Monday, 13 May 2024
TheStudyTimes

วิชาปัญญาเลิศ 1: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบการเคลื่อนที่

THE STUDY TIMES X DekThai Online

????วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม

วิชาปัญญาเลิศ 1: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบการเคลื่อนที่

โดย ดร.ถาวร ตันหยงมาศกุล (อ.บู้)

การศึกษาดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรและการสอนมหาวิทยาลัยบูรพา ปริญญาเอก

#คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระดับ ป.5-ม.3

#DekThaiOnline

https://dekthai-online.com/instructor/Galilao

.

.

เมืองเล็กๆ ที่ “Arosa” (อาโรซา) ความธรรมดาที่แสนพิเศษในสวิส เส้นทางที่เต็มไปด้วย ‘กระรอก’ และหิมะแห่งความงาม

ถ้าพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์ก็คงจะต้องนึกถึงธรรมชาติ ภูเขาสูงตระหง่าน ทะเลสาปแสนสวย ทุ่งหญ้าเขียวขจีแซมดอกหญ้าสีเหลือง นี่คือสิ่งที่แม้วี่จะอยู่มา 20 ปีแล้ว แต่ไม่เคยเบื่อและยังตกหลุมรักสวิสอยู่ วันนี้เลยอยากมาแบ่งปันสถานที่หนึ่งซึ่งรักมากและไปทุกปีให้ทุก ๆ คนได้รู้จัก

Arosa (อโรซ่า) เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,700 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในรัฐ Graubünden (กราวบึนเด่น) เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องอากาศที่บริสุทธิ์และวิวที่สวยงามเพราะมีภูเขาล้อมรอบ ภูเขาที่เป็นจุดเด่นของเมืองก็คงจะเป็นภูเขา Weisshorn (ไวซ์ฮอร์น) ที่มีความสูง 2,653 เมตร จากระดับน้ำทะเล เมืองนี้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวและคนสวิสเองรู้จักเป็นอย่างดีว่าเป็นสวรรค์ของคนเล่นสกี รวมถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมาที่นี่เพื่อทรงสกีและไอซ์เสก็ต อยู่บ่อยครั้ง หากต้องการตามรอยเสด็จฯ ให้ไปที่โรงแรม Arosa Kulm Hotel & Alpin Spa ภายในโรงแรมจะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของราชสกุลมหิดลมากมาย โดยเฉพาะห้อง 427 เป็นห้องที่ราชสกุลมหิดลเลือกประทับเป็นประจำและข้างในยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเลยทีเดียว (ที่มา: สารคดี สถานที่ตามรอยพระบาทในหลวงรัชกาลที่ 9)

ช่วงเวลาที่วี่ชอบไปคือช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ช่วงนี้เป็นเหมือนช่วงเบรคซีซั่น เพราะโรงแรมใหญ่ ๆ และกระเช้าขึ้นเขาที่สำคัญ ๆ จะปิดบริการหมด ซึ่งเหมาะกับวี่ที่ชอบเที่ยวแบบสบาย ๆ คนไม่ค่อยเยอะ การเดินทางก็สามารถขับรถไปได้ง่าย ๆเพียงแต่ทางค่อนข้างชันแถมต้องขับรถข้ามเขาที่มีโค้งร้อยกว่าโค้ง ใครเมารถแนะนำให้เอามะม่วงดอง บ๊วยเค็มและยาดมติดกระเป๋าไปด้วย แต่ถ้าไม่อยากขับรถก็สามารถนั่งรถไฟจากเมือง Chur (คัวร์) ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้ว แถมตลอดเส้นทางที่ไต่เขามายังสวยสะกดอีกต่างหากทำให้หนึ่งชั่วโมงเป็นช่วงเวลาที่เพลิดเพลินไม่น่าเบื่อเลย

เกริ่นมาตั้งนานยังไม่ยอมเข้าเรื่องสักทีเนอะ เมื่อลงจากรถไฟก็จะเจอวิวของทะเลสาบ Obersee (โอเบอร์เซ) แต่ถ้าขับรถมาเห็นทะเลสาปกับสถานีรถไฟเมื่อไหร่ ก็จะเห็นที่จอดรถลานกว้าง ๆ เลย เนื่องจากวี่ไปช่วงเมษา ดังนั้นส่วนมากทะเลสาปที่วี่เห็นก็คือจะปกคลุมไปด้วยหิมะ บางปีหนาวมาก ๆ ทั้งทะเลสาปก็กลายร่างเป็นน้ำแข็งไปหมด ดูสวยไปอีกแบบ

เดินออกจากตรงนี้ไปไม่ไกลก็จะเป็นทาง Hiking ที่สามารถเดินเล่นได้ง่าย ๆ ชิล ๆ ประมาณเด็กเดินได้ผู้ใหญ่เดินดี เส้นทางที่วี่เดินคือเข้าทางหนึ่งออกอีกทางหนึ่งระยะทางจะประมาณ 5 กิโลเมตรเท่านั้น เมื่อเริ่มเดินผ่านทางเข้ามาแล้ววี่จะหยิบถุงถั่วออกมา ส่วนใหญ่วี่จะใช้เป็นถั่ว Hazelnut (ฮาเซลนัท) เดินไปเขย่าถุงไป เจ้ากระรอกทั้งหลายจะชินกับเสียงคนและเสียงถุงพลาสติกอยู่แล้ว

เมื่อกระรอกเริ่มออกมา แนะนำให้เบาเสียงลง ไม่เคลื่อนไหวเร็ว ๆ ช่วงแรกเอามือที่ถือถั่ววางลงบนพื้นก่อน เมื่อกระรอกเริ่มกล้าที่จะมาเอาถั่วที่มือเราทีนี้เราก็ขยับยกมือให้สูงขึ้น บางตัวถึงกับปีนขึ้นมาเอาบนขาเลยทีเดียว สิ่งนึงที่อยากบอกคืออย่าจับตัวน้อง เพราะน้องเป็นกระรอกป่าไม่ได้เชื่องถึงขนาดจะให้อุ้มได้ อาจโดนกัดและอาจมีเชื้อโรค สังเกตได้ว่าบางตัวจะขี้ตกใจมากเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะเคยโดนจับนี่แหละ แล้วเขาจะไม่มาเอาถั่วอีกเพราะจะไม่เชื่อใจและขี้กลัวไปเลย เดินไปตามทางก็จะมีกระรอกไปตลอดทั้งทางเช่นกัน

ที่มากพอ ๆ กับกระรอกก็เห็นจะเป็นนก ซึ่งก็มีหลากหลายสายพันธุ์และสวยงามมาก เราสามารถทุบถั่วให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ และวางบนขอนไม้เดี๋ยวเจ้านกตัวน้อยก็จะบินมาคาบไปกินเตรียมกล้องพร้อมชักภาพได้เลย หรือจะทำแบบวี่คือวางถั่วที่ฝ่ามือยื่นออกจากตัวยืนให้นิ่งที่สุดและร้องเพลงรอ กว่าเจ้านกจะมาเกาะมือและกินถั่วที่มืออาจมีเหน็บกินกันบ้าง และถึงแม้ว่าเส้นทางจะเพียงห้ากิโลเมตรเท่านั้น แต่วี่ให้เวลาตัวเองดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติ เสียงนกเจื้อยแจ้ว และเจ้ากระรอกที่วิ่งไปมาขวักไขว่อย่างเต็มที่

แม้สวิสจะมีสิ่งปลูกสร้างมากขึ้นกว่ายี่สิบปีที่แล้วที่วี่มาอยู่ใหม่ ๆ แต่ยังคงรักษาธรรมชาติไว้ได้อย่างดี มีทาง Hiking ทั่วไปและมีหลายระดับความยากตามความฟิตของแต่ละคนให้เลือก และวิวทิวทัศน์ระหว่างทางที่สวยงาม เอาแค่วิวหน้าต่างห้องนอนที่บ้านวี่เอง ตื่นมาวิวไม่เคยเหมือนเดิมเลยสักวัน วี่ชอบธรรมชาติ ชอบที่เปิดหน้าต่างมาตอนเช้าแล้วได้ยินเสียงกระดิ่งของวัวข้างบ้าน เสียงนกคุยกันเจื้อยแจ้ว หรือภาพแกะของเพื่อนบ้านเล็มหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งการมีความสุขได้กับความธรรมดาในโลกปัจจุบันถือเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว...


