Thursday, 15 May 2025
World

รายงาน ชี้ ‘ความไม่เท่าเทียมทางเพศ’ ใน ‘สิงคโปร์’ ลดลง ผู้หญิงมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในฐานะ ‘ผู้บริหาร-ผู้นำทางธุรกิจ’

(12 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘รายงานความก้าวหน้าด้านการพัฒนาสตรีของสิงคโปร์ประจำปี 2024’ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและครอบครัวสิงคโปร์ เปิดเผยว่าผู้หญิงชาวสิงคโปร์ได้รับความเท่าเทียมในที่ทำงานเพิ่มมากขึ้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

รายงานระบุว่าอัตราการจ้างงานผู้หญิงสิงคโปร์อายุ 25-64 ปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 69.2 ในปี 2013-2023 เป็นร้อยละ 76.6 โดยช่องว่างของอัตราการจ้างงานระหว่างเพศลดลงเหลือ 12.4 จุด

ผู้หญิงสิงคโปร์มีบทบาทในฐานะผู้นำทางธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยในบริษัทชั้นนำ 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ พบสัดส่วนของผู้หญิงที่เป็นคณะกรรมการบริหารเพิ่มขึ้นสามเท่าจากร้อยละ 7.5 ในปี 2013 เป็นร้อยละ 22.7 นับถึงเดือนมิถุนายนปีก่อน

กระทรวงฯ เผยว่ามีการปรับปรุงบริการด้านสาธารณสุขสำหรับผู้หญิงให้ดีขึ้น โดยจำนวนผู้หญิงอายุ 15 ปีที่ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.3 เป็นร้อยละ 89.4 ระหว่างปี 2014-2022

ทั้งนี้ หน่วยงานของสิงคโปร์ยังได้แก้ญัตติกฎบัตรสตรี (Women’s Charter) เมื่อปีก่อน เพื่อเพิ่มขอบเขตอำนาจของรัฐบาลในการเข้าไปแทรกแซงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

สำรวจ!! มลพิษจากพลาสติกครึ่งหนึ่งของโลกราว 1.8 ล้านชิ้น มาจากผลิตภัณฑ์ของ 56 บริษัท ที่แปรสภาพเป็นขยะสิ่งแวดล้อม

(13 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

การศึกษาใหม่ได้เน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของบริษัทใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์หลัก ๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษจากพลาสติก หลังจากที่นักวิจัยติดตามขยะจำนวนมากและพบว่ากว่าครึ่งหนึ่งมาจากบริษัทเกือบ 60 แห่ง

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances เปิดเผยว่ามี 56 บริษัทที่ก่อให้เกิดขยะ พลาสติกมากกว่า 50% ใน 84 ประเทศ

เพื่อให้ได้ข้อมูลนี้ อาสาสมัครหลายพันคนทั่วโลกได้ดำเนินการ ‘ตรวจสอบ’ พลาสติก โดยพวกเขาจะสำรวจชายหาด สวนสาธารณะ แม่น้ำ และสถานที่อื่น ๆ เพื่อหาขยะพลาสติก อาสาสมัครตรวจสอบขยะแต่ละชิ้นและบันทึกแบรนด์หรือเครื่องหมายการค้าที่มองเห็นได้ โดยกลุ่ม Break Free From Plastic ได้มีการรวบรวมการตรวจสอบ 1,576 ชุด ในช่วง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2565

จากการสำรวจพลาสติกมากกว่า 1.8 ล้านชิ้น มีเกือบ 910,000 ชิ้นที่มีแบรนด์ที่มองเห็นได้

ในบรรดาพลาสติกหลายแสนชิ้นนั้น บริษัทชั้นนำ 5 อันดับแรกทั่วโลกที่พบว่ามีผลิตภัณฑ์แปรสภาพเป็นขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม ได้แก่ The Coca-Cola Company (11%), PepsiCo (5%), Nestlé (3%), Danone (3%) และ Altria (2%) คิดเป็น 24% ของจำนวนแบรนด์ทั้งหมด ขณะที่ Unilever รั้งอันดับ 8, Moderlez International (เจ้าของแบรนด์ขนมหวาน ช็อกโกแลต และหมากฝรั่งชื่อด้่งอย่าง Oreo, Ritz,Toblerone, Cadbury,Trident, Dentyne, Chiclets และ Halls เป็นต้น) ตามมาในอันดับ 11 และ Mars, Incorporated (เจ้าของแบรนด์ขนมหวานระดับโลกอย่าง M&M’s, Snickers, Mars และ Twix เป็นต้น) อยู่ในอันดับ 12 ซึ่งสามบริษัทหลังนี้มีสัดส่วนไม่ถึงบริษัทละ 2% ขณะเดียวกันการศึกษานี้ยังพบว่าบริษัท 56 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของขยะพลาสติกที่สำรวจพบ

ขณะที่พลาสติกที่หลงเหลืออีก 50% ไม่มีตราสินค้าที่มองเห็นได้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในการรายงานความยั่งยืนของบริษัทต่าง ๆ

ขยะพลาสติกที่ไม่มีแบรนด์ประกอบด้วย 52% ของขยะพลาสติกที่ทำการสำรวจในครั้งนี้ทั้งหมด แต่การระบุความเป็นเจ้าของของบริษัทให้กับขยะพลาสติกที่ไม่มีตราสินค้าเหล่านี้เป็นไปไม่ได้ด้วยเทคนิคในปัจจุบัน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับของพลาสติกที่ไม่มียี่ห้อ ได้แก่ การผุกร่อนด้วยน้ำ แสงแดด และอากาศ รวมถึงระยะเวลาที่วัสดุอยู่ในสภาพแวดล้อม คุณภาพของหมึกที่ใช้ และประเภทของวัสดุหรือสัณฐานวิทยา เมื่อไม่มีหลักฐานระบุตัวตนของผู้ผลิตพลาสติกที่ไม่มีแบรนด์ การศึกษานี้จึงมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบพลาสติกที่มีตราสินค้า

“สินค้าพลาสติกมากกว่า 50% ที่เราพบ เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีความโปร่งใสที่มากขึ้นเกี่ยวกับการผลิตและการติดฉลากผลิตภัณฑ์พลาสติกและบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับและความรับผิดชอบ เราขอแนะนำให้สร้างฐานข้อมูลสากลที่เข้าถึงได้แบบเปิดซึ่งบริษัทต่าง ๆ มีหน้าที่ติดตามและรายงานผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ แบรนด์ และการปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมในเชิงปริมาณ นอกจากนี้ เราขอแนะนำให้พัฒนามาตรฐานสากลเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ของบรรจุภัณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกในการระบุตัวตน” รายงานการศึกษานี้ระบุ

