Wednesday, 26 June 2024
TheStudyTimes

วิกฤตโควิดทำร้านหนังสือในจีนปิดกิจการกว่า 1,500 แห่ง แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น กลับมีจำนวนร้านหนังสือ ‘เปิดใหม่’ มากกว่า 4,000 แห่งในปี 2020 ‘กรุงปักกิ่ง’ ครองแชมป์มีร้านหนังสือเปิดใหม่มากที่สุด

1.) วิกฤตโควิดทำให้ร้านหนังสือในจีนแบบมีหน้าร้าน ‘ปิด’ กิจการไปกว่า 1,500 แห่ง แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น กลับมีจำนวนร้านหนังสือ ‘เปิดใหม่’ มากกว่า 4,000 แห่งในปี 2020

2.) กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีนยังคงครองอันดับเมืองชั้นนำด้านร้านหนังสือของประเทศ มีร้านหนังสือเปิดใหม่ 639 แห่ง

3.) กรุงปักกิ่งจึงได้รับรางวัล ‘เมืองหลวงแห่งร้านหนังสือ’ ประจำปี 2020 มอบโดย...สมาคมผู้จัดจำหน่ายหนังสือและวารสารแห่งประเทศจีน และสถาบันวิจัยการพิมพ์เป่ยต้าว

4.) ปักกิ่งสมควรได้ตำแหน่งนี้จริงๆ เพราะร้านหนังสือส่วนใหญ่มีการปรับปรุงพัฒนาสินค้ารวดเร็วมาก ทั้งนี้เพราะมีหลังบ้านดี มีการสนับสนุนเชิงนโยบาย นำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้

5.) ร้านหนังสือในปักกิ่งอีกกว่า 30 แห่ง ยังได้รับรางวัลร้านหนังสือที่มียอดขายและบริการยอดเยี่ยม และประยุกต์ใช้นวัตกรรมยอดเยี่ยมอีกด้วย

6.) ในช่วงวิกฤตโควิด ร้านหนังสือแบบมีหน้าร้านได้รับผลกระทบเต็มๆ เพราะค่าใช้จ่ายด้านการจัดการ มีต้นทุนค่าเช่าที่ แต่ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจหนังสือในจีนใช่ว่าจะเงียบเหงา เพราะร้านค้าหนังสือออนไลน์แข่งขันกันเข้มข้นมาก

7.) ด้วยเหตุนี้ ร้านหนังสือยุคนี้ต้องดำเนินควบคู่กันไปทั้งหน้าร้านและออนไลน์ กิจกรรมจำเป็นที่ต้องมีคือ การไลฟ์สตรีมมิ่ง เพื่อเพิ่มยอดขายและชดเชยรายได้ที่หายไปในช่วงวิกฤตโควิด

ขอบคุณภาพและข้อมูล จาก...China sees growth in bookstores despite COVID-19 epidemic | www.xinhuanet.com/english/2021-03/31/c_139847629.htm


ที่มา: https://www.facebook.com/178839832836368/posts/791961954857483/?sfnsn=mo

สงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน เป็นประเพณีที่มีคติข้อคิดต่าง ๆ สอดแทรกอยู่มากมาย สะท้อนความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน วันนี้เรามีเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับวันสงกรานต์มาฝาก!

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับวันสงกรานต์

คำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “สํ-กรานต” ซึ่งแปลว่า ก้าวขึ้น ย่างขึ้น หรือย้ายขึ้น โดยมีนัยความหมายว่า การเข้าสู่ศักราชราศีใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่

วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์

วันที่ ๑๔ เมษายน เรียกว่า วันเนา

วันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่า วันเถลิงศก

นางสงกรานต์ปี ๖๔ "รากษสเทวี" พยากรณ์น้ำมาก พืชผลเสียหาย ปวงชนร้อนใจ

สำหรับประเทศไทย ในวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี นอกจากเป็นวันสงกรานต์แล้ว ยังถือเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ อีกด้วย วันนี้มีข้อมูลน่ารู้มาฝากกัน!