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

อิทธิพลสื่อมีมากขึ้น ทำให้เด็ก ๆ ได้รับสื่อจากต่างประเทศ วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลให้ลูก ๆ มีความชื่นชอบ และ ติดตามอย่างบ้าคลั่งจนกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเรียกว่า “ ติ่ง “ แล้วคุณพ่อคุณแม่จะมีวิธีการรับมือหรือพูดคุยอย่างไร

คุณหมอจริง พญ. ชญานิน ฟุ้งสถาพร เป็นคุณหมอที่มีประสบการณ์ทางด้านจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความหมายของติ่งว่าจริง ๆ แล้วอาการของการเป็นแฟนคลับหรือติ่งทางจิตวิทยาเรียกอาการเหล่านี้ว่า “Celebrity worship syndrome” ซึ่งอาการนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับด้วยกันคือ 

1.) ระดับบันเทิง คือ เป็นการดูสื่อหรือสิ่งที่ชอบเพื่อความบันเทิง ชื่นชอบในรูปแบบให้ความเพลิดเพลิน เพื่อความจรรโลงใจ นอกจากนี้ยังมีการนำสิ่งที่เราชื่นชอบไปเป็นคนต้นแบบหรือเรียกว่าเป็น Idol ของคน ๆ นั้นได้ เช่นในเรื่องของความพยายาม หรือการตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งในระดับนี้ก็อาจจะมีสังคมที่ชื่นชอบสิ่ง ๆ นั้นไปด้วยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน 

2.) ระดับหมกมุ่น คือ ระดับที่นำสิ่งที่ชื่นชอบหรือศิลปินมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะต้องมีสิ่งที่ชอบหรือศิลปินนั้นเข้ามาเกี่ยวโยงด้วยทุกครั้ง สะสมหรือใช้ของตามศิลปิน เก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิลปินมีหรือใช้ตาม บางคนถึงขั้นศัลยกรรมให้หน้าตาเหมือนศิลปินเลยทีเดียว

3.) ระดับรุนแรง คือ เหล่าแฟนคลับที่ชื่นชอบในตัวศิลปินมาก ๆ ถึงขนาดอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งหรืออยากใช้ชีวิตกับศิลปิน คอยติดตามขั้นรุนแรง อย่างที่ประเทศเกาหลีจะเรียกกลุ่มแฟนคลับเหล่านี้ว่า “ซาแซง” ซึ่งจะคอยตามศิลปินไปทุกที่ รู้ลึกถึงขนาดรู้เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ของตัวศิลปิน และอาจมีขั้นร้ายแรงที่สุดคือทำร้ายตัวศิลปิน ไม่ให้ศิลปินไปรักใครได้อีก ซึ่งระดับนี้ควรได้รับการรักษาโดยจิตแพทย์ 

ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนที่มีลูกเป็นแฟนคลับหรือติ่งศิลปินอาจจะสงสัยว่าถ้าลูกของตนมีอาการที่ชื่นชอบศิลปินมากแต่ไม่รู้ว่าจะต้องพูดคุยอย่างไร จริง ๆ แล้วในช่วงวัยรุ่นของคุณพ่อคุณแม่เองก็อาจจะมีความชื่นชอบในตัวศิลปินหรือสิ่งที่ชอบเหมือนกัน แต่อาจจะต่างกันที่ยุคสมัยที่ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลมากขึ้น ทำให้วัยรุ่นสามารถรับสื่อได้ทั่วโลก และทำให้ตัวของลูกคุณอาจจะเจอกับสิ่งที่ชอบ ศิลปินที่เขารัก มากกว่าในสมัยของคุณพ่อคุณแม่ 

แต่ด้วยความห่วงใยอยากที่จะพูดคุยกับลูก กลัวว่าลูกจะเสียการเรียน ไม่มีอนาคต จริง ๆ แล้วในช่วงวัยนี้สมองส่วนเหตุผลและความคิดยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ทำให้สมองส่วนอารมณ์จะเจริญเติบโตมากกว่าจะทำให้เห็นว่าลูกของคุณมีอารมณ์ที่แปรปรวน พอลูกของคุณอายุ 25 ปีหรือเมื่อเริ่มโตขึ้นสมองส่วนเหตุผลและความคิด ตรรกะการใช้ชีวิตก็จะมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรดูว่าลูกของคุณมีอาการเป็นติ่งในระดับไหน 

ถ้าเป็นในระดับบันเทิงก็สบายใจได้ เพราะลูกของคุณอาจจะยกศิลปินมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องคอยสังเกตพฤติกรรมด้วยว่าลูกของคุณมีทิศทางในการใช้ชีวิตแนวทางไหน คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะกังวล กลัวว่าลูกของตัวเองนั้นอาจจะไม่สนใจการเรียน และเอาเวลาไปเป็นแฟนคลับ คุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะต้องคอยดู สังเกตและที่สำคัญคือการพูดคุย เปิดใจกัน โดยไม่ใช้อารมณ์ และ สอนวิธีการคิดหรือลองปรับเปลี่ยนเป็นพูดคุยในสิ่งที่ลูกชอบหรือสนใจ เพื่อคอยดูว่าลูกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร 

เชื่อหรือไม่ว่าบางคนก็นำศิลปินหรือไอดอลมาเป็นแรงบันดาลใจในการเรียน เหมือนกับว่ายิ่งเห็นศิลปินมีความพยายามทำเป้าหมาย ความฝันได้สำเร็จ อดหลับอดนอนเพื่อซ้อมเป็นศิลปิน เหล่าแฟนคลับในวัยเรียนก็จะพยายามตั้งใจเรียนและนำศิลปินมาเป็นแบบอย่างในการตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ และหลาย ๆ คนเมื่อเรียนจบก็มีการถ่ายรูปคู่กับแท่งไฟ หรือ สิ่งของที่มาจากศิลปิน เป็นการบรรลุเป้าหมายของตัวเองว่าทำตามความฝันสำเร็จแล้ว ถ้าลูกของคุณเห็นศิลปินเป็นแบบอย่างที่ดีก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ 

มีคำ ๆ หนึ่งที่คุณหมอจริงได้กล่าวว่า “Children must be taught how to think, Not want to think” คือการสอนลูกให้รู้จักวิธีคิด ไม่ใช่การยัดความคิดให้ลูก ด้วยความที่โลกสมัยใหม่มีเทคโนโลยี มีสื่อต่าง ๆ มากมายที่ลูกของคุณสามารถค้นหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง เราควรสอนวิธีการคิด อย่างในเรื่องติ่งหรือแฟนคลับอาจจะถามถึงข้อดีของตัวศิลปินหรือสิ่งที่ลูกชอบแล้วให้ลูกของคุณลองคิดและให้ลูกลองเลือกข้อดีและทำตามในสิ่งที่ดี เช่น ถ้าลูกของคุณเป็นแฟนคลับศิลปินเกาหลี ก็สนับสนุนลูกด้วยการให้เรียนภาษาเพิ่มเติม หรือสนับสนุนให้ลูกทำวิดีโอเกี่ยวกับศิลปินเกาหลี เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการหารายได้เสริมก็จะเป็นการสนับสนุนลูกในทางที่ดีและเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวได้ดีอีกด้วย 

คุณหมอจริงฝากข้อคิดไว้ว่า นอกจากการพูดคุยแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การฟัง” ให้ลูกได้พูดในสิ่งที่เค้าอยากทำ สิ่งเค้าชื่นชอบ จะทำให้เราได้เห็นว่าลูกมีความคิดอย่างไร มีความฝันในทางไหน และคุณพ่อคุณแม่ก็คอยสนับสนุนลูกให้ทำตามความฝันให้สำเร็จ เพียงเท่านี้ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็จะดีขึ้น ทำให้เราไม่ได้เป็นส่วนเกินในชีวิตของเขาอีกด้วย


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก
หัวข้อ : ลูกวัยรุ่นกับการเป็นติ่ง
Link : https://www.facebook.com/foryourchildz/videos/933889133821053
เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: สถาพร สุตจิตจูล 
 

???? ประกาศผล นักเรียนแพทย์ที่จบจากต่างประเทศ และได้รับคัดเลือกเป็นแพทย์ฝึกหัดประจำสถาบันการแพทย์ในไทย ประจำปี 64????????‍⚕

???? ประกาศผล นักเรียนแพทย์ที่จบจากต่างประเทศ และได้รับคัดเลือกเป็นแพทย์ฝึกหัดประจำสถาบันการแพทย์ในไทย ประจำปี 64????????‍⚕????

