Tuesday, 14 May 2024
TheStatesTimes

นราธิวาส - ผบ.ฉก.นราธิวาส ลาดตระเวนทางน้ำ ติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมพื้นที่ชายแดน ตามแผนงานโครงการก่อสร้างรั้วชายแดนไทย - มาเลเซีย

ที่ห้องประชุมหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ค่ายกัลยาณิวัฒนา ตำบลกะลุวอเหนือ อำเมือง จังหวัดนราธิวาส พลตรีเฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส พร้อมด้วย พันเอก ก่อเกียรติ เข็มแดง รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ให้การต้อนรับ พลโท สิทธิพงษ์ จันทรัตน์  ผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการระบบ กล้องโทรทัศน์วงจรปิด CCTV ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักอำนวยการข่าวกรอง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เดินทางมาตรวจเยี่ยมติดตาม การดำเนินตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมพื้นที่ชายแดน พร้อมทั้งประสานการปฏิบัติกับหน่วยโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมพื้นที่ชายแดน ตามแผนงานโครงการก่อสร้างรั้วชายแดนไทย-มาเลเซีย ในรายการจัดหาวัสดุสำหรับก่อสร้างรั้วความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ตามแนวชายแดน ระยะทาง 6 กิโลเมตร โดยได้รับฟัง การชี้แจงบรรยายสรุปของหน่วยตามแผนงานโครงการก่อสร้างรั้วชายแดนไทย - มาเลเซีย สอบถามปัญกาข้อขัดข้องในการดำเนินงาน

จากนั้น ได้เดินทางต่อไปยัง ด่านศุลกากรตากใบ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เพื่อลงเรือลาดตระเวน ตรวจพื้นที่ในการดำเนินการก่อสร้างรั้วอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 4 ท่าข้าม ได้แก่ 1. ท่าข้ามบันได 2. ท่าข้ามศรีพงัน 3. ท่าข้ามปะลุกา และ 4.ท่าข้ามกัวลอต๊ะ  โดยโครงการก่อสร้างรั้วชายแดน ไทย-มาเลเชีย เริ่มต้นเมื่อปี 2560โดย พลตรี ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งในขณะนั้น ดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส มีเจตนารมณ์ ต้องการให้ สร้างรั้วป้องกันชายแดนขึ้น จึงให้ชุดควบคุม ป้องกันชายแดน เสนอโครงการขึ้นมา เพื่อป้องกันสกัดกั้นยับยั้ง การลักลอบขนย้าย อาวุธ ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว สิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ และการคัดกรองบุคคล ตลอดจนการป้องกัน การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด -19 หรือ โรคติดต่อ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เพื่อให้พื้นที่ชายแดน มีความมั่นคงปลอดภัยความต้องการงบประมาณที่เสนอขอ ประกอบด้วย 4 รายการ ได้แก่ 1.การก่อสร้างผนังเขื่อนป้องกันตลิ่ง ระยะทาง 7.528 กิโลเมตร 2. การสร้างรั้วตาข่าย ระยะทาง 15 กิโลเมตร  3. การสร้างฐานปฏิบัติการย่อย จำนวน 3 ฐาน และ 4 รั้วความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ ระยะทาง 6 กิโลเมตร

โดยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 คณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ 2 ในคณะกรรมาธิการ วิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาให้ผ่านจำนวน 2 รายการ ได้แก่ การก่อสร้างผนังเขื่อนป้องกันตลิ่งระยะทาง 7.528 กิโลเมตร และรั้วความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ระยะทาง 6 กิโลเมตร ซึ่งแบ่งจ่ายในปีงบประมาณปี 2565 -2567

