Monday, 20 May 2024
World

‘หวังอี้’ เข้าเฝ้าฯ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ณ กรุงปักกิ่ง ยกย่อง-สานต่อ ความสัมพันธ์อันดี 2 ประเทศทุกมิติ

(9 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เผยเมื่อวันที่ 8 เม.ย.67 หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ กรุงปักกิ่งของจีน โดยหวังนำส่งคำทักทายด้วยมิตรไมตรีจิตจากประธานาธิบดีสีจิ้นผิงถึงกรมสมเด็จพระเทพฯ เป็นลำดับแรก

หวัง ซึ่งเป็นกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวว่า จีนนั้นเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยติดต่อกันมานานหลายปี และยังเป็นแหล่งการลงทุนจากต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สุดของไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยความร่วมมือทวิภาคีมีความแข็งแกร่งและศักยภาพมหาศาล

หวังกล่าวว่า กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงมีคุณูปการต่อมิตรภาพจีน-ไทย มาเนิ่นนานหลายทศวรรษ และประชาชนชาวจีนเทิดทูนคุณูปการดังกล่าวอย่างยิ่ง โดยจีนยกย่องมิตรภาพอันยืนยาวกับราชวงศ์ไทย และยินดีทำงานร่วมกับไทยเพื่อดำเนินการตามฉันทามติระดับสูงระหว่างสองประเทศ และผลักดันความก้าวหน้าใหม่ในการสร้างประชาคมจีน-ไทย ที่มีอนาคตร่วมกัน

กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า ราชวงศ์ไทยยกย่องมิตรภาพไทย-จีน เช่นเดียวกัน และไทยยินดีใช้โอกาสวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ ในปี 2025 มาเสริมสร้างความร่วมมืออันเป็นรูปธรรมกับจีนในด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, การเกษตร และการศึกษา และส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างประชาชนสองประเทศ

‘จีน’ ขุดบ่อ ‘พลังงานความร้อนใต้พิภพ’ ลึก 5,200 เมตร ได้สำเร็จ ข้อดี!! ‘พลังงานหมุนเวียนเสถียร-คาร์บอนต่ำ’ เตรียมพัฒนาต่อยอด

(9 เม.ย. 67)  สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ซิโนเปก (Sinopec) บริษัทปิโตรเคมีรายใหญ่ของจีน เปิดเผยการขุดเจาะ ‘ฝูเซินเร่อ 1’ (Fushenre-1) บ่อสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ลึกที่สุดของประเทศในมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ ได้เสร็จสิ้น ณ ความลึกใต้ดิน 5,200 เมตร ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบ่อสำรวจฯ ในจีน

ทั้งนี้ ความสำเร็จของการขุดเจาะบ่อสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพข้างต้น แสดงกลไกการก่อตัวของพลังงานความร้อนใต้พิภพทางตอนใต้ของจีน และจะช่วยยกระดับการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพลังงานความร้อนใต้พิภพในภูมิภาคดังกล่าวอย่างมาก

ด้าน กัวซวี่เซิง หัวหน้านักธรณีวิทยาของซิโนเปก กล่าวว่า พลังงานความร้อนใต้พิภพคือพลังงานหมุนเวียนรูปแบบหนึ่งที่มีเสถียรภาพและปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยมีปริมาณสำรองมหาศาลและกระจายตัวเป็นวงกว้าง

ซิโนเปก (Sinopec) มุ่งดำเนินการพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพ โดยมีการสร้างกำลังการทำความร้อนจากความร้อนใต้พิภพเกือบ 100 ล้านตารางเมตร และสร้างโครงการทำความร้อนใต้พิภพระดับภูมิภาคหลายแห่ง

'นักวิจัยจีน' พัฒนาเส้นใย 'เปล่งแสง-ผลิตกระแสไฟ' โดยไม่ต้องชาร์จ พร้อมศึกษาเพิ่มเติม 'เก็บรวบรวมพลังงานจากอวกาศ'