**โดยนักเรียนที่เรียนจบแพทย์ ณ ต่างประเทศ สามารถได้รับสิทธิอาชีพหมอในไทย เช่นเดียวกับผู้ที่เรียนจบแพทย์ในประเทศไทย

๑๒ สิงหาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระนามเดิม หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ทรงเป็นพระธิดาองค์ที่ ๓ ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ภายหลังได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น พลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) กับ หม่อมหลวงบัว กิติยากร (สกุลเดิม สนิทวงศ์) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่บ้านพลเอกเจ้าพระยาวงศานุประพันธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ผู้เป็นบิดาของหม่อมหลวงบัว ณ บ้านเลขที่ ๑๘๐๘ ถนนพระรามหก ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร โดย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับพระราชทานนามว่า “สิริกิติ์” มีความหมายว่า “ผู้เป็นศรีแห่งกิติยากร”

ทางด้านการศึกษา หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เริ่มศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ปากคลองตลาด เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙ และสอบไล่ได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ และได้ย้ายไปศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ถนนสามเสน และได้ศึกษาที่นี่เป็นเวลา ๘ ปี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓

ในการศึกษาที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ นอกจากศึกษาวิชาสามัญทั่วไปแล้ว ยังเน้นศึกษาด้านภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และยังศึกษาเปียโนเป็นพิเศษด้วย โดยได้สมัครเข้าเรียนเปียโนตั้งแต่ปีแรกที่เข้าศึกษาที่นี่ พระองค์สามารถเรียนได้ดี เนื่องจากมีพรสวรรค์และความสนใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยังได้รับการอบรมด้านวิชาการเรือนจึงสามารถประกอบอาหารได้ทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง

ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๙ ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง หม่อมเจ้านักขัตรมงคลต้องเสด็จไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ ทำให้ทั้งครอบครัวรวมไปถึงหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ 
ขณะที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้ศึกษาต่อทั้งวิชาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส และวิชาเปียโนกับครูพิเศษหลังจากนั้นไม่นาน บิดาย้ายไปประเทศเดนมาร์กและฝรั่งเศสตามลำดับ ขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ก็ยังคงเรียนเปียโนและตั้งใจจะศึกษาต่อในวิทยาลัยการดนตรีที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีสจนจบ 

หลังจากนั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) และได้ทรงสถาปนาเฉลิมพระยศสมเด็จพระราชินีเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี”

พระราชกรณียกิจ

ศิลปาชีพ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงริเริ่มโครงการให้ราษฎรโดยเฉพาะชาวนาในท้องถิ่นชนบททำอาชีพเสริมโดยใช้เวลาว่างจากการทำนาทำไร่มาทำงานศิลปาชีพ จนราษฎรเหล่านั้นมีความรู้ความสามารถในงานผลิต งานศิลปหัตถกรรม จนเป็นที่ยอมรับในประเทศไทยและระดับสากล


 
ความมั่นคงของชาติ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินินาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมทหาร ตำรวจ ราษฎรอาสาสมัคร จนถึงฐานปฏิบัติการ ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่อันตรายเพียงใดก็ตามได้พระราชทานถุงของขวัญประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพื่อพระราชทานกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงของชาติตลอดมา


 
การสาธารณสุข

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนโดยจัด “หน่วยแพทย์พระราชทาน” ตามเสด็จไปรักษาพยาบาลราษฎรในถิ่นทุรกันดารแล้ว ยังทรงช่วยเหลือกลุ่มผู้ประสบภัยธรรมชาติ ทรงช่วยเหลือทหาร ตำรวจ และราษฎรอาสาสมัครตามชายแดน ทรงริเริ่มจัดตั้ง “มูลนิธิสายใจไทย”  ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

การส่งเสริมอนุรักษ์ธรรมชาติ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง “โครงการป่ารักน้ำ” ทั้งนี้เพื่อให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการร่วมกันปลูกป่า หลังจากนั้นยังมีโครงการตามพระราชดำริที่ปรากฏขึ้นเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติ อาทิ โครงการสวนสัตว์ป่าเปิดภูเขียวตามพระราชดำริ โครงการอนุรักษ์และขยายพันธุ์เต่าทะเล โครงการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่า โครงการปลูกป่าเสริมธรรมชาติ โครงการพระราชดำริสวนหาดทรายใหญ่ เป็นต้น

นอกจากนี้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงมีพระราชกรณียกิจอีกมากมาย องค์กรระหว่างประเทศต่างยกย่องและทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลและปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นจำนวนมาก อาทิ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญซีเรส เทิดพระเกียรติในฐานะที่ทรงยกฐานะของสตรีให้มีระดับสูงขึ้นและทรงเป็นผู้ “ให้โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง” 

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงได้แสดงถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อทํานุบํารุงราชอาณาจักรและมรดกวัฒนธรรมไทย ที่บรรพบุรุษได้สร้างสมไว้จนตกทอดมาถึงอนุชนไทยรุ่นหลัง และให้พสกนิกรประชาชนไทยได้มีชีวิตที่ดี สามารถพึ่งพาตัวเองได้ 


แหล่งที่มา
https://campus.campus-star.com/variety/52926.html
https://www.thebangkokinsight.com/news/the-bangkok-insight-th/33964/
https://www.matichon.co.th/court-news/news_1481039

Hiking บนสันเขาสวิส เต็มอิ่มไปกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม สวยสะกดและน่าประทับใจ เส้นทางที่คนสวิสว่ากันว่า “ควรมาสักครั้งในชีวิต”

ถ้าพูดถึงการพักผ่อนหย่อนใจหรือใช้เวลาว่างของคนสวิสแล้ว จะต้องมี Hikking หรือ Trekking การเดินท่องเที่ยวตามเทือกเขาลำเนาไพรรวมอยู่ด้วยแน่ ๆ และสวิสก็ขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่แล้ว ทำให้การเดินป่าเดินเขาไม่น่าเบื่อเลย แม้ว่าเส้นทาง Hiking จะใช้เวลา 2-8 ชั่วโมงในการเดินทางไปและกลับ โดยมีปลายทางสิ้นสุดคือกลับมาที่จุดเริ่มต้น การเดินอาจจะเดินไปและกลับบนเส้นทางเดิม หรือเดินเป็นวงรอบกลับมาที่จุดเดิม หรือบางเส้นทาง Hiking อาจจะมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดเป็นคนละที่ แต่เส้นทาง Hiking มีการจัดตามระดับความฟิตของแต่ละคนอีกด้วย

มาดูระดับความฟิต และป้ายบอกเส้นทางแบบคร่าว ๆ กัน 

1. T1 Hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีเหลือง
2. T2 Mountain hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีขาวแดงขาว
3. T3 Challenging mountain hiking สีขาวแดงขาวเหมือน T2 
4. T4 Alpine hiking จะเป็นสีขาวฟ้าขาว 
5. T5 Challenging Alpine hiking สีขาวฟ้าขาวเหมือน T4
6. T6 Difficult Alpine hiking ส่วนใหญ่ไม่มีป้ายบอกเป็นกิจลักษณะ
7. Winter hiking ป้ายจะเป็นสีชมพู

เอาหล่ะ !! มาถึงเส้นทางที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ดีกว่า วี่เลือกเป็นเส้นทางสันเขาระดับ T3 เหมือนว่าจะง่าย ๆ แต่ทางขึ้น ๆ ลง ๆ เอาเรื่องเพราะเป็นการข้ามจากอีกเขามาอีกเขา แต่รับรองว่าทำให้หัวใจเต้นรัว ๆ ได้เลยทีเดียว 

ส่วนใหญ่เวลาวี่มาที่นี่จะขับรถมาที่ Schwyz (ชวีส)-Schlatti (ชรัตตี้) เป็นรัฐตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว จากตรงนี้เราจะเจอกับ Funicular Railway ทางรถรางที่มีเส้นทางที่ชันที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากใช้เวลาในการวางแผนและก่อสร้างจนแล้วเสร็จใช้เวลาประมาณ 14 ปี ก็ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อ 15 ธันวาคม 2017 แทนที่เก่าที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1933 วิ่งที่ความสูง 744 เมตรจากระดับน้ำทะเลระหว่างเมือง Schywz Schlatti ไปยังหมู่บ้านในหุบเขา Stoos โดยมีความลาดเอียง 110% เลยทีเดียว และสามารถจุคนได้ถึงครั้งละ 136 คน โดยทำลายสถิติโลกก่อนหน้านี้ ที่เคยเป็นของเป็นของ Gelmerbahn (เกลเมอร์บาน) ที่เมือง Bern ของสวิส โดยมีความชันอยู่ที่ 106% ส่วนอันดับที่สามอยู่ที่อังกฤษใน East Hill Cliff Railway โดยมีความชันอยู่ที่ 78%

ส่วนใหญ่การมาที่หมู่บ้าน Stoos ก็มักจะมีจุดหมายปลายทางที่ Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) ยอดเขาที่อยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทะเลสาบได้ถึง 10 ทะเลสาบด้วยกัน (ถ้าอากาศดีฟ้าเปิดนะ) เช่น Vierwaldstättersee (เฟียร์วัลชแต๊ตเตอร์เซ), Zugersee (ซูเกอร์เซ), Ägerisee (แอเกอร์รี่เซ) และอื่น ๆ แถมยังมีร้านอาหารที่นั่งได้ทั้งด้านในและด้านนอกสำหรับดื่มกาแฟชิล ๆ ยามมีแดด 

