Saturday, 20 April 2024
ทำร้ายร่างกาย

'ผบช.ภ.4' แจงเหตุตำรวจต้องวิสามัญชายคลั่งยา เพราะอาละวาดไล่ฟันครู ตชด.หัวแบะ

เมื่อวันที่ (9 ส.ค. 2565) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) มีรายงานว่า พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 ได้รายงานเหตุกรณีที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญคนคลุ้มคลั่งก่อเหตุทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานขณะปฎิบัติการตามหน้าที่ ต่อผู้บังคับบัญชาระดับ ตร.ตามลำดับชั้นว่า ในวัน เวลา สถานที่เกิดเหตุ วันที่ 8 ส.ค.65 เวลาประมาณ 20.30 น.ที่ถนนทางเข้าวัดภูหัวบ้าน ต.โนนทอง อ.นายูง จว.อุดรธานี โดยมีผู้เสียชีวิตคือ นายรัญญูหรือมด ทองอินทร์ อายุ 36 ปี ราษฎร อ.น้ำโสม จว.อุดรธานี มีประวัติเสพยาเสพติด

สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บ ด.ต.สะเด่น อันทะปัญญา อายุ 48 ปี ผบ.หมู่ ป.สภ.นายูง มีบาดแผลถูกมีดฟันที่ศีรษะยาวประมาณ 5 ซม.ลึกถึงกล้ามเนื้อ แต่ไม่ถึงกะโหลก แพทย์ได้ทำการเย็บแผล และให้รอดูอาการ 1 วัน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนสามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ เบื้องต้นอาการโดยรวมปลอดภัย ขณะนี้ได้ให้เพื่อนร่วมงานและญาติเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยิงคนร้าย ส.ต.อ.เฉลิมพล ชาภูธร ผบ.หมู่ ป.สภ.นายูง จว.อุดรธานี สำหรับ ของกลางในคดี มีอาวุธปืนพกสั้น ออโตเมติก ยี่ห้อซิก ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก(ที่ตำรวจใช้ยิงผู้ตาย) และอาวุธมีด จำนวน 2 เล่ม(ที่ผู้ตายใช้ก่อเหตุทำร้ายตำรวจ)

"ผบช.ภ.4 รายงานอีกว่าเหตุ" ซึ่งตามวันเวลาเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นายูง ได้รับแจ้งเหตุชายเมายาบ้าคลุ้มคลั่งใช้อาวุธมีดไล่ฟันครูที่ รร.ตชด.นาเมืองทอง ด.ต.สะเด่นฯพร้อมพวกและอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน จึงได้เข้าไประงับเหตุ เมื่อไปถึง รร.ฯปรากฎว่าชายดังกล่าวได้หลบหนีไปแล้ว จากการตรวจสอบทราบว่าชื่อนายรัญญูฯและได้หลบหนีไปที่บริเวณวัดที่เกิดเหตุ จึงได้ติดตามไปเพื่อป้องกันไม่ให้ไปก่อเหตุไล่ทำร้ายคนอื่นอีก เมื่อไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุ พบผู้ตายเดินถืออาวุธมีดอยู่ จึงได้หยุดรถเพื่อที่จะจับกุม ปรากฏว่าระหว่างที่ ด.ต.สะเด่นฯเดินลงจากรถ ผู้ตายได้วิ่งเข้าใช้อาวุธมีดพุ่งเข้ามาฟันที่ศีรษะ ด.ต.สะเด่นฯทันที

โดยที่ ด.ต.สะเด่นฯยังไม่ทันตั้งตัว ทำให้ได้รับบาดเจ็บ ระหว่างนั้น ส.ต.อ.เฉลิมพลฯเห็นว่า ผู้ตายจะเงื้อมีดทำร้ายร่างกายและก่อเหตุร้ายแรงกับ ด.ต.สะเด่นฯ จึงได้ใช้อาวุธปืนยังไปที่ผู้ตาย จำนวน 2 นัด เพื่อหยุดยั้งการกระทำ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทันที หลังเกิดเหตุจึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และนำตัว ด.ต.สะเด่นฯส่ง รพ.นายูง เบื้องต้นในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดได้เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว โดยในส่วนของ ภ.4 จะได้มอบเงินเพื่อบำรุงขวัญในลำดับต่อไป

‘สธ.’ เร่งเข้าช่วยเหลือเด็กชายวัย 14 ปี ติดกัญชางอมแงม ยายหวั่นถูกหลานทำร้าย เผย เคยโดนเอาน้ำสาดหน้า

