Wednesday, 14 May 2025
World

‘นักวิทย์อิตาลี’ ค้นพบ ‘หลุมถ้ำยักษ์’ บนดวงจันทร์ คาด!! อาจเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในอนาคตได้

(18 ก.ค.67) นักวิทยาศาสตร์ยืนยันการค้นพบถ้ำแห่งหนึ่งบนดวงจันทร์ อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ ‘นีล อาร์มสตรอง’ และ ‘บัซ อัลดริน’ สองนักบินอวกาศสหรัฐฯ ลงจอดบนดวงจันทร์เมื่อ 55 ปีก่อน และคาดว่าน่าจะยังมีถ้ำลักษณะนี้อยู่อีกหลายร้อยแห่ง ซึ่งอาจใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับนักบินอวกาศได้

โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์อิตาลีรายงานเมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ว่า พบหลักฐานการมีอยู่ของถ้ำขนาดใหญ่ในบริเวณจุดที่เรียกว่า ‘ทะเลแห่งความสงบเงียบ’ (Sea of Tranquility) ซึ่งอยู่ห่างจากจุดลงจอดของยานอะพอลโล 11 ไปราว 400 กิโลเมตร

หลุมถ้ำดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพังถล่มของท่อลาวา (lava tube) เช่นเดียวกับถ้ำลักษณะเดียวกันอีกกว่า 200 จุดที่พบในบริเวณนั้น

ทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ผลการตรวจวัดด้วยเรดาร์โดยยาน Lunar Reconnaissance Orbiter ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) จากนั้นก็นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับท่อลาวาที่มีอยู่บนโลก โดยผลการศึกษานี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Astronomy

ข้อมูลจากเรดาร์เปิดเผยให้เห็นเฉพาะพื้นที่ส่วนหน้าของถ้ำใต้ดินซึ่งมีความกว้างอย่างน้อย 130 ฟุต (40 เมตร) และยาวหลายสิบเมตร หรืออาจจะมากกว่านั้น

“ถ้ำบนดวงจันทร์ยังคงเป็นปริศนามานานกว่า 50 ปี ดังนั้น การที่เราสามารถพิสูจน์ว่ามันมีอยู่จริงได้จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก” ลีโอนาร์โด คาร์เรอร์ และโลเรนโซ บรุซโซเน จากมหาวิทยาลัยเทรนโต ระบุในบทสัมภาษณ์ผ่านอีเมล

นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า หลุมถ้ำส่วนใหญ่ดูเหมือนจะตั้งอยู่บนที่ราบลาวาโบราณบนดวงจันทร์ และอาจจะมีอยู่บ้างบนขั้วใต้ของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นจุดที่นาซาเตรียมส่งนักบินอวกาศไปสำรวจในช่วงปลายทศวรรษนี้ ขณะที่หลุมในเงามืดที่เชื่อกันว่าอาจมีน้ำแข็งสะสมอยู่ก็อาจเป็นแหล่งน้ำดื่มและใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงสำหรับจรวดได้

ผลการศึกษายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หลุมถ้ำลักษณะนี้อาจมีอีกหลายร้อยแห่งบนดวงจันทร์ รวมถึงท่อลาวาอีกหลายพันจุด ซึ่งบางแห่งอาจใช้เป็นสถานที่พักพิงตามธรรมชาติสำหรับนักบินอวกาศเพื่อช่วยป้องกันพวกเขาจากรังสีคอสมิกและรังสีสุริยะ รวมไปถึงการตกของอุกกาบาตขนาดเล็ก

อย่างไรก็ตาม การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับมนุษย์บนดวงจันทร์อาจต้องใช้เวลานานและเป็นเรื่องท้าทายพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่งของผนังถ้ำเพื่อป้องกันการพังถล่ม

หินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่พบในถ้ำเหล่านี้ยังอาจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจวิวัฒนาการของดวงจันทร์ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของกิจกรรมภูเขาไฟ

วิเคราะห์!! ชัยชนะ 'ฟอกขาวต่างด้าว' กระบวนการสมคบคิดของคนบางกลุ่ม ถ้าหากสำเร็จ!! หนี้บุญคุณจะถูกตอบแทนจากต่างด้าวอีกหลายรุ่น

คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า วันนี้มีกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองบางกลุ่มร่วมมือกับ NGO และสื่อบางสื่ออย่างเป็นขบวนการ 'สมคบคิด' ที่จะผลักดันแผนฟอกขาวให้คนต่างชาติเข้ามามีสิทธิ์ในประเทศไทยโดยแลกกับคะแนนเสียงที่จะได้ในอนาคต  

โดยไม่นานมานี้ มีกลุ่มเรียกร้องทางการเมืองบางกลุ่มพยายามเคลื่อนไหวให้ต่างด้าวสามารถเลือกตั้งได้ ซึ่งหลังจากนั้นทาง กกต. ก็ได้ออกมาแถลงทันทีว่าต่างด้าวที่สามารถเลือกตั้งได้นั้น จะต้องผ่านการแปลงเป็นสัญชาติไทยหรือมีใบต่างด้าวเท่านั้น

ตรงนี้ถือเป็นการจุดประเด็นให้รู้ว่า หากเราต้องการให้ต่างชาติมาเลือกตั้งได้ ต้องมีข้อกำหนดอะไรบ้าง...