อ้อ !! แล้วมีชาวบ้านแถวนี้เอาชีสภูเขามาขายด้วย จะแอบบอกว่าอร่อยมาก ๆ โดยจากหมู่บ้าน Stoos เราจะต้องนั่ง chairlift (กระเช้าห้อยขา 6 ที่นั่ง)  ขึ้นไปสู่ยอดเขาอีกสองต่อถึงจะไปถึงยอดเขา Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) แต่วี่ไม่ได้ไปแบบนั้นหลังจากนั่ง funicular railway มาที่หมู่บ้าน Stoos แล้ววี่เดินไปขึ้น Chairlift เพื่อขึ้นไปที่ยอดเขา Klingenstock (คลิ้งเง่นชต๊อก) เพื่อเดินข้ามเขาไปที่ Fronalpstock นั่นแหล่ะ 

การเดินบนสันเขาจาก Klingenstock ไป Fronalpstock ระยะทางประมาณ 4.7 กิโลเมตร และจะมีการไต่ระดับความสูงประมาณ 402 เมตร เส้นทางค่อนข้างเล็ก บางช่วงบางตอนที่เป็นทางอันตรายก็มีราวให้เกาะเดินด้วย คนสวิสจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่วี่ใช้เวลารวมพักกินข้าวและหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ รวมแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงนิด ๆ 

วิวบนสันเขานี้สามารถใช้คำว่า ‘Breathtaking’ ได้จริง ๆ สวยสะกดและน่าประทับใจที่สุด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คนสวิสว่ากันว่าควรมาสักครั้งในชีวิต ส่วนตัววี่เองนั้นมาทุกปีเพื่อ Hiking เป็น The must คือเป็นทริปบังคับของตัวเอง เพราะรักบรรยากาศและวิวที่นี่มาก ตอนที่พาแม่มา แม่บอกว่าที่นี่สวยกว่า Jungfrau Joch (ยุงเฟรายอค) อีกนะ (แต่นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้น) อยากรู้ว่าจริงไหมก็แนะนำให้มาลองด้วยตัวเองสักครั้งเถอะ

ส่วนราคาค่าขึ้นก็ไม่แพงเลยจริง ๆ ราคาอยู่ที่ 46 สวิสฟรังค์ หรือประมาณ 1,600 บาทไทย ถ้ามีบัตรครึ่งราคา ก็อยู่ที่ 36 ฟรังค์ หรือประมาณ 1,200 บาทเท่านั้น ถ้าเทียบกับวิวและบรรยากาศต้องบอกว่าเกินคุ้มจริง ๆ และเป็นการขึ้น funicular railway หนึ่งต่อบวก chairlift อีกสองต่อ คือคุ้มสุด ๆ 

และแนะนำว่าถ้าจะขึ้นไปเดินบนสันเขาเส้นทาง Klingenstock-Fronalpstock ควรจะใส่รองเท้าสำหรับ Hiking และเตรียมน้ำดื่มสำหรับระหว่างทาง เสื้อกันลม และเสื้อกันหนาวให้พร้อมเพราะอยู่ที่ความสูงถึง 1920 เมตรจากระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว อากาศอาจบาง ๆ นิดหน่อย ถ้าไปวันที่อากาศดี ฟ้าเปิดจะมองเห็นความสวยงามไปได้ไกลสุดลูกตาเลยทีเดียว 

บางครั้งการพาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติมันเยียวยาชีวิตประจำวันที่แสนจะวุ่นวายได้ดีเหลือเกิน นี่แหล่ะธรรมชาติบำบัด เวลาเราออกเดินทางและเมื่อตอนเย็นที่เรากลับบ้านหัวเราอาจจะยุ่ง ๆ รองเท้าเราอาจจะเลอะเทอะ แต่แบตเตอรี่หัวใจของเรามันจะเต็มเปี่ยมเลยนะ ลองดูสิ


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 

สถานที่ ๆ ขึ้นชื่อทั้งในเรื่องของความสวยงามของทิวทัศน์และรวมสัตว์แปลก ๆ ที่หาชมได้ยากไว้ที่นี้ สัมผัสบรรยากาศที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนได้ที่ หมู่เกาะกาลาปากอส (Galapagos)

กาลาปากอสเป็นหมุดหมายการท่องเที่ยวที่ต้องจ่ายแพงกว่าปกติ ค่าที่ขึ้นชื่อระดับโลกเรื่องสัตว์แปลก ๆ รวมถึงความงดงามมหัศจรรย์ของภูมิทัศน์ ผนวกเข้ากับเรื่องราวของ ชาลส์ ดาร์วิน ผู้เคยร่วมโดยสารเรือหลวงอังกฤษเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เขาได้ผ่านไปเยือนหมู่เกาะแห่งแปซิฟิกซึ่งห่างจากฝั่งราวพันกิโลเมตรเหล่านี้ แล้วเขียนหนังสือท้าทายความเชื่อของคริสตศาสนจักรว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ นี่ยิ่งกระพือความอยากของใครต่อใครให้ไปเยือนกาลาปากอส

คนมีเงินเป็นถุงเป็นถังคงไม่กระไร แต่สำหรับผมผู้ซึ่งเป็นนักเดินทางทุนต่ำจำเป็นต้องคิดแล้วคิดอีกหลายตลบกว่าจะตัดสินใจจัดทริปนี้ให้กับตัวเอง เริ่มตั้งแต่ตั๋วเครื่องบิน ซึ่งคนต่างชาติต้องจ่ายแพงกว่าคนเอกวาดอร์ราวสองเท่า ไหนจะค่าเข้าเขตพิเศษ ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ ค่าที่พักอาหารและจิปาถะต่าง ๆ ระหว่างที่อยู่บนเกาะ รวม ๆ แล้วเพียงสิบวันผมต้องควักเงินจ่ายไปเท่ากับค่าใช้จ่ายในการเดินทางปกติสองเดือน ถือว่าโหดมาก

ผมตั้งต้นที่เมืองวายากิล ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศเอกวาดอร์ (หรือจะขึ้นเครื่องที่สนามบินเมืองหลวงกีโตก็ได้เช่นกัน) เครื่องบินเทคออฟจากรันเวย์ ใช้เวลาราวชั่วโมงก็ลดระดับความสูงลงเพื่อจะร่อนลงรันเวย์ของสนามบินเซย์มอร์บนเกาะบัลตราอันเป็นหน้าด่านแรก น้ำทะเลสีครามน้ำเงินปรากฎขึ้น เห็นผืนแผ่นดินสีน้ำตาลเห็นจากมุมสูงก็รู้ทันทีว่านั่นต้องเป็นหมู่เกาะกาลาปากอสแน่นอน ผู้โดยสารส่วนใหญ่ออกอาการตื่นเต้นกันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเครื่องจอดสนิทแล้วผู้คนก็ออกมาสู่อาคารผู้โดยสาร เดินตาม ๆ กันไป เจ้าหน้าที่ประทับตราการเข้าสู่เกาะลงในพาสปอร์ตเสร็จก็ไปขึ้นรถบัสซึ่งอยู่ด้านนอกอาคาร นักท่องเที่ยวบางส่วนที่มากับทัวร์ก็มีไกด์คอยอำนวยความสะดวกให้ ส่วนคนที่มาเองก็ต้องช่วยเหลือตัวเองเพื่อจะไปยังเกาะซานตาครูซ รถบัสพามาถึงท่าเรือ เกาะบัลตราและซานตาครูซอยู่ใกล้กันมาก นั่งเรือเล็กไม่ถึงห้านาทีก็ข้ามมาอีกฝั่งแล้ว จากนั้นก็ต้องนั่งรถบัสอีกหนึ่งต่อเพื่อไปยังปวยร์โตอโยราอันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะ 

เนื่องจากผมไม่ได้จองที่พักล่วงหน้า จึงต้องใช้เวลาเดินหาเกสต์เฮาส์ที่ราคาไม่โหดเกินไปนัก เสียเวลาราวสองชั่วโมงก็ได้ห้องเดี่ยวในราคา 15 เหรียญต่อวัน (ประเทศเอกวาดอร์ใช้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ) อาจจะถูกสุดในเมืองแล้ว ภารกิจต่อไปคือการหาร้านเช่าจักรยาน เมืองนี้เล็กเท่าปาย เดินเที่ยวก็ได้ แต่จะสะดวกกว่าหากอยากออกนอกเมืองไปยังจุดท่องเที่ยวอื่น ๆ เสร็จจากการเช่าจักรยานก็มาจัดการเรื่องปากท้องบ้าง ร้านอาหารทั้งหลายเน้นขายนักท่องเที่ยว ซึ่งราคาแพงกว่า วิธีลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็คือการจับจ่ายในร้านชำหรือซูเปอร์มาร์เก็ตหรือกินอาหารที่ตลาดสดแทน

