ตำรวจของ Royal Canadian Mounted และมีการปล่อยข่าวลืออย่างต่อเนื่องว่า มีการเก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักรไว้ที่นครมอนทรีออล โดยไม่มีการพูดถึงทองคำจำนวนมหาศาล เพื่อเป็นการอำพรางกิจกรรมที่เกิดขึ้นในอาคาร Sun Life โดยที่พนักงาน 5,000 คน ที่ทำงานในอาคาร Sun Life ไม่เคยสงสัยเลยว่า มีทองคำจำนวนมหาศาลถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินของอาคาร


แม้จะมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ แต่หน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็ไม่เคยทราบหรือระแคะระคายข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้เลย นักบัญชีและการเงินหลายร้อยคนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อจัดรายการเนื้อหาของทรัพย์สินที่ถูกขนย้ายมา เมื่อเสร็จปฏิบัติการแล้วก็พบว่า ‘ทองคำ’ มูลค่าราว 1.948 ล้านบาท ที่ถูกส่งจากสหราชอาณาจักรไปยังแคนาดานั้น ไม่สูญหายเลยแม้แต่แท่งเดียว



มีแผ่นหินจารึกบนกำแพงด้านนอกของ Martins Bank บนถนน Water Street ในนครลิเวอร์พูลเป็นที่ระลึกถึงทองคำ ซึ่งถูกเก็บไว้ที่นั่นระหว่างเดินทางไปแคนาดา ระบุข้อความว่า…

“ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1940 เมื่อประเทศนี้ถูกคุกคาม ทองคำสำรองบางส่วนของประเทศถูกนำมาจากกรุงลอนดอน และถูกเก็บเพื่อความปลอดภัยในห้องใต้ดินของ Martins Bank”

ตัวเลขทองคำสำรองของอังกฤษในปัจจุบันอยู่ที่ 310 ตัน (ในขณะที่ตัวเลขทองคำสำรองของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 244 ตัน) ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ไม่สามารถพิมพ์ออกมาใหม่ได้เหมือนเงิน และมูลค่าของทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการรักษามูลค่ามีมาแต่อดีต ดังนั้น เมื่อมีเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือเข้าสู่วิกฤติ ราคาทองคำจะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น ดังนั้นทองคำเป็นหลักประกันที่จับต้องได้ที่ดีสุดสุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

 

‘Adolf Eichmann’ นาซีตัวเป้งแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้หนุนการสังหารหมู่ ‘Holocaust’ กับปฏิบัติการล่าตัวข้ามโลก

‘Operation Eichmann’ ปฏิบัติการล่านาซีข้ามโลก

หนึ่งในเรื่องราวที่สุดโหดและสุดสยอง ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองก็คือ ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรป’ โดยกองกำลังของพลพรรค Nazi ภายใต้การนำของ ‘Adolf Hitler’ ผู้ที่เป็นผู้นำของเยอรมนีในขณะนั้นด้วย ทั้งยังเป็นผู้ก่อสงครามในยุโรปด้วยการรุกรานประเทศต่าง ๆ จนกลายเป็นมหาสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด

‘Holocaust’ เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งคร่าชีวิตชาวยิวในยุโรปไปมากกว่า 6 ล้านคน และ ‘Adolf Eichmann’ ก็เป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการสังหารหมู่ในครั้งนั้นด้วย Eichmann ชาวเยอรมันเชื้อสายออสเตรีย เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค Nazi และสมาชิกของกองกำลังติดอาวุธของพรรค Nazi คือ ‘Schutzstaffe’ (SS) โดยได้เข้าร่วมในปี ค.ศ.1932 ขณะที่อยู่ในออสเตรีย และเมื่อเขากลับมาเยอรมนีในปี ค.ศ.1933 เขาก็ได้เข้าร่วมกับ ‘Sicherheitsdienst’ (SD) อันเป็นหน่วยข่าวกรองของ SS เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแผนกที่รับผิดชอบกิจการเกี่ยวกับชาวยิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งพรรค Nazi ใช้ความรุนแรงและใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจกับชาวยิวในเขตยึดครอง หลังจากการปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง ในเดือนกันยายน ค.ศ.1939 Eichmann และเจ้าหน้าที่ของเขาได้จัดให้ชาวยิวไปรวมกันอยู่ในสลัมตามเมืองใหญ่ ๆ ด้วยความคาดหวังว่า พวกเขาจะส่งชาวยิวทั้งหมดไปทางยุโรปตะวันออก หรือออกไปจากประเทศ