โดย หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสได้จัดกำลังพลลงพื้นที่ เพื่อพบปะ สร้างความเข้าใจ ถึงเหตุผลและความจำเป็น ในการก่อสร้างรั้วชายแดน และให้ลงนามในหนังสือยินยอม ให้ก่อสร้างรั้วชายแดนในที่ดินของตนซึ่งมีผู้ที่มีที่ดินติดแนวชายแดน จำนวน 293 ราย ได้ยินยอมให้สร้างรั้วชายแดนเพราะเข้าใจในสภาพปัญหาในพื้นที่ และรับทราบว่าในการสร้างรั้วชายแดน ได้เปิดช่องทางบริเวณจุดผ่อนปรนให้สามารถเดินทางเข้า-ออก ตามวิถีชีวิตของประชาชน ตามแนวชายแดน และเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ประชาชนที่มีที่ดิน ติดแนวชายแดนยินยอมให้สร้างรั้วชายแดน คือ การที่แนวชายแดน ด้านประเทศมาเลเซียได้สร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งตลอดแนวชายแดนทำให้ตลิ่งฝั่งไทยถูกกัดเซาะมาอย่างยาวนาน

 

‘โรม’ หวัง กม.ป้องกันซ้อมทรมานลุล่วง อย่าให้ซ้ำรอยรัฐทำป่าเถื่อนกับประชาชนอีก

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวเนื่องในวาระครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชนหน้าสถานีตำรวจภูธร อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 85 คน สูญหาย 7 คน และบาดเจ็บมากกว่า 1,000 คน ว่า ครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์ตากใบ โศกนาฏกรรมและความอัปยศของการทรมานและการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ผมได้เข้าประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายด้วยนั้น ก็บังเอิญว่าตรงกับวันครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส พอดี กล่าวโดยสรุป เหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มต้นจากการที่ชาวบ้านชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานีตำรวจ เนื่องจากตำรวจได้จับกุมชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปสอบสวนเป็นเวลานานกว่าสัปดาห์โดยไม่ยอมปล่อยออกมา ปรากฏว่าตำรวจกลับโต้ตอบด้วยการสลายการชุมนุม ใช้ปืนและแก๊สน้ำตาจนมีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 7 คน

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ทั้งยังควบคุมตัวอีกนับพันคนขึ้นรถบรรทุกโดยให้นอนทับกัน อยู่ในสภาพหายใจแทบไม่ออก ปัสสาวะและอุจจาระราด นำตัวไปค่ายทหารที่ห่างออกไปกว่า 150 กิโลเมตร จนมีผู้เสียชีวิตระหว่างทางและที่โรงพยาบาลเพิ่มอีก 78 คน ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครต้องรับผิดชอบอะไรกับการที่มีคนจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

“เมื่อมองย้อนกลับไป เหตุการณ์ตากใบก็คือหนึ่งในการกระทำอันโหดร้ายที่เรากำลังพยายามขจัดมันให้สิ้นไปอยู่นี้เอง การที่เจ้าหน้าที่นำคนมานอนทับกันนานหลายชั่วโมงจนขาดอากาศหายใจเสียชีวิต กระทำกับเขาด้วยการเลือกปฏิบัติเพราะเห็นว่าเป็นคนที่เข้าข้างผู้ที่ตัวเองสงสัยว่าก่อความไม่สงบ ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าเข้าข่ายการทรมาน และแม้ว่าบางคนอาจรอดชีวิตมาโดยไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงเหมือนคนอื่นๆ แต่การที่เขาต้องนอนดมกลิ่นของเสียจากร่างกายคนอื่น ถูกกระทำเหมือนเป็นสิ่งของถูกบรรทุกไว้ นี่ก็ย่อมเข้าข่ายการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ทัวร์ลงยับ!! หลัง ‘เก็ตสึโนวา’ แซะ จ้าง ‘ลิซ่า’ เคาท์ดาวน์ปีใหม่ แถมระรานคนเห็นต่างเป็นไอโอ อ้างแค่อยากร่วมแจม

วงดนตรีเก็ตสึโนวา โพสต์แซะ จ้างลิซ่าเคานต์ดาวน์ปีใหม่ที่ภูเก็ต ไม่คิดจ้างตัวเองบ้างเหรอ เจอทัวร์ลง หงายการ์ดด่าคนเห็นต่าง สุดท้ายลบโพสต์ ขอโทษขอโพย อ้าง อยากกลับไปเล่นดนตรีแล้วครับ