รัฐบาลกำหนดให้วันที่ 13 เมษายนเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อให้ลูกหลานได้เล็งเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นบุพการี ผู้อาวุโสหรือผู้ใหญ่ในชุมชนที่เคยทำคุณประโยชน์แก่สังคมมาแล้ว

สำหรับที่มาของ "วันผู้สูงอายุ" นั้นเริ่มต้นขึ้นในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ในสมัยนั้นได้มีการกำหนดนโยบายที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพ และดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยได้มอบให้กรมประชาสงเคราะห์จัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขึ้นในปี 2496 เพื่อให้การสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่เดือดร้อน ประสบปัญหาในการทำมาหากินและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้

ต่อมาในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็มีการสานต่อความสำคัญของ "วันผู้สูงอายุ" โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2525 อนุมัติให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปีเป็นวันผู้สูงอายุ และได้เลือก "ดอกลำดวน" เป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่ให้ความร่มเย็น ลำต้นมีอายุยืน


ขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/875735

วันที่ 14 เมษายน ถือเป็นวันครอบครัว ถูกกำหนดขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2532 เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัว และให้สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสพบปะกันได้โดยสะดวก

สำหรับที่มาของวันครอบครัวนั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2532 คณะรัฐมนตรีซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เสนอมติโดย คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยและอนุมัติให้ วันที่ 14 เมษายน ของทุกปี เป็นวันแห่งครอบครัว ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ของไทย เพราะโดยส่วนใหญ่ในวันนี้เป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสพบปะกันได้โดยสะดวก

วันครอบครัว ถูกกำหนดขึ้นก็เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของสถาบันครอบครัว และใช้เวลาว่างในวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว และสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัว

อีกทั้งช่วงเทศกาลสงกรานต์ถือเป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อรวมญาติ พบปะครอบครัว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการีที่ล่วงลับไปแล้ว รดน้ำดำหัวขอพรผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล ความอบอุ่น และความสุขของครอบครัวตามประเพณีไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา


ขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/620756

วันที่ 15 เมษายน วันขึ้นปีใหม่ไทย หรือ “วันเถลิงศก” ถือเป็นวันเริ่มจุลศักราชใหม่ หรือวันปีใหม่ไทยที่นับตามแบบสมัยโบราณ

วันเถลิงศก แปลว่า วันขึ้นศก เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ การที่เลื่อนวันขึ้นศกใหม่มาเป็นวันที่ 3 ถัดจากวันมหาสงกรานต์ก็เพื่อให้หมดปัญหาว่า การย่างขึ้นสู่จุดเดิมสำหรับต้นปีนั้นเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาเพราะอาจมีปัญหาติดพันเกี่ยวกับชั่วโมง นาที วินาที ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่จะเปลี่ยนศก ถ้าเลื่อนวันเถลิงศกหรือวันขึ้นจุลศักราชใหม่มาเป็นวันที่ 3 ก็หมายความว่าอย่างน้อยดวงอาทิตย์ได้ก้าวเข้าสู่ราศีใหม่ไม่น้อยกว่า 1 องศาแล้ว อาจจะย่างเข้าองศาที่ 2 หรือที่ 3 ก็ได้

ส่วนใหญ่คนไทยจะนิยมไปเที่ยวกับครอบครัว หรือฉลองปีใหม่กันที่บ้านด้วยการทำกับข้าว กินข้าวมื้อใหญ่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา และมีเคล็ดว่าทุกคนต้องสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ หรือมีของใช้ส่วนตัวชิ้นใหม่ๆ อย่างน้อย 1 ชิ้น เพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่นั่นเอง

เปิด (ปม) ภาคการศึกษา EP.2 : การต่อสู้ฝ่าฟันกับเด็กนับหมื่น สู่การคัดเลือกหลักพัน เป้าหมายสู่โรงเรียนมีชื่อ หรือไขว่คว้าการได้มาซึ่งโอกาส ในรั้วโรงเรียน ‘เตรียมอุดมศึกษา’

การศึกษาถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ของชีวิต นอกจากการอบรมเลี้ยงดูแล้ว พ่อแม่ที่มีความพร้อมหลายท่านได้เตรียมเส้นทางการศึกษาที่ดีให้กับลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ  ในปัจจุบัน การศึกษาไม่ต่างกับการแข่งขันแย่งชิง เพราะความคาดหวังและค่านิยม ที่ต้องได้เข้าเรียนในโรงเรียนดัง เรียนดี กิจกรรมเด่น มีพรสวรรค์รอบด้าน เข้าถึงโอกาส มีสภาพแวดล้อม เติบโตในสังคมที่ดี  จึงไม่แปลกใจที่ทั้งตัวเด็กและผู้ปกครองฟันฝ่าทุกวิถีทาง เพื่อที่จะส่งลูกเข้าไปอยู่ในโรงเรียนแถวหน้าของประเทศ