(22 มี.ค. 66) จากเหตุการณ์ชาวบ้าน ชุมชนห้องแถว ย่านซอยเขาตาโล หมู่ 10 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พบเห็นครอบครัว ซึ่งเป็น 2 ยายหลาน อาศัยอยู่ในห้องแถวดังกล่าว ในทุก ๆ วันจะเห็นหลานชายมีพฤติกรรม ขอเงินไปซื้อกัญชาเสพ อีกทั้งยังแสดงอาการโมโหร้าย จนผู้เป็นยายต้องเดินหนีออกมา ขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านในละแวกดังกล่าว

นางดา ผู้เป็นยาย จับได้ว่าหลานชายติดกัญชาหนักมาก ต้องดูดกัญชาทุกวัน โดยจะต้องขอเงินวันละ 1-2 ร้อยบาท ไปซื้อกัญชามาเสพ หากวันไหน ไม่ได้เสพจะมีอาการหงุดหงิด จุกท้อง พูดไม่ชัด พูดจาโวยวาย ทำร้ายข้าวของ หนักสุด คือ ‘เอาน้ำในแก้วสาดใส่หน้ายาย’ ซึ่งหลังเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทุก ๆ ครั้งที่หลาน มีอาการอยากเสพกัญชาหรือหงุดหงิด ยายจะเดินหนีไปอยู่กับเพื่อนบ้านทันที เพราะกลัวหลานจะทำร้าย

ลูกสาวแฉ!! แม่ตัวเองรับญาติป่วยติดเตียงมาดูแล  หวังเงิน 8 พันบาท แต่ลับหลังทำร้าย-ให้กินข้าวบูด 

(29 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นเรื่องสะเทือนใจกรณีสาวรายหนึ่งได้โพสต์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครอบครัว หลังแม่นำญาติที่ป่วยติดเตียงมาดูแลที่บ้าน แต่ไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ควรจะเป็น โดยเผยให้เห็นสภาพเตียง ห้องที่สกปรก จานข้าวที่มีมดขึ้น

โดยมีการระบุข้อความว่า ไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ใครพูดไม่ฟัง คือแม่ เอาผู้ป่วยติดเตียงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องมาไว้ที่บ้าน เพราะอยากได้เงินจากทางญาติๆ เดือนละ 8,000 บาท  แต่ลับหลังคือตีเค้า ตบกะบาลบ้างไรบ้าง เอาข้าวบูดให้เค้ากินทุกวัน พอขี้แตก ก็ด่าก็ว่า มีแต่คนเห็น เห็นจนเอือม แต่ช่วยอะไรไม่ได้ มีหน่วยงานไหน ช่วยประสานให้ญาติมารับทีเถอะ สงสารเค้า พิการครึ่งซีก ทางญาติก็ทิ้งส่ง ทิ้งขว้าง ไม่สนใจไยดี ทั้งที่รู้เรื่อง โพสต์นี่กูขอประจาน ไม่มีความเป็นคนเลย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ แถลงผลความคืบหน้าการขยายผลคดีเว็บพนันออนไลน์ ดำเนินคดีนายตำรวจใหญ่เป็นนายทุนเบื้องหลัง

จากกรณีเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 66 กรณีนายเชิดเกียรติ ศักดิ์ศรี อายุ 24 ปี ผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กรณีถูกกลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 7 คน อุ้มจากที่พักย่านลาดพร้าว กรุงเทพฯ ไปทำร้ายร่างกายและทวงเงิน และได้เอาทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นเงินสด โทรศัพท์มือถือและแทปเล็ต รวมมูลค่าประมาณ 100,000 บาท

โดยมูลหนี้มีความเกี่ยวข้องกับการลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ม.ค.66 ในพื้นที่ สน.โชคชัย ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุได้ครบทั้ง 7 คน รวมทั้งยังดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้ความช่วยเหลือในการค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายส่งให้กลุ่มผู้ก่อเหตุอีก 1 ราย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น 

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนเร่งดำเนินการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันดังกล่าวด้วย เนื่องจากผู้เสียหายให้ข้อมูลว่า เว็บพนันดังกล่าวมีนายตำรวจเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังด้วย โดยให้ดำเนินการสืบสวนความเชื่อมโยงและไล่เส้นเงินจากผู้เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทั้งหมด

เบื้องต้นในส่วนของคดีปล้นทรัพย์นั้น ได้สรุปสำนวนฟ้องเสนอพนักงานอัยการแล้ว คดีอยู่ในชั้นศาล และในส่วนของสำนวนคดี ป.ป.ช.ซึ่งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์นั้น ป.ป.ช.ได้พิจารณาชี้มูลความผิดและส่งให้ ภ.จว.สระแก้ว ดำเนินการตามกฎหมายแล้ว 

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวพบว่า เว็บไซต์การพนันที่เกี่ยวข้องมี 3 เว็บไซต์ ได้แก่ sexy789 red789 และ blue789 โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจนในการเป็นแอดมิน และการจัดหาบัญชีม้า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้เพิ่มเติมจำนวน 9 ราย โดยได้จับกุมและแจ้งข้อกล่าวครบแล้วทั้งหมด