เมื่อวานนี้ (8 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารไซแอนซ์ (Science) เมื่อไม่นานนี้ ระบุว่าทีมวิจัยของจีนพัฒนาเส้นใยอัจฉริยะชนิดใหม่ที่สามารถปล่อยแสงและผลิตกระแสไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก ซึ่งคาดว่าเส้นใยนี้จะเปลี่ยนวิธีการตอบสนองระหว่างสิ่งแวดล้อมและผู้คน และมีความสำคัญต่อการประยุกต์ใช้สิ่งทออัจฉริยะ

เส้นใยดังกล่าวได้ผสานฟังก์ชันต่าง ๆ อาทิ การกักเก็บพลังงานไร้สาย การรับและส่งผ่านข้อมูล และสามารถถูกนำไปทำเป็นสิ่งทอที่บรรลุฟังก์ชันการโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ อาทิ จอแสดงผลเรืองแสง และระบบควบคุมแบบสัมผัสโดยไม่ต้องใช้ชิปและแบตเตอรี่

อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันและมีบทบาทสำคัญในการติดตามสุขภาพ การแพทย์ทางไกล ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ ตลอดจนสาขาอื่น ๆ

สิ่งทออิเล็กทรอนิกส์ที่ทำจากเส้นใยอัจฉริยะทั่วไปสามารถระบายอากาศได้ดีกว่าและอ่อนนุ่มมากกว่า เมื่อเทียบกับส่วนประกอบเซมิคอนดักเตอร์แข็งทื่อแบบดั้งเดิม ทว่าการพัฒนาเส้นใยอัจฉริยะในปัจจุบันต้องอาศัยการผสมผสานหลายโมดูลที่ซับซ้อน ซึ่งอาจไปเพิ่มปริมาณ น้ำหนัก และความแข็งไม่ยืดหยุ่นของสิ่งทอ

ทีมวิจัยจากคณะวัสดุศาสตร์และวัสดุวิศวกรรมของมหาวิทยาลัยตงหัว ค้นพบโดยบังเอิญว่าเส้นใยสามารถกระจายแสงภายใต้คลื่นสัญญาณวิทยุระหว่างการทดลอง จึงนำข้อมูลนี้ไปต่อยอดและพัฒนาเส้นใยอัจฉริยะรูปแบบใหม่ที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นแรงขับเคลื่อนไร้สาย

ด้าน หยางเว่ยเฟิง สมาชิกทีมวิจัย ระบุว่า เส้นใยชนิดใหม่นี้มีความโดดเด่นจากวัตถุดิบที่ต้นทุนคุ้มค่า และเทคโนโลยีการประมวลผลที่สมบูรณ์ โดยสามารถบรรลุการแสดงผลของเส้นใย การส่งคำสั่งแบบไร้สาย และฟังก์ชันอื่น ๆ โดยไม่ต้องใช้งานชิปหรือแบตเตอรี่

ด้าน โหวเฉิงอี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยตงหัว ระบุว่า เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยชนิดใหม่นี้จะสามารถโต้ตอบและเปล่งแสงได้ ทั้งยังสามารถควบคุมผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์จากระยะไกลแบบไร้สาย ผ่านการสร้างสัญญาณเฉพาะเจาะจงจากท่าทางที่แตกต่างกันของผู้ใช้

ทีมวิจัยจะดำเนินการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ทำให้เส้นใยชนิดใหม่สามารถเก็บรวบรวมพลังงานจากอวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อพัฒนาฟังก์ชันต่าง ๆ ที่หลากหลาย อาทิ การแสดงผล การเปลี่ยนรูปร่าง และการประมวลผล

นายกฯ จีนตอบขุนคลังมะกัน หลังถูกโวยส่งออกรถไฟฟ้าแผงโซลาร์เซลล์มากไป

ภายหลังจาก นางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐอเมริกา หยิบยกข้อกังวลเกี่ยวกับกำลังการผลิตด้านอุตสาหกรรมที่มากเกินไปของจีนขึ้นมาหารือกับนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง ที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันอาทิตย์ (7 เม.ย.67) 