ต่อมาคือ 'กระบวนการฟอกขาว' การที่กลุ่ม NGO บางกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองบางพรรค พยายามผลักดันให้เปิดศูนย์ CI เป็น 1 ในกระบวนการที่พยายามจะเอาคนต่างชาติบ้านใกล้เรือนเคียงประเทศไทยเข้ามาให้มากที่สุด โดยพยายามกดดันให้กระทรวงมหาดไทยรับรอง ด้วยการเปิดให้ต่างด้าวได้รับบัตรชมพูแบบไม่ได้สนใจว่า คนเหล่านั้นจะมีเอกสารถูกต้องหรือไม่ โดยอ้างเหตุผลในเรื่องลดความซ้ำซ้อนของแรงงาน 

แต่ก่อนอื่นทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่า 'บัตรชมพู' เป็นความรับผิดชอบโดยกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่กระทรวงแรงงาน...

ดังนั้นการอ้างเรื่องแรงงาน จึงไม่ใช่เหตุผลจริงในการทำบัตรชมพู แต่การทำบัตรชมพูคือ 'การยอมรับว่ามีคนที่ไม่ใช่เป็นคนสัญชาติไทยชื่อนี้ อาศัยอยู่ในประเทศไทย' พูดง่าย ๆ ก็เหมือนเป็นบัตรประชาชนของคนต่างชาติ 

หมายความว่า การได้มาของบัตรชมพู หากไม่ถูกต้องหรือปราศจากพาสปอร์ตที่ออกโดยฝั่งเมียนมาและการเก็บอัตลักษณ์เป็นลายนิ้วมือหรือม่านตาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นอย่างที่ เอย่า เคยกล่าวไปแล้วคือ...

- การเวียนว่ายตายเกิดของคนต่างด้าวคนนั้น กล่าวคือ 1 คนแต่มีบัตรชมพูหลายใบ โดยใช้ตัวสะกดต่างกันแค่อักษรบางคำ เอย่าจะยกตัวอย่างให้ดู เช่น นางอ่อนคำ มีบัตรชมพูใบที่ 1 ชื่อ Nang On Kham ในบัตรชมพูใบที่ 2 จะชื่อ Nann On Kham และบัตรชมพูใบที่ 3 จะชื่อ Nan Orn Kam เป็นต้น

- การเปลี่ยนสัญชาติ หลายคนกล่าวว่า การได้มาซึ่งสัญชาติไทยนั้นยากมาก แต่คนบางกลุ่มการได้มากลับไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะในการปฏิบัติกับทางกฎหมายที่ระบุมันต่างกัน เอย่าคิดว่าหากถามประเด็นนี้คงไม่ยาก ลองไปดูตามจังหวัดที่ติดชายแดนไทยจะทราบว่า หลายครอบครัวมีการได้มาซึ่งบัตรประชาชนอย่างไร อีกทั้งชาวเมียนมาบนโซเชียลหลายคนก็เคยพิมพ์บอกชาวเมียนมาด้วยกันว่า 'การได้สัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเงินแสนก็สามารถมีสัญชาติไทยได้'

ปัจจุบันการขอสัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากดูจากกฎหมายและระเบียบการขอสัญชาติไทยปี 2566 ระบุไว้ว่า ผู้ประสงค์จะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยต้องมีคุณสมบัติดังนี้...

• บรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมายประเทศไทย (อายุ 20 ปี) และกฎหมายที่ผู้สมัครมีสัญชาติ

• ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย โดยมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร

• อาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี จากวันที่ระบุไว้ในใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือทะเบียนราษฎร

• มีอาชีพสุจริต โดยมีใบอนุญาตทำงาน/หนังสือรับรองการประกอบอาชีพที่ออกโดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด โดยมีรายได้ขั้นต่ำดังนี้

• กรณีที่ผู้สมัครไม่มีความสัมพันธ์ใดกับประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 80,000 บาท/เดือน

• กรณีที่ผู้สมัครมีคามสัมพันธ์กับประเทศไทย เช่นแต่งงานกับชาวไทย หรือมีบุตรที่มีสัญชาติไทย หรือจบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจากสถาบันศึกษาในประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 บาท/เดือน

• มีหลักฐานการจ่ายภาษีเงินได้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี

• มีความประพฤติดี โดยผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

• มีความรู้ด้านภาษาไทย สามารถร้องเพลงชาติไทย และเพลงสรรเสริญพระบารมีได้

ลองคิดดูว่า หากวันนี้เรามีการทำบัตรชมพูให้แรงงานเข้ามา แล้วแรงงานเหล่านั้น 'มีลูก' ภายใต้นโยบายของรัฐบาลล่าสุดที่ให้เรียนฟรี 15 ปี ไม่เก็บค่าใช้จ่าย ... เด็กทุกคนที่แค่อาศัยในประเทศไทยมีสิทธิและโอกาสศึกษาเข้าเรียนเสมอภาค ก็จะทำให้ลูกที่เกิดจากแรงงานเหล่านั้น สามารถเข้าเรียนในไทยได้และสามารถเรียนรู้ภาษาไทยได้อย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นคนไทยคนหนึ่งเลยทีเดียว ... สุดท้ายพอลูกของแรงงานอายุ 20 ปี พอดีกับมีองค์กรใด ๆ มาโอบอุ้มการขอสัญชาติไทย ก็คงจะไม่ยากเย็นเท่าไรนัก และหลังจากนั้นบุญคุณระยะยาวนี้ จะถูกตอบแทนกลับไปจากคนต่างด้าวเหล่านั้นอีกกี่รุ่น เอย่าคงไม่ขอบรรยายนะ...

อันที่จริง เอย่า ก็ไม่ได้ระบุว่า นี่จะเกิดเฉพาะแค่คนเมียนมาเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้หมดกับคนต่างด้าวที่อยากจะหนีความแร้นแค้นในประเทศตนเองมาหาโอกาสที่ดีกว่าในประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส แต่โอกาสนั้นควรเป็นคนต่างด้าวหรือต่างชาติที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

มิฉะนั้น จะมีกรณีที่เกิดขึ้น ดังที่เคยเป็นข่าวที่ว่า นายจ้างชาวอิหร่านและภรรยาหญิงไทยถูกลูกจ้างชาวเมียนมาฆ่าตาย เสร็จแล้วลูกจ้างก็หนีไปมอบตัวว่าเข้าเมืองผิดกฎหมายให้ ตม. ไทยผลักดันกลับเมียนมา และสุดท้ายก็หนีไปอย่างลอยนวล 

เฉกเช่นเดียวกันกับคดีฆาตกรรมอดีตทูตไทยประจำกรุงโคเปนเฮเกน ที่คนร้ายก็เป็นชาวเมียนมา และเมื่อสังหารแล้วก็หลบหนีข้ามฝั่งไปยังเมียนมาอย่างลอยนวลยังจับไม่ได้จนทุกวันนี้

‘เยอรมนี’ เล็งลดงบช่วยเหลือทางทหาร ‘ยูเครน’ ครึ่งหนึ่ง ขีดเส้น ปี 68 ท่ามกลางแนวโน้ม 'ทรัมป์' หวนเก้าอี้สมัย 2

(18 ก.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เยอรมนี ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป วางแผนที่จะปรับลดการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนลงครึ่งหนึ่งในปีหน้า ท่ามกลางความวิตกกังวลในขณะนี้ว่าความสนับสนุนของสหรัฐต่อยูเครนอาจลดลง หากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้

ตามร่างงบประมาณประจำปี 2025 ของเยอรมนีที่รอยเตอร์เห็น เยอรมนีได้ปรับลดประมาณช่วยเหลือยูเครนลงเหลือ 4,000 ล้านยูโรในปี 2025 จากที่ให้อยู่ราว 8,000 ล้านยูโรในปี 2024

เยอรมนีหวังว่ายูเครนจะสามารถจัดหาความต้องการทางทหารส่วนใหญ่ได้จากเงินกู้ยืมมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ที่ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือ จี7 อนุมัติให้นำมาใช้จากสิ้นทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกยึดเอาไว้ ซึ่งจะทำให้เงินอุดหนุนเพื่อนำไปใช้ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์อาจไม่ถูกนำไปใช้อย่างเต็มที่

ด้าน คริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีคลังเยอรมนี กล่าวระหว่างแถลงข่าวว่า การจัดหาเงินทุนให้กับยูเครนสำหรับอนาคตอันใกล้ถือได้ว่ามีความมั่นคงแล้ว ซึ่งต้องขอบคุณการดำเนินการของชาติในยุโรปและเงินกู้จากจี7

เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้นำอียูเห็นพ้องกับแนวคิดในการจัดเงินกู้ยืมดังกล่าวให้กับยูเครน เพราะมองว่ามันจะทำให้โอกาสที่ยูเครนจะขาดเงินสนับสนุนในการทำสงครามกับรัสเซียลดน้อยลง หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง

ความหวั่นวิตกเกี่ยวกับท่าทีและจุดยืนของทรัมป์เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐในอนาคต ถูกปลุกให้พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศให้นายเจดี แวนซ์ ซึ่งมีจุดยืนคัดค้านการให้ความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐต่อยูเครน พร้อมกับเตือนยุโรปว่าควรจะต้องพึ่งพาสหรัฐน้อยลงในการปกป้องภูมิภาคของตน

‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ พร้อมแถลงข่าว หลังประชุมแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 3 จ่อถ่ายทอดสดชี้แจงหลักการชี้นำต่างๆ วันนี้ 10.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว ได้มีการประมวลภาพบรรยากาศการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ชุดที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันจันทร์-พฤหัสบดี (15-18 ก.ค.) ในกรุงปักกิ่งของจีน

นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) จะจัดการแถลงข่าวเกี่ยวกับหลักการชี้นำต่าง ๆ จากการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคฯ ชุดที่ 20 ในวันศุกร์ (19 ก.ค.) ซึ่งก็คือวันนี้