ประกอบด้วย
1. พล.ต.ต.เอกภพ อายุ 52 ปี (เจ้าของเว็บ)
2. พ.ต.อ.ปวริศ  อายุ 41 ปี (จัดหาบัญชีม้า)
3. น.ส.พัชวัญญ์ อายุ 39 ปี (ซุปเปอร์แอดมิน)
4. นายมนตรี   อายุ 39 ปี (ซุปเปอร์แอดมิน)
5. น.ส.อมรรัตน์   อายุ 26 ปี (จัดหาบัญชีม้า)
6. นายสนธิ์  อายุ 57 ปี (บัญชีม้า)
7. นางวันเพ็ญ   อายุ 59 ปี (บัญชีม้า)
8. นายคมเดช   อายุ 32 ปี (บัญชีม้า)
9. น.ส.กนกวรรณ อายุ 37 ปี (บัญชีม้า)

โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน

และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันโดยการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่ของทรัพย์สินนั้นหรือกระทำด้วยประการใดๆเพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ว่าในขณะได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และร่วมกันฟอกเงิน นอกจากนี้ยังได้ส่งเรื่องให้ทาง ป.ป.ง. ทราบและพิจารณาดำเนินการในการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อยึดอายัดในขั้นต่อไปแล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 6 คนที่ได้ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ในการอุ้มผู้เสียหายเพื่อนำไปทวงเงินได้แล้วนั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนได้มีการขยายผลดำเนินคดีกับเว็บไซต์การพนันออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวด้วย โดยได้ข้อมูลจากผู้เสียหายว่า มีนายตำรวจอยู่เบื้องหลังการดำเนินการดังกล่าว

จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่สืบสวนและพนักงานสอบสวน ให้มีการรวบรวมพยานหลักฐานโดยละเอียด และให้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีทุกราย แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยศใดก็ตาม ทั้งนี้ขอยืนยันว่า จะมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาครบทุกคน ไม่มียกเว้นแน่นอน

‘จิ๊บ ศศิกานต์’ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีการทำร้ายร่างกายผู้หญิง พร้อมชวนทุกคนร่วมกันต่อสู้ เพื่อให้ความรุนแรง-ทำร้ายร่างกายหมดไป

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ (จิ๊บ) อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขตบางแค ภาษีเจริญ หมายเลข 7 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ กรณีการทำร้ายร่างกายผู้หญิง โดยได้ระบุว่า ...

ในฐานะลูกผู้หญิง.. 
การถูกทำร้ายร่างกายจากคนที่เรารัก คือความเจ็บปวด
การถูกทำร้ายร่างกายจากคนที่สังคมเชิดชู คือ จุดเริ่มต้นแห่งหายนะของสังคม
ขอเชิญชวนทุกคน ร่วมกันต่อสู้เพื่อให้การใช้ความรุนแรงและการทำร้ายร่างกายต่อสตรีให้หมดไปจากสังคม เพราะฝันร้าย ต้องอยู่กับผู้กระทำ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ.

‘ครู รร.ชื่อดัง’ ฉาว!! ตบ ‘นร.ชาย’ จนหน้าหัน เพราะไม่ยอมเรียก ‘แม่’ ล่าสุดโดนสั่งพักงาน-ตั้ง กก.สอบวินัยแล้ว รับทำจริง พร้อมชี้แจงยิบ

จากกรณีที่ได้มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปแฉพฤติกรรมคุณครูผู้หญิงรายหนึ่ง พร้อมระบุข้อความว่า…

“หลานชายเราโดนครูตบหน้าอย่างแรง ด้วยเหตุผลที่ครูให้เรียกว่า ‘แม่’ แต่หลานตอบว่า ผมมีแม่คนเดียว หลานได้ขอโทษแล้วครูยังตบซ้ำ มันเกินไปไหมคะ รร.สาธิตชื่อดังย่านรามคำแหง”

จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก อาทิ
“ครูทำเกินไปมาก”
“เด็กยกมือไหว้ขนาดนั้นยังไม่หยุดตบอีก”
“เป็นครูได้ยังไง”
“แบบนี้มันเข้าข่ายทำร้ายร่างกายแล้วครับ ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนี้ ครูคนนี้ต้องรับผิด ทั้งวินัยของหน่วยงาน ทั้งกฎหมายอาญา และเยียวยาทางแพ่ง ที่สำคัญ ยังมีครูที่ใช้อำนาจ ความรุนแรงทางวาจาและร่างกาย กับนักเรียนอีกมาก ที่ไม่ถูกพบเห็น ไม่กล้าแจ้ง แจ้งแต่ไม่คืบหน้า… ทำลายทรัพยากรมนุษย์ของประเทศตั้งแต่ในโรงเรียน”