ด้าน นายกรัฐมนตรีหลี่ ก็ได้ชี้แจงว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ควรนำเศรษฐกิจการค้ามาทำให้เป็นเรื่องการเมือง แต่ควรพิจารณาประเด็นด้านกำลังการผลิตอุตสาหกรรมอย่างเป็นกลางตามข้อเท็จจริงและโต้แย้งด้วยหลักเหตุผล ด้วยมุมมองของระบบเศรษฐกิจแบบตลาด มุมมองในระดับโลก และบนพื้นฐานของกฎหมายเศรษฐกิจ

“การพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ของจีนจะมีส่วนช่วยเหลือสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกสีเขียวและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้อยู่ในระดับต่ำ” นายหลี่ กล่าว

นายกรัฐมนตรีของจีนยังแสดงความหวังว่า สหรัฐฯ จะสามารถทำงานร่วมกับจีนในการปฏิบัติตามบรรทัดฐานของระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและความร่วมมืออย่างเปิดกว้างเป็นพื้นฐาน ขณะเดียวกัน ก็ละเว้นจากการนำประเด็นทางเศรษฐกิจและการค้าไปเป็นเรื่องการเมือง หรือขยายแนวคิดเรื่องความมั่นคงของชาติมากจนเกินไป

ก่อนหน้าการประชุมดังกล่าว ขุนคลังหญิงแกร่งผู้นี้ระบุว่า ชาติทั้งสองไม่ควรหลบเลี่ยง ‘การสนทนาที่ยากลำบาก’ ในการจัดการกับข้อแตกต่างระหว่างกัน

ด้านกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แถลงเกี่ยวกับการประชุมครั้งนี้ว่า ดำเนินอย่างตรงไปตรงมาและได้ผล โดย รมว.คลังได้แสดงความเห็นต่อฝ่ายจีนว่า ความสัมพันธ์ที่ดีทางด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะทำให้มีสนามการแข่งขันด้านธุรกิจที่เท่าเทียมกัน นอกจากนั้น ยังได้เน้นย้ำความสำคัญในการทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับปัญหาท้าทายอื่น ๆ ในโลก เช่น การบรรเทาภาระหนี้สินของชาติด้อยพัฒนา

สหรัฐฯ และจีนพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ท่ามกลางปัญหาขัดแย้งกันหลายเรื่อง รวมถึงความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี โดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เพิ่งหารือกันทางโทรศัพท์ ก่อนนางเยลเลน จะมาเยือนจีนเมื่อวันพฤหัสฯ (4 เม.ย.) ไม่กี่วัน นางเยลเลนเคยเยือนจีนครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ค. ปี 2566 สำหรับการมาเยือนครั้งที่ 2 เป็นเวลา 5 วันนี้ ได้พบปะหารือกับรองนายกรัฐมนตรี เหอ ลี่เฟิง ที่กว่างโจวเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภาคใต้ของจีน โดยขุนคลังหญิงมะกันได้หยิบยกประเด็นกำลังการผลิตที่มากเกินไปของจีนมาเป็นหัวข้อสำคัญในการหารือเช่นกัน

การครอบงำตลาดของจีนในด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์ก่อความวิตกแก่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) โดยอียูมีการสอบสวนรถยนต์ไฟฟ้าที่จีนส่งเข้ามาขายว่าอาจได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลปักกิ่งอย่างมากจนไม่เป็นธรรมแก่บริษัทผู้ผลิตในอียู การสอบสวนอาจนำไปสู่การตั้งกำแพงภาษีนำเข้า