หลายคนที่ผ่านช่วงวัยมัธยมศึกษามา น่าจะรู้จักหรืออาจเคยไปลองสนามสอบมาแล้วด้วยซ้ำ กับสนามสอบขนาดใหญ่ที่สุดของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา มหกรรมการสอบของเด็กนับหมื่น ความฝันก้าวต่อของเด็กมัธยมปลาย การต่อสู้ที่ต้องดิ้นรน เพื่อเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาต่อ ‘โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา’

โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็นโรงเรียนสหศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งแรกของประเทศไทย ปัจจุบันสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 (สพม.1) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 64 ที่ผ่านมา ณ อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้ทำการจัดสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2564 ตั้งแต่เวลา เวลา 08.30 - 14.00 น. โดยการสอบครั้งนี้มีผู้เข้าสอบ จำนวน 12,765 คน จากทั่วประเทศ โดย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เปิดรับนักเรียน 1,520 คน ใน 8 แผนการเรียน

จากสถิติ ผู้เข้าสมัครสอบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 12 ปีย้อนหลัง พบว่า จำนวนผู้เข้าสมัครสอบแตะหลักหมื่นทุกปี เด็กจำนวนมากฟิตเตรียมตัวอ่านหนังสือ ทำโจทย์มาเป็นปี ๆ เพื่อเป้าหมายเดียว ขณะที่บางคนก็อยากมาลองสนามสอบ วัดฝีมือ ถือเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของเด็กสายสามัญ ผ่านการสนับสนุนและผลักดันของพ่อแม่ผู้ปกครอง เหตุใด เด็กทั้งหลายต้องต่อสู้ แข่งขันกับคนนับหมื่น สู่การเป็นผู้ถูกคัดเลือกในจำนวนหลักพัน

จากประวัติที่ยาวนาน ประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงสถิติและผลงานที่สร้างชื่อมารุ่นต่อรุ่นของเด็กเตรียมอุดมศึกษา อาจเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมเด็กจำนวนมากถึงใฝ่ฝัน ดิ้นรนเข้ามาเรียนที่นี่ 

งานแนะแนวโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เปิดเผยสถิติผลการเรียนต่อของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2562 ที่เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2563 พบว่า คณะที่นักเรียนเตรียมอุดมศึกษา เลือกเรียนมากสุด 10 อันดับ ได้แก่

1. คณะแพทยศาสตร์ 2. คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ 3. คณะวิศวกรรมศาสตร์ 4. คณะอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ 5. คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี/เศรษฐศาสตร์/บริหาร 6. คณะนิเทศศาสตร์/วารสารศาสตร์/ศิลปกรรมศาสตร์ 7. คณะทันตแพทย์ศาสตร์ 8. คณะเภสัชศาสตร์ 9. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 10. คณะสัตวแพทยศาสตร์ 

ส่วนมหาวิทยาลัยที่นักเรียนเตรียมอุดมศึกษาเลือกไปเรียนต่อ 9 ลำดับสูงสุด ได้แก่

1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2. มหาวิทยาลัยมหิดล 3. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 5. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 6.  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 7. มหาวิทยาลัยขอนแก่น 8. มหาวิทยาลัยศิลปากร  9. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 

แม้กระทั่งทุนทั้งในและต่างประเทศที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยม อาทิ ทุนเล่าเรียนหลวง ทุนธนาคารแห่งประเทศไทย ทุนวิวัฒนไชยานุสรณ์ ทุนกระทรวงต่างประเทศ ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และทุนรัฐบาลญี่ปุ่น นักเรียนเตรียมอุดมศึกษาก็เป็นกลุ่มที่สามารถคว้าโอกาส เป็นตัวแทนที่ได้รับคัดเลือกเป็นจำนวนมากทุกปี 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเหลื่อมล้ำมีอยู่ทั่วทุกที่ในสังคม ไม่เว้นแม้แต่ในระบอบการศึกษา จึงไม่แปลกใจ ที่เด็กและผู้ปกครองหลายคนต่างดิ้นรน ผลักดันตัวเองและลูกหลานเข้าไปอยูในจุดที่สามารถเข้าถึงโอกาส จะเห็นได้ว่า ทุนที่หลายคนใฝ่ฝัน มหาวิทยาลัยแนวหน้าของไทย รวมทั้งแนวโน้มการศึกษาต่อในต่างประเทศ เด็กเตรียมอุดมศึกษาไม่เคยต้องผิดหวัง แทบจะกวาดเรียบในทุกสนาม