ล่าสุด วันนี้ (28 ก.ย. 66) ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายมัธยม อ.ดร.ธัชพล พลรัตน์ รองคณบดีฝ่ายโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายมัธยม ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนเพิ่งมารับตำแหน่ง ผอ. เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เห็นคลิปแล้ว และยอมรับว่าเป็นครูของโรงเรียนจริง ซึ่งเป็นครูวิชาแนะแนวของชั้นมัธยมศึกษาชั้นที่ 2 และนักเรียนคู่กรณีก็เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นที่ 2 ส่วนห้องเรียนตนขอสงวน ไม่เปิดเผย

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ผู้บริหารชุดเก่า ประมาณเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ทางผู้ปกครองของนักเรียนดังกล่าว ซึ่ง 1 ในผู้ปกครองเป็นคุณครูของโรงเรียนเช่นเดียวกัน และมาพบตน พร้อมบอกว่าถูกครูแนะแนวคนดังกล่าวใช้วาจาหยาบคาย ไม่เหมาะสม ทำให้รู้สึกไม่ดี อีกทั้งยังบอกว่าก่อนหน้านี้มีประเด็นกันมาก่อน จากนั้นผู้ปกครองได้ให้ตนเองดูคลิป ตนจึงขอรวบรวมข้อมูลจากทางครูก่อน

แต่เนื่องด้วยครูแนะแนวคู่กรณีลาวันศุกร์กับวันจันทร์ ตนจึงได้พูดคุยกับครูแนะแนวดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และได้ข้อมูลมาว่าระหว่างการเรียนการสอน ได้มีการสอบถามข้อมูลกับนักเรียนคู่กรณี และเกิดการใช้วาจาไม่เหมาะสมดังกล่าว

อ.ดร.ธัชพล กล่าวต่อว่า เบื้องต้นตนจะต้องรวบรวมข้อมูลเพื่อส่งให้กับงานวินัยของมหาวิทยาลัย จึงจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลจากทั้ง 2 ฝ่าย ตนจึงได้เรียกมาพูดคุยเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ข้อมูลระหว่างครูและผู้ปกครองนั้นไม่เหมือนกัน ก่อนที่เมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 ก.ย. คลิปจะถูกปล่อยออกมา

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวทางเบื้องต้น ตนได้สั่งให้ครูแนะแนวดังกล่าวหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการสอบวินัยเสร็จสิ้น ซึ่งครูดังกล่าวมีอาการเคร่งเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนนักเรียนคู่กรณี เปิดเผยว่าตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นมากแล้ว เนื่องจากได้กำลังใจจากเพื่อน ๆ ทั้งระดับชั้น รวมถึงครอบครัว และตนก็ได้ติดตามตลอดว่านักเรียนรู้สึกอย่างไร

อ.ดร.ธัชพล กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ ทางงานวินัยจะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่คาดว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะกำลังเป็นที่จับตามองของสังคม อย่างไรก็ตาม ตนได้พูดคุยกับผู้บริหารชุดเก่า ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่าเรื่องนี้ได้ดำเนินการเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งเรื่องก็เงียบไปนานแล้ว จนมาเกิดเรื่องดังกล่าว ส่วนประเด็นที่ว่าครูท่านนี้เคยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมมาก่อนนั้น ตนขอให้เป็นเรื่องของงานวินัยดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับแนวทางการลงโทษ มีด้วยกัน 5 ขั้น ได้แก่ 1.) ภาคทัณฑ์ 2.) ตัดเงินเดือน 3.) ลดเงินเดือน 4.) ปลดออก และ 5.) ไล่ออก ซึ่งต้องดูตามเจตนาของครูแนะแนวต่อไป

อย่างไรก็ตาม ด้านผู้ปกครองเองไม่ได้อยากจะเอาเรื่อง เพียงแต่อยากได้ความยุติธรรมเท่านั้นเอง ซึ่งตนได้พูดคุยกับผู้ปกครองเพิ่มเติมก็พบว่ากดดันที่ทำให้กระทบโรงเรียนเพราะเป็นครูที่นี่ และผู้ปกครองก็ไม่ใช่คนโพสต์คลิปดังกล่าวด้วย

อ.ดร.ธัชพล กล่าวต่อว่า หลังจากที่ตนได้เห็นคลิป มองว่าเรื่องนี้ในฐานะครูและข้าราชการ เรามีแนวทางปฏิบัติงานอยู่แล้ว ถ้าเรายึดมั่นตามแนวทาง และระเบียบราชการปัญหาก็คงไม่เกิด ทั้งนี้ตนได้ทราบถึงพฤติกรรมของครูดังกล่าวว่า เป็นคนพูดจาตรง ๆ ดุ และตั้งใจสอนมาก

“ทางโรงเรียนรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งครูในโรงเรียน นักเรียน และผู้ปกครอง ไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับโรงเรียนของเรา มองว่าเรื่องนี้เป็นเคสตัวอย่างที่โรงเรียนได้เรียนรู้ และครูก็ต้องกลับมาทบทวนว่าทุกวันนี้การเรียนการสอนของเราเป็นอย่างไร เหมาะสมกับนักเรียนยุคสมัยนี้หรือไม่ การใช้วิธีดุด่าคงใช้ไม่ได้แล้ว ซึ่งทางโรงเรียนยืนยันจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ดีที่สุด และจะแถลงให้ทราบต่อไป” อ.ดร.ธัชพล กล่าวทิ้งท้าย

สาวร้องสื่อ ถูกสามีทำร้ายร่างกาย-แอบโอนสินสมรสนับพันล้าน ด้านเพจดังแฉ!! ที่แท้ฝ่ายชายเป็นหนึ่งในทีมงานของ ‘ก้าวไกล’

(18 ต.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ได้โพสต์ภาพผู้หญิงถูกทำร้ายพร้อมระบุข้อความว่า…

“ทุกคนคะ นักการเมืองทำร้ายร่างกายผู้หญิงอีกแล้วค่ะ วันนี้ ‘พี่อ้อ’ ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง จะพาพี่ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกายจากสามี ซึ่งเป็นคณะทำงานของพรรคก้าวไกลสกลนคร ไปออกรายการ ‘เคลียร์ชัดๆ’ ช่อง WP23 เวลา 13.00 น. ค่ะ”

เพจเฟซบุ๊ก ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ยังโพสต์ภาพซึ่งระบุว่า “เป็นสามีของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกาย ขณะลงพื้นที่โดยสวมเสื้อพรรคก้าวไกลด้วย”

ขณะที่เพจเฟซบุ๊กเป็นหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มจิตอาสา ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่องดังกล่าวว่า…

“คุณลักษณ์ทีมงานเป็นหนึ่ง นักธุรกิจพันล้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกสามีทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส ซ้ำยังถ่ายโอนทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสนับพันล้านออกไป ไปให้กับบุคคลที่ 3 เตรียมเดินหน้าฟ้องหย่าเต็มที่”

พร้อมระบุรายละเอียดเพิ่มเติมว่า “ทางเป็นหนึ่งหลังได้ทราบเรื่องดังกล่าวจากทางคุณลักษณ์ว่า มีการทำร้ายร่างกายกันภายในครอบครัวของคนในองค์กร ทางเราไม่ได้นิ่งนอนใจใดๆ กับเรื่องนี้ เบื้องต้นเราได้ให้คำปรึกษาและแนวทางการฟ้องร้องแล้ว ส่วนทางคุณลักษณ์ก็ได้ดำเนินการฟ้องหย่า เพื่อแบ่งทรัพย์สินและเรียกร้องค่าเสียหายไปบางส่วนแล้ว”

ต่อมาทางทีมเป็นหนึ่งได้สืบทราบว่า คุณลักษณ์ได้ทราบว่ามีการพยายามนำชื่อคุณลักษณ์ออกจากการเป็นกรรมการบริษัทและเปิดบริษัทภายใต้ชื่อใหม่โดยใช้ชื่อบุคคลที่ 3 ถือหุ้น 90 % และฝ่ายสามีถือหุ้นเพียง 10% โดยที่ตนไม่ได้รับทราบการกระทำนี้มาก่อน ซึ่งหลังจากที่เราตรวจสอบ มีการโยกย้ายชื่อคุณลักษณ์ เข้า-ออก บริษัทถึง 11 ครั้ง ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่มิชอบ และเจ้าตัวไม่ได้รับทราบเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

“ทางเป็นหนึ่งจะตรวจสอบและหาข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความชอบธรรมที่สูงสุดกับตัวคุณลักษณ์ โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัว ในเมื่อคนในองค์กรไม่ได้รับความเป็นธรรม ทางเราไม่สามารถนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป”

‘เพชร’ แจง เคสทำร้ายร่างกายภรรยา เป็นแค่สมาชิกร่วมลงพื้นที่ ยัน!! ไม่นิ่งนอนใจ หากพบทำผิดจริง พร้อมขับออกจากพรรค

(19 ต.ค. 66) ที่รัฐสภา นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีสมาชิกพรรคก้าวไกลทำร้ายร่างกายภรรยา ว่ายืนยันพรรคจะไม่อดทนกับการใช้กำลังในการตัดสินปัญหาและแก้ปัญหา รวมถึงชายทำร้ายหญิง หญิงทำร้ายชาย เราไม่สามารถยอมรับได้ แต่ขอเรียนว่าจากการสอบถามและค้นประวัติพบว่าเป็นเพียงสมาชิกพรรคที่สมัครเข้ามาเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และตรวจสอบจากคณะทำงานของพรรคที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารพรรคไม่มีชื่อบุคคลดังกล่าว เราจึงมั่นใจได้ว่าบุคคลนี้ไม่ได้เป็นคณะทำงานแต่เป็นสมาชิกพรรคที่ร่วมลงพื้นที่กับคณะทำงานของพรรคเท่านั้น 