โดยการแถลงข่าวดังกล่าวมีกำหนดเริ่มต้นตอน 10.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง จะได้รับการถ่ายทอดสดโดยไชน่า มีเดีย กรุ๊ป (China Media Group) และเว็บไซต์ข่าวสารที่สำคัญ เช่น พีเพิลดอทคอมดอทซีเอ็น (people.com.cn) ซินหัวเน็ตดอทคอม (xinhuanet.com) และไชน่าดอทคอมดอทซีเอ็น (china.com.cn)

‘ชาวเน็ต’ ยกให้!! ชุดพิธีการ ‘มองโกเลีย’ ชนะเลิศ ‘สวยสง่า-ทันสมัย’ หลังเนรมิตจากเบื้องหลังของ ‘ชาติ-ศิลปะ’ ผสมผสานกันอย่างลงตัว

(19 ก.ค. 67) จากกรณีที่เพจ 'Stadium TH' ได้เปิดตัว 'ชุดพิธีการ' ของนักกีฬาทีมชาติไทยที่สวมใส่โดย 'ปอป้อ' ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย โดยนักกีฬาไทยทั้งหมดนั้นจะสวมใส่อวดสู่สายตาชาวโลกในพิธีเปิดการแข่งขัน โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก 

ต่อมาชาวโลกโซเชียลก็ได้มีการรวบรวม 'ชุดพิธีการ' โอลิมปิก 2024 ของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อได้เห็นชุดพิธีการของประเทศมองโกเลีย เนื่องด้วยชุดมีลวดลายที่สวยงาม และทันสมัย เหมาะกับการที่จะไปเปิดตัวในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่นอย่าง กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 

สำหรับชุดเครื่องแบบพิธีการสำคัญชุดนี้ ก่อนหน้านี้มีการสำรวจชุดตัวอย่างถึง 9,000 คน และทีมนักกีฬาร่วม 303 คน ก่อนที่จะได้แบรนด์ของ 2 พี่น้อง Michel & Amazonka  (มิเชล และ อมาซอนกา) เป็นผู้ถูกเลือกให้ออกแบบชุดพิธีการนี้ 

ชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องของเบื้องหลังของชาติ ศิลปะ และอื่น ๆ อีกหลากหลายมิติ อีกทั้งผู้ออกแบบยังคงความดั้งเดิม ที่เอามาผสานกับความทันสมัยได้อย่างลงตัวมาก ๆ งานปัก และการตัดเย็บมีการใช้แพตเทิร์นแบบยุโรป นอกจากนั้นยังมีการเลือกโทนสีที่น่าสนใจ อาทิ สีขาว เบจ และสีน้ำเงิน อีกทั้งยังมีการสอดแทรกลวดลายปักสีทอง เรียกได้ว่าเป็นพาเลตต์สีที่ลงตัวสุด ๆ 

นอกจากนั้น ชุดนี้ยังมีการนำเสนอสัญลักษณ์สำคัญของวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศมองโกเลียอีกด้วย โดยชุดดังกล่าว มีการสอดแทรกดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และกวางในจินตนาการ ทั้งหมดนี้สอดคล้องเข้ากับวัฒนธรรมอย่างเด่นชัด นอกจากนั้น ผู้ออกแบบยังมีการใส่ลวดลายสัญลักษณ์โอลิมปิก 2024 ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ 5 ห่วง และโลโก้ประจำมหกรรมครั้งนี้ โดยรวมชุดนี้น่าสนใจ และน่าจับตาดูในพิธีเปิดโอลิมปิก 2024 ที่จะถึงนี้ 

‘นักวิเคราะห์’ ชี้ K-POP กำลังเข้าสู่ช่วงฟองสบู่แตก-ยากฟื้นตัว หุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่กอดคอร่วง ฟาก ‘YG-JYP’ ดิ่งสุด!!

(19 ก.ค.67) นักลงทุนรายย่อยที่ถือหุ้นในบริษัทบันเทิงเริ่มหมดกำลังใจ เมื่อราคาหุ้นของบริษัทเอเยนซี่ K-pop ยักษ์ใหญ่อย่าง YG Entertainment และ JYP Entertainment ร่วงลงประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์และ 45 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าสาเหตุของการลดลงนี้มาจากอุตสาหกรรม K-pop กำลังผ่านช่วงที่ดีที่สุดไปแล้วและกำลังเข้าสู่ช่วงฟองสบู่แตก ซึ่งทำให้การฟื้นตัวในระยะเวลาอันสั้นเป็นเรื่องยาก

หุ้นของ HYBE ที่เคยพุ่งสูงถึง 300,000 วอน เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ปัจจุบันซื้อขายที่ประมาณ 190,000 วอน ขณะที่ราคาหุ้นของ SM Entertainment ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากจุดสูงสุดที่ 147,000 วอนมาที่ประมาณ 76,000 วอนในปีที่ผ่านมา