อาคารเลขที่ 56–58 Großen Wannsee ซึ่งเป็นสถานที่จัด Wannsee Conference
ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์

20 มกราคม ค.ศ.1942 Eichmann ได้ประชุมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค Nazi และ SS ใน Wannsee Conference ใกล้กรุงเบอร์ลิน เพื่อจุดประสงค์ในการวางแผน ‘ทางออกสุดท้ายสำหรับคำถามของชาวยิว’ (The Final Solution to the Jewish Question) โดย Hermann Göring แกนนำสำคัญของพรรค Nazi กล่าวว่า พรรค Nazi ตัดสินใจที่จะกำจัดประชากรชาวยิวทั้งหมดในยุโรป Eichmann ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ประสานงานในการระบุตัวตน การรวบรวม และการขนส่งชาวยิวหลายล้านคนจากพื้นที่ถูกยึดครองในยุโรปไปยังค่ายมรณะต่าง ๆ ของพรรค Nazi ซึ่งชาวยิวถูกสังหารด้วยการรมแก๊ส ยิงทิ้ง ให้อดอาหาร หรือให้ทำงานจนตาย เขาทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวประมาณ 3 ถึง 4 ล้านคนเสียชีวิตในค่ายกักกัน และอีกราว 2 ล้านคนถูกประหารชีวิตในที่ต่าง ๆ รวมชาวยิวที่เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ที่ราว ๆ 6 ล้านคน

สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ ซึ่งมีเยอรมนีเป็นแกนนำหลัก Eichmann ถูกกองทหารสหรัฐฯ จับตัว แต่เขาใช้เอกสารปลอมแปลงที่ระบุว่า เขาคือ ‘Otto Eckmann’ เขาหนีออกจากค่ายคุมขังในปี ค.ศ.1946 ก่อนที่จะต้องขึ้นศาลอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศที่ Nuremberg มีการสันนิษฐานเขาเดินทางจากยุโรปไปตะวันออกกลาง และในปี ค.ศ.1950 ก็มาถึงอาร์เจนตินา (โดยมีข่าวว่า เขาหายตัวไปและถูกสันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งตอนนั้นระบบการตรวจคนเข้าเมืองยังคงหละหลวม และกลายเป็นที่หลบภัยสำหรับอาชญากรสงคราม Nazi จำนวนมาก เขาใช้หนังสือเดินทางกาชาดในชื่อว่า ‘Ricardo Klement’*

*Nansen passports : หนังสือเดินทาง Nansen หนังสือเดินทางสำหรับผู้อพยพลี้ภัย และคนไร้สัญชาติแบบแรกของโลก https://thestatestimes.com/post/2021042408

ในปี ค.ศ.1957 ‘Simon Wiesenthal’ ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งอุทิศตนเพื่อตามหา Eichmann และนาซีคนอื่น ๆ Wiesenthal ทราบจากจดหมายฉบับหนึ่งที่ระบุว่า ในปี ค.ศ.1953 มีผู้พบเห็น Eichmann ในกรุงบัวโนสไอเรส เมืองหวงของปะเทศอาร์เจนตินา เขาจึงได้ส่งต่อข้อมูลนั้นไปยังสถานกงสุลอิสราเอล ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียในปี ค.ศ.1954 เมื่อพ่อของ Eichmann เสียชีวิตในปี ค.ศ.1960 และ Wiesenthal ได้ให้นักสืบเอกชนแอบถ่ายรูปสมาชิกในครอบครัว กล่าวกันว่า Otto น้องชายของ Eichmann มีความคล้ายคลึงกับ Eichmann เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีรูปถ่ายขณะนั้นของ Eichmann เลย เขาได้มอบภาพถ่ายเหล่านั้นให้กับเจ้าหน้าที่ของ Mossad ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์