เมื่อถามถึงมาตรการในการดำเนินการกับบุคคลดังกล่าว นายกรุณพล กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหรือ สส. ถ้าอยู่ในสังกัดพรรคก้าวไกล เราจะสอบสวนตามระเบียบกฎกติกาของสมาชิกพรรคอยู่แล้ว และถ้าผิดคงต้องขับออกจากพรรค ซึ่งที่ผ่านมาหลายคนก็โดยขับออก แม้กรณีดังกล่าวจะมีคดีความแล้วก็ตาม แต่พรรคยืนยันเสมอไม่ว่าคดีทำร้ายร่างกายหรือ คดีมาตรา 112 ที่พยายามเรียกร้องว่าก่อนศาลตัดสินว่าผู้ใดกระทำผิด เราต้องเชื่อว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เช่นเดียวกับคดีดังกล่าวไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่าเหตุใดจึงเกิดการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น และผู้ที่ทำร้ายร่างกายคือบุคคลนี้จริงหรือไม่ ถ้าใช่ ไม่ต้องกังวล พรรคขับออกแน่นอน 

เมื่อถามอีกว่าภายหลังจากนี้จะมีวิธีคัดกรองบุคคลเข้าเป็นทีมอย่างไร นายกรุณพล กล่าวว่า พรรคคัดกรองระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะคนที่เข้าไปเป็นทีมงานต้องรู้จักกับผู้สมัคร สส. และคณะทำงานจังหวัดอยู่แล้ว รวมถึงต้องดูประวัติย้อนหลังว่ามีอะไรที่น่ากังวลหรือไม่ แต่ตนเข้าใจว่าการคัดกรองคนดี ไม่ดี เราดูจากประวัติอาชญากรรมหรือพฤติกรรม แต่นิสัยส่วนตัวไม่ว่าจะติดยาเสพติด อารมณ์รุนแรง ชอบใช้กำลัง เราไม่สามารถดูได้หากไม่มีประวัติหรือการกระทำนั้นมาก่อน 

ต่อข้อถามว่าตอนนี้พรรคก้าวไกลมีแต่เรื่องการใช้ความรุนแรงทางเพศ นายกรุณพล กล่าวว่า ด้วยความที่พรรคมีสมาชิกพรรคและ สส. มากที่สุดในประเทศ รวมถึงเครือข่ายที่กำลังขยายในทุกระดับ จึงทำให้คนที่สนใจพรรคมีมากขึ้น อีกทั้งพรรคให้เสรีภาพกับประชาชนในการใช้โลโก้ผลิตสินค้าต่าง ๆ เช่น เสื้อ ของที่ระลึก เพื่อจำหน่าย จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ซึ่งพรรคพยายามตรวจสอบและตอบข้อสงสัยของประชาชนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด

‘ดร.อานนท์’ ยกคำแถลง ‘ศาลฯ VS บุ้ง ทะลุวัง’ ตั้งคำถามเชื่อใคร? ปมเตะ จนท.ศาล โดนสวนจนได้เลือด ต่างฝ่ายอ้าง ‘ถูกทำร้ายก่อน’

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘Arnond Sakworawich’ ของ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ได้โพสต์แถลงการณ์ของศาลฯ และ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เปรียบเทียบ พร้อมระบุว่า…

“เชื่อคำแถลงศาลฯ หรือคำแถลงของบุ้ง ทะลุวังครับ?”

ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก ‘ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน’ ได้โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า…

“อ่านลำดับเหตุการณ์ แถลงการณ์ข้อเท็จจริงจากกลุ่มทะลุวัง และแถลงการณ์จากศาลยุติธรรม กรณี ‘บุ้ง เนติพร’ นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวัง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลฟาดด้วยดิ้วเหล็กจนบาดเจ็บเลือดออก

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2566 เวลาประมาณ 11.30 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับแจ้งว่า ‘บุ้ง เนติพร’ (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ถูกตำรวจศาลทำร้ายร่างกาย โดยใช้ดิ้วเหล็กตีเข้าที่บริเวณข้อศอกจนเกิดอาการบาดเจ็บ จากกรณีที่ ‘หยก’ พยายามเข้าไปพูดคุยกับ ‘โฟล์ค-สหรัฐ สุขคำหล้า’ อดีตสามเณร ที่ถูกควบคุมตัวระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ หลังศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการชุมนุม ‘บ๊ายบายไดโนเสาร์’ ของกลุ่มนักเรียนเลว ที่สยามสแควร์ เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2563