แต่ที่สถานการณ์แย่ที่สุดกลับเป็น JYP และ YG

ราคาหุ้นของ JYP Entertainment ลดลงมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 146,600 วอน ขณะที่หุ้นของ YG Entertainment สูญเสียมูลค่ามากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 83,800 วอน

การลดลงนี้เชื่อมโยงกับผลประกอบการไตรมาสแรกที่ไม่เป็นไปตามคาดหวังและคาดการณ์ที่ต่ำสำหรับครึ่งปีหลัง

ศูนย์วิจัยการลงทุนฮานาคาดว่า กำไรจากการดำเนินงานไตรมาสสองของ HYBE จะลดลง 22 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนมาอยู่ที่ 63.8 พันล้านวอน, SM จะลดลง 7 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 33.2 พันล้านวอน และ JYP จะลดลง 56 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 20.1 พันล้านวอน ส่วน YG คาดว่าจะขาดทุน 6.6 พันล้านวอนในช่วงนั้น

JYP Entertainment ยังคงได้รับประโยชน์จากความนิยมของกลุ่มอย่าง Stray Kids และ TWICE แต่การเติบโตของศิลปินใหม่ ๆ ยังไม่ค่อยเห็นผล

อัลบั้มที่ออกเมื่อต้นปีจากเกิร์ลกรุ๊ป ITZY ขายได้เพียง 320,000 แผ่นในสัปดาห์แรก เทียบไม่ได้เลยกับ 820,000 แผ่นของอัลบั้มก่อนหน้า

เช่นเดียวกับ NMIXX ที่ขายได้ 620,000 แผ่น ลดลงจาก 1.03 ล้านแผ่นของอัลบั้มก่อนหน้า กลุ่มบอยกรุ๊ปใหม่ Xdinary Heroes ที่มุ่งเป้าตลาดญี่ปุ่นแต่เปิดตัวในเกาหลี ขายได้ 110,000 แผ่นในสัปดาห์แรก

อี ฮวาจอง นักวิเคราะห์จาก NH Investment & Securities กล่าวว่า "กลุ่มที่อายุน้อยกว่าของ JYP มีผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจน้อยกว่าคู่แข่ง ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลง"

อย่างไรก็ตาม คิม กยูยอน จาก Mirae Asset Securities กล่าวว่า "การเปิดตัวทีมใหม่สองทีมในครึ่งปีหลัง เริ่มจากบอยกรุ๊ปญี่ปุ่น Xdinary Heroes และการกลับมาออกทัวร์รอบโลกของ TWICE และ Stray Kids อาจช่วยฟื้นฟูมูลค่าได้"

YG Entertainment ก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสมาชิกทั้ง 4 คนของวง BLACKPINK ไม่ต่อสัญญาการทำงานเดี่ยว แม้จะต่อสัญญาในรูปแบบวงต่อไป แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า BLACKPINK จะกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งเมื่อใด

ขณะที่ Babymonster กลุ่มเกิร์ลกรุ๊ปใหม่ของ YG ขายผลงานได้ 400,000 แผ่นในอัลบั้มเปิดตัวและขยายฐานแฟนคลับ ขายเพิ่มได้อีก 200,000 แผ่น

อย่างไรก็ตาม มีความเห็นต่างกันว่าพวกเขาสามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ BLACKPINK ได้หรือไม่

ยังไม่มีข่าวของบอยกรุ๊ปใหม่ของ YG Entertainment ตั้งแต่ Treasure เมื่อสี่ปีที่แล้ว การดำเนินงานของบริษัทพึ่งพากิจกรรมของสมาชิก BLACKPINK อย่างมาก ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ

คิม ฮยอนยอง นักวิเคราะห์จาก Hyundai Motor Securities กล่าวว่า "การฟื้นฟูผลการดำเนินงานของ YG จะขึ้นอยู่กับการกลับมากิจกรรมเต็มรูปแบบของ BLACKPINK, การเติบโตของ Babymonster และ Treasure และการเปิดตัวศิลปินใหม่ ปัจจุบันการรอดูเป็นวิธีที่เหมาะสม"

โดยนักวิเคราะห์บางคนในเกาหลีใต้เชื่อว่าตลาด K-pop ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

คิม โดฮอน นักวิจารณ์เพลง กล่าวว่า "ราคาหุ้นของเอเยนซี่ K-pop สูงเกินจริงในกระบวนการเข้าซื้อหุ้นของ SM โดย Kakao เมื่อปีที่แล้ว"

ขณะที่นักวิจารณ์เพลงอีกคนเสริมว่า "การต่อสู้การเข้าซื้อหุ้นของ SM, ปัญหาส่วนตัวของศิลปิน, และความขัดแย้งภายใน HYBE เช่น กรณีของซีอีโอ Ador มิน ฮีจิน ได้ทำลายความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรม K-pop เมื่อ K-pop ยังคงเน้นธุรกิจแฟนคลับ การเติบโตอย่างยั่งยืนของมันได้ถึงขีดจำกัด"

‘ร้านค้าจีน’ ผุดไอเดีย รังสรรค์ ‘เมนูปิ้งย่าง’ สุดแปลก ดึงดูดใจลูกค้า ‘กระบองเพชร-แตงโม-โชว์แกะสลักเป็นรูปร่าง-น้ำแข็ง’ มาหมด!!