จากบริษัทที่อยู่เหนือเส้นแนวโน้ม (Trend line) โดยทั่วไปแล้วเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่ม (เส้นสีม่วง) ในขณะที่บริษัทที่อยู่ต่ำกว่าเส้นแนวโน้มส่วนใหญ่เป็นบริษัทในครัวเรือนและการค้าปลีก (เส้นสีเขียวนกเป็ดน้ำ) แม้ว่าบริษัททั้งสองประเภทจะผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง แต่ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มมักจะมีระยะเวลาการใช้งานที่สั้นกว่าก่อนที่จะนำไปกำจัด รวมถึงมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าของสินค้าแบบใช้ครั้งเดียว (รวมถึงสินค้าที่มีอายุสั้น) ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มมีแนวโน้มสูงในการบริโภคระหว่างเดินทาง ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนและร้านค้าปลีกมีแนวโน้มสูงกว่าในการบริโภคภายในอาคาร ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยที่จะหลบหนีจากโครงสร้างพื้นฐานการจัดการวัสดุและรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อม

กระนั้นสิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าเปอร์เซ็นต์นั้นอิงจากการนับจำนวน เป็นไปได้ว่าความสัมพันธ์นี้จะแตกต่างออกไปหากเปอร์เซ็นต์เป็นมวล เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทค้าปลีกและในครัวเรือนมีแนวโน้มที่จะมีมวลโดยเฉลี่ยมากกว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทอาหารและเครื่องดื่ม การประมาณมวลเฉลี่ยของพลาสติกที่ผลิตโดยแต่ละบริษัทจะต้องแปลงระหว่างจำนวนและมวล

“อุตสาหกรรมมักที่จะโยนความรับผิดชอบให้กับผู้บริโภค แต่เราอยากจะชี้ให้เห็นว่าควรเป็นความรับผิดชอบของแบรนด์ต่าง ๆ ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ยั่งยืน สินค้าแบบใช้แล้วทิ้ง และรูปแบบการจัดส่งที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดขยะจำนวนมหาศาล” Marcus Eriksen ผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษจากพลาสติกของสถาบัน 5 Gyres Institute ผู้เขียนการศึกษานี้กล่าวกับ The Guardian สื่อชื่อดังของอังกฤษ

พลาสติกส่วนใหญ่ทำจากเชื้อเพลิงสกปรก เช่น น้ำมันและน้ำมันเบนซิน ดังนั้นการผลิตวัสดุดังกล่าวจึงก่อให้เกิดคุณภาพอากาศที่ไม่ดีต่อสุขภาพและความร้อนสูงเกินไปที่เป็นอันตรายต่อโลกของเรา

เนื่องจากพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพจะสลายตัวในระยะเวลาหลายสิบปีถึงหลายร้อยปี จึงก่อให้เกิดอันตรายเพิ่มเติมโดยกลายเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่าและสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อพวกมันแตกออกเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่เรียกว่า ‘ไมโครพลาสติก’

การศึกษาล่าสุดชิ้นหนึ่งในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์เชื่อมโยงอนุภาคเหล่านี้กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจวายในผู้ป่วยโรคหัวใจ ในขณะที่อีกงานวิจัยหนึ่งที่จัดทำโดยหอสมุดแห่งชาติด้านการแพทย์ชี้ให้เห็นว่าไมโครพลาสติกอาจอยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของกรณีมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี และเรียกร้องให้มีการวิจัยเพิ่มเติมในเรื่องนี้

>> บริษัทขนาดใหญ่และความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหามลพิษ

ในการต่อสู้กับมลพิษจากพลาสติกทั่วโลก มีศัตรูเพียงไม่กี่คนที่มีขนาดใหญ่กว่ารอยเท้าของบริษัทขนาดใหญ่ ด้วยประสบการณ์กว่าสามทศวรรษในการรายงานประเด็นด้านความยั่งยืน ฉันได้เห็นโดยตรงถึงปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ และความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับความรับผิดชอบ ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ไปจนถึงการผลิต การใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวอย่างแพร่หลายได้ทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกบนโลกของเรา พร้อมกับส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศ ชุมชน และคนรุ่นอนาคต

การแพร่หลายของพลาสติกในชีวิตประจำวันของเรานั้นไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ความสะดวกสบายกลับปฏิเสธต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมอันมหาศาล บริษัทขนาดใหญ่ซึ่งได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรและความต้องการของตลาด มีบทบาทสำคัญในการยืดเยื้อวิกฤตนี้ โดยเลิกใช้บรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์พลาสติกจำนวนมหาศาลโดยไม่สนใจผลกระทบเมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งาน จากกลุ่มบริษัทข้ามชาติไปจนถึงแบรนด์ในครัวเรือน มลพิษจากพลาสติกที่หลอกหลอนอยู่ทุกมุมของโลกธุรกิจ

หัวใจของปัญหานี้อยู่ที่ความไม่สมดุลขั้นพื้นฐานระหว่างการบริโภคและความรับผิดชอบ ในขณะที่ผู้บริโภคต้องแบกรับความรู้สึกผิดและการตรวจสอบการใช้พลาสติกอย่างถี่ถ้วน ความรับผิดชอบในท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับบริษัทที่ผลิตและทำกำไรจากวัสดุเหล่านี้ ถึงเวลาแล้วที่บริษัทใหญ่ ๆ จะต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่น่าอึดอัดใจ: พวกเขามีความสมรู้ร่วมคิดในการสานต่อวิกฤตการณ์ระดับโลกที่คุกคามโครงสร้างของโลกของเรา

แล้วบริษัทขนาดใหญ่ควรรับผิดชอบบทบาทของตนในการสร้างมลพิษจากพลาสติกอย่างไร?
ประการแรก พวกเขาจะต้องรับผิดชอบห่วงโซ่อุปทานของตน ปฏิบัติตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่เข้มงวดเพื่อลด ใช้ซ้ำ และรีไซเคิลพลาสติกตลอดกระบวนการผลิต ซึ่งรวมถึงการลงทุนในทางเลือกที่ยั่งยืน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่เพื่อให้สามารถรีไซเคิลได้มากที่สุด และลดบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่จำเป็นให้เหลือน้อยที่สุดในทุก ๆ กระบวนการที่เป็นไปได้

นอกจากนี้ ความโปร่งใสและความรับผิดชอบจะต้องเป็นเสาหลักของการกำกับดูแลกิจการที่ไม่สามารถต่อรองได้ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกภายในอุตสาหกรรม

บริษัทขนาดใหญ่ต้องเปิดเผยการใช้พลาสติกและการปล่อยมลพิษ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถรับผิดชอบต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งรวมถึงการติดตามและรายงานเกี่ยวกับการสร้างขยะพลาสติก วิธีการกำจัด และความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายการลดการลดการใช้พลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง

ไม่เพียงเท่านี้ การทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยังเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับความท้าทายเชิงระบบที่เกิดจากมลพิษจากพลาสติก บริษัทขนาดใหญ่ต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ แบบไม่ตกหล่น เพื่อพัฒนาวิธีแก้ปัญหาแบบองค์รวมที่จัดการกับต้นตอของปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนการปฏิรูปนโยบาย การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการจัดการขยะและการรีไซเคิล และการสนับสนุนความคิดริเริ่มที่ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน

รวมถึงสนับสนุนและบ่มเพาะวัฒนธรรมแห่งความยั่งยืนให้กับชุมชนเพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้

บริษัทข้ามชาติ เช่น ผู้ผลิตมลพิษจากพลาสติกชั้นนำอย่าง Nestle, Coca-Cola และ Pepsi ควรควบคุมตนเองในเชิงรุก พวกเขาสามารถยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมด้วยการออกแบบของตนเอง เพื่อลดผลกระทบด้านลบจากมลพิษจากพลาสติกในขณะที่ยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันได้

The Washington Post รายงานว่า โฆษก Coca-Cola บอกถึงกลยุทธ์โลกไร้ขยะของบริษัท โดยตั้งเป้าที่จะ “ทำให้บรรจุภัณฑ์ของเราสามารถรีไซเคิลได้ 100% ทั่วโลกภายในปี 2568 และจะใช้วัสดุรีไซเคิลอย่างน้อย 50% ในบรรจุภัณฑ์ของเราภายในปี 2568 เรารู้ว่าต้องทำมากกว่านี้ และเราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายโดยลำพังได้”

ด้าน Nestlé แจกแจงว่าบริษัทตั้งเป้าที่จะลดการใช้พลาสติกใหม่ลง 1 ใน 3 และนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้ในบรรจุภัณฑ์ให้มากขึ้น

ขณะที่ในแถลงการณ์ทางอีเมลของ PepsiCo ระบุว่าบริษัทสนับสนุนกรอบนโยบายระดับโลกเพื่อจัดการกับมลพิษจากพลาสติก และกำลังทำงานเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่พลาสติกถูกนำมาใช้ซ้ำ

ส่วน Altria ได้ตรวจสอบการศึกษานี้และเชื่อว่าไม่ถูกต้อง เพราะการศึกษานี้รวมข้อมูลจากกว่า 80 ประเทศ แต่ Philip Morris USA บริษัทบุหรี่ของ Altria ดำเนินธุรกิจในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม Win Cowger ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Moore Institute for Plastic Pollution Research และผู้เขียนหลักของการศึกษากล่าวในการตอบสนองต่อคำแถลงของ Altria ว่า “แนวคิดที่ว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยบริษัทในประเทศใดประเทศหนึ่งจะอยู่ในประเทศที่สร้างผลิตภัณฑ์นั้นเท่านั้นไม่ได้รับการสนับสนุน”

ส่วน Danone ไม่ตอบสนองต่อการร้องขอความคิดเห็นจาก The Washington Post

กล่าวโดยสรุป ปัญหาเรื้อรังของมลพิษจากพลาสติกจำเป็นต้องได้รับการดำเนินการอย่างเร่งด่วนจากบริษัทขนาดใหญ่ ถึงเวลาแล้วที่บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะต้องแบกรับความรับผิดชอบและดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่ออนาคตที่ปราศจากมลภาวะนี้ ด้วยความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วนอย่างแข็งขัน เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่โลกที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป

ถึงเวลาดำเนินการอย่างเร่งด่วนแล้ว อย่าเสียเวลาอีกต่อไปเลย

‘อินโดนีเซีย’ อ่วม!! ฝนถล่มหนักติดต่อหลายชั่วโมง ส่งผล ‘น้ำท่วมฉับพลัน-ลาวาเย็นทะลัก’ ดับ 12 ราย

(13 พ.ค.67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานข้อมูลจากหน่วยกู้ภัยอินโดนีเซีย ‘บาซาร์นาส’ เมื่อราว 22.30 น. วันเสาร์ (11 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เกิดภัยพิบัติในท้องที่อากัมและตานาห์ ดาตาร์ จ.สุมาตราตะวันตก หลังฝนตกหนักนานหลายชั่วโมงเป็นเหตุให้น้ำท่วมฉับพลันและลาวาเย็นไหลทะลักจากภูเขาไฟมาราปี

นายอับดุล มาลิก หัวหน้าหน่วยกู้ภัย แถลง (12 พ.ค.) ว่า “ประชาชนเสียชีวิต 12 คน ร่างถูกนำไปโรงพยาบาลและระบุตัวตนได้แล้ว 9 คน ในจำนวนนี้มีเด็ก 3 ขวบหนึ่งคนและ 8 ขวบหนึ่งคน สูญหายอีกสี่คนในอำเภออากัม วันนี้เจ้าหน้าที่ยังปฏิบัติการค้นหาอย่างต่อเนื่องในทั้งสองอำเภอ”

ทางการท้องถิ่นส่งทีมกู้ภัยและเรือยางค้นหาผู้ที่สูญหาย และขนย้ายประชาชนไปยังที่หลบภัย ทางการท้องถิ่นตั้งศูนย์อพยพและกู้ภัยฉุกเฉินหลายจุด

ทั้งนี้ ลาวาเย็น หรือที่เรียกกันว่าลาฮาร์ เป็นวัตถุจากภูเขาไฟ เช่น เถ้าถ่าน ทราย และหินกรวดที่ฝนชะลงมาตามลาดเขา

อินโดนีเซียนั้นเสี่ยงเกิดน้ำท่วมและดินถล่มในช่วงฤดูฝน เมื่อเดือนมี.ค. เคยมีผู้เสียชีวิตจากเหตุนี้มาแล้วอย่างน้อย 26 คน ส่วนภูเขาไฟมาราปี เป็นภูเขาไฟที่คุกรุ่นมากที่สุดในสุมาตรา และเป็นหนึ่งในเกือบ 130 ลูกที่คุกรุ่นมากที่สุดในประเทศ

ในเดือน ธ.ค. ภูเขาไฟมาราปี ปะทุพ่นเถ้าถ่านสูง 3,000 เมตรขึ้นสู่ท้องฟ้า สูงยิ่งกว่าตัวภูเขาไฟเองเป็นเหตุให้นักปีนเขาอย่างน้อย 24 คน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเสียชีวิต

สหรัฐฯ หมายตาลงทุนฐานผลิต EV ในไทย หวังใช้ทานกระแส ‘รถยนต์ EV’ สัญชาติจีน

รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจสกัดการไหลบ่าของรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เข้าตลาดสหรัฐฯ ด้วยกำแพงภาษีนำเข้าสูงถึง 100% ในระยะอันใกล้นี้ เพื่อปกป้องผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศ โดยเฉพาะ Tesla ที่ยอดขายตกหนักจากการแย่งชิงตลาดของรถยนต์แบรนด์จีนด้วยกลยุทธ์การตัดราคาสู้ จนยอดจองรถยนต์รุ่นใหม่ของ Tesla ชะลอตัวลงอย่างมากทั้งในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป 

ซึ่งล่าสุด Tesla เพิ่งประกาศเลิกจ้างพนักงานทั่วโลกลงอีก 10% และชะลอการลงทุนในแผนกพัฒนาการชาร์จประจุไฟ  และดูเหมือนสถานการณ์ก็ยังไม่ฟื้นตัวนัก ส่งผลให้หุ้นของ Tesla ตกลงไปแล้วถึง 30% ช่วงเวลาแค่ 4 เดือนของปีนี้ (2567) 

หากปล่อยไว้เช่นนี้ ธุรกิจของผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับรถยนต์ราคาประหยัดของจีน รัฐบาลสหรัฐฯ จึงตัดสินใจสกัดการเข้าตลาดของ สินค้าพลังงานหมุนเวียน และรถยนต์ไฟฟ้าของจีน ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีถึง 100% โดยเฉพาะรถยนต์ EV ในรุ่นที่ราคาต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์ (3.68 แสนบาท) ที่ตอนนี้มีให้เห็นล้นตลาดสหรัฐฯ 

แต่ว่าสถานการณ์ของ Tesla ซับซ้อนกว่านั้น เนื่องจาก Tesla มีฐานการผลิตใหญ่อยู่ในประเทศจีนด้วย ที่ผลิตรถยนต์ป้อนทั้งตลาดจีน และต่างประเทศ ที่ทำให้ Tesla ถูกกดดันหนักทั้ง 2 ด้าน จากมาตราการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลถึงต้นทุนราคาชิ้นส่วนอุปกรณ์ของ Tesla ที่ผลิตในจีน และการต้องปรับตัวแข่งขันอย่างดุเดือดกับผู้ผลิตรถยนต์จากจีนด้วย 

ดังนั้น Tesla จำเป็นต้องมองหาตลาดใหม่ในเอเชีย นอกเหนือจากจีน ที่มีศักยภาพการเติบโตไม่แพ้กัน ที่ตอนนี้มีอยู่ 2 แห่งที่เข้าตาอีลอน มัสก์ ประเทศแรกคือ อินเดีย ที่อยู่ในความสนใจของ Tesla มานานแล้ว ส่วนอีกประเทศหนึ่งก็คือ ไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ ที่กระแสเครื่องยนต์สะอาดกำลังมาแรงมาก

ทางการไทยเคยมีการพูดคุยกับ Tesla มาได้ 2-3 ปี แล้วในช่วงที่ อีลอน มัสก์ กำลังมองหาทำเลที่ตั้งโรงงานแห่งใหม่ระดับ Gigafactory ในเอเชีย ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่อยู่ในใจของอีลอน มัสก์ และเคยวางแผนที่จะมาสำรวจทำเลถึงในประเทศไทยแต่ต้องยกเลิกการเดินทางไปก่อน 

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากสำหรับ Tesla ทั้งในแง่ฐานลูกค้า ที่จะช่วยให้ Tesla พึ่งพาตลาดยุโรป และ อเมริกา น้อยลง และยังเหมาะที่จะเป็นฐานการผลิตทางเลือกใหม่ นอกเหนือจากจีน ได้เป็นอย่างดี

ซึ่งไทยเป็นที่รู้จักในฉายา ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ มานานหลายปี จากแรงงานที่ทักษะเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ และความสามารถในการดึงดูดบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ข้ามชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ ที่จะช่วยให้ Tesla สามารถลดการพึ่งพาแหล่งผลิตในจีนได้ และยังมีความพร้อมในการรองรับความต้องการในตลาดเอเชีย และ ทวีปอื่น ๆ ได้ด้วย

เคร็ก เออร์วิน นักวิเคราะห์การวิจัยอาวุโสของ Roth Capital ซึ่งดูแล Tesla กล่าวว่า “มีความเป็นไปได้ที่ไทยจะสามารถผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ด้วยต้นทุนที่ต่ำได้เหมือนอย่างจีน แถมยังสามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปราศจากการควบคุมจากรัฐบาลปักกิ่ง นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังมีงบประมาณอุดหนุน และสิ่งจูงใจทางภาษีเพื่อสนับสนุนการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้และดึงดูดผู้ผลิตจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทยได้ง่ายขึ้น”

นอกจากนี้ เซท โกลด์สตีน นักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นของ Morningstar ซึ่งดูแล Tesla ยังกล่าวถึงข้อดีของไทยอีกว่า “การส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาหรือสหภาพยุโรปมีผลกระทบทางการเมืองน้อยกว่าจีน และถึงแม้ว่ารถยนต์ที่ผลิตในไทย ไม่เข้าข่ายที่จะได้รับเงินสนับสนุนจาก Inflation Reduction Act กฎหมายที่ช่วยเหลือด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ แต่โอกาสที่รถยนต์จากไทยจะเจอกำแพงภาษีสูงลิ่วแบบที่จีนต้องเจอมีน้อยมาก ๆ”

และต่อให้ไม่เข้าตลาดสหรัฐฯ ก็ยังมีตลาดในอาเซียนที่มีประชากรมากกว่า 650 ล้านคนรองรับอยู่ และยังเป็นตลาดที่กำลังเติบโต ซึ่งไทยก็เป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ที่มีค่ายรถยนต์ต่างชาติยักษ์ใหญ่ทั้ง โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน ฟอร์ด จีเอ็ม และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ต่างก็มาตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคอยู่ที่ไทย 

เป้าหมายของไทย คือ การเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตระดับโลก ด้วยข้อเสนอด้านภาษีที่จูงใจ และยังตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนจากการผลิตรถยนต์เครื่องสันดาปในประเทศ เป็นรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ถึง 30% ภายในปี 2573 ซึ่งเทียบเท่ากับรถยนต์ 725,000 คัน และรถจักรยานยนต์ 675,000 คัน ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดรถยนต์ EV ที่สำคัญมากทั้งจากมุมมองของผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำอย่าง ฮอนด้า และ โตโยต้า ก็วางแผนที่จะลงทุนกว่า 4.1 พันล้านเหรียญในการผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไทยแล้ว