ก่อนหน้านี้ เวลา 09.00 น. บุ้ง และสมาชิกกลุ่มทะลุวัง พร้อมกับหยก นักกิจกรรมเยาวชนวัย 15 ปี ได้เดินทางไปร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ซึ่งภายหลังศาลมีคำพิพากษา โฟล์คได้ถูกนำตัวไปควบคุมอยู่ที่ห้องขังใต้ถุนศาล

ในเวลาประมาณ 10.30 น. บุ้งและหยกได้พยายามปีนรั้วที่บริเวณข้างห้องขังใต้ถุนศาล เพื่อพูดคุยสอบถามว่าโฟล์คต้องการรับประทานอาหารอะไรในระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัวหรือไม่ และสอบถามเรื่องรายชื่อที่เขาต้องการให้เข้าเยี่ยมในเรือนจำ ในกรณีที่เขาอาจไม่ได้รับการประกันตัว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลา 11.18 น. ศูนย์ทนายฯ ได้รับรายงานจากบุ้งว่ามีตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) รวม 2 นาย ได้เดินเข้ามากันไม่ให้หยก ซึ่งปีนรั้วเข้าไปในบริเวณหน้าต่างห้องขังได้พูดคุยกับโฟล์ค โดยกล่าวว่าหากพวกเธอไม่หยุดการกระทำ เขาจะดำเนินการแจ้งละเมิดอำนาจศาล ในขณะที่บุ้งอยู่บริเวณรั้วได้พยายามเจรจาว่า พวกเธอแค่จะพูดคุยรายละเอียดเรื่องการเยี่ยมญาติ หากโฟล์คไม่ได้ประกันตัวเท่านั้น และเมื่อได้ข้อมูลก็จะกลับกันแล้ว

ทั้งนี้ ตำรวจศาลยังคงไม่ยอมให้พวกเธอได้พูดคุยกับจำเลย และบอกให้พวกเธอออกมาจากบริเวณรั้วห้องขังใต้ถุนศาล ก่อนที่จะเข้าแตะตัวหยก ทำให้บุ้งต้องดึงตัวตำรวจศาลไว้ เพื่อให้หยกสลัดตัวออกจากเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้ บุ้งบอกว่า ในระหว่างนั้นเธอโดนสกัดจาก รปภ. โดยเขาทุบที่แขนและหลังเธอตลอดระยะเวลาที่เธอพยายามกันไม่ให้ตำรวจศาลเข้าจับตัวหยก

ต่อมา เมื่อนักกิจกรรมทั้ง 2 ราย สลัดตัวออกจากเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นายได้แล้ว พวกเธอได้พยายามเดินไปพูดคุยกับตำรวจศาลที่เข้ามาแตะตัวหยก เพื่อต้องการสอบถามว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวมีชื่อว่าอะไร เพราะต้องการจะรู้ว่า มีอำนาจในการแจ้งละเมิดอำนาจศาลจริงอย่างที่ข่มขู่กันหรือไม่

เมื่อถามถึงเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอในช่วงที่บุ้งเตะเข้าที่ต้นขาของตำรวจศาล เธอเปิดเผยว่า อันที่จริงมีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เจ้าหน้าที่เริ่มกระทำกับเธอก่อน โดยเขาได้ชกเข้าที่บริเวณหัวไหล่ของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บและโมโห และเริ่มทะเลาะวิวาทกันบริเวณป้อมยามทางออกของศาลอาญากรุงเทพใต้

ซึ่งในระหว่างที่มีปากเสียงกัน และบุ้งยกเท้าเตะใส่ตำรวจศาลนั้น ตำรวจศาลก็ใช้ดิ้วเหล็กที่ถืออยู่ในมือตีเข้าที่บริเวณศอก จนทำให้เกิดแผลและมีเลือดไหลตลอดเวลา”

ทั้งนี้ ทางด้านสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ออกมาชี้แจง ว่า เจ้าพนักงานตำรวจศาลมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล ตามหลักสากล เพื่อให้การดำเนินงานของศาล สามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทุกคนได้สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดกล้องวงจรปิดในบริเวณศาลสามารถบันทึกไว้ได้

ซึ่งได้มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันอย่างมากมาย อาทิ หลักฐานชัดเจนขนาดนั้นว่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ก่อน ที่ผ่านมานางคนนี้โกหกประจำ เชื่อคำแถลงศาลค่ะ, เชื่อศาลค่ะอาจารย์, ศาลท่านดูตามจริง หรือบางคนบอกว่าดูจากคลิป ขออนุญาตเชื่อคำชี้แจงจากศาลครับ หรือ เชื่อคำชี้แจงของศาลครับผมและกล้องวงจรปิด และที่ว่า ใครว่า จนท. ทำไม่ถูก ผมเถียงขาดใจ เสียงออกจะแน่นขนาดนั้น ถึงกับชะงัก