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์เตือนถึงความเสี่ยงในการเป็นพันธมิตรของชาติตะวันตกเพื่อกดดันปักกิ่ง โดยนายซื่อ อวิ้นหง ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนในกรุงปักกิ่งระบุว่า การเพิ่มมาตรการเข้มงวดกับสินค้าและเทคโนโลยีพลังงานสีเขียวของจีนไม่ช่วยให้ชาติตะวันตกได้สนามแข่งขันเพิ่มขึ้นมากนัก ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีจะยังคงเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ของจีน ซึ่งไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปจากนี้

‘หนุ่มจาเมกา’ วัย 16 ปี ทำลายสถิติ ‘ยูเซน โบลต์’ ชายผู้วิ่งเร็วที่สุดในโลก หลังวิ่งเข้าเส้นชัยการแข่งขัน 400 ม. เร็วกว่าตำนานของชาติ 0.07 วินาที

เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 67 เพจเฟซบุ๊ก The Sporting News Thailand ได้โพสต์ข้อความ 'นิคอีคอย แบรมเวลล์' หนุ่มวัย 16 ปี จากจาเมกา ทำลายสถิติวิ่ง 400 เมตร ของ 'ยูเซน โบลต์' โดยระบุว่า…

ย้อนกลับไปในปี 2002 ยูเซน โบลต์ ในวัย 16 ปี สร้างชื่อกระฉ่อนโลก ด้วยการวิ่งเข้าเส้นชัยในการแข่งขันประเภท 400 เมตร ด้วยเวลาเพียง 47.33 วินาที และทำให้ ยูเซน โบลต์ ครองสถิติวิ่ง 400 เมตร เร็วที่สุดในรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี มาเป็นเวลา 2 ทศวรรษ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสถิติดังกล่าวของลมกรดระดับตำนานชาวจาเมกาได้ถูกทำลายลงเป็นที่เรียบร้อย ด้วยน้ำมือของรุ่นน้องร่วมชาติอย่าง นิคอีคอย แบรมเวลล์ ดาวรุ่งวัย 16 ปี

โดย นิคอีคอย แบรมเวลล์ ทำลายสถิติวิ่ง 400 เมตร ของ ยูเซน โบลต์ ลงได้ ในการแข่งขัน Carifta Games ครั้งที่ 51 ณ ประเทศ เกรนาดา ด้วยเวลา 47.26 วินาที ซึ่งเร็วกว่าตำนานของชาติ 0.07 วินาที และทำให้ตอนนี้ แบรมเวลล์ กลายเป็นเจ้าของสถิติ 400 เมตร รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี คนใหม่เป็นที่เรียบร้อย

สามารถชมคลิปการวิ่ง 400 เมตรของ นิคอีคอย แบรมเวลล์ ได้ที่นี่ : https://cutt.ly/6w85PTFn

หลังจบการแข่งขัน นิคอีคอย แบรมเวลล์ ได้กล่าวถึงความสำเร็จครั้งนี้เอาไว้ว่า “มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษมากที่ได้ทำลายสถิติ, ตั้งแต่ซัมเมอร์ที่แล้ว ผมจับตาดูสถิตินี้ ดังนั้นมันจึงเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่ได้มาที่นี่และได้รับมันมา”

แม้จะโดนทำลายได้หนึ่งสถิติ แต่ปัจจุบัน ยูเซน โบลต์ ยังถูกจารึกชื่อว่ามาเป็นมนุษย์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก หลังเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งในการแข่งขันวิ่ง 100 เมตรชาย ในการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกเมื่อปี 2009 ด้วยเวลาเพียง 9.58 วินาที และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้แบบเขา

‘ศาลสหรัฐฯ’ สั่งจำคุก ‘พ่อแม่’ เด็กกราดยิงใน รร.จนดับ 4 ศพ เหตุละเลย-ไม่หาทางป้องกัน ทั้งที่ทำได้ ในฐานะผู้ปกครอง

(10 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้พิพากษาสหรัฐตัดสินจำคุกบิดามารดาของวัยรุ่น 15 ปี ที่ก่อเหตุกราดยิงสังหารนักเรียน 4 คน นับเป็นผู้ปกครองรายแรกที่ต้องรับโทษจำคุกเพื่อรับผิดชอบกับการกระทำของลูก

โดยเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เมื่อนายนาธาน ครัมบลีย์ ที่ขณะนั้นมีอายุ 15 ปี ก่อคดีฆาตกรรมด้วยการกราดยิง ในโรงเรียนมัธยมอ็อกซ์ฟอร์ด รัฐมิชิแกน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ศพ และบาดเจ็บ 7 คน ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเมื่อปีที่แล้ว ต่อมานายเจมส์ ครัมบลีย์ และนางเจนนิเฟอร์ ครัมบลีย์ ผู้เป็นบิดาและมารดาถูกฟ้องร้องว่าต้องรับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้นด้วย ทั้ง 2 คนให้การแสดงความเสียใจเพื่อขอความเมตตาในการพิจารณาคดีนัดสุดท้าย ทั้งนี้ ผู้พิพากษาตัดสินให้ทั้งคู่รับโทษจำคุกระหว่าง 10-15 ปี ในมีความผิดฐานฆาตกรรมโดยไม่เจตนา โดยเน้นย้ำว่า ทั้ง 2 คน ละเลยป้องกันเหตุร้ายทั้งที่สามารถทำได้ในฐานะผู้ปกครอง   

ซึ่งอัยการแสดงให้เห็นว่า ผู้ปกครองทั้ง 2 คน เพิกเฉยต่อพฤติกรรมผิดปกติของลูกและไม่หาทางป้องกัน โดยมีหลักฐานสำคัญเป็นข้อความต่าง ๆ ที่ลูกชายได้เขียนไว้ว่า เขาต้องการให้พ่อและแม่ช่วย แต่ทั้งสองไม่ยอมรับฟังปัญหาจิตใจของเขา จึงต้องไปก่อเหตุยิงที่โรงเรียน โดยเฉพาะผู้เป็นบิดา ซึ่งเป็นผู้พาลูกชายไปซื้อปืนกึ่งอัตโนมัติขนาด 9 ม.ม. ให้เป็นของขวัญ ซึ่งกลายเป็นอาวุธสังหารในเวลาต่อมา

ระหว่างการพิจารณาคดี ตัวแทนผู้ปกครองของเหยื่อนักเรียนที่เสียชีวิตได้ขึ้นแถลงด้วย โดยต่างประณามบิดามารดาของผู้ก่อเหตุว่า ไม่สำนึกและเข้าใจหน้าที่ของผู้ปกครองจนทำให้พวกเขาต้องสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้

วิเคราะห์!! ไทยได้อะไร? เสียอะไร? หากกะเหรี่ยงประกาศเอกราชได้

ดูเหมือนสงครามกะเหรี่ยงที่รบกันมา 75 ปีจนถึงตอนนี้เหมือนจะทำให้ชาวกะเหรี่ยงมีความฝันมากที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสงครามข่าวสารที่ทางฟากฝั่งเมียนมายังเงียบกริบ ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านออกข่าวมาตลอดทั้งภาษาพม่าและภาษาอังกฤษ

แต่เอาเป็นว่าวันนี้ 'เอย่า' จะมาวิเคราะห์ให้ดูดีกว่าว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากกะเหรี่ยงประกาศเอกราชสำเร็จ

1. ด่านพรมแดนแม่สอดและด่านเจดีย์สามองค์ที่เคยเป็นพรมแดนการค้าในการส่งสินค้าจากไทยไปเมียนมาจะกลายเป็นด่านของกะเหรี่ยง และหากทางฝั่งเมียนมาไม่เปิดด่านแผ่นดินที่ติดพรมแดนในดินแดนกะเหรี่ยง ก็เท่ากับไม่สามารถส่งสินค้าผ่านด่านแผ่นดินไปยังผู้ซื้อในเมียนมาจาก 2 ด่านนี้ได้ อาจจะต้องส่งไปด่านอื่น ๆ หรือวิธีการอื่นแทน