(19 ก.ค. 67) บาร์บีคิวปิ้งย่างเป็นอาหารยอดนิยม ซึ่งเป็นที่คลั่งไคล้ของชาวจีนจำนวนมาก บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจึงมักสรรหาวัตถุดิบ พร้อมไอเดียสุดสร้างสรรค์มารังสรรค์เมนูใหม่ ๆ อยู่เสมอ

ทั้งนี้ ล่าสุดคลิปวิดีโอบนเสี่ยวหงซู แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดฮิตของจีน ซึ่งโพสต์โดย ‘Jinkesi’ บล็อกเกอร์อาหาร มียอดไลก์มากกว่า 18,000 ไลก์ เผยภาพอาหารปิ้งย่างแปลก ๆ อย่าง ‘กระบองเพชรย่าง’ และ ‘แตงโมย่าง’ ในเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน (เสฉวน)

ขณะที่ในโต่วอิน หรือติ๊กต็อกเวอร์ชันจีน แฮชแท็ก ‘ทุกอย่างย่างได้’ มีผู้เข้าชมเกือบ 3 พันล้านครั้ง โดยหนึ่งในคลิปวิดีโอยอดนิยม คือ ‘เมนูน้ำแข็งย่าง’ ที่ทำเอาหลายคนงงว่าจะกินตอนร้อน ๆ หรือจะทิ้งไว้ให้เย็นก่อนดี?

กระแสความนิยมของปิ้งย่างยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนมากสร้างสรรค์อาหารที่ไม่ซ้ำใคร โดยมีลักษณะคล้ายกับสิ่งของต่าง ๆ เช่น พริกเขียวที่แกะสลักเป็นรูประเบิดมือ มะเขือม่วงที่แกะสลักเป็นรองเท้าส้นสูง และ ไส้กรอกย่างที่พยายามทำเป็นรูป Peppa Pig

ด้านชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ เช่น “ในที่สุดโลกก็แปลกประหลาดเกินกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ ถ้าฉันเสียสติเมื่อไหร่ ฉันจะลองชิมอาหารเหล่านี้ดู”, "กระบองเพชรย่างมีน้ำเยอะและอร่อยมาก" และ “ลองย่างเครื่องบิน รถถัง หรือเรือดำน้ำดูไหม?...”

อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของ Hongcan เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ระบุว่า จีนมีร้านบาร์บีคิวปิ้งย่างมากกว่า 330,000 ร้าน ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

คนจีนคิดได้!! เริ่มอายที่จะใช้สินค้าหรู และอยู่กับสิ่งที่จำเป็น ผลพวงจากเศรษฐกิจติดขัด รัฐไล่ขจัดคอนเทนต์บูชาเงิน

(20 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า เทรนด์ ‘Luxury Shame’ หรือ ‘อายที่จะใช้สินค้าหรู’ กำลังขยายตัวขึ้นในหมู่ ‘เศรษฐีจีน’ ผู้คนนิยมซื้อสินค้าที่เน้นคุณภาพ เรียบง่าย และหรูหราอย่างเงียบ ๆ แทน ซึ่งเทรนด์นี้กำลังทำให้พฤติกรรมบริโภคแบรนด์เนมเปลี่ยนไปจากเดิม

แม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แต่ดูเหมือนว่า ‘สินค้าแบรนด์เนม’ ยังคงเปล่งประกายความมั่งคั่ง จนเป็นแรงส่งให้ ‘เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์’ เจ้าของอาณาจักร LVMH แบรนด์เนมหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก

อย่างไรก็ตาม มีเทรนด์ใหม่สวนกระแส และอาจกระทบต่อการเติบโตของสินค้ากลุ่มนี้ กำลังก่อตัวขึ้นใน ‘จีน’ นั่นคือ ‘เทรนด์ละอายที่จะใช้สินค้าหรู’ โดยเหล่าเศรษฐีจีนเริ่มระมัดระวังการแสดงออกถึงความร่ำรวยอย่างโจ่งแจ้ง

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ปรากฏการณ์นี้สืบเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา รายได้หดหาย หนุ่มสาวจีนตกงานจำนวนมาก อีกทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็อ่อนแอลง

ดิเรก เติ้ง (Derek Deng) หุ้นส่วนระดับอาวุโสของ Bain and Company บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลกให้ความเห็นว่า “ก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐีจีนไม่เต็มใจที่จะใช้จ่ายกับสินค้าหรู จริงๆ แล้ว แบรนด์ชั้นนำบางแบรนด์ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งมากในจีน เพียงแต่ผู้คนระมัดระวังการบริโภคเพื่อแสดงฐานะทางสังคมมากขึ้น”

ด้านคลอเดีย ดี อาร์ปิซิโอ (Claudia D'Arpizio) หัวหน้าด้านแฟชั่นและสินค้าหรูของ Bain & Company กล่าวว่า “ลูกค้าผู้มีฐานะร่ำรวย กลัวที่จะถูกมองว่าโอ้อวดมากเกินไป”