ยังไม่นับเรื่องการค้นพบแหล่งแร่ลิเธียมเกือบ 15 ล้านตันในประเทศ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ที่จะทำให้ไทยมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในเอเชียมากขึ้นไปอีก 

เซท โกลด์สตีน ยังเสริมว่า “หากประเทศไทยกลายเป็นตลาดที่สามารถผลิตรถยนต์ EV และ รวมถึงส่วนประกอบได้ในราคาถูกและยังสามารถส่งออกได้อย่างอิสระ ก็ไม่แปลกใจที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ รวมทั้ง Tesla จะพิจารณาการสร้างฐานผลิตใหม่ในประเทศไทย ที่เป็นทางเลือกที่ดีนอกเหนือจากจีน”

และยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของรถยนต์ค่ายอื่น ๆ ต่อยุทธศาสตร์การบุกตลาดอย่างหนักของรถยนต์ EV จากจีนได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยในการรักษาตำแหน่ง ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ ไว้ให้ได้ เพราะกำลังถูกท้าทายจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม และ อินโดนิเซีย ที่ต้องการแย่งบัลลังก์เจ้าแห่งการผลิตรถยนต์จากไทยด้วยเช่นกัน 

วัยรุ่น Gen Z สหรัฐฯ กำลังเผชิญวิกฤต 'หนี้ท่วม' เคราะซ้ำ!! รายได้ต่ำกว่าคนวัยเดียวกันเมื่อ 10 ปีก่อน

(13 พ.ค. 67) เพจ 'ทันโลกกับ Trader KP' เผย!! วัยรุ่น Gen Z ในอเมริกากำลังเผชิญวิกฤต #หนี้ท่วม

โดยเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว หลังหักลบอัตราเงินเฟ้อแล้ว...วัยรุ่นในสมัยนี้เป็นหนี้สูงกว่าเดิมมาก ดังนึ้...

- หนี้ผ่อนบ้าน +44%
- หนี้บัตรเครดิต +26%
- หนี้ผ่อนรถยนต์ +4%

และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น รายได้เฉลี่ยของคนสหรัฐฯ วัย 20 ต้น ๆ อยู่ที่ $45,493 ต่อปี ต่ำกว่าคนรุ่น Millennial ในวัยเดียวกันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว (ซึ่งอยู่ที่ $51,852) ถึง $6,350

‘เซาท์ออสเตรเลีย’ จ่อห้ามเด็กต่ำกว่า 14 ปี เล่นโซเชียลมีเดีย หลังพบผลกระทบในด้าน ‘สุขภาพจิต-พัฒนาการ’ ของเด็ก

(13 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปีเตอร์ มาลินอสคัส ผู้ว่าการรัฐเซาท์ออสเตรเลียของออสเตรเลีย เปิดเผยแผนการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการแต่งตั้งโรเบิร์ต เฟรนช์ อดีตหัวหน้าผู้พิพากษาศาลสูงแห่งออสเตรเลีย ดำเนินการตรวจสอบข้อปฏิบัติทางกฏหมายของการบังคับใช้คำสั่งห้ามลักษณะดังกล่าวเป็นครั้งแรกของออสเตรเลีย

เมื่อวันอาทิตย์ (12 พ.ค.) ปีเตอร์ มาลินอสคัส กล่าวว่า รัฐบาลรัฐเซาธ์ออสเตรเลียออกข้อเสนอที่ว่าประชาชนในรัฐที่มีอายุต่ำว่า 14 ปี จะถูกห้ามใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย ส่วนผู้มีอายุ 14-15 ปี จะต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ผู้ปกครองหากต้องการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์

โดยอธิบายว่า มีผลการตรวจสอบและหลักฐานผลกระทบมากมายที่บ่งชี้ว่าสื่อสังคมออนไลน์เป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตและพัฒนาการของเด็ก โดยมีการใช้แอดดิคทีฟ อัลกอริทึม (addictive algorithm) มาดึงดูดเด็กวัยรุ่นในวิถีทางที่จิตใจอันกำลังพัฒนาของพวกเขามิอาจรับมือได้

“ตอนนี้เด็ก ๆ ตกอยู่ในอันตราย จึงไม่ควรเสียเวลาเปล่าอีกต่อไป” ปีเตอร์ มาลินอสคัส กล่าว พร้อมเสริมว่า กฎเกณฑ์และข้อบังคับของคำสั่งห้ามนี้อาจมีลักษณะเหมือนกับคำสั่งห้ามชาวออสเตรเลียที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าถึงการพนันออนไลน์

ทั้งนี้ ข้อมูลจากอีเซฟตี คอมมิชชันเนอร์ (eSafety Commissioner) ของรัฐบาลกลางออสเตรเลียในปี 2021 ระบุว่าวัยรุ่นออสเตรเลียใช้เวลาบนโลกออนไลน์เฉลี่ย 14.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และใช้บริการสื่อสังคมออนไลน์เฉลี่ย 4 แพลตฟอร์ม

ปิด ‘ช่องแคบฮอร์มุซ’ ดันราคาน้ำมันพุ่ง 250 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อ 1 ใน 5 ‘การค้าน้ำมันดิบ-ผลิตภัณฑ์น้ำมัน’ ต้องผ่านเส้นทางนี้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์วอร์เท็กซา (Vortexa) ระหว่างเดือน ม.ค. - ก.ย. 2566 น้ำมันหนึ่งในห้าของการบริโภคทั่วโลกทั้งในรูปน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันต้องผ่านเส้นทางนี้ เฉลี่ย 20.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ความหวาดวิตกล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสถานทูตอิหร่านในกรุงดามัสกัสของซีเรียถูกโจมตีทางอากาศ เมื่อวันที่ 1 เม.ย. เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (ไออาร์จีซี) เสียชีวิตเจ็ดนาย ในจำนวนนี้เป็นระดับผู้บัญชาการสองนาย อิหร่านเชื่อว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล

ต่อมาวันที่ 9 เม.ย.อลิเรซา ตังซิรี ผู้บัญชาการกองทัพเรืออิหร่าน เผยกับสำนักข่าวอัลเมยาดีนที่สนับสนุนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอน

“เราสามารถปิดช่องแคบฮอร์มุซได้ แต่เราไม่ทำ อย่างไรก็ตามถ้าศัตรูเข้ามาป่วนเรา เราจะทบทวนนโยบาย” ผบ.ทร.อิหร่านกล่าวและว่า ถ้าเรือพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐเข้ามายังน่านน้ำอิหร่าน ช่องแคบฮอร์มุซ “จะใช้การไม่ได้ไปอีกหลายปี”

ในอดีตอิหร่านเคยขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซหลายครั้งเมื่อเกิดความตึงเครียดกับสหรัฐและอิสราเอล

>> รู้จักช่องแคบฮอร์มุซ

น่านน้ำยุทธศาสตร์แห่งนี้มีรูปร่างเหมือนตัว V หัวตั้ง เชื่อมอ่าวเปอร์เซียกับมหาสมุทรอินเดีย มีอิหร่านอยู่ทางตอนเหนือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และโอมานอยู่ทางตอนใต้ความยาวของช่องเกือบ 161 กิโลเมตร ส่วนแคบสุดกว้าง 33.8 กิโลเมตร ความลึกของช่องแคบไม่มากนักทำให้เรือเสี่ยงต่อทุ่นระเบิด และระยะทางห่างจากแผ่นดินโดยเฉพาะอิหร่านไม่ไกลนัก ทำให้เรือมีโอกาสถูกโจมตีจากขีปนาวุธยิงจากฝั่ง หรือถูกเรือลาดตระเวนและเฮลิคอปเตอร์ตรวจจับได้

>>ความสำคัญของช่องแคบ

ช่องแคบฮอร์มุซสำคัญยิ่งต่อการค้าน้ำมันโลก สำนักข่าวบลูมเบิร์กรวบรวมข้อมูลพบว่า ในไตรมาสหนึ่งของปี 2567 เรือบรรทุกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันจากซาอุดีอาระเบีย อิรัก คูเวต ยูเออีและอิหร่านผ่านช่องแคบนี้เกือบ 15.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ทั้งยังเป็นเส้นทางขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) กว่าหนึ่งในห้าของอุปทานโลก ส่วนใหญ่มาจากกาตาร์

>> ชนวนล่าสุด

วันที่ 13 เม.ย. หลายชั่วโมงก่อนใช้โดรนและขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล ไออาร์จีซียึดเรือเอ็มเอสซีแอรีส์ ซึ่งเป็นเรือขนส่งสินค้าเกี่ยวข้องกับอิสราเอลใกล้ช่องแคบฮอร์มุซระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน

กองกำลังพิเศษโรยตัวจากเฮลิคอปเตอร์ลงเรือแล้วบังคับเรือเข้าน่านน้ำอิหร่าน ทอดสมอระหว่างหมู่เกาะเคชม์ของอิหร่านกับช่องแคบฮอร์มุซในอ่าวเปอร์เซีย

>> ทำไมอิหร่านต้องป่วนการเดินเรือ

อิหร่านคุกคามเรือในอ่าวเปอร์เซียมาหลายสิบปีเพื่อแสดงความไม่พอใจที่ถูกคว่ำบาตร หรือแสดงอำนาจเหนือกว่าเมื่อเกิดข้อพิพาท

กรณีล่าสุดรัฐบาลเตหะรานอ้างว่ายึดเรือไว้เพราะละเมิดกฎหมายทางทะเล แต่นักวิเคราะห์มองว่า น่าจะเป็นเพราะอิสราเอลเป็นเจ้าของเรือมากกว่า

ตอนที่อิหร่านยึดเรือบรรทุกน้ำมันมุ่งหน้าไปสหรัฐในเดือน เม.ย.2566 ได้ให้เหตุผลว่า เรือลำนี้โจมตีเรือลำอื่น แต่ดูเหมือนอิหร่านทำไปเพื่อตอบโต้ทางการสหรัฐยึดเรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านนอกชายฝั่งมาเลเซียโทษฐานละเมิดมาตรการคว่ำบาตร

เดือน พ.ค.2565 อิหร่านยึดเรือบรรทุกน้ำมันกรีซสองลำไว้นานถึงหกเดือน สันนิษฐานว่าเพื่อตอบโต้ทางการกรีซและสหรัฐที่ยึดน้ำมันอิหร่านจากเรืออีกลำหนึ่ง สุดท้ายเรือทั้งสองลำก็ถูกปล่อยเป็นอิสระ

>> อิหร่านเคยปิดช่องแคบฮอร์มุซหรือไม่

จนถึงขณะนี้อิหร่านยังไม่เคยปิดช่องแคบฮอร์มุซ ระหว่างสงครามอิรัก-อิหร่าน ปี 2523-2531 กองทัพอิรักโจมตีสถานีส่งออกน้ำมันบนเกาะคาร์จ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของช่องแคบ เป็นชนวนหนึ่งให้อิหร่านต้องตอบโต้ซึ่งเป็นการดึงสหรัฐเข้ามาร่วมวงความขัดแย้งนี้ด้วย

หลังจากนั้นเกิดสงครามเรือบรรทุกน้ำมัน ทั้งสองฝ่ายโจมตีเรือของกันและกัน 451 ลำ เพิ่มต้นทุนการขนส่งน้ำมันอย่างมหาศาลดันราคาน้ำมันพุ่งสูงตามไปด้วย

ตอนถูกคว่ำบาตรในปี 2554 อิหร่านขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซแต่สุดท้ายก็ไม่ทำ

ผู้ค้าน้ำมันสงสัยว่าอิหร่านจะปิดช่องแคบทั้งหมดได้หรือไม่ เพราะอิหร่านก็ส่งออกน้ำมันของตนไม่ได้เหมือนกัน

ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพเรืออิหร่านยังเทียบกันไม่ได้กับกองเรือที่ 5 ของสหรัฐและกองกำลังอื่น ๆ ในภูมิภาค

ก่อนเกิดเหตุยึดเรือลำล่าสุดในเดือน เม.ย.ได้ไม่นาน ผบ.กองทัพเรืออิหร่านพูดว่า อิหร่านสามารถใช้ช่องแคบฮอร์มุซป่วนการเดินเรือได้แต่เลือกที่จะไม่ทำ

>> จะปกป้องช่องแคบฮอร์มุซได้อย่างไร
ระหว่างสงครามเรือบรรทุกน้ำมัน กองทัพเรือสหรัฐกลับมาลาดตระเวนติดตามเรือในอ่าวเปอร์เซียอีกครั้งหนึ่ง ปี 2562 สหรัฐส่งเรือบรรทุกเครื่องบินหนึ่งลำและเครื่องบินทิ้งระเบิดบี-52 จำนวนหนึ่งเข้ามาในภูมิภาคนี้