2. ระบบการเงินการธนาคารล้มเหลว ผู้คนในเมียวดีจะไม่เหลือเงินมาจับจ่ายใช้สอย แม้ต่อให้รัฐบาลกะเหรี่ยงจะออกธนบัตรของตนเอง แต่หากไม่ได้รับการยอมรับในทางสากล ผู้คนฝั่งเมียวดีก็ไม่มีเงินมาแลกเงินบาทอยู่ดี อันจะก่อให้เกิดภาวะเงินสกุลกะเหรี่ยงเฟ้อเพราะต้องเอาไปแลกเงินกับร้านรับแลกที่ผิดกฎหมายและโก่งราคาเงินสกุลกะเหรี่ยงเพราะไม่มีเสถียรภาพ

3. ปัจจุบันสาธารณูปโภคอย่างไฟฟ้าที่ใช้ในเขตกะเหรี่ยงได้มา 2 ทางคือ โรงไฟฟ้าที่ได้ก๊าซมาปั่นจากฝั่งมอญและซื้อไฟจากไทย หากกะเหรี่ยงประกาศเอกราชจริง การหยุดจ่ายไฟจากไทยเกิดขึ้นได้ เพราะสัญญาจ่ายไฟเป็นสัญญาระหว่างไทยกับเมียนมาไม่ใช่ไทยกับกะเหรี่ยง ส่วนก๊าซที่ได้มาจากทางเมาะละแหม่ง ก็มีสิทธิ์ถูกปิดเช่นกัน

4. ภาวะข้าวยากหมากแพงในเขตกะเหรี่ยง เพราะของอุปโภคต่าง ๆ ที่ราคาไม่แพงได้มาจากผู้ผลิตที่อยู่ลึกเข้าไปในเมียนมา และอาจจะส่งออกไม่ได้ยกเว้นการส่งแบบผิดกฎหมายที่น่าจะมี ส่วนสินค้าจากฝั่งไทยที่เข้ามาเป็นไปได้ที่จะเข้ามาแบบกองทัพมด แต่ราคาก็จะสูงกว่าปกติ

5. ทางการไทยอาจจะปิดด่านพรมแดน เพราะการเปิดด่านพรมแดนเป็นการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐหากกะเหรี่ยงยังไม่มีใครรับรองให้เป็นประเทศ ฝั่งไทยยย่อมมีสิทธิ์ปิดด่านพรมแดนได้

6. ฝั่งไทยจะทำการผลักดันผู้อพยพกลับภูมิลำเนาได้มากขึ้นและยกเลิกศูนย์พักพิงต่าง ๆ ที่เปิดมาตลอด 75 ปี

7. ฝั่งไทยน่าจะจัดการกับ NGO ที่แอบแฝงทั้งฟอกเงิน ค้าอาวุธและเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กะเหรี่ยงมาตลอด 75 ปี เพื่อที่จะคืนพื้นที่และความปลอดภัยให้ชาวแม่สอดได้ โดยการจัดระเบียบชาวกะเหรี่ยงและลูกหลานชาวกะเหรี่ยง ซึ่งเอย่ามั่นใจว่าทางฝ่ายความมั่นคงไทยและรัฐไทยมีข้อมูลเหล่านี้มาตลอด แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเกรงใจประเทศมหาอำนาจ

8. รัฐไทยจะสามารถควบคุมจัดการเรื่องยาเสพติดที่ในอดีตถูกผลิตและนำส่งออกมาจากเขตกะเหรี่ยงโดยมีชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงเป็นผู้กระจายสินค้าดังข่าวที่เคยปรากฏในอดีตให้สิ้นซากได้ ด้วยการหารือกับรัฐบาลกะเหรี่ยงที่ต้องการแรงสนับสนุนจากไทย