‘บิชอป Alois Hudal’ บาทหลวงชาวออสเตรีย 
ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือด้านเอกสารต่าง ๆ แก่ Otto Adolf Eichmann

เจ้าหน้าที่จาก Mossad และ Shin Bet หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลถูกส่งไปยังอาร์เจนตินา และในที่สุดต้นปี ค.ศ.1960 พวกเขาก็หา Eichmann เจอ โดยเขาอาศัยอยู่ในเขต San Fernando ของกรุงบัวโนสไอเรส ภายใต้ชื่อ ‘Ricardo Klement’ ซึ่งเขาได้รับความช่วยเหลือด้านเอกสารต่าง ๆ ผ่านองค์กรการกุศลในอิตาลีที่ดูแลโดย ‘บิชอป Alois Hudal’ บาทหลวงชาวออสเตรีย และเป็นผู้ที่ให้ความเห็นอกเห็นใจต่อพลพรรค Nazi เอกสารเหล่านี้ทำให้เขาได้รับหนังสือเดินทางเพื่อมนุษยธรรมของคณะกรรมการกาชาดสากล และใบอนุญาตเข้าเมืองที่เหลืออยู่ในปี ค.ศ.1950 ช่วยให้สามารถอพยพไปยังอาร์เจนตินาได้ เขาเดินทางข้ามทวีปยุโรปโดยพำนักอยู่ในอารามหลายแห่งที่ได้ถูกจัดเป็นบ้านปลอดภัย (Safe houses) เขาออกเดินทางจากเมืองเจนัวโดยเรือ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ.1950 และมาถึงกรุงบัวโนสไอเรสในวันที่ 14 กรกฎาคมในปีเดียวกัน เริ่มต้น Eichmann อาศัยอยู่ในจังหวัดทูคูมัน ซึ่งเขาได้ทำงานให้กับผู้รับเหมาของรัฐบาลอาร์เจนตินา เขาได้อพยพครอบครัวมาอาร์เจนตินาในปี ค.ศ.1952 แล้วพวกเขาก็ย้ายไปยังกรุงบัวโนสไอเรส เขาทำงานหลายอย่างซึ่งค่าตอบแทนต่ำ จนกระทั่งได้งานทำที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ และเขาได้ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก ครอบครัว Eichmann สร้างบ้านที่ 14 Garibaldi Street (ปัจจุบันคือ 6061 Garibaldi Street) และย้ายเข้าไปในช่วงปี ค.ศ.1960

‘Ben-Gurion’ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล 
ผู้สั่งให้จัดการลักพาตัว Adolf Eichmann

หลังจากมีเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลมีการยืนยันตัวตนว่า Ricardo Klement คือ Adolf Eichmann ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1960 ขณะที่อาร์เจนตินากำลังฉลองครบรอบ 150 ปี ของการปฏิวัติต่อต้านสเปน และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวนมากเดินทางมายังอาร์เจนตินา เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลอง อิสราเอลจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการลักลอบส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาในประเทศอาร์เจนตินาเพิ่มมากขึ้น ด้วยอิสราเอลรู้ว่าอาร์เจนตินามีประวัติการปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และน่าจะไม่ยอมจะไม่ส่งตัว Eichmann ให้เป็นผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อให้อิสราเอลดำเนินคดีได้ ‘Ben-Gurion’ นายกรัฐมนตรีอิสราเอลจึงตัดสินใจสั่งให้ ‘Isser Harel’ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรอง Mossad จัดการลักพาตัว Eichmann เพื่อพาตัวเขามายังอิสราเอล แม้จะผิดกฎหมายของอาร์เจนตินาก็ตาม

เครื่องบินโดยสารแบบ Bristol Britannia ของสายการบิน El Al
แบบเดียวกับที่พา Eichmann ออกจากอาร์เจนตินา

ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ.1960 เจ้าหน้าที่ของ Mossad และ Shin Bet เข้าประจำจุดที่ถนน Garibaldi ในเมือง San Fernando หลังจากเฝ้าสังเกตกิจวัตรของเขาเป็นเวลาหลายวัน โดยสังเกตว่า เขากลับจากที่ทำงานโดยรถประจำทางทุกเย็นในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของอิสราเอลวางแผนที่จะจับเขา ตอนที่เขากำลังเดินอยู่ข้างทุ่งโล่งจากป้ายรถเมล์ไปที่บ้านของเขา แผนเกือบถูกยกเลิกในวันที่กำหนดเมื่อ Eichmann ไม่ได้อยู่บนรถบัสที่เขามักจะกลับบ้าน แต่เขาลงจากรถบัสอีกคันในครึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่ของอิสราเอลปล้ำ Eichmann ลงกับพื้น และย้ายเขาไปยังรถ แล้วพาตัว Eichmann ไปยังบ้านปลอดภัยแห่งหนึ่งที่เตรียมขึ้นโดยทีมเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล Eichmann ถูกคุมขังอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 9 วัน ในช่วงเวลานั้น ตัวตนของเขาได้รับการตรวจสอบและยืนยันซ้ำอีกครั้ง ใกล้เที่ยงคืนของวันที่ 20 พฤษภาคม Eichmann ถูกนพ.Yonah Elian วิสัญญีแพทย์ชาวอิสราเอลที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมภารกิจฉีดยาสลบ โดย Eichmann ถูกจับปลอมตัวให้เป็นพนักงานสายการบิน El Al ของอิสราเอลซึ่งถูกจัดฉากว่า ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ศีรษะ พาตัวออกจากกรุงบัวโนสไอเรสด้วยเครื่องบินโดยสารแบบ Bristol Britannia ของสายการบิน El Al แล้ว 3 วันต่อมา นายกรัฐมนตรี Ben-Gurion ประกาศว่า “Eichmann อยู่ในการควบคุมตัวของรัฐบาลอิสราเอลแล้ว”

Adolf Eichmann ระหว่างการพิจารณาคดี

อาร์เจนตินาเรียกร้องให้อิสราเอลส่ง Eichmann กลับ แต่อิสราเอลแย้งว่า สถานะของเขาอยู่ในฐานะอาชญากรสงครามระหว่างประเทศ อิสราเอลจึงมีสิทธิที่จะดำเนินการพิจารณาคดี วันที่ 11 เมษายน ค.ศ.1961 การพิจารณาคดีของ Eichmann ได้เริ่มขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นการทดลองออกอากาศการพิจารณาคดีทางโทรทัศน์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Eichmann เผชิญกับ 15 ข้อหา รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมต่อชาวยิว และอาชญากรรมสงคราม เขาอ้างว่า เขาแค่ทำตามคำสั่ง ในวันที่ 15 ธันวาคม ผู้พิพากษาอิสราเอลตัดสินว่า เขามีความผิดในข้อหาทั้งหมด และลงโทษให้ประหารชีวิตเขา ในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.1962 เขาถูกแขวนคอที่เรือนจำในเมืองรัมลา ไม่ไกลจากกรุงเทลอาวีฟ การประหารชีวิตของเขามีเจ้าหน้าที่กลุ่มเล็ก ๆ เป็นสักขีพยาน ประกอบด้วย นักข่าว 4 คน และ ‘William Lovell Hull’ บาทหลวงชาวแคนาดา ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณของ Eichmann ขณะอยู่ในเรือนจำ และคำพูดสุดท้ายของเขา คือ

“ขอให้เยอรมนีจงเจริญ ขอให้อาร์เจนตินาจงเจริญ ขอให้ออสเตรียจงเจริญ นี่คือ 3 ประเทศที่ผมผูกพันด้วยมากที่สุด และผมจะไม่ลืม ผมขอลาภรรยา ครอบครัว และเพื่อนของผม ผมพร้อมแล้ว เราจะได้พบกันอีกในเร็ว ๆ นี้ เช่นเดียวกับชะตากรรมของมนุษย์ทุกคน ผมจะตายกับศรัทธาในพระเจ้า”

Adolf Eichmann ขณะอยู่ในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดี

ร่างของเขาถูกเผาในเวลาต่อมา และเถ้าถ่านของเขาถูกโปรยลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนอกน่านน้ำอิสราเอล โดยเรือลาดตระเวนของกองทัพเรืออิสราเอล

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top