คลอเดียเสริมต่อ “เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Luxury Shame’ หรือ ‘ความละอายที่จะใช้สินค้าหรู’ คล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008-2009 แม้ว่าคนเหล่านี้สามารถจ่ายกับสินค้าเหล่านี้ได้ แต่ก็มีความเต็มใจที่จะซื้อน้อยลง เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการซื้อหรือสวมใส่สินค้าราคาแพงจริง ๆ”

เธอเสริมว่า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผู้บริโภคชาวจีนกำลังหันไปสู่สไตล์ ‘ความหรูหราอย่างเงียบ ๆ’ เป็นสินค้าหรูที่ใช้ลงทุนได้ และมีความ ‘เรียบง่ายกว่า’ และ ‘เห็นได้น้อยกว่า’ มากขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงรสนิยมที่แท้จริงได้ โดยไม่ต้องตะโกนโฆษณา

📌รัฐบาลปราบพวกอวดรวย

ปรากฏการณ์ลด ‘การอวดรวย’ ของชาวจีน นอกจากมีสาเหตุจากปัจจัยเศรษฐกิจแล้ว ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางการเมืองของประเทศด้วย เพราะรัฐบาลจีนกำลังรณรงค์แนวคิด ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ (Common Prosperity) ให้สังคมมีความเท่าเทียมมากขึ้น และ ‘ต่อต้าน’ วัฒนธรรมการบูชาเงินทองทุกประเภท

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จีนได้เริ่มต้นรณรงค์กวาดล้างการ ‘อวดรวย’ บนโลกออนไลน์ และได้ทำการแบนอินฟลูเอนเซอร์บางรายออกจากโซเชียลมีเดียของจีน เนื่องจากพวกเขามักใช้พื้นที่ในการแสดงวิถีชีวิตที่หรูหราเกินงาม

ด้วยเหตุนี้ บรรดาโซเชียลมีเดียจีนจึงปฏิบัติตามระเบียบใหม่นี้ เพื่อแบนคอนเทนต์อวดรวย โดย Douyin หรือติ๊กต๊อกจีนกล่าวว่า ได้ลบข้อความจำนวน 4,701 ข้อความ และบัญชีผู้ใช้ 11 บัญชี ส่วน Xiaohongshu กล่าวว่าได้ลบโพสต์ ‘ผิดกฎหมาย’ จำนวน 4,273 โพสต์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และปิดบัญชีผู้ใช้ 383 บัญชี และ Weibo กล่าวว่าได้ลบเนื้อหามากกว่า 1,100 โพสต์

ดี อาร์ปิซิโอกล่าวว่า “เรื่องนี้เชื่อมโยงกับท่าทีของรัฐบาลจีนเป็นอย่างมาก แคมเปญความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้สร้างผลกระทบทางจิตวิทยาต่อชาวจีน เนื่องจากเหล่าผู้มั่งคั่งบางส่วนวิตก จนตัดสินใจขนความมั่งคั่งออกนอกประเทศ”

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ผู้บริโภคชาวจีน ‘มีความพิถีพิถัน’ มากขึ้น หลายคนตัดสินใจซื้อสินค้าจากคุณภาพหรือคุณค่าที่แบรนด์มอบให้ ‘มากกว่า’ มองเพียงชื่อแบรนด์อย่างเดียว

ดร.อักษรศรี ชี้!! ระบบ Microsoft ล่ม สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก แต่ไม่ทำให้ 'จีน' เกิดโกลาหล

(20 ก.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

วันที่ 19.07.2024 ปัญหาระบบ Microsoft  ล่ม !! สร้างความปั่นป่วนไปทั้งโลก 🌎 รวมทั้งไทย 🇹🇭แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบสร้างความโกลาหลในประเทศจีน 🇨🇳 เนื่องจากบริการคลาวด์ของ Microsoft ในประเทศจีน เป็นการดำเนินการโดยบริษัทของจีน คือ 21Vianet  ซึ่งมีการตั้งค่าแยกจากโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของ Microsoft ดังนั้น การทำงานของ Microsoft's services ในจีน จะแตกต่างไปจาก global version   

ทั้งหมดนี้ เกิดจากรัฐบาลจีนออกกฎเหล็ก China's regulations on foreign cloud services กำหนดให้บริการคลาวด์จากต่างประเทศ ต้องดำเนินการโดยบริษัทของจีนเท่านั้น 
 
ดังนั้น จีนรอดและไม่เดือดร้อนเหมือนคนอื่นจากปัญหาระบบ Microsoft ล่ม ก็เพราะมี Separate infrastructure และมี Independent configurations นะคะ

FYI ไม่ใช่ไม่กระทบจีนเลย แม้ว่าสายการบินจีนที่บินระหว่างประเทศอาจจะโดนกระทบบ้าง แต่ระดับดีกรีของความเดือดร้อนจะไม่ลามเป็นวงกว้างปั่นป่วน  ไม่ทำให้คนจีนเดือดร้อนไปทั่วแบบที่คนในประเทศอื่น ๆ ต้องเจอกับความโกลาหลนะคะ (เมืองไทยโดนเป็นวงกว้าง ลามไปถึงระบบในโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์)