ปีเดียวกันสหรัฐเริ่มปฏิบัติการ Operation Sentinel ตอบโต้อิหร่านก่อกวนการเดินเรือ ต่อมาอีกสิบชาติ อาทิ สหราชอาณาจักร ซาอุดีอาระเบีย ยูเออี และบาห์เรน เข้าร่วมด้วย เรียกว่า โครงสร้างความมั่นคงทางทะเลระหว่างประเทศ

นับตั้งแต่ปลายปี 2566 ปฏิบัติการปกป้องเรือสินค้าส่วนใหญ่ย้ายจากช่องแคบฮอร์มุซมายังทะเลแดงตอนใต้และช่องแคบบับเอลมันเดบ ที่เชื่อมช่องแคบกับอ่าวเอเดนและมหาสมุทรอินเดีย

การโจมตีเรือสินค้าเข้าออกทะเลแดงโดยฮูตีในเยเมนกลายเป็นความน่ากังวลมากกว่าช่องแคบฮอร์มุซ กองกำลังในทะเลแดงนำโดยสหรัฐจึงพยายามปกป้องการเดินเรือในพื้นที่นี้

>> ใครพึ่งพาช่องแคบฮอร์มุซมากที่สุด
การส่งออกน้ำมันของซาอุดีอาระเบียส่วนใหญ่ผ่านช่องแคบนี้ แต่ก็สามารถเปลี่ยนไปใช้ท่อส่งความยาว 1,200.5 กิโลเมตรข้ามประเทศไปสู่สถานีน้ำมันในทะเลแดงได้

ยูเออีสามารถเลี่ยงช่องแคบฮอร์มุซได้บ้าง ด้วยการส่งน้ำมัน 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันผ่านท่อส่งจากบ่อน้ำมันของตนไปยังท่าเรือฟูไจราห์ในอ่าวโอมาน

น้ำมันอิรักบางส่วนใช้เรือบรรทุกจากท่าเรือซีฮานของตุรกี แต่ 85% ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ อิรักจึงต้องพึี่งพาเส้นทางนี้อย่างมาก

คูเวต กาตาร์ และบาห์เรนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เส้นทางนี้เท่านั้น

>> แนวโน้มราคาน้ำมันหากปิดช่องแคบฮอร์มุซ
ต้นเดือน พ.ย.2566 ไม่กี่สัปดาห์หลังสงครามระหว่างฮามาสกับอิสราเอลปะทุขึ้น เกิดความกังวลกันมากว่าความขัดแย้งจะบานปลาย แบงก์ออฟอเมริการายงานว่า การปิดช่องแคบฮอร์มุซอาจดันราคาน้ำมันไปสูงกว่า 250 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ผู้ติดตามอุตสาหกรรมน้ำมันหลายคนมองว่า การปิดช่องแคบยังไม่น่าจะเป็นไปได้

แอนดี ลิโปว์ ประธาน Lipow Oil Associates กล่าวว่า ผู้ผลิตน้ำมันอย่างซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน อิรัก และคูเวตยังต้องพึ่งพารายได้จากน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ

โกลด์แมนแซคส์แสดงความคิดเห็นแบบเดียวกัน คณะนักวิเคราะห์นำโดยแดน สตรูว์เยน หัวหน้าฝ่ายวิจัยน้ำมันรายงานไว้เมื่อวันที่ 26 ต.ค.

‘จีน’ ผุดโครงการส่งเสริม ‘สุขภาพจิต’ นักเรียนทั่วประเทศ เล็งใส่ใจเด็กที่ถูกทิ้งตามลำพัง เหตุผู้ปกครองต้องไปทำงาน

(14 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หนังสือเวียนจากกระทรวงศึกษาธิการของจีน เปิดเผยการดำเนินโครงการรณรงค์ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้และการศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิตของนักเรียน โดยจะจัดต่อเนื่องตลอดเดือนพฤษภาคม และเป็นโครงการระยะหนึ่งเดือนโครงการแรกของจีนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้

หนังสือเวียนกำหนดให้หน่วยงานด้านการศึกษาท้องถิ่น จัดการศึกษาด้านสุขภาพจิตและโครงการแนะแนวสำหรับเด็กและนักเรียนในหลายระดับการศึกษา โดยหน่วยงานควรมุ่งให้ความใส่ใจกับสภาพจิตใจของเด็กที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังในพื้นที่ชนบทเนื่องจากผู้ปกครองต้องทำงานอยู่ในเมือง รวมถึงลูก ๆ ของแรงงานต่างถิ่น และจัดการให้คำปรึกษาและการบำบัดทางจิตวิทยากับเด็กกลุ่มดังกล่าวเมื่อจำเป็น

ด้านคณะครูควรเข้าร่วมการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ด้านจิตวิทยา และช่วยดูแลสุขภาพจิตของนักเรียนผ่านงานสอนหนังสือ

ทั้งนี้ หน่วยงานด้านการศึกษาและโรงเรียนควรจัดการบรรยายและให้บริการคำปรึกษาแก่ผู้ปกครองเพื่อให้คำแนะนำเชิงวิชาการแก่พวกเขาเกี่ยวกับประเด็นนี้

‘นาซา’ วางแผนจะสร้าง ‘ระบบรางรถไฟ’ บนดวงจันทร์ หวังรองรับการปฏิบัติภารกิจของนักบินอวกาศในอนาคต

(14 พ.ค.67) เว็บไซต์ วีโอเอ รายงานว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (นาซา) เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ระบบรางรถไฟ’ ที่วางแผนว่าจะสร้างบนพื้นผิวดวงจันทร์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อจัดเตรียม ‘ระบบขนส่งด้วยหุ่นยนต์’ สำหรับรองรับกิจกรรมบนดวงจันทร์ในอนาคต

รายงานระบุว่า ทางรถไฟดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ ‘โครงการอาร์ทิมิส’ (Artemis) โครงการการบินอวกาศของมนุษย์ระดับนานาชาติ ที่นำโดยสหรัฐอเมริกากับเป้าหมายหลักในการส่งมนุษย์กลับคืนสู่ดวงจันทร์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2515 และมีการกำหนดวันลงจอดเพื่อส่งนักบินอวกาศบนพื้นผิวดวงจันทร์ ในเดือนก.ย. 2569

องค์การนาซากล่าวด้วยว่ามีแผนที่จะสร้างฐานระยะยาวบนดวงจันทร์ ซึ่งนักบินอวกาศสามารถสำรวจและทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ฐานดังกล่าวได้ และคาดว่าจะเริ่มสร้างขึ้นเร็วที่สุดในช่วงทศวรรษ 2030 (ตั้งแต่ปี 2573) นอกจากนี้ยังใช้เป็นพื้นที่ปล่อยยานสำหรับการสำรวจดาวอังคารในอนาคตได้อีกด้วย