เกิดข้อคำถามที่น่าสนใจว่า ทำไมการได้รับโอกาสทางการศึกษาถึงกระจุกตัวอยู่แค่ที่โรงเรียนมัธยมปลายชั้นนำอันดับ 1 แห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่การยกระดับมาตรฐานโรงเรียนมัธยมควรจะกระจายตัว ขยายโอกาสไปสู่โรงเรียนอื่น ๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

เด็กมัธยมปลายหัวกะทิในโรงเรียนประจำจังหวัดบางคน มีศักยภาพไม่ต่างจากเด็กในเมืองหลวง แต่พวกเขาอาจไม่สามารถรับรู้ถึงโอกาส การเข้าถึงทุน เพียงเพราะไม่มีต้นทุนทางข้อมูล ไม่มีเครือข่าย ไม่มีรุ่นพี่ ไม่มีผู้ปกครองสนับสนุน ไม่รับรู้ข่าวสาร ไม่มีความพร้อม ไม่มีติวเตอร์ดี ๆ ไม่มีต้นทุนต่อยอด หากฉุกคิดถึงความเหลื่อมล้ำในจุดนี้ ก็นำไปสู่คำถามต่อมาคือ แล้วเป็นหน้าที่ของใครที่ต้องหาหนทางความเสมอภาค การจัดการมาตรฐานของโรงเรียนมัธยมให้เท่าเทียม หรือเป็นหน้าที่ของเด็กที่ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง?

อ้างอิงข้อมูล: งานแนะแนวโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926058

.

.

คติประจำใจจาก "Marilyn Vos Savant" (หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุด มีไอคิวสูงที่สุดในโลก)

"To acquire knowledge, one must study; but to acquire wisdom, one must observe."

"ผู้ใดต้องการหาความรู้ เขาจะต้องศึกษา แต่หากผู้ใดอยากมีปัญญา เขาผู้นั้นจะต้องคอยสังเกตการณ์”


Marilyn Vos Savant (หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุด มีไอคิวสูงที่สุดในโลก)

ศูนย์ดำเนินงาน PISA แห่งชาติ สสวท. เผยแพร่รายงานผลการประเมิน PISA 2018 การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ (ฉบับสมบูรณ์) ดาวน์โหลดฟรี! พร้อมตัวอย่างข้อสอบ PISA : สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก

การสอบ PISA เป็นการจัดทดสอบความสามารถในด้าน ‘การรู้เรื่อง’ (Competency) ของนักเรียนอายุ 15 ปีจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก จัดทดสอบโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD)

ข้อสอบ PISA จะประเมิน ‘การรู้เรื่อง’ ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่าน โดยที่ไม่ได้อ้างอิงกับเนื้อหาหรือหลักสูตรใดๆ เป็นการเฉพาะ

รายงานผลการประเมิน PISA 2018 การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ (ฉบับสมบูรณ์)

ดาวน์โหลดฟรี >> https://pisathailand.ipst.ac.th/pisa2018-fullreport/

PISA 2018 เป็นรอบการประเมินที่เน้นการอ่านเป็นการประเมินหลักครั้งที่สามถัดจาก PISA 2000 และ PISA 2009 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงผลการเรียนรู้ด้านการอ่านของนักเรียนในช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป รายงานฉบับนี้จะเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการประเมิน PISA 2018 ทั้งในระดับนานาชาติและระดับประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาและยกระดับคุณภาพการศึกษาต่อไป

https://pisathailand.ipst.ac.th/pisa2018-fullreport/

------------------------------------

ตัวอย่างข้อสอบ PISA : สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก

ฝึกทำโจทย์ >> https://pisaitems.ipst.ac.th/quiz_global

ขณะนี้ทาง OECD ได้อนุญาตให้เผยแพร่ข้อสอบ "สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก" จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่

1. การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล

2. เรื่องเล่าเพียงเรื่องเดียว

3. เสื้อผ้าตามหลักจริยธรรม

4. นักกีฬาโอลิมปิกผู้ลี้ภัย

5. นโยบายด้านภาษา

ข้อสอบนี้เป็นข้อสอบวัดสมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก ซึ่งเป็นนวัตกรรมการประเมินใหม่ที่มีในรอบการประเมิน PISA 2018 โดยข้อสอบดังกล่าวได้รับอนุญาตให้เผยแพร่แล้วและเป็นลิขสิทธิ์ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD)