ตัวเมืองปวยร์โตอโยราไม่ได้ต่างจากเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ในแง่ที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร บริษัททัวร์ และอะไรต่อมิอะไรพรักพร้อมรองรับคนจับจ่ายซื้อหาในสิ่งที่ตนต้องการ แต่สิ่งที่แตกต่าง ก็คือสัตว์เชื่อง ๆ ทั้งหลายที่ไม่ค่อยกลัวมนุษย์ บริเวณตลาดปลามีแมวน้ำกระดึ๊บตามแม่ค้าต้อย ๆ ชายชาวประมงต่างทำการแล่ปลาบนเรือเล็กก็มีนกพิลิแกนมะรุมมะตุ้มอ้าปากกว้างคอยรับเศษอาหาร นกหน้าตาประหลาดก็บินเล่นแถวนั้น ตามโขดหินมีปูแดงขี้ตกใจมากมาย นกฟินช์ตัวเล็กเท่านกกระจอกก็เชื่องมากพอที่จะเข้าไปใกล้เพื่อทักทายและถ่ายรูปพวกเขา ในวันแดดดีเจ้าอิกัวน่าทะเลทั้งหลายต่างพากันขึ้นมาผึ่งแดด พวกมันชื่นชอบการดำน้ำและเป็นนักดำน้ำที่เก่งกาจ เมื่อขึ้นฝั่งมาอาบแดดก็พ่นน้ำออกทางจมูก หน้าตาพวกมันคล้ายกับก๊อตซิลล่ามาก พื้นที่บนหาดเล็กใกล้ท่าเรืออีกแห่งก็มีสิงโตทะเลพากันนอนขี้เกียจขึ้นอืดอย่างไม่แคร์สายตานักท่องเที่ยว เข้าใกล้มากอาจจะโดนขู่บ้าง แต่พวกมันก็ไม่น่าเข้าใกล้เท่าไหร่เพราะกลิ่นตัวแรงมาก เวลาบ่ายแก่ เด็ก ๆ ชาวเกาะพากันปั่นจักรยานมาท่าน้ำเพื่อกระโดดน้ำเล่น

ในระยะเดินทอดน่องสามารถไปเที่ยวสถานีวิจัยดาร์วิน เป็นสถานที่เรียนรู้ระบบนิเวศกาลาปากอส รวมถึงการพยายามสอดแทรกจิตสำนึกด้านการใส่ใจสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอันทรงคุณค่าทว่าเปราะบางเหล่านี้ เมื่อเข้าไปในศูนย์ จะมีฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ นักท่องเที่ยวเดินเป็นวงกลม นับว่าเป็นห้องเรียนที่ดีเยี่ยมทั้งสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ด้วย นอกจากสิ่งที่จัดแสดงแล้ว ทางศูนย์ยังทำงานวิจัยหลายอย่างด้วย เช่นการขยายพันธุ์เต่าบกยักษ์ เป็นต้น

อีกด้านของปวยร์โตอโยรามีหาดตอร์ตูกาทรายขาวน้ำใส เหมาะสำหรับเดินเล่น อาบแดด ว่ายน้ำ และพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนอิกัวน่าทะเลจะมีปริมาณมากกว่านักท่องเที่ยวเสียอีก นกบู๊บบี้ตีนฟ้าน่าจะเป็นอีกไฮไลต์ พวกมันก็เชื่องมากเช่นกัน ท้ายหาดมีเวิ้งอ่าว นักท่องเที่ยวบางส่วนเช่าคายักพายเล่นกัน บ้างหลบใต้ต้นไม้นอนอ่านหนังสือ คนที่มากันเป็นครอบครัวก็จัดปิกนิคกัน สังเกตว่าไม่มีขยะเกลื่อน น่าจะเพราะทุกคนรู้ว่าจะต้องช่วยกันอนุรักษ์เพื่อให้ความงดงามคงอยู่นานเท่านาน

ยังมีอีกหาดทรายงามซึ่งอยู่ห่างจากย่านชุมชนค่อนข้างมาก คือการ์ราปาเตโร นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้วิธีเช่าแท็กซี่ให้ไปส่ง แต่ผมปั่นจักรยานไป ระหว่างทางผ่านบ้านเรือนเรือกสวน กาลาปากอสมีประชากรอยู่ราวสามหมื่นคน ประกอบอาชีพเกษตรและด้านการท่องเที่ยว เมื่อปั่นผ่านหมู่บ้านเบยาวิสตา รู้ว่ามีถ้ำลาวาจึงแวะชมเสียหน่อย ผมไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา จึงไปแค่ให้ได้เห็นและเป็นประสบการณ์เท่านั้น ออกจากถ้ำก็ปั่นต่อไปจนถึงหาดการ์ราปาเตโร ซึ่งพบว่าสงบเงียบมาก ทางเดินลงสู่หาดสร้างไว้เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวออกนอกเส้นทาง ลมพักโบกโกรกเย็นเกือบหนาวในวันที่เมฆห่มคลุมท้องฟ้า บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้ชวนให้ลงไปแหวกว่ายเล่นน้ำ แต่เหมาะสำหรับเดินทอดน่องเล่นตามชายหาด โดยมีเจ้านกนางนวลโฉบดิ่งลงสู่ทะเลเพื่อจับปลาเป็นอาหาร เป็นภาพเพลินตาเพลินใจดี ความพิเศษของหาดโดดเดี่ยวแห่งนี้ คือสามารถพักแรมได้ โดยจะต้องนำเต็นท์มากางนอนได้ในจุดที่บริการไว้ให้ เสียดายที่ผมไม่ได้นำเต็นท์มาด้วย เพราะก่อนมาที่นี่หาข้อมูลเรื่องแคมป์ปิ้งจากอินเตอร์เน็ตไม่ได้เลย

ไฮไลท์ตื่นตาตื่นใจอีกแห่งบนเกาะซานตาครูซคือศูนย์อนุรักษ์เต่าบกยักษ์เอลชาโต นี่ก็ต้องอาศัยแรงขาในการปั่นจักรยานไป เพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองร่วมสิบกิโลเมตร ดีที่การจราจรบนเกาะไม่คับคั่ง จึงปั่นช้า ๆ อย่างเพลิดเพลินทั้งไปและกลับ นักท่องเที่ยวต้องเปลี่ยนใส่รองเท้าบู๊ตเมื่อจะเข้าไปในศูนย์ และต้องเว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปใกล้เต่ายักษ์ทั้งหลายมากจนเกินไป จากข้อมูลบอกว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนยังมีประชากรเต่าบกยักษ์นับแสน ปัจจุบันลดจำนวนลงไปมาก สาเหตุหนึ่งคือฝีมือการล่าของมนุษย์นั่นเอง 


เขียนโดย : คุณสว่าง ทองดี จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) ชอบปั่นจักรยานท่องโลกและหลงไหลกาแฟ

ทุกๆ ปีมหาวิทยาลัยจีนแต่ละแห่ง มักจะสรรค์สร้างจดหมายตอบรับนักศึกษาใหม่ได้อย่างครีเอท แฝงไปด้วยความหมาย สตอรี่และลูกเล่นไว้มากมาย เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักศึกษาใหม่ก่อนก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย

ชวนทุกคนไปส่อง จดหมายตอบรับนักศึกษาใหม่ประจำปี 2021 ของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งในแดนมังกร จะมีหน้าตาและความพิเศษยังไงกันบ้าง ไปดูกันเล้ย

1. มหาวิทยาลัยชิงหวา (Tsinghua university)

ม.ชิงหวา มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของจีน สำหรับปีนี้จดหมายตอบรับเข้าเรียนของม.ชิงหวายังคงคอนเซ็ปต์คล้ายกับปีก่อนๆ คือในรูปแบบของการ์ดพับได้ และเมื่อเปิดออกมาจะมีโมเดลแกะสลักประตูโบราณอันเป็นสัญลักษณ์ของม.ชิงหวาแบบ 3 มิติเด้งออกมาจากการ์ด

ความพิเศษของจดหมายตอบรับเข้าเรียนม.ชิงหวา อยู่ที่เทคนิคการแกะสลักโดยใช้เลเซอร์ ซึ่งจะทำให้การ์ดมีสีสันสวยงามและคงทนยิ่งขึ้น ทั้งนี้โครงสร้างโมเดล 3 มิติก็แข็งแรงอีกด้วย

2. มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (Fudan University)