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. จากกรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเสนอของบประมาณ 200 ล้านบาท เชิญศิลปินมาแสดงในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อย่าง ลิซ่า ลลิสา มโนบาล หนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี แบล็กพิงก์ ที่บริเวณสะพานสารสิน จ.ภูเก็ต กับ แอนเดรีย โบเชลลิ นักร้องโอเปราชาวอิตาลี ที่ท้องสนามหลวง กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กับการนำงบประมาณจำนวนนี้ไปแก้ไขปัญหาโควิด-19 เช่น การจัดซื้อวัคซีนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นวัคซีนที่มีคุณภาพ เช่น mRNA

ปรากฏว่าวงดนตรีที่ชื่อว่า "เก็ตสึโนวา" จากค่ายไวท์มิวสิก ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ สร้างชื่อเสียงจากเพลง "ไกลแค่ไหนคือใกล้" ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเพจของวง ระบุว่า “ภูเก็ตจ้างลิซ่า ไม่สนใจจ้าง getsunova ไปด้วยเหรอครับ” ปรากฏว่าทัวร์ลงจากแฟนคลับลิซ่า เข้ามาแสดงความไม่พอใจจำนวนมาก

ต่อมา เฟซบุ๊กของวงได้โพสต์ข้อความโจมตีกลับ ระบุว่า "#อีกไม่นานนานแค่ไหน ที่ I.O. จะใช้เฟสจริงมาคอมเมนต์ซักที" ปรากฏว่าเรียกทัวร์ลงไปถึงกลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แนวร่วมกลุ่มผู้สนับสนุนม็อบกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ราษฎร หรือม็อบสามนิ้ว ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มักจะใช้คำว่า ไอโอ เพื่อเหยียดคนที่เห็นต่าง เข้ามาถล่มยับ

ภายหลังได้ลบข้อความพาดพิงลิซ่า และกลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนโพสต์ข้อความอีกครั้ง ระบุว่า "ทางเราขออนุญาตลบโพสต์ภูเก็ต เนื่องจากทางเราเกรงว่า อาจจะทำให้แฟนคลับน้องลิซ่าเกิดความไม่สบายใจที่อ้างอิงถึง ต้องขออภัยทุกคนมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ส่วนข้อความในโพสต์ดังกล่าว เราแค่อยากจะบอกทุกคนว่า อยากกลับไปเล่นดนตรีแล้วครับ" ท่ามกลางแฟนคลับวงเก็ตสึโนวาให้กำลังใจจำนวนมาก แต่ไม่ได้กล่าวถึงโพสต์ที่พาดพิง กลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่อย่างใด

“ลุงป้อม” ห่วง! กลุ่มเปราะบาง - คนพิการ สั่งแรงงานร่วมมือเอกชน จ้างงานคนพิการทั่วประเทศ

วันที่ 26 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจโครงการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ระหว่าง กรมการจัดหางาน และสถานประกอบการชั้นนำ 7 แห่ง โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงานร่วมงาน และมีนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นผู้ลงนาม ณ ห้องประชุม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน

โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนมีความห่วงใยประชาชนในกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะคนพิการ ที่ต้องการทำงาน เพื่อหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว แต่ยังขาดโอกาส จึงมอบหมายนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เร่งดำเนินการโครงการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมสร้างโอกาส ให้คนพิการในประเทศไทยสามารถเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี และไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยได้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นสักขีพยานในการลงนามดังกล่าวว่า กระทรวงแรงงานขานรับนโยบายรัฐบาล และเร่งดำเนินการสนับสนุนการจ้างงานเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และการสนับสนุนให้คนพิการมีงานทำตามศักยภาพ และความต้องการทำงาน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม โดยขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในทุกมิติ

สำหรับการจัดกิจกรรมฯ ในครั้งนี้ เป็นการสร้างความร่วมมือด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ระหว่างกรมการจัดหางาน และสถานประกอบการชั้นนำ จำนวน 7 แห่ง ได้แก่ กลุ่มบริษัท อเด็คโก้ ประเทศไทย บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัท รักษาความปลอดภัยการ์ดฟอร์ซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กลุ่มบริษัทชัยรัชการ และบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) ที่ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ โดยจ้างงานคนพิการ จำนวน 329 อัตรา

“พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จ้างคนพิการเข้าทำงานในอัตราส่วน 100 : 1 หากไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 34 ในอัตรา 114,245  บาทต่อปี ตามจำนวนคนพิการที่ไม่ได้จ้าง โดยที่ผ่านมามีการนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ปีละกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกต่อนายจ้าง/สถานประกอบการที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย แต่คนพิการจะไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง จึงได้มอบหมายกรมการจัดหางานโน้มน้าวสถานประกอบการเพื่อเปลี่ยนมาจ้างงานคนพิการเชิงสังคม โดยใช้สิทธิตามมาตรา 35 ประเภทจัดจ้างเหมาช่วงงานหรือการจ้างเหมาบริการ เงินก้อนเดิมที่ถูกนำส่งกองทุนฯ จะเปลี่ยนไปสร้างโอกาสให้คนพิการมีงานทำใกล้บ้าน คนพิการมีรายได้จากบริษัทโดยตรง ซึ่งจากความร่วมมือของสถานประกอบการภาคเอกชนทั่วประเทศ ยืนยันการจับคู่ (Matching) พร้อมทำงานแล้ว 568 อัตรา จากเป้าหมาย 1,000 อัตรา แบ่งเป็น จากสถานประกอบการทั้ง 7 แห่งที่ร่วมทำ MoU จำนวน 329 อัตรา และสถานประกอบการเอกชนอื่นๆทั่วประเทศที่ให้ตำแหน่งรวม 239 อัตรา ทั้งหมดจะทำสัญญาจ้าง ภายใน 31 ธันวาคม 2564 และเริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 มกราคม 2565 วิธีนี้คนพิการจะมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ สามารถรับประโยชน์ได้โดยตรง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีข้อสั่งการให้กรมการจัดหางาน ประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้สถานประกอบการเลือกใช้วิธีการจ้างเหมาบริการคนพิการปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐในจังหวัดที่คนพิการอาศัยอยู่ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ ศูนย์บริการคนพิการของท้องถิ่น เทศบาล 

 

'ไบเดน' เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรก รอบ 4 ปี ร่วมประชุม 'สุดยอดอาเซียน'

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ จะเข้าร่วมประชุมซัมมิตทางไกลกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในวันอังคาร (26 ต.ค.) เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ที่วอชิงตันจะมีส่วนร่วมในระดับสูงกับอาเซียน ที่ทางอเมริกามองว่าเป็นกุญแจสำคัญในยุทธศาสตร์ตีโต้กลับจีนของพวกเขา

สถานทูตสหรัฐฯ ในบรูไน เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ไบเดนจะเป็นผู้นำคณะผู้แทนของอเมริกาสำหรับการประชุมอาเซียนซัมมิท-สหรัฐฯ ส่วนหนึ่งในการประชุมหลายการประชุมของบรรดาผู้นำอาเซียนในสัปดาห์นี้

สหรัฐฯ ไม่ได้เข้าร่วมในการประชุมระดับประธานาธิบดีมานับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมปป์ ร่วมประชุมอาเซียน-สหรัฐฯ ในกรุงมะนิลาปี 2017

พวกนักวิเคราะห์มองว่าการร่วมประชุมกับอาเซียนของไบเดน สะท้อนถึงความพยายามของประธานาธิบดีรายนี้ที่ต้องการประสานเชื่อมต่อพันธมิตรและคู่หูในความพยายามตีโต้กลับจีนร่วมกัน

ขณะเดียวกันพวกเขายังคาดหมายด้วยว่า ไบเดน จะมุ่งเน้นความร่วมมือเกี่ยวกับการกระจายวัคซีนโควิด-19 ภาวะโลกร้อน ห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐาน

มะเร็งคร่า 'พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์' หัวหน้าพรรคพลังชาติไทย เสียชีวิตอย่างสงบ