อุทาหรณ์!! ‘สตรีมเมอร์ชาวจีน’ เสียชีวิตกลางไลฟ์สด หลังโชว์กินแบบ ‘ม็อกบัง’ ทำอาหารไม่ย่อย ช่องท้องผิดรูปรุนแรง

(20 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลจีนเริ่มปราบปรามเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่เปิดช่องไลฟ์สดกินอาหารในปริมาณมากๆ มาตั้งแต่ปี 2020 เพื่อไม่ให้คนจีนติดนิสัยกินมากเกินไปและกินทิ้งกินขว้าง โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงสุดถึง 10,000 หยวน

อย่างไรก็ตาม การไลฟ์สดกินอาหารแบบ ‘ม็อกบัง’ ก็ยังคงเป็นที่นิยมอย่างสูงในจีน และยังมีสตรีมเมอร์เป็นพันๆ รายที่ยอมเอาสุขภาพตัวเองไปเสี่ยงกับการกินอาหารแบบยัดทะนานเพียงเพื่อเรียกยอดไลก์ยอดวิว

หนึ่งในนั้นคือ พาน เสี่ยวถิง (Pan Xiaoting 潘晓婷) อดีตพนักงานเสิร์ฟผู้ผันตัวเองมาเป็นม็อกบังเกอร์ระดับมืออาชีพ ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลงเมื่อต้นเดือนนี้ระหว่างกำลังไลฟ์สดกินอาหาร เนื่องจากร่างกายรับไม่ไหว

ผลการชันสูตรร่างของเธอพบว่า ภายในท้องมีอาหารที่ไม่ย่อยเป็นจำนวนมาก และช่องท้องของเธอ ‘ผิดรูป’ อย่างรุนแรง

พาน เคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหาร แต่พอมาเห็นพวกสตรีมเมอร์ม็อกบังสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แถมยังได้รับ ‘ของขวัญ’ จากบรรดาแฟนคลับเพียงแค่ไลฟ์สดตัวเองกินอาหารกองมหึมา เธอจึงตัดสินใจลองเข้าวงการนี้ดูบ้าง

ตอนแรก พาน แค่ไลฟ์สดเป็นงานอดิเรก แต่เมื่อยอดผู้ชมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงตัดสินใจทำอาชีพสตรีมเมอร์จริงจัง เธอลาออกจากงานประจำ และมาเช่าบ้านอีกหลังทำเป็นสตูดิโอไลฟ์สดม็อกบัง เนื่องจากพ่อแม่ไม่เห็นด้วยและห่วงว่าสุขภาพของเธอจะแย่ลง

ยิ่งคนดูมากเท่าไหร่ พาน ก็ยิ่งละเลยสุขภาพร่างกายตัวเองมากเท่านั้น และพยายามสรรหา ‘ความท้าทายใหม่ ๆ’ ที่สุดโต่งมาดึงดูดผู้ชม และเมื่อพ่อแม่หรือผู้ชมบางคนแสดงความเป็นห่วงว่าการกินหนักขนาดนี้อาจทำให้เธอตายเร็ว แต่ พาน ก็จะตอบพวกเขาด้วยรอยยิ้มเสมอว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันไหว”

โดยปกติ พาน เสี่ยวถิง ก็ไม่ใช่สาวรูปร่างผอมอยู่แล้ว และการผันตัวมาเป็นสตรีมเมอร์ม็อกบังก็ทำให้น้ำหนักของเธอเพิ่มขึ้นไปถึง 300 กิโลกรัม แต่เจ้าตัวก็ไม่กังวล และยังคงไลฟ์สดกินอาหารโชว์ผู้คนต่อไป

พาน เคยล้มป่วยเลือดออกในกระเพาะ (gastric bleeding) จากการกินมากเกินไป แต่หลังจากที่รักษาตัวจนหายดี สิ่งแรกที่เธอทำก็คือกลับมาเปิดกล้องไลฟ์สดกินอาหารอีก

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต พาน เริ่มหันมาใช้วิธีสุดโต่งมากขึ้นเพื่อเรียกคนดู เช่น กินต่อเนื่องไม่หยุดอย่างน้อย 10 ชั่วโมงขึ้นไป และกินอาหารเกินกว่า 10 กิโลกรัมในการไลฟ์สดแต่ละครั้ง กระทั่งเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ร่างกายของเธอทนรับไม่ไหว และหญิงสาวเสียชีวิตลงท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนที่กำลังชมไลฟ์สด

แม้สาเหตุการเสียชีวิตของ พาน จะไม่ถูกเปิดเผย แต่เว็บไซต์ข่าว Sohu อ้างผลชันสูตรที่พบว่าช่องท้องของเธอผิดรูป และในกระเพาะก็เต็มไปด้วยอาหารที่ไม่ย่อย

การเสียชีวิตของ พาน เสี่ยวถิง ถูกยกให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจสำหรับพวกสตรีมเมอร์ม็อกบังทั้งหลายที่กำลังทำลายสุขภาพตัวเองเพียงเพื่อเงิน และความสนใจจากชาวเน็ต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top