สำหรับใครที่เป็นนักศึกษาใหม่ของม.ฟู่ตั้น นอกจากจะได้รับเอกสารตอบรับเข้าเรียนแล้ว ยังได้รับของขวัญสุดน่ารักเป็นแท็กติดกระเป๋าเดินทาง และโคมกระดาษขนาดเล็กที่แกะสลักเป็นรูปฤดูกาล 4 ฤดูในม.ฟู่ตั้น

ทั้งนี้ นักศึกษายังสามารถเขียนความปรารถนาของตัวเองลงในการ์ดที่ติดอยู่กับโคมกระดาษได้อีกด้วย

3. มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง (Shanghai Jiaotong University)

จดหมายตอบรับเข้าเรียนของม.เซี่ยงไฮ้เจียวทงในปีนี้มีการออกแบบที่แฝงไปด้วยประวัติอันยาวนานกว่า 125 ปีของมหาวิทยาลัย ภายนอกกล่องถูกดีไซน์แกะสลักเป็นรูปประตูมงคลสีแดง-ทอง เปรียบดั่งประตูต้อนรับนักศึกษาน้องใหม่ พร้อมมีตราสัญลักษณ์ฉลองครบรอบ 125 ปีของมหาวิทยาลัยใช้เป็นกลอนสำหรับล็อคประตูมงคลนี้

4. มหาวิทยาลัยหนานจิง (Nanjing University)

สำหรับจดหมายตอบรับเข้าเรียนของม.หนานจิงปีนี้มาในธีมที่ชื่อว่า “จุดประกายจักรวาลที่ไม่สิ้นสุดของคุณ” ภายในบ๊อกซ์เซตจะแบ่งออกเป็น 4 ชั้น แต่ละชั้นมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้บริเวณรอบๆ กล่องยังถูกออกแบบตกแต่งไปด้วยกลุ่มดวงดาวมากมาย

5. มหาวิทยาลัยหนานไค (Nankai University)

 

สำหรับม.หนานไค จะใช้สีม่วงดอกบัวชิงเหลียนเป็นหลัก เนื่องจากเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ด้านในถูกออกแบบให้มีลูกเล่นขยับเปลี่ยนภาพจากพระอาทิตย์เป็นพระจันทร์ได้ นอกจากนี้ม.หนานไคยังให้ของขวัญแก่นักศึกษาใหม่เป็นเมล็ดบัวจากเมืองเจียซิง มณฑลเจ้อเจียงจำนวน 2 เมล็ด เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) เพราะเมืองเจียซิงเป็นสถานที่ในการจัดประชุมครั้งแรกของพรรคคอมมิวนิสต์

6. สถาบันเทคโนโลยีฮาร์บิน (Harbin Institute of Technology)

อีกหนึ่งจดหมายตอบรับที่ได้รับความสนใจ นั่นก็คือจดหมายของสถาบันเทคโนโลยีฮาร์บิน ซึ่งมีความโดดเด่นตรงที่ใช้วัสดุเลเซอร์ จึงทำให้ดูเหมือนสามารถส่องแสงได้ แต่ความจริงแล้ววัสดุนี้ไม่สามารถเปล่งแสงได้เอง ทว่าเมื่อเจอแสงส่องกระทบ ก็จะทำให้เรามองเห็นแสงสะท้อนเป็นสีต่างๆ จุดนี้ได้แฝงความหมายเอาไว้ว่า ตราบใดที่ยังมีเวทีมีแสงไฟ สถาบันเทคโนโลยีฮาร์บินก็ยังคงส่องประกายแสงระยิบระยับเสมอ

7. มหาวิทยาลัยการบินพลเรือนหนานจิง (Nanjing University of Aeronautics and Astronautics)

จดหมายตอบรับเข้าเรียนของม.การบินพลเรือนหนานจิงปีนี้ ได้สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับเหล่านักศึกษาใหม่ เพราะมาในธีมของ ‘Blind Box’ หรือกล่องสุ่ม

ภายในประกอบไปด้วยรูป 3 มิติของจรวด Long March 5 ดาวเทียมเป่ยโต่ว และรูปเครื่องบินโดยสาร C919 ทีกำลังทะยานทะลุเมฆสู่ท้องฟ้า ทั้งหมดนี้เป็นผลงานสำคัญระดับประเทศที่ม.การบินพลเรือนหนานจิงได้ร่วมวิจัยและพัฒนาขึ้นมานั่นเอง

บอกได้เลยว่าแต่ละมหา’ลัย แฝงทั้งความครีเอทและสตอรี่ที่น่าสนใจแบบไม่มีใครยอมใคร แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะชอบของที่ไหนกันบ้างเอ่ย?


ที่มา :

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=327409505697161&id=113059767132137
http://en.people.cn/n3/2021/0630/c90000-9867030-5.html
https://www.globaltimes.cn/page/202106/1227416.shtml
https://mp.weixin.qq.com/s?__biz=MzIxNzUzODY1OA%3D%3D&idx=1&mid=2247528024&sn=1f4cf793f1ec06f2e0f554d3fddca426
http://thai.cri.cn/20210630/33b473db-b47d-ceb8-5977-d59cee1462fe.html
 

นนร.พีรวัส ชูศักดิ์ (ลัคกี้) | Click on Clever EP.14

บทสัมภาษณ์ รายการ Click on Clever EP.14
นนร.พีรวัส ชูศักดิ์ (ลัคกี้) นักเรียนนายร้อย จปร. ได้รับทุนกองทัพบกศึกษาต่อ “West Point” สหรัฐอเมริกา โรงเรียนเตรียมทหาร ที่ดีที่สุดในโลก

เจาะลึก!!! นักเรียนทหารยุคใหม่ ที่ 1 จปร. คว้าทุนเรียนต่อ “WEST POINT” สหรัฐอเมริกา วางแผนมั่นคง ในอาชีพและการเงิน

Q: แนะนำตัวหน่อยค่ะ

A:  ผมชื่อ พีรวัส ชูศักดิ์ อายุ 18 ปี เป็นนักเรียนนายร้อย อยู่ชั้นปีที่ 1 กำลังจะไปเรียนต่อโรงเรียนนายร้อยที่อเมริกาครับ

Q: ที่ 1 สอบเข้า จปร. มีเคล็ดลับการ “สอบเข้าเตรียมทหาร” อย่างไร ?

A: เตรียมทหารจะมีการสอบทั้งหมด 4 เหล่า คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ ผมก็ไปสอบทั้ง 4 เหล่าเลยครับ การสอบจะมีสองรอบ รอบแรกเป็นรอบวิชาการ โดยจะคัดคนมาก่อน จากนั้นคนที่เข้าเกณฑ์จะได้เข้ามาสอบรองสอง ซึ่งเป็นรอบทดสอบร่างกาย ตอนปีผมที่สมัครก็มีมาสอบเป็นหมื่นเลยนะครับ ของทหารบกรับแค่ประมาณ 290 คน สำหรับการสอบรอบแรกจะเป็นการแยกสอบ ให้โอกาสทุกคนในการเลือกเหล่า ส่วนในรอบสองจะเลือกได้แค่เหล่าเดียว 

สอบรอบแรกเป็นรอบวิชาการ มีทั้งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อังกฤษ ไทย สังคม ตอนแรกผมได้ที่ 2 ครับ แต่พอมารอบทดสอบร่างกายเขาเอาคะแนนมาคิดด้วย พอรวมแล้วก็ได้ที่ 1 ของทหารบกครับ ส่วนของเหล่าอื่นในรอบวิชาการ สอบทหารอากาศได้ที่ 2 ตำรวจที่ 2 ทหารเรือที่ 7 ครับ

ข้อสอบใช้ความรู้ของ ม.ต้น และ ม.4 เพราะเขาให้เกณฑ์สอบได้ตั้งแต่ ม.4 ขึ้นไป ผมอยู่ม.4 ก็ไปสอบ ผมไปศูนย์หนังสือจุฬาฯ ไปซื้อหนังสือแนวข้อสอบเก่าๆ ของเตรียมทหารมา แล้วก็มีเรียนพิเศษที่ต่างๆ เตรียมตัวพอสมควร หลายเดือนอยู่เหมือนกัน  

ของโรงเรียนทหารจะไม่เหมือนสอบเข้าโรงเรียนต่างๆ ตรงที่มันจะมีทดสอบร่างกายด้วยครับ ซึ่งก็มีผลต่ออันดับและการสอบเข้า เหมือนเพื่อนผมคนนึงตอนสอบเข้าได้อันดับท้ายๆ ที่เขาจะเรียก แต่สุดท้ายเขาสอบเข้าได้แซงคนอื่น เพราะคะแนนร่างกายเขาได้เต็ม ระหว่างที่ผมเตรียมตัวเพื่อที่จะสอบเข้านะครับ แน่นอนว่าต้องทำโจทย์ด้านวิชาการอยู่แล้ว ทำไปเรื่อยๆ สอบถามรุ่นพี่ถึงเทคนิค และอย่าลืมเรื่องร่างกาย ผมก็วิ่งทุกวัน มีทดสอบดึงข้อ อันหลักเลย กระโดดไกล วิ่งเก็บของ ว่ายน้ำ อะไรแบบนี้ครับ

Q: ก่อนสอบ มีตารางการเตรียมตัวทั้งด้านร่างกายและวิชาการในหนึ่งวันอย่างไรบ้าง?