วันที่ 26 ตุลาคม 2564 นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “ส.ส.เอ๋ พระบาท” ระบุว่า “ได้ทราบข่าวในไลน์กลุ่มพรรคเล็กต่อการจากไปของ เพื่อน/พี่ ส.ส.พลตรีทรงกลด ทิพยรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังชาติไทย รู้สึกใจหายอย่างมาก เพิ่งโทรคุยกันเมื่อไม่นาน ความผูกพันในกลุ่มพรรคเล็กได้แต่รู้สึกเสียใจ ขอให้ดวงวิญญาณพี่ทรงกลด สู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเทอญฯ..ด้วยความเคารพรักและอาลัย จาก ส.ส.พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค

กราบเรียน กัลยาณมิตร พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์ทุกท่าน…บัดนี้ ท่านทรงกลดฯ ได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งท่านพยายามต่อสู้มา ระยะหนึ่ง ก่อนวาระสุดท้าย ท่านได้จัดการภาระงานในบทบาทหน้าที่ทางการเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้สั่งกำชับครอบครัวและทุกคนที่เกี่ยวข้องว่าท่านอยากจากไปอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องบอกกล่าวใครจนกว่าจะจัดงานศพเรียบร้อย…ตอนนี้ทางครอบครัวได้ดำเนินการตามประสงค์ของท่านเรียบร้อย…จึงกราบเรียน มายังทุกท่านค่ะ…บุญญาพรฯ (ครอบครัว พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์)”

‘อมรัตน์’ ร่วมอ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา หวัง!! ป้องสิทธิแสดงความเห็น ‘เยาวชน-ประชาชน’

“คุกควรขังผู้ปล้นอำนาจประชาชน ไม่ใช่ขังผู้เรียกร้องประชาธิปไตย” - ‘อมรัตน์’ ร่วมอ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา ยืนยันจุดยืนปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นของเยาวชนและประชาชน

26 ต.ค. 64 ที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม เขต 3 พรรคก้าวไกล และสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมทางการเมือง ร่วมกันอ่านจดหมายเปิดผนึกถึง ‘เมทินี ชโลธร’ ประธานศาลฎีกา เพื่อเรียกร้องต่อจุดยืนในการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นทางการเมืองของเยาวชนและประชาชน 

อมรัตน์ กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล จึงออกมาแสดงจุดยืนต่อสาธารณะ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวของสื่อมวลชนตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 63 ว่า…

“ยินดีใช้ตำแหน่งผู้แทนราษฎรไปประกันตัว หากเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่ถูกรองรับไว้โดยรัฐธรรมนูญถูกพรากไปด้วยข้ออ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” พร้อมโชว์ใบรับรองเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นเพราะว่า หลายปีที่ผ่านมานับจากรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนี้ที่สืบทอดอำนาจในปัจจุบันซึ่งยาวนานใกล้เข้าปีที่ 8 แล้ว ประเทศถูกปกครอง ครอบงำด้วยความกลัว ผู้ที่รักประชาธิปไตย ให้คุณค่ากับหลักการสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียม ตกอยู่ในความมืดมิดแห่งรัตติกาลอันยาวนานไม่เห็นแสงสว่าง ถูกปิดกั้นเสรีภาพในการคิด การพูด การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดในประเทศประชาธิปไตย เมื่อสิ้นสุดความอดทน เยาวชนหนุ่มสาวและประชาชนออกมาทวงคืนประชาธิปไตย ไล่นายกที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร เรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ยกเลิกอำนาจ ส.ว.(สมาชิกวุฒิสภา) ในการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้มีความเป็นสากลสอดคล้องกับยุคสมัย

“แต่ไม่ว่าจะออกมาส่งเสียงมากมายแค่ไหน ข้อเรียกร้องของพวกเขาถูกตั้งใจละเลยไม่ถูกได้ยิน สิ่งที่ได้รับคือการลุแก่อำนาจปราศจากมนุษยธรรม ใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ ใช้งบประมาณมากมายปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างบ้าคลั่งราวกับพวกเขาเป็นอริราชศัตรูเพียงแค่พวกเขาคิดต่างจากผู้ทรงอำนาจบาตรใหญ่ แจกคดีความถ้วนหน้าออกหมายเรียก หมายจับ ใช้กฎหมายปิดปาก จงใจใช้และต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วยข้ออ้างเรื่อง Covid-19 อย่างปราศจากความละอายต่อสายตาชาวโลก”