อยู่ไม่ไหว!! ‘คุณตาชาวจีน’ ตัดสินใจย้ายกลับเมืองจีนบ้านเกิด หลังถูกเหยียดเชื้อชาติ-ทำร้ายร่างกาย ใน ‘ซานฟรานซิสโก’

(3 ก.พ. 67) ชายสูงวัยชาวจีนในนครซานฟรานซิสโกซึ่งถูกพวกอันธพาลทำร้ายร่างกายหลายครั้ง รวมถึงในช่วงที่โควิด-19 ระบาดใหม่ๆ ตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ประเทศจีน โดยให้เหตุผลว่าเมืองแห่งนี้ ‘ไม่ปลอดภัย’ สำหรับคนเอเชียอย่างเขาอีกต่อไป

สื่อ Sing Tao Daily รายงานว่า ‘หรงซิน เหลียว’ (Rongxin Liao) วัย 87 ปี เคยถูกคนร้ายทุบตีจนหมดสติที่เขตเทนเดอร์ลอยน์ (Tenderloin) ในซานฟรานซิสโกเมื่อ 7 ปีก่อน และต่อมายังโดนทำร้ายอีกครั้งเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยคุณตาซึ่งต้องใช้เครื่องช่วยพยุงเดินคนนี้ถูกเตะจนล้มระหว่างที่กำลังรอรถประจำทาง

ล่าสุด เหลียว ตกเป็นเหยื่อกระแสเกลียดชังคนเอเชียอีกรอบที่หน้าร้านขายยาแห่งหนึ่งใกล้ถนน Market Street เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ปีที่แล้ว โดยถูกชายคนหนึ่งบุกเข้ามาชกที่ศีรษะขณะกำลังเข็นวีลแชร์ ทว่ารายงานข่าวที่ออกมาในตอนนั้นไม่ได้ระบุชื่อ ‘เหลียว’ ว่าเป็นผู้ถูกทำร้าย

เหลียว ต้องไปขึ้นศาลหลายครั้งจากเหตุการณ์เมื่อปี 2020 และแม้ว่าเขาจะพยายามร้องขอให้ศาลลงโทษสถานหนักต่อ ‘อีริค รามอส-เฮอร์นันเดซ’ (Eric Ramos-Hernandez) ซึ่งเป็นผู้ที่ทำร้ายเขา แต่สุดท้ายชายอันธพาลกลับได้รับโทษจำคุกเพียง 7 เดือน ก่อนจะถูกส่งไปโรงพยาบาลจิตเวช และได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านในที่สุด

สำหรับเหตุการณ์เมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว ผู้ที่ลงมือทำร้าย เหลียว คือ ‘เอฟฟริม เบเกอร์’ (Effrim Baker) วัย 60 ปี ซึ่งยังถูกตั้งข้อหาอีก 14 กระทงจากเหตุไล่แทงที่เจ้าตัวก่อขึ้นในวันเดียวกัน

‘จิง เหลียว’ (Jing Liao) บุตรชายของคุณตา ยืนยันกับสื่อ San Francisco Standard ว่า พ่อของเขาซื้อตั๋วเครื่องบินแบบเที่ยวเดียวกลับไปยังนครกว่างโจว โดยมีกำหนดออกเดินทางในวันอาทิตย์นี้ (4 ก.พ.)

จิง บอกว่า สาเหตุที่เขาตัดสินใจส่งพ่อกลับไปอยู่บ้านเกิดที่จีน ก็เพราะความปลอดภัยสาธารณะในซานฟรานซิสโก ‘ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ’

“ผมไม่อยากสร้างปัญหาให้ลูกชายซึ่งอยู่ที่นี่ ไม่อยากให้เขาต้องเป็นห่วงผมตลอดเวลา” เหลียว ให้สัมภาษณ์กับ Sing Tao Daily พร้อมยืนยันว่ายินดีสละสัญชาติอเมริกัน และกลับไปใช้สัญชาติจีนทันทีที่กลับไปถึงแดนมังกร

แม้รัฐแคลิฟอร์เนียและอีกหลายเมืองทั่วอเมริกา จะมีสถิติอาชญากรรมความเกลียดชังเพิ่มขึ้น แต่รายงานของ Axios อ้างว่า ซานฟรานซิสโกเกิดคดีลักษณะนี้ลดลงจาก 114 คดีในปี 2021 เหลือเพียง 36 คดีในปี 2022 และเหตุทำร้ายร่างกายซึ่งเกิดจากความเกลียดชังคนเอเชีย ก็ลดลงจาก 60 เหลือเพียง 6 คดีในช่วงเวลาเดียวกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top