A: การเตรียมตัวส่วนใหญ่ผมจะทำพวกออกกำลังกายช่วงเย็น เพราะผมมีนิสัยอย่างนึงคือถ้าเหนื่อยจะไม่อยากอ่านหนังสือ ช่วงเช้าบ่ายก็จะอ่านหนังสือ ทำโจทย์เต็มที่เลย พอตอนเย็นก็ไปเน้นกับการออกกำลังกาย ต้องมี Passion ในตัวเอง อยากที่จะสอบเข้าได้ อยากที่จะทำได้ดี มันก็จะมีแรงกระตุ้นตัวเองว่าวันนี้ต้องอ่านหนังสือ วันนี้ต้องออกกำลังกาย 

แต่ผมโชคดีอย่างหนึ่งที่ครอบครัวสนับสนุน เวลาที่ผมมีความรู้สึกว่าวันนี้ไม่อยากอ่านแล้ว พ่อแม่ก็จะคอยมาปราม แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองด้วย เพราะยังไงพ่อแม่คุมเราไม่ได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว 

Q: คำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่อยากสอบเข้าเตรียมทหาร

A: สำหรับผมยิ่งเตรียมตัวนานยิ่งมีประโยชน์ครับ มันจะมีพวกค่ายติวต่างๆ เกี่ยวกับเตรียมทหาร พวกนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ เพราะอาจารย์ที่สอนเหล่านี้เขาสอนมาหลายรุ่นแล้ว เขามีเทคนิคในการแชร์อะไรต่างๆ ให้เราประสบความสำเร็จในการสอบครับ ในการอ่านหนังสือ ส่วนใหญ่เกณฑ์คะแนนสอบวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์จะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่าวิชาไทยสังคม ผมก็เน้นพวกนี้มากกว่า แล้วก็วิชาภาษาอังกฤษที่เรียกว่าเป็นวิชาจำเหมือนไทยสังคม แต่ให้คะแนนที่มากกว่า ก็ควรจะเน้นเรื่องภาษาอังกฤษด้วยครับ

Q: ตั้งเป้าจะชิงทุนไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่วันแรกที่สอบติดเตรียมทหาร เล่าให้ฟังถึงความ “แน่วแน่” เรื่องนี้หน่อยค่ะ

A: จริงๆ ผมเชื่อว่าเป็นความฝันของใครหลายคนนะครับที่อยากจะไปเรียนต่อเมืองนอก พ่อผมก็เห็นแล้วว่ามันมีโอกาส จะมีทุนไหนที่ได้ไปเรียนอเมริกาฟรี แล้วก็มีเงินเดือนให้ด้วยระหว่างเรียน ไม่ใช่โอกาสที่หาง่ายๆ แล้ววิชาชีพทหารก็เป็นวิชาชีพที่คุณพ่อทำ ตอนผมเด็กๆ ครอบครัวก็อาศัยอยู่ในค่ายทหารอยู่แล้ว เป็นอาชีพที่คุ้นเคยครับ ผมก็เลยไม่มีปัญหากับเรื่องนี้เท่าไหร่ เป็นโอกาสนึงในชีวิตที่จะได้ไปเมืองนอก ถ้าเกิดมีก็ควรจะคว้าเอาไว้ และตอนสอบเข้าผมสอบได้ที่ 1 ด้วยครับ คิดว่ามีโอกาสสูงที่ผมจะได้ไป มันเป็นโอกาสอ่ะครับ

Q: เทคนิคการชิงทุนเรียนต่อ WEST POINT

A: คือต้องบอกไว้ก่อนว่า WEST POINT ไม่ได้เปิดทุกปีนะครับ ในโรงเรียนจะมีคนไทยได้แค่ 4 คน หากรุ่นผมมีคนครบ 4 คนแล้ว ถึงผมจะได้ไปเรียนอเมริกา แต่ผมต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยทหารที่อื่น ซึ่งปีผมจะมีรุ่นพี่ที่จบ WEST POINT สองคนพอดี และรุ่นผมได้ไปอเมริกาสองคนเหมือนกัน เรียกว่าโชคดีครับที่ได้ไป แต่ไม่ใช่ว่าได้ทุนแล้วจะได้ไปนะครับ ต้องมีการทดสอบร่างกายของทางอเมริกา มีเกณฑ์คะแนนสอบ IELTS SAT รวมทั้งการเขียน Essay ถึงเขา ถึงจะได้รับคัดเลือกไป 

ในการสอบไปเมืองนอกจริงๆ ไม่ได้มีแค่อเมริกา ปีผมมี 7 ทุน คือ อเมริกา 2 ทุน เกาหลี ญี่ปุ่น เยอรมัน รัสเซีย และออสเตรเลียเกณฑ์บางปีจะแตกต่างต่างกัน ของปีผมจะเอาเกรดจากเตรียมทหารมาเป็น 50% อีก 50% แบ่งเป็นทดสอบร่างกาย 20% คะแนนวิชาการอีก 20% และสัมภาษณ์อีก 10% ครับ 

ซึ่งจะมีชาเลนจ์อย่างนึงที่เรียกว่า การสอบ ALCPT หรือ American Language Course Placement Test  เต็ม 100 คะแนน หากได้ไม่ถึง 70 คะแนน ไม่มีสิทธิ์ไปเมืองนอก แต่ถ้าเกิน 70 แต่ไม่ถึง 80 คะแนน ไม่มีโอกาสได้ไปอเมริกากับออสเตรเลีย สุดท้ายถึงอันดับจะดีแต่ถ้าคะแนนภาษาอังกฤษไม่ถึงเขาก็ไม่ให้คุณไป ผมได้ 91 คะแนนครับ 

Q: เตรียมตัวอย่างไรบ้าง ตั้งใจเรียนขนาดไหน?

A: ในการเรียนของทหารก็เหนื่อยอยู่แล้ว เพราะฝึกทุกวัน มันก็ต้องมีวินัยในตัวเองว่าเวลาเหนื่อยอย่าไปหลับในห้องเรียน เป็นปัญหาอยู่ เพราะฝึก มีวิ่ง มีออกกำลังกายทุกวัน เหนื่อยเป็นธรรมดา แล้วก็ต้องแบ่งเวลามาอ่านหนังสือเองด้วย เขาจะมีเวลาตอนกลางคืนให้อ่านหนังสือ ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็ต้องอ่านหนังสือครับ ต้องสู้กับตัวเองทั้งด้านความเหนื่อย ความง่วง และต้องมีความตั้งใจด้วยครับ 

Q: การตั้งเป้าหมายสำคัญอย่างไร?

A: มันทำให้เราเห็นปลายทางอ่ะครับ เหมือนคนไม่มีเป้าเขาก็ไม่รู้ว่าจะตั้งใจเรียนไปเพื่ออะไรใช่ไหม อาจจะคิดแค่ว่าเรียนให้ไม่ซ้ำชั้นหรือเปล่า แล้วแต่คนครับ แต่สำหรับผมเหมือนกับนักเรียน ม.ปลายธรรมดาที่เห็นเป้าหมายก็ต้องพยายามอ่านหนังสือ พยายามกระตุ้นตัวเอง ของผมก็คล้ายๆ กัน คือผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากไปเมืองนอก ก็ไปถามรุ่นพี่ว่ามีหลักเกณฑ์ยังไง ทำคะแนนอย่างไรบ้าง ต้องเตรียมตัวทั้งด้านวิชาการและด้านร่างกาย อย่าละเลยครับ 

Q: โรงเรียนทหารสอนอะไรบ้าง?

A: ที่เห็นชัดสุดคือการพึ่งพาตัวเองครับ เพราะการไปเรียนทหารเราต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ บางเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้กลับ เราอยู่ด้วยตัวเอง ไม่มีพ่อแม่ อีกเรื่องคือการมีระเบียบวินัย ซึ่งตอนปีหนึ่งทุกเช้าจะมีการตรวจโรงนอน ต้องพับผ้าห่ม ดึงเตียงให้ตึง เหมือนเป็นการฝึกให้โอเวอร์ไปเลย พอโตขึ้นมาจริงๆ มันติดเป็นนิสัย ชีวิตปกติเราก็คงไม่ตึงขนาดนั้นอยู่แล้ว แต่ก็เป็นนิสัยเรา พอเราห่างหายไปอยู่บ้าน ยังไงเราก็จัดเตียงอยู่ดี 

Q: ในฐานะเด็กรุ่นใหม่ เรียนโรงเรียนทหาร ผสมผสานความเป็นคนรุ่นใหม่กับกฎระเบียบและวิธีคิดแบบทหาร อย่างไร?

A: โรงเรียนเตรียมทหารมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปทุกรุ่น รุ่นพี่ของผมเวลาสอนอะไรเขาจะพูดเสมอว่า อะไรที่ดีก็เก็บไปคิดไว้ และให้สืบต่อรุ่นต่อไป แต่อะไรที่ไม่ดี ก็ให้เก็บไว้เหมือนกัน แต่อย่าไปทำรุ่นต่อไป ทุกคนมีข้อดีข้อเสียของตัวเองอยู่แล้ว เราก็แค่เก็บข้อดีเขามาทำต่อ เห็นข้อเสียมาก็เก็บไว้เป็นข้อคิด และไม่ไปทำต่อแค่นั้นเอง 

เรื่องที่เห็นชัดที่สุดของผม ตอนอยู่ปี 1 เตรียมทหาร โทรศัพท์คือห้ามเอาเข้ามาเลย เป็นเรื่องใหญ่พอตัว แต่พอผมมาอยู่ปี 2 เขาก็มีการอนุโลมให้น้องปี 1 ที่เข้ามาใหม่ หลังจากจบช่วงปรับตัวก็อนุญาตให้เอาเข้ามาได้ ถือเป็นการปรับตัวตามยุคสมัย เพราะถ้ายังจำกัดในเรื่องนี้อยู่ก็ค่อนข้างจะล้าสมัย

Q: งานอดิเรก ไลฟ์สไตล์ หรือความสนใจด้านอื่นๆ

A: ผมเล่นเปียโนตั้งแต่เด็ก ช่วงนี้ก็ยังฝึกบ้างให้พอเล่นได้ เพราะตั้งแต่เข้าเรียนเตรียมทหารไปผมก็ไม่ค่อยมีโอกาสเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ พอช่วงนี้ได้กลับมาอยู่บ้านก็เล่นเปียโน ฝึกกีต้าร์นิดหน่อยครับ

Q: คาดหวังจากการไปเรียนต่างประเทศอย่างไรบ้าง?

A: คาดหวังนะครับ ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศอเมริกาเจริญเป็นมหาอำนาจ ผมก็อยากจะรู้ว่า West Point มหาวิทยาลัยทหารที่ถูกเรียกว่าดีที่สุดในโลกมันเป็นยังไง แล้วสิ่งไหนที่สามารถนำมาปรับใช้กับบ้านเราได้บ้าง สามารถมาพัฒนาให้เท่าทันเขาได้ แต่ไม่ใช่เอาของเขามาหมดเลย เพราะมีความต่างกันอยู่ ต้องมาปรับใช้เอาครับ

Q: เห็นว่ามีความสนใจด้านเศรษฐศาสตร์ด้วย 

A: เป็นเรื่องตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่พ่อผมเป็นทหาร จะมีช่วงที่เขาตำแหน่งดีๆ เงินเดือนสูง เขาจะชอบมาบ่นว่ารู้งี้น่าเอาไปทำอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ครอบครัวดีกว่านี้ ผมก็คิดว่าถ้าผมจะตามรอยพ่อ ผมควรจะมีความรู้เรื่องนี้บ้าง เพื่อมาจัดการด้านการเงิน จริงๆ เศรษฐศาสตร์สำคัญกับทุกอาชีพอยู่แล้ว เลยเป็นสิ่งที่น่าสนใจควบคู่กับอาชีพทหาร หรือบางทีอาจจะมีโอกาสในการทำงานในอนาคต ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ต้องรอดูครับ 

Q: มีความคาดหวัง ภาพฝันในอนาคตไหม?

A: เรื่องนี้ก็ยังตอบได้ไม่ชัดขนาดนั้น แต่ที่อยากทำจริงๆ ก็คือเอาความรู้ของอเมริกาที่เขาบอกว่าระบบดีมากขนาดนั้น จะสามารถมาปรับใช้ พัฒนากับระบบไทยเราได้ไหม เพราะมีรุ่นพี่หลายคนที่จบจากอเมริกาแล้วกลับมาที่โรงเรียนนายร้อยก็พยายามจะปรับปรุงเหมือนกัน ผมก็คิดว่ามันน่าสนใจที่จะเป็นคนส่วนหนึ่งที่จะมาปรับปรุงโรงเรียนที่ให้ทุนเราไปครับ

Q: ความภาคภูมิใจในการเป็นนักเรียนทหาร หรือ การเป็นทหารคืออะไร?

A: ความภาคภูมิใจในนักเรียนทหาร เรียกว่าเป็นสถาบันที่ผลิตนายทหารหลักของประเทศ ในการพัฒนาบ้านเมืองต่างๆ ถือว่าเป็นเกียรติครับ และเป็นระบบที่สอนให้ผมมีวินัยมากขึ้น พัฒนาให้ผมเป็นผมในวันนี้ โรงเรียนทหารสอนหลายอย่าง ทั้งการพัฒนาตัวเอง ภาวะผู้นำ การฝึกบุคลิกภาพ มารยาท ผมคิดว่าสอนผมมาเยอะมาก

.

.

.

.

????ประกาศผลข้อเขียน ‘ทุนมง’ ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ใครๆ ก็อยากได้ ????????

????ประกาศผลข้อเขียน ‘ทุนมง’ ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ใครๆ ก็อยากได้ ????????

เด็กไทยเก่งสอบข้อเขียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ????????(Monbukagakusho:MEXT) ประจำปีการศึกษา 2565

THE STUDY TIMES ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่สอบข้อเขียนผ่านทั้ง 14 ท่าน

โดยทุนรัฐบาลญี่ปุ่นหรือ Monbukagakusho (MEXT) ที่นักเรียนไทยนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘ทุนมง’ เป็นทุนการศึกษาประเภทให้เปล่าไม่มีข้อผูกมัด ทุนที่นักเรียน/นักศึกษาไทยนิยมสมัครกันมากคือทุนนักศึกษาระดับปริญญาตรี (Undergraduate Students) และทุนนักศึกษาวิจัย (Research Students) ซึ่งการไปเรียนต่อปริญญาโทหรือปริญญาเอกก็ถือว่าเป็นทุนประเภทนี้เช่นกัน 

????ทำไมต้องเรียนที่ญี่ปุ่น❓
✔️การศึกษาระดับโลก ในญี่ปุ่นมีมหาลัยมากกว่า 700 แห่ง โดยมี 10 ติดอันดับท็อป 200 ในการจัดอันดับโลก
✔️มากไปด้วยวัฒนธรรม ในแง่ประวัติศาสตร์มีวิวัฒนาการยาวนานกว่าพันปีจนสั่งสมมาเป็นสิ่งที่สืบทอดมานานมากกก เต็มไปด้วยรายละเอียดและประณีต ในแง่การทำงาน มีลำดับขั้นอวุโสชัดเจน มีระบบให้ทำตาม
✔️เป็นประเทศปลอดภัย ของหายได้คืนแน่นอน!
✔️ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเติม เป็นภาษาที่ 2
✔️ใกล้ประเทศไทย
✔️ค่าเทอมไม่แพงเท่าประเทศพัฒนาอื่นๆ และมีทุนการศึกษา

????สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้เปิดรับสมัครและคัดเลือกชาวไทยเพื่อรับทุนการศึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นไปศึกษาที่สถาบันการศึกษาญี่ปุ่น เป็นประจำทุกปี โดยมีทุนทั้งหมด 7 ประเภท ดังต่อไปนี้  
 
1.ทุนนักศึกษาปริญญาตรี (Undergraduate Students)
2. ทุนนักศึกษาวิจัย (Research Students)  
3. ทุนญี่ปุ่นศึกษา (Japanese Studies Students)
4. ทุนฝึกอบรมวิชาชีพครู (Teacher Training Students)
5. ทุนนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิค (College of Technology Students)
6. ทุนนักศึกษาฝึกอบรมวิชาชีพ (Specialized Training College Students)
7. ทุนนักศึกษาประเภท Young Leaders' Program (YLP)

????ผู้ที่สนใจสมัครทุนในปีหน้า สามารถเข้าไปดูรายละเอียดทุนรัฐบาลญี่ปุ่นได้ที่ https://www.th.emb-japan.go.jp/itpr_th/jis_study.html

????ไฟล์ประกาศผลการสอบข้อเขียน
https://www.th.emb-japan.go.jp/files/100221332.pdf
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top