จัดทำโดย : ศูนย์ดำเนินงาน PISA แห่งชาติ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


ที่มา:

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3830429316993428&id=145276782175385&sfnsn=mo

ทุนการศึกษาสำหรับผู้ที่สนใจสายงาน IT เปิดรับสมัครแล้ว!! กับโครงการพัฒนาโมเดลสะเต็มศึกษาสู่โลกอาชีพ (Career Academies) รับทุนการศึกษาเต็มจำนวน อบรมหลักสูตรระยะสั้น 3 เดือน และ 6 เดือน

เป็นอีกหนึ่งทุนการศึกษาเต็มจำนวนที่น่าสนใจ จากศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด รับรองว่าทั้ง 2 หลักสูตรที่เปิดสอน จะช่วยเปิดโอกาสมีงานทำในหน่วยงาน และสถานประกอบการหลังจบหลักสูตร รายละเอียดทุนเพิ่มเติมดังนี้

#1 นักพัฒนาเว็บไซต์ และ Chatbot เพื่อธุรกิจออนไลน์ หลักสูตร 3 เดือน

มูลค่าทุนการศึกษา:

– Full Scholarship ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาทั้งหมดตลอดหลักสูตร และได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายส่วนตัว ด้านที่พักอาศัย ค่าเดินทาง และค่าอาหาร ตลอดระยะเวลา 6 เดือน

– Academic Scholarship ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาทั้งหมดตลอดหลักสูตร

ระดับการศึกษา:

– สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า เช่น ปวช. หรือ ปวส.

– หรือจะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563

รูปแบบการอบรม: อบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ วันจันทร์ – ศุกร์ วันละ 9 ชั่วโมง

ระยะเวลาอบรมตลอดหลักสูตร: 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2564

คุณสมบัติผู้สมัคร:

– มีอายุระหว่าง 18 – 25 ปีบริบูรณ์ นับถึงวันเสาร์ ที่ 31 สิงหาคม 2564

– มีสัญชาติไทย และต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนไทย

– ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง โรคที่สังคมรังเกียจ หรือโรคที่จะเป็นอุปสรรคต่อการอบรม

– ไม่เคยหรือถูกให้ออกจากสถาบันการศึกษาใดๆ เพราะความประพฤติไม่เหมาะสม

สมัครได้ที่: https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSe66cIqFcfB6xgQbhXJH2IwVhKpgjVKT6bvNjZr_mQDq9n_Mw/viewform

ปิดรับสมัคร: 23 เมษายน 2564

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://drive.google.com/file/d/1hz6bnveGAdL7tCpB9CVj39GxwOLD7-TB/view?fbclid=IwAR3Aad7caRL7r3DetlzBis1JJgYEmd1CM4zwhnuTSD18KZS93GDL_eP8q-k

#2 นักพัฒนาซอฟท์แวร์ หลักสูตร 6 เดือน

มูลค่าทุนการศึกษา:

– Full Scholarship ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาทั้งหมดตลอดหลักสูตร และได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายส่วนตัว ด้านที่พักอาศัย ค่าเดินทาง และค่าอาหาร ตลอดระยะเวลา 6 เดือน

– Academic Scholarship ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาทั้งหมดตลอดหลักสูตร

ระดับการศึกษา:

– สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า เช่น ปวช. หรือ ปวส.

– หรือจะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563

รูปแบบการอบรม: อบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ วันจันทร์ – ศุกร์ วันละ 9 ชั่วโมง

ระยะเวลาอบรมตลอดหลักสูตร: 1 กันยายน 2564 – 28 กุมภาพันธ์ 2565

คุณสมบัติผู้สมัคร:

– มีอายุระหว่าง 18 – 25 ปีบริบูรณ์ นับถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565

– มีสัญชาติไทย และต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนไทย

– ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง โรคที่สังคมรังเกียจ หรือโรคที่จะเป็นอุปสรรคต่อการอบรม

– ไม่เคยหรือถูกให้ออกจากสถาบันการศึกษาใดๆ เพราะความประพฤติไม่เหมาะสม

สมัครได้ที่: https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSe66cIqFcfB6xgQbhXJH2IwVhKpgjVKT6bvNjZr_mQDq9n_Mw/viewform