9. ในแง่ลบหากรัฐบาลกะเหรี่ยงไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นผู้นำ สงครามภายในกะเหรี่ยงเองก็อาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่องและลุกลามเป็นสงครามแย่งชิงอำนาจในชาติพันธุ์เดียวกันแทน แน่นอนฝั่งไทยก็จะได้รับผลกระทบยาวต่อไป

ชัยชนะที่เมียวดี เป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะสำคัญ แต่สำหรับฝั่งไทยแล้วการที่กองทัพพม่าเสียเมืองเมียวดี สร้างผลกระทบนับพันล้านบาท และสิ่งที่ตามมาคือ ค่าขนส่งที่แพงขึ้นอันส่งผลให้ต้นทุนสินค้าในเมียนมาสูงขึ้นด้วย  

สุดท้ายไม่ว่าผลจะเป็นเช่นใดทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้ส่งกระทบแค่เฉพาะคนไทยหรือคนพม่า แต่ชาวกะเหรี่ยงเองนั่นแหละคือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

‘จีน’ เอาจริง!! ลุยจัดการ ‘เนื้อหาออนไลน์ผิดกฎหมาย-อันตราย’ หลังได้รับรายงานมากกว่า 18 ล้านกรณี ในเดือน มี.ค.

เมื่อวานนี้ (10 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน เปิดเผยว่า จีนจัดการเนื้อหาออนไลน์ผิดกฎหมายหรืออันตรายที่มีรายงานมากกว่า 18.53 ล้านกรณีในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนกุมภาพันธ์ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 เมื่อเทียบปีต่อปี

เว็บไซต์รายใหญ่หลายแห่งของจีนดำเนินการจัดการกับเนื้อหาผิดกฎหมายที่ได้รับแจ้งเข้ามา 17.09 ล้านกรณี ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตส่วนกลางและภูมิภาคจัดการกับเนื้อหาดังกล่าวราว 1.45 ล้านกรณี

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า เนื้อหาออนไลน์ที่ผิดกฎหมายหรือเป็นอันตรายที่มีรายงานส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสื่อลามกอนาจาร การพนัน การละเมิด และข่าวลือ

‘เศรษฐีมะกัน’ แห่ขอสัญชาติที่สอง หวังกระจายความเสี่ยงทางการเงิน

(11 เม.ย. 67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานอ้างข้อมูลจาก เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ส (Henley & Partners) ซึ่งเป็นบริษัทกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านสิทธิความเป็นพลเมืองของกลุ่มผู้มีสินทรัพย์สูงว่า ‘ครอบครัวมั่งคั่งในสหรัฐ’ พากันสมัครขอสัญชาติที่สอง เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการเงิน

ถึงแม้ว่าสัญชาติอเมริกัน จะเป็นสัญชาติที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่สำหรับเศรษฐีสหรัฐ พวกเขากลับสะสมสัญชาติที่สอง สาม หรือแม้แต่ที่สี่ เพื่อรับมือกรณีต้องย้ายออกจากประเทศ โดยชาวอเมริกันเป็นสัญชาติที่ขอสัญชาติอื่น ๆ มากที่สุด

ด้าน โดมินิก โวเลค หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคลที่เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ส ระบุว่า “แม้สหรัฐยังคงเป็นประเทศยอดเยี่ยม และเป็นเจ้าของหนังสือเดินทางสุดวิเศษ แต่ถ้าผมรวย ผมก็ต้องการกระจายความเสี่ยง และไม่แน่นอนในชีวิตด้วยการมีหลายสัญชาติ”

สำหรับเศรษฐีอเมริกันระดับพันล้านที่มีสัญชาติที่สอง เช่น ปีเตอร์ ธีล นักลงทุนธุรกิจสายเทคโนโลยี เพิ่งได้สัญชาตินิวซีแลนด์ และอีริก ชมิดต์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ Google ได้ขอสัญชาติไซปรัสแล้ว