แผนสร้างรางรถไฟบนดวงจันทร์ถูกเรียกว่า ‘FLOAT’ (โฟลต) ย่อมาจาก Flexible Levitation on a Track จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติภารกิจบนดวงจันทร์ เพราะสามารถให้บริการขนส่งในพื้นที่ดวงจันทร์ที่นักบินอวกาศใช้งานอยู่ ซึ่งจะรวมถึงการบรรทุกดินบนดวงจันทร์และวัสดุอื่น ๆ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของดวงจันทร์

นาซากล่าวว่ามีแผนจะขุด ‘เรโกลิธ’ (Regolith) หรือเศษดินเศษหินที่อยู่บนพื้นผิวชั้นบนของดวงจันทร์ เพื่อหาสารที่สามารถรองรับกิจกรรมของนักบินอวกาศบนดวงจันทร์ได้ เรโกลิธอาจประกอบด้วยน้ำหรือของเหลวของออกซิเจนและไฮโดรเจน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้สามารถใช้เพื่อสนับสนุนนักบินอวกาศและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่บนดวงจันทร์เป็นเวลานานได้

‘แอร์ฯ สาว’ แชร์อุทาหรณ์ สานสัมพันธ์รัก 3 หนุ่ม 3 เชื้อชาติในวันเดียว สุดท้ายตั้งท้อง ต้องลาออก และต้องอยู่ต่อให้ได้เพียงลำพังกับลูก

(15 พ.ค. 67) แอร์โฮสเตสสาวชาวมาเลเซียรายหนึ่ง เปิดเผยเรื่องราวของเธอบนสื่อสังคมออนไลน์และถูกนำมาเผยแพร่ต่ออย่างกว้างขวาง ถึงพฤติกรรมที่ขาดความยั้งคิดของตนเอง จนกระทั่งทำให้เธอตั้งครรภ์กับคนแปลกหน้า

โดยรายงานข่าวระบุว่า เหมย ลี่ (นามสมมุติ) เข้าทำงานที่สายการบินนานาชาติแห่งหนึ่ง ตั้งแต่อายุ 19 ปี เธอใช้ชีวิตส่วนใหญ่อย่างเต็มเหนี่ยวในขวบปีแรกของการทำงาน เติมเต็มความฝัน เดินทางไปทั่วโลกและมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมากหน้าหลายตาจากประเทศต่าง ๆ

"ขณะหยุดพักระหว่างทาง ปกติแล้วฉันจะไปออกเดทแบบสบาย ๆ ไม่ผูกมัด ฉันชอบพบปะกับหนุ่ม ๆ ที่มีเสน่ห์ ระหว่างรอเที่ยวบินถัดไปสำหรับเดินทางกลับบ้าน" เธอกล่าว นอกจากนี้แล้ว เหมย ลี่ เผยด้วยว่าเธอยังใช้เวลาว่างเข้าแอปพลิเคชันหาคู่ ออกเดทกับหนุ่ม ๆ ที่มีเสน่ห์ และมีความสุขให้มากที่สุด เท่าที่เธอจะตักตวงจากพวกเขาได้

เหมย ลี่ ถึงขั้นบอกว่าหนึ่งในความฝันของเธอ คือการได้อยู่กับหนุ่ม ๆ จากทั่วโลก "ฉันอยากรู้ว่า มันจะเป็นอย่างไร ตอนที่ฉันเดินทางไปทั่วโลก"

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีตอนจบ และ เหมย ลี่ พบว่าตนเองตั้งครรภ์ โดยหลังจากพบว่าประจำเดือนของตนเองมาช้า เธอตัดสินใจตรวจครรภ์ ซึ่งท้ายที่สุดก็พบว่าตนเองกำลังตั้งท้อง

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ในค่ำคืนที่เธอเชื่อว่าอาจเป็นวันที่ทำให้เธอตั้งครรภ์นั้น เป็นวันที่เธอมีเพศสัมพันธ์กับชายแปลกหน้า 3 คน ในคราวเดียว

"ฉันจำคืนนั้นได้ เครื่องบินของฉันเพิ่งลงจอด และฉันรู้สึกอยากผจญภัยอันเร่าร้อน ตอนที่ฉันไปถึงโรงแรม ฉันเปิดแอปพลิเคชันและเริ่มค้นหา ฉันหาทางเติมเต็มจินตนาการของการพบปะกับหนุ่ม ๆ 3 คนในคราวเดียว"

"คุณอาจคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้รับความร่วมมือ แต่มันน่าประหลาดใจมาก เมื่อสามารถหาชายแปลกหน้า 3 คน ยินยอมพร้อมใจกันอย่างง่าย ๆ ระหว่างชาย 3 คนในคืนดังกล่าว ทั้งหมดเป็นคนเชื้อสายต่างกัน คนหนึ่งเป็นชาวแอฟริกาใต้ผิวขาว คนหนึ่งเป็นชาวไนจีเรียเกิดในอังกฤษ และอีกคนเป็นชายจากอาร์เจนตินา ฉันรู้ว่าตนเองทำผิดพลาดใหญ่หลวง แต่ฉันไม่อาจทำแท้งลูกได้"

"ฉันต้องการมีลูกมาตลอด แต่ไม่ใช่ในกรณีแวดล้อมเช่นนี้ ฉันอยากมีอายุมากกว่านี้ แต่งงานและมีความมั่นคงทางการเงินมากกว่าที่เป็นอยู่ ฉันต้องการมีลูกกับสามี ไม่ใช่เพียงลำพัง" เธอกล่าว

เหมย ลี่ บอกด้วยว่าการมีลูกอาจทำให้เธอต้องตัดสินใจลาออกจากงานแอร์โฮสเตส เนื่องจากวิธีชีวิตที่วุ่นวายจากอาชีพนี้ไม่เหมาะกับการเลี้ยงลูกเพียงลำพัง และด้วยที่เธอไม่มีใครนอกเหนือจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด 2 คน ที่เธอสามารถปรับทุกข์ได้ เหมาย ลี่ จึงรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่ผ่าน ๆ มาของตนเอง

"ถ้าฉันมีลูก ฉันคงจะต้องลาออกจากงานในท้ายที่สุด และต้องหาทางหารายได้อื่นมาเลี้ยงชีพและดูแลลูก อีกด้านหนึ่งหากฉันตัดสินใจทำแท้ง ฉันเกรงว่าฉันจะต้องทุกข์ทรมาน แบกรับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top