อมรัตน์ ย้ำว่า สำหรับตนแล้วเยาวชนผู้กล้าหาญเหล่านั้น คือ นักต่อสู้ไม่ใช่นักโทษ คือเจ้าของอนาคตประเทศนี้ พวกเขาได้ก้าวข้ามเส้นแห่งความกลัวที่คนยุคตนไม่เคยเข้าข้ามพ้นเส้นนั้นมาได้ บัดนี้มีผู้ต้องหาคดี 112, 116, 215, พ.ร.บ.คอมพ์, พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากมายถึง 1,500 คน จาก 800 กว่าคดี โดยเฉพาะคดี 112 มีถึง 150 คน และส่วนใหญ่เป็นเยาวชน

“เราต้องยอมรับกันเสียทีว่า คดีมาตรา 112 เป็นคดีทางการเมือง จะต้องถูกแก้ไขด้วยวิถีทางการเมือง แทนใช้คุก ศาล ทหาร และใช้กฎหมายปิดปาก รวมทั้งกฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ เป็นประเด็นที่ประเทศไทยถูกองค์กรระหว่างประเทศ และประเทศต่าง ๆ วิพากษ์วิจารณ์ นับจากปี 54 ถึงปี 64 ถูกวิจารณ์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 22 ครั้ง ถูกเสนอแนะให้แก้ไขในเรื่องอัตราโทษที่สูงเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับความผิดและไม่มีโทษขั้นต่ำ ไม่มีคำนิยามที่แน่นอนของคำว่าดูหมิ่น และกฎหมายนี้มีปัญหาการบังคับใช้ที่ถูกตีความอย่างไร้ขอบเขต รวมไปถึงไม่สอดคล้องกับหลักการสากลในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง” อมรัตน์ กล่าว 

แนะรัฐ! ดันท่องเที่ยว หวังศก.ไทยปีหน้ากลับมาโต 5% 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องเร่งการส่งเสริมการลงทุน เมื่อได้เปิดประเทศ ต้องหาทางดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาให้ได้อย่างน้อย 10 ล้านคน เพื่อเข้ามาใช้จ่ายในประเทศ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 65 ขยายตัวได้ถึง 5% ส่วนจีดีพีของกลุ่มค้าปลีก คาดว่าขยายตัว 2% เติบโตใกล้เคียงกับ จีดีพีของประเทศ โดยโมเดิร์นเทรด มีสัดส่วน 65% ของค้าปลีกทั้งระบบ 

ทั้งนี้ยังได้เปิดเผยผลสำรวจผู้ประกอบการโมเดิร์น เทรด ไตรมาส 3ปี 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ปรับสูงขึ้นอีกครั้งในรอบ 2 ไตรมาส โดยดัชนีรวมอยู่ที่ 47.9 ดัชนีฯในปัจจุบันอยู่ที่ 47.1 และดัชนีฯในอนาคตอยู่ที่ 48.7 เนื่องจากปลายไตรมาส 3 รัฐทยอยคลายล็อกมาตรการต่างๆ และผู้ประกอบการมองว่าค้าปลีกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนียังต่ำกว่า 50% ทั้งจากองค์ประกอบการในการคำนวณดัชนี จากรายรับ กำไร ราคาขาย จ้างงาน ต้นทุน ยังอยู่ในระดับทรงตัวหรือดีเล็กน้อย ยกเว้นจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นหลังคลายล็อก แต่มีมุมมองต่อไตรมาส4 ดีขึ้น เพราะมองผลดีรัฐบาลจะคลายล็อกที่เหลือ เปิดประเทศ และแรงกระตุ้นใช้จ่ายของภาครัฐส่งท้ายปี

'อัษฎางค์' อธิบาย Lost in Bangkok ของ 'ลุงโครว์' หมายถึง หลงเข้ามาเที่ยวในกทม. ไม่ใช่หลงทาง

อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ อธิบายคำว่า ‘Lost in Bangkok’ ว่า ไม่ใช่หลงทาง แต่เป็นความ ‘หลงระเริง’ จนลืมวันคืน

คำว่า Lost in Bangkok ที่รัสเซล โครว์ เอามาเล่นเป็นซีรีส์ภาพถ่ายการตะลอนทัวร์ในกรุงเทพนั้น คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสามกีบ เอามาตีความหมายว่า รัสเซล โครว์ “หลงทางในกรุงเทพ” แล้วก็ละเลงสีใส่ไข่ สร้างเรื่องและวาทกรรมด้อยค่าเมืองไทยกันสนุกปาก

จริงอยู่ว่า Lost แปลว่า หลง

แต่บริบทของการใช้คำว่า “Lost in Bangkok” กับภาพความสนุกสนานเพลิดเพลินในการท่องเที่ยวไปทั่วกรุงเทพของรัสเซล โครว์...มันไม่ใช่การ “หลงทาง”

แต่มันคือการ “หลงระเริง”

หลงระเริง ที่แปลว่า “หลงในความสนุกสนาน”

เหมือนที่คนไทยเปรียบเทียบคนต่างจังหวัดที่เข้ามากรุงเทพแล้วลืมบ้านเกิดเมืองนอนว่า “หลงแสงสีในเมืองกรุง” นั้น คือ “Lost in Bangkok” หรือการที่เรียกคนที่ชอบเที่ยวกลางคืนว่า “หลงราตรี” นั่นก็คือ “Lost in Bangkok”

“Lost in Bangkok” ของ รัสเซล โครว์ จึงไม่ใช่หลงทาง แต่เป็นความ “หลงระเริง” ด้วยความสนุกสนาน

เปิดตัว 'แกร็บเพ็ท' บริการเดินทางแก่คนมีสัตว์เลี้ยง ชูจุดเด่น ‘สะดวก - ปลอดภัย - ในราคาเข้าถึงได้’

แกร็บ เดินหน้าขยายบริการเอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงด้วยการเปิดตัว ‘แกร็บเพ็ท’ (GrabPet) บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เจ้าของสามารถพาสัตว์เลี้ยงเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว นำร่องเปิดใช้บริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ชู 3 จุดเด่น ‘สะดวก ปลอดภัย ในราคาเข้าถึงได้’ โดยสามารถเรียกใช้บริการได้แบบไม่ต้องจองล่วงหน้า พร้อมสร้างมั่นใจด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและพาร์ทเนอร์คนขับที่ผ่านการอบรมเป็นพิเศษ ในราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 95 บาท

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาดและพันธมิตรทางธุรกิจ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า... “ตลาดสัตว์เลี้ยงถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีความน่าสนใจมาก โดยเฉพาะในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นเทรนด์ของคนโสด รวมถึงกลุ่มครอบครัวเดี่ยวที่หันมาเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงา นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนต้องใช้ชีวิตและทำงานอยู่ที่บ้านมากขึ้นถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดนี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงถึงกว่า 35,000 ล้านบาท* ซึ่งรวมถึงธุรกิจให้บริการต่างๆ กับสัตว์เลี้ยงด้วย”

“ปัจจุบัน บริการการเดินทางสำหรับผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงยังมีตัวเลือกไม่มากนัก บางครั้งผู้ใช้บริการต้องจองคิวล่วงหน้าไม่สามารถเดินทางได้ทันที และมีค่าบริการค่อนข้างสูงจากการคิดราคาเหมา แกร็บมองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจจากผู้ใช้บริการในกลุ่มนี้ เราจึงได้พัฒนาบริการใหม่อย่าง ‘แกร็บเพ็ท’ ขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่อาจไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวหรือไม่ได้ต้องการขับรถเอง เพื่อพาสัตว์เลี้ยงเดินทางไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็น การพาไปเที่ยว พักผ่อน ออกกำลังกาย หรือแม้แต่ไปโรงพยาบาล โดยมาพร้อม 3 จุดเด่น คือ ความสะดวกสบาย มาตรฐานความปลอดภัย และค่าบริการที่เข้าถึงได้”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top