รายงานของ เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ส ระบุว่า ด้วยสถานการณ์โลกทุกวันนี้ที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองระหว่างประเทศ การมีพาสปอร์ตของประเทศที่เป็นกลาง อยู่นอกวงขัดแย้ง จะช่วยเพิ่มความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น อีกเหตุผลสำคัญคือ การถือสัญชาติสหรัฐสุ่มเสี่ยงที่อาจตกเป็นเป้าของการถูกทำร้าย เรียกค่าไถ่ และก่อการร้ายได้

นอกจากนี้ จำนวนสัญชาติที่มากขึ้น ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจกับประเทศนั้น ช่วยให้การเดินทาง และโยกย้ายทุนเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น โดยสัญชาติที่ชาวอเมริกันต้องการเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่ สัญชาติโปรตุเกส มอลตา และอิตาลี

โครงการวีซ่าทองคำของโปรตุเกสให้สิทธิในการพักอาศัย สัญชาติ และวีซ่าฟรีไปยุโรปแก่ชาวต่างชาติ แลกกับการลงทุน 500,000 ยูโร หรือราว 19 ล้านบาท ในกองทุนหรือหุ้นนอกตลาด

ขณะที่ประเทศมอลตา ได้เสนอวีซ่าทองคำแก่ผู้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวนเงิน 300,000 ยูโร หรือราว 11 ล้านบาท การได้ ‘สัญชาติมอลตา’ เปรียบดั่งการได้เป็นพลเมืองยุโรป เพราะสามารถเดินทาง เรียน และทำงานทั่วทั้งยุโรป

‘ชาวเนปาล’ ประท้วงให้ ‘สถาบันกษัตริย์’ กลับมา หลังรัฐสภามีมติให้ยกเลิกไปเมื่อปี 2008

(11 เม.ย.67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน เกิดการประท้วงขึ้นในเมืองหลวงกาฐมาณฑุของเนปาลเมื่อวันอังคาร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำกับกลุ่มผู้ประท้วงที่รุกล้ำเข้าในพื้นที่ที่ถูกปิดล้อม ด้านโฆษกตำรวจระบุว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ประชาชนชาวเนปาลเริ่มเห็นด้วยกับการนำระบอบกษัตริย์กลับมาใช้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังเรียกร้องให้มีการสถาปนาศาสนาฮินดูเป็นศาสนาประจำชาติ

ทั้งนี้ ประเทศเนปาล ซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐมาตั้งแต่ปี 2008 ในเวลานั้นรัฐสภาได้ลงมติให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ การเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัฐบาลในครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพที่กินเวลานานนับทศวรรษ เพื่อยุติสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศ และทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 16,000 คน

การชุมนุมประท้วงเมื่อวันอังคารจัดขึ้นโดยกลุ่มชาตินิยมฮินดูและระบอบกษัตริย์ พรรครัสตรียาประชาตันตรา ซึ่งปัจจุบันก่อตัวเป็นพรรคที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในรัฐสภา โมฮัน เชรษฐา-โฆษกพรรคสรุปข้อเรียกร้องของพรรค นั่นคือ ‘การรื้อฟื้นสถาบันกษัตริย์ รัฐฮินดู และการยกเลิกระบอบสหพันธรัฐ’

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พรรครัสตรียาประชาตันตรา ได้ให้คะแนนสำนักนายกรัฐมนตรีเนปาล 40 คะแนน พร้อมนำเสนอบันทึกข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ ซึ่งพวกเขายังได้แถลงประเด็นชี้ขาดเพิ่มเติมด้วย อีกทั้งยังเรียกร้องให้มีการต่อต้านการคอร์รัปชันและดำเนินมาตรการเพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล

อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ กษัตริย์องค์สุดท้ายของเนปาล เสด็จขึ้นครองราชย์ครั้งที่สองเมื่อปี 2001 จนถึงขณะนี้ทรงยังไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศ รวมถึงการเรียกร้องให้มีการเรียกร้องให้มีการนำสถาบันกษัตริย์กลับคืนมาอีกครั้ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top