ปิดรับสมัคร: 7 พฤษภาคม 2564

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://drive.google.com/file/d/1jQDJTHrIXdWWHdHgSqcI8VsJGvdHPo2U/view?fbclid=IwAR3n8cHL1IF3U5Rv1GJEh-EpCa4cqwb5NbiqAwBmPMsL0ODOLqfidVLUIic

รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม

https://www.chevronenjoyscience.com/th/career-academies


ขอบคุณที่มา: https://www.scholarship.in.th/stem-career-academies-scholarships/

ทำความรู้จัก 5 เมืองที่น่าเรียนที่สุดในเอเชีย จัดอันดับโดย QS Best Student Cities Ranking 2019 โดยพิจารณาจากค่าครองชีพ ความพึงพอใจ การจ้างงาน และมุมมองของนักศึกษา

ทวีปเอเชียถือเป็นทวีปที่มีความหลากหลายทางอารยธรรมและวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ ในด้านการศึกษาทวีปเอเชียก็ไม่แพ้ทางฝั่งตะวันตก หลาย ๆ เมืองมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ 

ทำความรู้จัก 5 เมืองที่น่าเรียนที่สุดในเอเชีย จัดอันดับโดย QS Best Student Cities Ranking 2019 โดยพิจารณาจากค่าครองชีพ ความพึงพอใจ การจ้างงาน และมุมมองของนักศึกษา

โตเกียว

QS Best Student Cities Ranking 2019 จัดให้โตเกียวเป็นเมืองที่เหมาะกับนักเรียนมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก โตเกียวเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกถึง 13 แห่ง และได้คะแนนอยู่ในระดับดีในด้านความพึงพอใจ นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในสามของศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลก (อีก 2 แห่งคือนิวยอร์กและลอนดอน)

ในด้านการสื่อสารเป็นที่ทราบกันดีว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ได้สื่อสารภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย ทางมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จึงเปิดคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นฟรีสำหรับนักศึกษาต่างชาติด้วย

กรุงโซล
.
เมืองแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับ QS Best Student Cities Ranking 2019 ในอันดับที่ 10 ของโลก มหาวิทยาลัยทั้ง 18 แห่งในกรุงโซลต่างมีชื่อเสียงและมีจุดเด่น โดยเฉพาะ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (Seoul National University) มหาวิทยาลัยเกาหลี (Korea University) และมหาวิทยาลัยยอนเซ (Yonsei University)

ฮ่องกง

ด้านการศึกษา ได้รับการจัดอันดับ QS Best Student Cities Ranking 2019 ในอันดับที่ 14 ของโลก รวมถึงมีคะแนนที่สูงในหมวดการจ้างงานซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงตลาดแรงงานที่ต้องการบัณฑิตจบใหม่

มหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้แก่ Hong Kong University of Science and Technology (HKUST), The University of Hong Kong, The Hong Kong Polytechnic University และ The Chinese University of Hong Kong (CUHK)

เกียวโต - โอซาก้า – โกเบ

ได้รับการจัดอันดับ QS Best Student Cities Ranking 2019 ในอันดับที่ 18 ของโลก
.
มหาวิทยาลัยชั้นนำในภูมิภาคนี้ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกียวโต (สถาบันที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในญี่ปุ่น) มหาวิทยาลัยโอซาก้าและมหาวิทยาลัยโกเบ

นอกจากโปรแกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนต่างชาติได้เรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การป้องกันภัยพิบัติ อะนิเมะและมังงะ ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของประเทศญี่ปุ่นเลย

สิงคโปร์

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดฮิตของของนักเรียนต่างชาติ เพราะมีอัตราการก่ออาชญากรรมและการว่างงานต่ำ อีกทั้งได้รับการจัดอันดับ QS Best Student Cities Ranking 2019 ในอันดับที่ 20 ของโลกและมีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง

มหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้แก่ National University of Singapore (NUS) และ Nanyang Technological University (NTU) นอกจากนี้มหาวิทยาลัยนานาชาติหลายแห่งยังได้เปิดสอนหลักสูตรการเรียนที่มีความหลากหลาย 


ขอบคุณที่มา:

https://www.hotcourses.in.th/study-abroad-info/applying-to-university/best-students-cities-in-asia/?fbclid=IwAR3AcNbzaevebn-NZByRzvXdT2WNk2mDkHFVSBRM2BIJ-9SSMFsypabAwv0
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top